#1
|
||||
|
||||
เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน วันเสาร์ที่ ๔ พฤษภาคม ๒๕๖๒
ขอให้ทุกคนตั้งกายให้ตรง กำหนดสติคือความรู้สึกของเราไว้ที่ลมหายใจเข้าออก หายใจเข้า..ให้ความรู้สึกทั้งหมดของเรา ไหลตามลมหายใจเข้าไป หายใจออก..ให้ความรู้สึกทั้งหมดของเรา ไหลตามลมหายใจออกมา จะใช้คำภาวนาอะไรก็ได้ ที่เรามีความถนัด มีความชำนาญมาแต่เดิม
วันนี้เป็นวันเสาร์ที่ ๔ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๖๒ ซึ่งเป็นวันที่มีพระราชพิธีบรมราชาภิเษกในหลวงรัชกาลที่ ๑๐ กรุงสุโขทัยของเรามีพระเจ้าแผ่นดิน ๖ พระองค์ กรุงศรีอยุธยามี ๓๓ พระองค์ กรุงธนบุรีมี ๑ พระองค์ กรุงรัตนโกสินทร์มี ๑๐ พระองค์แล้ว เราจะเห็นว่าบุคคลที่มากด้วยบุญญาบารมีเช่นพระมหากษัตริย์ เมื่อถึงเวลาก็ยังประสบกับภาวะปกติ ก็คือเกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วก็ดับไป ดังนั้น...สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ ไม่ว่าจะเป็นที่ชอบใจหรือไม่ชอบใจก็ตาม เมื่อเกิดขึ้นกับพวกเรา สิ่งหนึ่งที่ควรจะทำก็คือ วางกำลังใจให้เห็นความไม่เที่ยงของสรรพสิ่งทั้งหลาย ดังที่บาลีกล่าวว่า สัพเพ สังขารา อนิจจาติ สังขารทั้งหลายนั้นไม่เที่ยง เกิดขึ้นในเบื้องต้น แปรปรวนไปในท่ามกลาง และสลายไปในที่สุด ไม่ว่าบุคคลนั้นจะเป็นที่รักที่ปกป้องของคนสักเท่าไรก็ตาม ต่อให้มีกองทัพห้อมล้อมอยู่รอบกายก็ตาม ก็ไม่สามารถที่จะป้องกันการแก่ การเจ็บ การตายได้ เพราะว่าธรรมดาสิ่งทั้งหลายเหล่านี้มีประจํา สังขารรูปนามตกอยู่ใต้อำนาจของไตรลักษณ์ ก็คืออนิจจัง มีความไม่เที่ยงเป็นปกติ ทุกขัง ประกอบไปด้วยความทุกข์เป็นปกติ อนัตตา ไม่มีอะไรยึดถือมั่นหมายเป็นตัวตนเราเขาได้ เพียงแต่ว่าปัญญาของเราไม่พอ เราก็จะมองเห็นว่าสิ่งทั้งหลายเหล่านี้เที่ยง แต่ความจริงเป็นการเข้าใจผิด เป็นความเมาในชีวิต ความเมาในการไม่มีโรค ความเมาว่ายังอยู่ในวัยหนุ่มวัยสาว เป็นต้น ทั้งยังจัดเป็นมิจฉาทิฐิ ก็คือความเห็นผิดไปจากความเป็นจริง บาลีเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าวิปลาส ก็คือความคลาดเคลื่อนไปจากปกติ
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 24-05-2019 เมื่อ 02:38 |
สมาชิก 34 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#2
|
||||
|
||||
อย่างเช่นว่าสภาพร่างกายนี้มีความไม่สวยไม่งามเป็นปกติ เราก็ไปเห็นว่ามีความสวยงามเป็นปกติ สภาพร่างกายมีความไม่เที่ยงเป็นปกติ เราก็เห็นว่าเที่ยง มีความทุกข์เป็นปกติ เราก็เห็นว่าสุข ไม่มีอะไรเป็นเราเป็นของเรา เราก็เห็นว่าเป็นของเรา ก็แปลว่าสติปัญญาของเรายังไม่เพียงพอ
ดังนั้น...ในการปฏิบัติธรรมแต่ละครั้ง ไม่ใช่เรานั่งสมาธิอย่างเดียวแล้วเรียกว่าปฏิบัติธรรม เพราะว่าการปฏิบัติธรรมเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าภาวนา ก็คือทำแล้วต้องเจริญขึ้น หมายความว่าเราปฏิบัติธรรมแล้ว กาย วาจา ใจ ของเราต้องดีขึ้น เจริญขึ้น ก้าวไปสู่ความละเอียดมากขึ้น ไม่ใช่ว่าการปฏิบัติธรรมคือหลับตาทำสมาธิอย่างเดียว หลังจากที่เราทำสมาธิจนทรงตัวเต็มที่แล้ว สภาพจิตค่อย ๆ คลายเคลื่อนจากองค์สมาธิออกมา เราก็ต้องหาวิปัสสนาญาณให้จิตได้ขบคิด โดยอาศัยกำลังสมาธินั่นแหละช่วยในการคิด เพราะว่าเมื่อสมาธิทรงตัวนิ่งสงบ ปัญญาจะเกิด มองเห็นความเป็นจริงได้ง่าย
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 25-05-2019 เมื่อ 03:04 |
สมาชิก 29 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#3
|
||||
|
||||
เราก็จะได้เห็นว่าร่างกายของเราก็ดี ของคนอื่นก็ดี ของสัตว์อื่นก็ดี มีความไม่เที่ยงเป็นปกติ มีความทุกข์เป็นปกติ ไม่มีอะไรยึดถือมั่นหมายเป็นตัวตนเราเขาได้เป็นปกติ เมื่อเห็นแล้วไม่ใช่สักแต่ว่าเห็น สภาพจิตของเราต้องยอมรับด้วยว่าเป็นเช่นนั้น ถ้าไม่ยอมรับก็แปลว่า สติ สมาธิ ปัญญา ของเรายังไม่เพียงพอ ก็ต้องเริ่มต้นปฏิบัติกันใหม่ ซ้ำแล้วซ้ำอีก ย้ำแล้วย้ำอีก เบื่อไม่ได้ หน่ายไม่ได้ เพื่อให้การยอมรับความเป็นจริงนี้เกิดขึ้นกับเราให้ได้
ถ้าสภาพจิตไม่ยอมรับ สิ่งนั้นก็เป็นเพียงแต่เรามองเห็น ถ้าสภาพจิตยอมรับ สิ่งนั้นจะเป็นของเรา การเข้าถึงมรรคถึงผลต่างกันแค่นี้เอง รู้เห็นนับเป็นมรรค ทำได้นับเป็นผล ดังนั้น..ในส่วนที่ทำได้คือมองเห็นชัดเจน แล้วสภาพจิตยอมรับตามความเป็นจริงตามนั้น ดังนั้นการปฏิบัติธรรมไม่ใช่แค่ทรงสมาธิ แต่การอาศัย ศีล สมาธิ ปัญญา ที่คาบเกี่ยวกัน มองให้เห็นความเป็นจริงของโลกนี้ มองให้เห็นความจริงในร่างกายนี้ แล้วยอมรับว่าสภาพความเป็นจริงเป็นเช่นนั้นเอง ลำดับต่อไปให้ทุกท่านภาวนาหรือพิจารณาตามอัธยาศัย จนกว่าจะได้รับสัญญาณบอกว่าหมดเวลา พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร. เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน ณ บ้านเติมบุญ วันเสาร์ที่ ๔ พฤษภาคม ๒๕๖๒ (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย คะน้า)
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 25-05-2019 เมื่อ 03:06 |
สมาชิก 29 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน ) | |
|
|