|
อีหรอบเดียวกัน อีหรอบเดียวกัน โดยพระครูวิลาศกาญจนธรรม (หลวงพ่อเล็ก สุธมฺมปญฺโญ) |
|
คำสั่งเพิ่มเติม |
#41
|
||||
|
||||
รูปหน้าอนุสาวรีย์สิงโตร้องไห้ ท่านอาจารย์ ดร.วันชัยเข็นรถเข็นของพระครูด็อกเตอร์ไปติดริมสระ หันหลังให้สระแล้วล็อกล้อไว้ จัดการถ่ายรูปให้ท่านพระครูด็อกเตอร์ก่อน ท่านอาจารย์ ดร.พิเชฐขอเข้าไปร่วมเฟรมด้วย เสร็จแล้วอาตมาส่งกล้องไปให้ เมื่อท่านช่วยถ่ายให้สองรูปแล้วก็ถอยออกมา ปล่อยให้พรรคพวกผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันเข้าไปถ่ายรูปบ้าง การไม่มีนักท่องเที่ยวอื่น ๆ มาคอยช่วยถ่ายแบบไม่ได้ขอร้องก็ดีแบบนี้เอง ขออย่างนี้ทุกที่ได้ไหมลุง ? “เอาแค่พอสมควรครับ ที่ไหนพอจะช่วยได้ก็ช่วย ที่ไหนเกินความสามารถของผม ท่านก็ต้องใช้ความสามารถของตนเองครับ”... เมื่อได้รูปแล้วอาตมาก็เดินกลับไปที่ร้านเจ๊อารี มีมหากังวาลเดินมาเป็นเพื่อนคนเดียว เมื่อเข้าไปในร้านก็เจอยี่สิบคำถามไม่มีตัวช่วยจากอาเจ๊ พอรู้ว่ามาจากกาญจนบุรี เจ๊อารีก็ถามว่า “รู้จักท่านอาจารย์วัชระ วัดถ้ำแฝดไหมคะ ?” ทำไมจะไม่รู้จัก ? อาตมาอบรมเจ้าอาวาสรุ่นเดียวกับท่านเลย “ตอนนี้ท่านมาเที่ยวสวิสนี่แหละค่ะ ท่านจะคุยด้วยไหมคะ ? อารีจะโทรให้” อาตมาขอบคุณในความหวังดีของอาเจ๊ ยังไม่ทันจะตอบรับ “ท่านนายพล” ก็สะกิดพร้อมกับบอกว่า “อย่าคุยดีกว่าครับ อีกไม่นานพระรูปนี้จะมี “ปัญหาใหญ่” ถ้าท่านคุยด้วยอาจจะโดนลากเข้าไปร่วมปัญหาด้วย” เมื่อ “ลุงหนวด” อุตส่าห์เตือน อาตมาจึงบอกปฏิเสธ แล้วเดินไปดูของที่ระลึก ปล่อยให้มหาประโยคเก้ารูปเดียวของรุ่น รับหน้าเสื่อให้เจ๊อารี “สอบสวน” ต่อไป... “รีบมาซื้ออะไรวะ ? รูปหมู่เลยขาดไปสองคน” องปลัดมาถึงก็ถามแกมต่อว่า “จะให้สมบูรณ์ทุกครั้ง ถ้ามาครั้งหน้าจะถ่ายอะไรละครับพี่น้อง ?” เจอคำตอบแบบนี้เพื่อนนักบวชอนัมนิกายเลยพูดไม่ออก อาตมาหยิบตุ๊กตาแม่หมาเซนต์เบอร์นาดที่กำลังคาบลูกห้อยต่องแต่ง กับเป้รูปหมาใบเล็ก ๆ ไปสองอย่าง ส่งให้กับเจ๊อารีเพื่อคิดเงิน เกิดมามีแต่ลูกสาวเป็นพรวน ซื้ออะไรแต่ละทีมักจะโดนมองแปลก ๆ บางคนคิดว่าอาตมาเป็นพวก “แอบจิต” ไปเลยก็มี... |
สมาชิก 73 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ สุธรรม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#42
|
||||
|
||||
มัคคุเทศก์รูปหล่อยืนคุมเจ๊อารีคิดตังค์ ฮ่า..! มีแต่เงินยูโรจ้ะเจ๊ อาตมาบอกเมื่อส่งของให้ อารีไม่ออกบิลที่มี VAT เพื่อที่หลวงพ่อทุกท่านจะได้ไม่ต้องเสียเวลาไปขอคืนภาษี แต่จะลดราคาให้ไปทีเดียวเลยค่ะ แม่หมาคาบลูกราคา ๕๒.๙๐ ฟรังก์สวิส กระเป๋าเป้หมาราคา ๒๙.๙๐ ฟรังก์สวิส เจ๊อารีกดเครื่องคิดเงินแบบพิเศษ เสียงคำนวณเกรียวกราว แล้วบอกว่า ๖๒.๐๙ ยูโรค่ะ อาตมาส่งใบละ ๒๐ ยูโร ๓ ใบ ๑๐ ยูโร ๑ ใบไปให้ เจ๊อารีกดเครื่องอีกรอบแล้วทอนกลับมา ๑๐.๕๐ ฟรังก์สวิส แปลว่าลดราคาให้เสร็จสรรพแล้ว... เพื่อน ๆ กลับเข้ามาจนแน่นร้านไปหมด พระครูปรีชาถามหามีดพับ Victorinox เจ๊อารีชี้ไปที่ผนังซึ่งมีสารพัดขนาด ตั้งแต่สามใบมีดจนถึงสามสิบกว่าใบมีด ของแท้หรือเปล่า ? คำถามที่ไม่สร้างสรรค์ตามมาติด ๆ ถ้าไม่ใช่หลวงพ่อถาม อารีจะโกรธนะคะ ร้านนี้ไม่มีของปลอมค่ะ รู้สึกว่าบรรยากาศเริ่ม มาคุ อาตมาจึงเดินออกจากร้านไปก่อน พบกันที่ลานจอดรถนะครับพระอาจารย์ คุณโอ๋ตะโกนบอกตามหลังมา... เดินมาถึงลานที่อาตมาคิดว่าเป็นร้านกาแฟ เมื่อมาดูใกล้ ๆ ปรากฏว่าเป็นภัตตาคารไปซะนี่ พระครูโจที่ตามมาอีกคนยกกล้องถ่ายรูปร้านแบบสวิสชาเล่ต์ ที่ค่อนข้างเด่นด้วยการตัดสีแดงบริเวณหน้าจั่ว แล้วผลัดกันถ่ายรูปกับอาตมาคนละรูปสองรูป เสร็จแล้วก็นั่งคุยกันที่ม้านั่งบริเวณลานหน้าร้านนั่นแหละ ว่าด้วยเรื่องของการทำหน้าที่เพื่อคณะสงฆ์จังหวัดกาญจนบุรี ในฐานะที่อาตมาเคยทำหน้าที่เลขานุการเจ้าคณะจังหวัดมาก่อน ย่อมซาบซึ้งดีว่าการที่ต้องแบกสารพัดเรื่องของหกร้อยกว่าวัดทั้งจังหวัดรวมกันไว้บนบ่านั้นหนักหนาสาหัสขนาดไหน... |
สมาชิก 74 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ สุธรรม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#43
|
||||
|
||||
ให้เวลาสองชั่วโมงแล้วมาพบกันที่หน้าร้านนี้ พรรคพวกที่ได้ข้าวของสมใจแล้ว ออกมาสมทบกันตรงนี้มากขึ้นทุกที จนในที่สุดก็ออกมากันหมด โดยมีเจ๊อารีเดินตามมาด้วย ถามหาโรงแรมที่เราพักคืนนี้กับมัคคุเทศก์รูปหล่อ บอกว่าจะแจ้งข่าวให้กับคนไทยที่อยู่ในสวิสไปทำบุญด้วย เมื่อร่ำลาไม่อาลัยกันแล้ว นายสันโดษก็วนรถมารับ เพิ่งขึ้นไปนั่งยังไม่ทันจะตูดร้อน ก็มาจอดอยู่ที่ “ถนนสายนาฬิกา” ซึ่งอาตมาตั้งชื่อให้เอง เพราะว่ามองไปทางไหนก็เห็นแต่ป้ายโฆษณาขายนาฬิกาทั้งนั้น ผู้คนขวักไขว่เต็มไปหมด... พวกเราลงจากรถแล้ว พลขับหน้าตายก็เคลื่อนรถไปหาที่จอด มัคคุเทศก์ของเราบอกว่า “ให้เวลาสองชั่วโมงนะครับ หาซื้อนาฬิกาที่พระอาจารย์ทุกท่านต้องการ แล้วมารวมกันที่ตรงหน้าร้าน BUCHERER นี้ ผมจะพาไปโรงแรมที่เราจะพักในคืนนี้กันครับ” อาตมาเดินนำหน้าไปก่อนเลย ด้วยเหตุที่เคยซื้อนาฬิการาคาแพงที่สุดในชีวิตราคาตั้ง ๗,๐๐๐ บาท ยี่ห้อ TRASER ซึ่งได้ตรา SWISS MADE เช่นกัน จึงไม่คิดที่จะหาของแพงให้เปลืองเงินโดยใช่เหตุ ได้แต่ชมผ่าน ๆ แบบ “ขี่ม้าชมดอกไม้” ส่วนพรรคพวกที่อยากได้ของแพง เห็นร้านไหนน่าสนใจก็มุดเข้าไปทันที... แค่ขอชมเป็นขวัญตา เห็นแบบไหนถูกใจก็ถ่ายรูปไปดู ช็อปปิ้งด้วยกล้องแบบนี้ได้ทุกอย่างสตางค์อยู่ครบ เห็นมัคคุเทศก์รูปหล่อนำพวกเราขบวนหนึ่งเข้าไปในร้านแท็ก ฮอยเออร์ (TAG HEUER) อาตมาจึงตามเข้าไปเป็นรูปท้าย ๆ พนักงานชายใส่แว่นไว้ผมรองทรงในชุดสูทสีเทา สวมถุงมือสีขาว หน้าตาหล่อแบบแขกตะวันออกกลาง หยิบเอานาฬิกาขึ้นมาแนะนำให้พวกเราทราบ ว่าเครื่องกลไกจิ๋ว ๆ แต่ละชิ้น ได้รับการผลิตขึ้นมาอย่างประณีตแบบชิ้นต่อชิ้น แล้วประกอบกันออกมาด้วยความระมัดระวังสุดชีวิต จนกลายเป็นสุดยอดนาฬิกาที่ได้รับตรา SWISS MADE ซึ่งทุกรุ่นที่ผลิตออกมา มีแต่ราคาจะขึ้นไปเรื่อยตามระยะเวลาที่ผ่านไป ยิ่งประเภท Limited Edition ก็ยิ่งเป็นที่ต้องการเข้าไปใหญ่... แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย วสันต์วิษุวัต : 18-09-2017 เมื่อ 17:54 |
สมาชิก 68 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ สุธรรม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#44
|
||||
|
||||
อย่างน้อยวันนี้ "สาวภูเก็ต" ก็ได้จากพระครูกล้าไป ๒,๐๐๐ ยูโร เมื่อถามราคาดูแล้ว รุ่นที่ราคาต่ำสุดอยู่ที่ประมาณ ๑,๑๐๐ ยูโร คิดเป็นเงินไทยตก ๔๔,๐๐๐ บาท ความจริงก็ไม่นับว่าแพง แต่ด้วยความที่พวกเราไม่ค่อยได้ยินชื่อเสียงของแท็ก ฮอยเออร์ ได้ยินแต่ประเภท โรเล็กซ์ (Rolex) ปาเต๊ก ฟิลลิป (Patek Philippe) อะไรประมาณนี้ จึงสมัครใจถอยหลังดีกว่า ไม่มีใครซื้อแม้แต่คนเดียว ทางร้านก็มืออาชีพสุด ๆ ไม่ได้ว่าอะไรซักคำ ซ้ำยังแจกผ้าสำหรับเช็ดนาฬิกาหรือเช็ดแว่นให้คนละผืนอีกด้วย มัคคุเทศก์รูปหล่อจับไม้จับมือขอบคุณแล้ว ก็พาพวกเราออกมา แวะเข้าร้าน SENITH ที่อยู่ห่างออกไปแค่สองคูหา “สวัสดีค่ะ ยินดีต้อนรับทุกท่านค่ะ” เฮ้ย..ร้านนี้มีสาวไทยเป็นคนขายด้วย... สาวไทยผิวคล้ำตาคมไว้ผมหางม้าในเสื้อสูทและกางเกงสีดำ รูปร่างเริ่มเข้าสู่การอวบระยะสุดท้าย ยิ้มแย้มแจ่มใสยกมือวันทาแบบไทยแท้ บอกว่าชื่อ “จุรีพร” บ้านอยู่ภูเก็ต มาทำมาหากินที่สวิสได้สองปีแล้ว แนะนำนาฬิกาแบบต่าง ๆ อย่างคล่องแคล่ว ร้านนี้ดีตรงที่ว่าไม่ได้ขายนาฬิกายี่ห้อเดียว บุคคลที่ต้องการซื้อจริงอย่างพระครูกล้า และท่านอาจารย์ ดร.พิเชฐ สอบถามทั้งราคา ส่วนลด และวิธีการจ่ายเงิน ส่วน “ขาหลี” อย่างพระครูญาณฯ นั้น พยายามยื่นหน้าเข้าไปใกล้เพื่อจะให้ได้รอยยิ้มจากสาวไทยเท่านั้น... พระครูกล้ารูดบัตรพรืดเดียวแปดหมื่นบาท ทำเอา “ว่าที่หลวงพ่อตา” อย่างหลวงพ่อพระครูญาทำใจไม่ได้ เดินหลบไปนั่งที่มุมไกลสุด ท่านเจ้าคณะอำเภอท่ายางยกน้ำเย็นที่ “เด็ก” ของทางร้านเอามารับแขกขึ้นดื่มกันเป็นลมแทนคนจ่ายเงิน อาตมาเข้าไปนั่งร่วมโต๊ะเป็นเพื่อนท่านด้วย สักพักหลวงพ่อพระครูเลิศก็เดินตุ้มต๊ะตุ้มตุ้ยมานั่งอีกคน บ่นพึมพำว่า “ไม่ไหว...เทศน์ทั้งปียังไม่พอซื้อนาฬิกาที่นี่เรือนเดียว” หลวงพ่อก็ขึ้นราคากัณฑ์เทศน์ไปเลยสิครับ แล้วคราวหน้าค่อยมาซื้อใหม่ “แค่นี้ยังไม่ค่อยจะมีเทศน์ ขืนไปขึ้นราคาก็ยิ่งไม่มีปัญญาซื้อหนักเข้าไปอีก” ฮ่า...ถ้าสมณศักดิ์ “วาทีธรรมวัฒน์” อย่างหลวงพ่อยังไม่มีคนนิมนต์เทศน์ ผมก็คงจะไร้ผู้คนสนใจโดยสิ้นเชิง... แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย วสันต์วิษุวัต : 18-09-2017 เมื่อ 20:14 |
สมาชิก 68 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ สุธรรม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#45
|
||||
|
||||
ป้ายบอกทางลงไปห้องน้ำของร้าน BUCHERER ท่านอาจารย์หัวหน้าภาควิชารัฐศาสตร์ เลือกนาฬิกาแบบที่ชอบและราคาเป็นที่พอใจแล้ว ก็หยิบบัตรออกมาส่งให้สาวภูเก็ตไปรูดบ้าง แต่..ไม่ผ่านครับ เล่นเอาท่านอาจารย์ยกมือเกาศีรษะที่ผมเริ่มบางอย่างงง ๆ คุณจุรีพรลองดูอีกหลายครั้งก็ไม่ผ่านเช่นเดิม “เอ...? ผมมีอยู่ในบัญชีเป็นแสนเหมือนกันนะ” ท้ายสุดท่านอาจารย์จึงโทรศัพท์ข้ามทวีปไปสอบถามทางเมืองไทย อาตมาก็นึกไม่ถึงว่าธนาคารบ้านเราจะมีเจ้าหน้าที่เหลือไว้ติดต่อกับต่างประเทศดึกดื่นขนาดนี้ ทางนั้นตรวจสอบแล้วแจ้งมาว่า ท่านอาจารย์ไม่เคยทำเรื่องขอใช้บัตรข้ามประเทศ ถ้าจะใช้ก็พร้อมที่จะทำให้เดี๋ยวนี้ โดยหักค่าธรรมเนียมจากบัญชีไปเลย... “ยังก่อนดีกว่าครับ” การมีอุปสรรคทำให้ฉุกใจยั้งคิด ออกบัตรไปแล้วอีกกี่ชาติจะได้มาใช้ก็ไม่รู้ ? แต่ค่าธรรมเนียมต้องจ่ายทุกเดือน การตัดสินใจจึงมีการเปลี่ยนแปลง ท่านอาจารย์เลยไม่ต้องเอาเงินมาถมต่างประเทศให้ขาดดุลเพิ่มอีกเป็นแสน ขอโทษสาวภูเก็ตแล้วพวกเราก็ถอนสมอออกจากร้าน โดยมีพระครูกล้าถือถุงใส่นาฬิกาและใบกำกับภาษี ที่ต้องไปขอคืนที่สนามบิน จำนวน ๑๖๐ ยูโร (๔,๘๐๐ บาทไทย) เดินตามมัคคุเทศก์รูปหล่อไปที่ร้าน BUCHERER เห็นป้ายที่หน้าร้านโฆษณานาฬิกา Rolex สารพัดแบบ เข้าไปข้างในก็มีพนักงานแจกบัตรให้คนละใบ บอกว่าเอาไปขอรับของที่ระลึกจากเคาน์เตอร์ด้านในสุดได้เลย อาตมาจึงเดินนำเข้าไปก่อน... พรรคพวกเดินตามหลังมาเป็นพรวน ยังไม่ทันจะพูดอะไร แค่ยื่นบัตรไปพนักงานหญิงของทางร้านก็หยิบกล่องสี่เหลี่ยมผืนผ้าเล็ก ๆ ส่งให้ เปิดออกมาดูเป็นช้อนกาแฟสเตนเลส ตีตรากากบาดสีแดง รับรองว่าเป็นของสวิสแท้ ทุกคนรับมาเหมือน ๆ กัน อาตมาเหลือบเห็นป้ายห้องน้ำตรงบันไดทางลงชั้นล่าง จึงเดินตามป้ายลงไปเข้าห้องน้ำก่อน สะอาดเอี่ยมสมราคาร้านชั้นหนึ่ง ทำธุระส่วนตัวแล้วก็กลับขึ้นมาดูสินค้าของทางร้าน ซึ่งเป็นนาฬิกาแทบทั้งสิ้น และมีหลายยี่ห้อเหมือนกัน... แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 11-05-2017 เมื่อ 02:59 |
สมาชิก 66 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ สุธรรม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#46
|
||||
|
||||
แม่น้ำที่กว้างอย่างกับทะเลสาบ อาตมาดูนาฬิกายี่ห้อ SWAROVSKI ซึ่งเข้าใจผิดมาตลอดว่ายี่ห้อนี้ทำแค่แก้วเจียรนัยเท่านั้น แต่ที่เห็นคือนาฬิกาแบบต่าง ๆ ที่ประดับแก้วเจียรนัย ดูดีไม่แพ้พวกประดับเพชรอย่าง Rolex เลย ราคาก็พอเป็นมิตรกับกระเป๋า เพราะว่ามีระดับ ๔๐๐ – ๕๐๐ ยูโรอยู่หลายแบบ แต่ถ้าซื้อเพื่อให้พอกับบรรดาลูกสาว ก็คงไม่แคล้วหมดตูดเป็นแน่แท้ จึงได้แต่ชมและถ่ายรูปเอาไว้ เห็นว่าพอสมควรแก่เวลาแล้ว และอยู่ต่อไปก็ไม่ได้มรรคผลอะไรขึ้นมา อาตมาจึงเดินออกจากร้าน เลี้ยวขวาไปยังแม่น้ำรอยส์ (Reuss) ที่อยู่ใกล้ ๆ เพื่อชมสะพานชื่อก้องโลกของเมืองลูเซิร์น... พ้นจากอาคารไปก็มีจักรยานจอดเรียงรายอยู่หลายร้อยคัน มีถนนคั่นระหว่างตึกเป็น “บล็อก” อีกฝั่งของถนนเป็นห้วงน้ำสีฟ้าเข้มขนาดมหึมา น่าจะเป็นทะเลสาบมากกว่าเป็นแม่น้ำ มีหงส์ขาวลอยฟ่องหาอาหารอยู่หลายสิบตัว กลาง “ทะเลสาบ” เป็นสะพานไม้ที่บูรณะขึ้นหลังจากไฟไหม้ ทำให้ดูเก่าแก่เหมือนกับของเก่า ยื่นยาวข้ามไปยังอีกฝั่งหนึ่ง ซึ่งมีหอแปดเหลี่ยมอยู่ติดกับมุมหักของสะพานค่อนไปทางฝั่งโน้น ไม่รู้ว่าเอาไว้ชมวิวหรือเอาไว้ทำอะไร ? “เป็นหอสำหรับศึกษาอุทกศาสตร์ของแม่น้ำแห่งนี้มาตั้งแต่สมัยโบราณครับ” มัคคุเทศก์ล่องหนเฉลยข้อกังขาให้... อาตมาถ่ายรูปสะพานทางด้านนี้ แล้วเดินเลยทางขึ้นสะพานไปถ่ายรูปสะพานจากอีกด้านหนึ่ง ซึ่งทางด้านนี้มีกระเช้าดอกไม้ปลอมติดเอาไว้เกือบตลอดแนวสะพาน ทำให้ดูมีสีสันสดใสขึ้นมาบ้าง เสร็จแล้วเดินแทรกนักท่องเที่ยวขึ้นไป ถ่ายรูปภาพเขียนประวัติการสร้างเมืองลูเซิร์น ซี่งมีอยู่ตามหน้าจั่วและด้านบนของ “ฝาผนัง” โดยมีนักท่องเที่ยวแย่งกันถ่ายรูปอาตมาไปด้วย ไปจนสุดสะพานแล้วก็เดินย้อนกลับมาอีกรอบ เพราะเกรงว่าจะหมดเวลาที่คุณโอ๋นัดเอาไว้... แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 11-05-2017 เมื่อ 05:15 |
สมาชิก 67 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ สุธรรม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#47
|
||||
|
||||
"หุ่น" ซึ่งจะมีชีวิตก็ต่อเมื่อได้รับเงินบริจาค เดินย้อนมาหน่อยเดียว ก็มี “หุ่น” ชายสองคนในชุดหนังเคลือบสีทอง มาดคล้าย ๆ “จังโก้” ยืนนิ่งอยู่ข้างกำแพงตึก มีคนโทใบเดียววางอยู่ข้างหน้าระหว่างคนทั้งสอง อาตมาจึงควักเหรียญฟรังก์สวิสที่ได้รับทอนมาหลายเหรียญ หยอดกราวลงไปในคนโทใบนั้น มีเสียงดนตรีดังขึ้นในทันใด พร้อมกับ “หุ่น” ทั้งสองตัวฟื้นคืนชีวิต ทั้งผิวปากทั้งดีดนิ้วและเต้นตามเสียงดนตรี พอเสียงดนตรีจบลงทั้งสองก็ขอจับมือกับอาตมา ขณะที่นักท่องเที่ยวปรบมือกราวและแย่งกันถ่ายรูป ซึ่งคนที่ไม่ได้รูปนี้มีอยู่คนเดียวก็คืออาตมาเอง..! เดินจากชายทั้งสองคนที่กลับไปเป็น “หุ่น” ตามเดิม ผ่านแถวจักรยานกลับไปยังร้าน BUCHERER เจอพระครูโจเดินถ่ายรูปทั้งตึก ถนนหนทาง และจราจรที่กำลังโบกรถ ถามดูจึงรู้ว่าท่านอื่น ๆ ยังจมอยู่ในร้าน บางส่วนก็แยกย้ายกันกลับไปที่ร้านสาวภูเก็ต อาตมาที่กำลังมีอาการ “ไข้ขึ้น” จนรู้สึกปวดไปทั้งตัว อยากจะเข้าที่พักก็ไม่เห็นมัคคุเทศก์รูปหล่อว่าอยู่ที่ไหน ? “คุณรู้ไหมว่าโรงแรมที่เราพักคืนนี้ชื่ออะไร ?” อาตมาถามท่านเลขาฯ จังหวัดฯ “ประมาณว่า FLORA HOTEL อะไรเทือกนี้แหละครับ แต่ไม่รู้ว่าอยู่ที่ไหน ?” อาตมาเดินไปหาคุณจราจรที่เริ่ม “มีอันจะกิน” ถามว่า “Do you tell me, where’s the Flora hotel ?” อีกฝ่ายตีหน้าฉงนอย่างหนัก “Flora hotel ? I don’t know about that.” ฮ่วย...ถ้าตำรวจยังบอกไม่ได้แล้วตูจะไปถามใครดีวะ ? เดินหน้าเหี่ยวกลับมาหาพระครูโจ พอท่านทราบว่าขนาดตำรวจเจ้าถิ่นยังไม่รู้จักก็เกาหัวแกรก ๆ ยังไม่ทันจะทำอะไร นางฟ้าก็มาช่วยชีวิต คุณโอเล่เดินมาจากทางด้านแม่น้ำรอยส์พอดี “คุณโอเล่...รบกวนช่วยพาไปโรงแรมที่พักหน่อยเถอะ อาตมาทั้งสองหมดสภาพไปไหนไม่ไหวแล้ว”... |
สมาชิก 67 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ สุธรรม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#48
|
||||
|
||||
เดินเกือบทั่วเมืองแต่หามัคคุเทศก์รูปหล่อไม่เจอ “ขออภัยพระอาจารย์ค่ะ ‘เล่ไปติดต่อประสานกับทางโรงแรมให้เรียบร้อยแล้ว จึงรีบออกมาเพื่อถ่ายรูป ถ้าช้าแล้วเดี๋ยวแดดหลบจะได้รูปไม่สวย รบกวนเดินไปเองดีกว่านะคะ หรือไม่ก็รอให้คุณโอ๋มานำไปก็ได้ค่ะ” อาตมากับพระครูโจมองหน้ากันแล้วพูดไม่ออก “โรงแรมอยู่ไกลไหม ? แล้วชื่อโรงแรมอะไร ?” อาตมาถามเผื่อเอาไว้ก่อน “ชื่อโรงแรมแอสโทเรีย ต้องเดินข้ามแม่น้ำไปไกลเหมือนกันค่ะ” อาตมาหันไปมองพระครูโจ รู้แล้วว่าทำไมตำรวจจราจรถึงไม่รู้จักโรงแรมฟลอร่า ก็โรงแรมชื่อนี้ไม่เคยมีอยู่ในเมืองนี้มาก่อนนะซีครับ..! “ไปเดินหาคุณโอ๋กันดีกว่าครับ” ท่านเลขาฯ ชวน อาตมาก็เห็นด้วย เพราะว่าไม่เคยไปโรงแรมมาก่อนแบบนี้ มีโอกาสเดินหลงไปถึงดาวอังคารได้ แต่ไม่นึกว่ามัคคุเทศก์รูปหล่อจะหาตัวยากอย่างนี้ ในร้าน BUCHERER ทั้งชั้นบนชั้นล่าง ทั้งในร้านนอกร้านก็ไม่มี เดินเลาะกลับไปทางถนนสายนาฬิกาก็เจอแต่พรรคพวกที่ย้ายแยกแตกกระจายเป็นกลุ่มเล็ก ๆ สองรูปบ้างสามรูปบ้าง ไปเจอหลวงพ่อเจ้าคุณสมุทรฯ ที่ร้าน SENITH กำลังต่อรองราคาซึ่งต่อไม่ได้กับสาวภูเก็ต พระครูโจก็เลยขอตัวไปช่วยพระผู้เฒ่า ปล่อยให้อาตมาบินเดี่ยวหาตัวมัคคุเทศก์รูปหล่อต่อไป... เดินไปจนสุดทางแบบไร้อารมณ์สนใจสารพัดนาฬิกา เพราะว่าไข้จับหนักขึ้นทุกที แล้วย้อนกลับมาทางร้าน BUCHERER อีกที เจอพระครูวิสุทธฯ ยืนหลบติดผนังกันนักท่องเที่ยวเบียด ถามว่าเจอมัคคุเทศก์รูปหล่อบ้างไหม ? อีกฝ่ายก็สั่นหัว ท่าทางเพลียหมดสภาพพอ ๆ กับอาตมา จึงชวนเดินไปโรงแรมด้วยกัน หนทางอยู่ที่ปาก ถ้าถามชาวบ้านแล้วไม่รู้เรื่อง ก็ถามมัคคุเทศก์ล่องหนนั่นแหละ แต่ตอนนี้ยังถามอะไรไม่ได้หรอก เพราะว่าท่านเหล่านี้มักจะให้เราใช้ความสามารถจนสุดตัวก่อน เพิ่งเดินฝ่านักท่องเที่ยวมาได้ซอยเดียว ก็เจอกับพระครูญาณฯ เข้าพอดี... แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 12-05-2017 เมื่อ 03:17 |
สมาชิก 63 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ สุธรรม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#49
|
||||
|
||||
ตัวเองข้ามสะพานหนึ่ง แต่พาเพื่อนมาข้ามอีกสะพานหนึ่ง “จะไปไหนกันล่ะ ?” อาตมากับพระครูวิสุทธฯ บอกว่าจะไปโรงแรมแต่ไปไม่ถูก “ผมเพิ่งออกจากโรงแรมมานี่เอง ไปเดินดูของเป็นเพื่อนกันก่อน อย่าเพิ่งกลับโรงแรมเลย” ถามถึงคุณโอ๋ท่านบอกว่า “เพิ่งพาพวกผมชุดหนึ่งไปส่งที่โรงแรม ผมเข้าห้องพักสรงน้ำแล้ว ก็เดินกลับมานี่แหละ” แล้วแบบนี้ตูจะหาตัวเจอไหมนี่ ? นัดกันไว้แล้วไม่รอ ทิ้งกันไปเสียได้... พระครูญาณฯ ชวนยิก ๆ ให้ไปเดินดูของแต่อาตมารู้ว่าท่านจะไปเดินเหล่สาว จึงบอกความจริงว่าไข้จับจนจะเดินไม่ไหวแล้ว ช่วยพาไปโรงแรมให้หน่อยเถอะ พ่อเจ้าประคุณพอรู้สภาพของเราสองคน จึงกลับหลังหันพาไปแบบเสียไม่ได้ พระครูวิสุทธฯกับอาตมาลากขาตามไป ท่านยังอุตส่าห์ถามอีกว่า "ทำไมถึงรีบกลับ คืนนี้พระอาทิตย์ตกตั้งสามทุ่มครึ่ง ? ไปถ่ายรูปกันก่อนเถอะ โรงแรมห่างไปแค่สองบล็อกเอง เดี๋ยวค่อยไปก็ได้" ฮ่วย..ตูไร้แรงบินแล้วเว้ย นี่มันจะห้าทุ่มเมืองไทยแล้วนะ ทั้งเป็นไข้ ทั้งเจ็บสะโพกและเจ็บแผลที่เท้าพอง ทั้งเหนื่อยทั้งเพลียแบบนี้ ใครจะไปมีอารมณ์ถ่ายรูปอีกวะ ? ท่านจึงเดินนำฝ่าฝูงชนไปข้างหน้า... เดินไปสองช่วงตึกแล้ว พระครูวิสุทธฯถามว่า "โรงแรมอยู่ด้านไหนกันแน่ ? ไหนว่าเดินแค่สองบล็อก นี่ก็เกินสองบล็อกแล้วนะ.." ท่านตอบหน้าตาเฉยว่า "ข้างหน้านี่แหละ.." เออ..ดีเหมือนกัน รู้สึกเหมือนคนตาบอดขี่ม้าตาบอดอย่างไรก็ไม่รู้ ? เดินตาม "ม้าตาบอด" ไปอีกพักหนึ่ง เห็นสะพานอีกอันหนึ่ง พระครูญาณฯ พาเดินข้ามไปทันที อาตมาถามแบบไม่แน่ใจว่า “เฮ้ย..ข้ามตรงนี้แน่หรือ ?" คำตอบก็คือ "แน่ซิ..เมื่อกี้ผมก็ข้ามไป แต่เป็นสะพานทางด้านโน้น.." |
สมาชิก 61 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ สุธรรม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#50
|
||||
|
||||
โรงแรมอัส - โต - รี - อา (ถ่ายตอนเช้ามืดวันรุ่งขึ้น) อีแบบนี้ไม่ใช่สองช่วงตึกอย่างที่ท่านว่าแล้ว หากแต่เป็นสองช่วงถนนมากกว่า ท่านพาเดินเลาะแม่น้ำที่ไหลแรงมากไปทางซ้าย เดินได้ไม่ไกลนักก็เลี้ยวขวาเข้าซอย "คนตาบอด" ทั้งสองเดินตามไปแต่โดยดี แต่..ไม่ค่อยดีตรงที่ว่าเมื่อมาถึงถนนอีกสายหนึ่ง ท่านเจ้าอาวาสวัดยางกลับออกท่าลังเล มองซ้ายมองขวาอย่างไม่แน่ใจ... "ใครยกโรงแรมหนีไปแล้วใช่ไหม ?" พระครูวิสุทธฯถามขึ้น "ไอ้คนสวิสนี่ไว้ใจไม่ได้เลยนะ ออกมาหน่อยเดียวดันยกโรงแรมหนีไปซะนี่.." เออ..มัวแต่ตลกฝืดกันอยู่นั่นแหละ อาตมาเห็นตรงป้ายรถเมล์ มีคุณลุง ๑ คน กับคุณป้า ๒ คนนั่งรอรถเมล์อยู่ จึงบอกพรรคพวกให้รอสักครู่ ขอถามเจ้าถิ่นให้แน่ใจก่อนดีกว่า ว่าแล้วก็ตรงเข้าไปหา "คุณลุงคุณป้า" ทั้งสามคนพลางถามขึ้น... "Hello, do you tell me, where's the Astoria Hotel ?" "As - to - ri - a - Hotel ? " คุณป้าที่นั่งกลางถามซ้ำ อาตมาออกเสียงว่า "แอสโทเรีย" แต่คุณป้าออกเสียงว่า "อัส – โต – รี - อา" ซึ่งก็คือกันนั่นแหละ จึงเซย์เยสเพื่อยืนยัน คราวนี้สองคุณป้าแย่งกันบอกทางว่า ให้ข้ามถนนเดินไปอีกหนึ่งซอย แล้วเลี้ยวซ้ายเดินไปจนสุดซอย จะไปถึงถนนอีกสายหนึ่ง โรงแรม "อัสโตรีอา" จะอยู่ตรงข้างไฟแดงของฝั่งตรงข้ามโน่น... แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 14-05-2017 เมื่อ 15:21 |
สมาชิก 67 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ สุธรรม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#51
|
||||
|
||||
ประตูหมุนแบบนี้แหละที่ "แขกอินเดีย" แย่งกันเข้า พระครูญาณฯ พาพระครูวิสุทธฯ เดินนำไปหลายวาแล้ว อาตมารีบเดินตามไป บอกข้อมูลตามที่ได้รับมา ท่านเจ้าอาวาสวัดยางบอกว่า "มาถึงตรงนี้จำทางได้แล้ว ไม่ต้องถามเขาก็ได้.." เออ..ตูผิดเองที่ไม่เชื่อ “ม้าตาบอด” ลากขาตามท่านไปแต่ก็คอยดูว่า ถ้าท่านออกนอกทางเมื่อไรอาตมาจะเดินไปตามที่ "คุณลุงคุณป้า" ทั้งสามคนบอกมาเอง... เมื่อสุดซอยก็เป็นถนนอีกสายหนึ่ง พระครูญาณฯ ชี้ให้ดูธงของโรงแรมที่ตั้งอยู่ตรงข้างสี่แยก ทางด้านที่พวกเรายืนอยู่เป็นทางรถเมล์ ซึ่งแต่ละคันวิ่งแรงเหลือใจ สี่แยกนี้มีไฟสำหรับคนข้ามถนน จึงต้องรอจนกระทั่งไฟเขียวแล้วรีบเดินข้ามไป ตรงประตูหมุนของโรงแรมมีแขกอินเดียกลุ่มใหญ่ กำลังลากกระเป๋าเข้าประตูหมุนกันแบบทุลักทุเล... อาตมากับพระครูญาณฯ ยืนรอว่าเมื่อไรเขาจะให้พระเข้าเสียที แต่ทุกคนก็ทำเหมือนกับไม่เห็น พอประตูหมุนมาจะรีบลากกระเป๋าเข้าไปยืนทันที ปกติประตูแบบนี้จะเดินตามกันได้ประมาณ ๒ - ๓ คน แต่เมื่อกระเป๋าใบใหญ่มหึมาบวกกับคนตัวเล็กกว่าควายนิดเดียว แค่เข้าไปคนเดียวก็ยังยาก พวกเราจึงได้แต่ยืนรอให้คนหมดก่อน ซึ่งยังเหลือกันอีกเป็นสิบ..! |
สมาชิก 62 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ สุธรรม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#52
|
||||
|
||||
เป็นโรงแรมสวิสที่มีทางเดินลายสก็อต ฮ่า..! "ทำไมเขาไม่เข้าประตูนี้วะ ?" พระครูวิสุทธฯว่า พลางดึงประตูข้างออกแล้วเดินเข้าไปทันที อาตมากับพระครูญาณฯ เดินตามเข้าไปอีกคน บรรดา "แขก" พอเห็นเช่นนั้น เพิ่งรู้ว่าตัวเองฉลาดพอกันกับอาตมา จึงเลิกฉลาดในการ "เข้าตามประตู" หันมา "เข้าตามตรอก" ทันที อาตมาถามพระครูญาณฯ ว่า "ล็อบบี้อยู่ชั้นไหน?" ท่านบอกว่าชั้น ๒ เอ..ฟังดูแปลก ๆ อยู่นะ..? พระครูญาณฯ พาเข้าลิฟท์ เสียบบัตรแล้วกดหมายเลข ๖... "เฮ้ย..นั่นคุณจะไปไหน ?" "ไปห้องผมนะซิ..!" "ไปทำไมวะ ? ผมจะไปขอกุญแจห้องที่ล็อบบี้" "กุญแจอยู่ที่น้องโอเล่ เขาเอาติดตัวไปด้วย ไปพักผ่อนสรงน้ำที่ห้องผมก่อน รอให้ทางคณะเขากลับมาค่อยไปที่ห้องตัวเอง.." เวรกรรม..เจอระบบการคิดที่ไม่เหมือนกันแบบนี้ ขืนคิดมากก็ปวดหัวตายห่..! พระครูวิสุทธฯ ยิ้มให้อาตมาแบบจนปัญญากับเพื่อนคนนี้ ออกจากลิฟท์แล้วเลี้ยวซ้าย ทางเดินปูพรมลายพร้อยสีเหมือนผ้าขาวม้า เป็นโรงแรมสวิสที่มีทางเดินลายสก็อต ฮ่า..! มาถึงตรงทางเดินหน้าห้องก็เห็นกระเป๋าเดินทางวางอยู่เป็นตับ กระเป๋าของอาตมาวางอยู่คู่กับของหลวงพ่อพระครูเรืองตรงประตูห้อง ๑๖๐๔ มองดูขนาดแล้วเหมือนปู่ยืนคู่กับหลาน พระครูญาณฯ ตรงไปยังห้อง ๑๖๑๓ เสียบบัตรแล้วเปิดประตูห้องให้... แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 14-05-2017 เมื่อ 15:21 |
สมาชิก 63 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ สุธรรม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#53
|
||||
|
||||
ลิฟท์ที่นี่ต้องเสียบบัตรกุญแจของแต่ละห้องถึงจะยอมทำงาน "เชิญตามสบายครับ จะสรงน้ำก่อนหรือจะนอนพักก็ได้ นึกว่าเป็นห้องของตัวเองก็แล้วกัน" ขอบคุณเป็นอันขาดครับ ถ้ามีโอกาสจะเนรคุณ..! อาตมาตรงเข้าห้องน้ำ ปัสสาวะแล้วหยิบแก้วรองน้ำร้อนจากก๊อก กรอกอั๊ก ๆ เข้าไปสองแก้ว จากนั้นออกมาบอกกับพระครูญาณฯ ว่า... "ขอยืมบัตรกุญแจหน่อยครับ ผมจะไปขอกุญแจสำรองที่ล็อบบี้" เหตุที่ต้องยืมบัตรเพราะว่า ลิฟท์ที่นี่จะทำงานก็ต่อเมื่อลูกค้าของทางโรงแรม เสียบบัตรกุญแจที่มีหมายเลขห้องของตนเท่านั้น พระครูวิสุทธฯ ที่นั่งหมดอาลัยตายอยากบอกว่า "ช่วยขอให้ผมด้วยครับ" แต่ท่านทำท่าเหมือนกับว่า ให้เอารถขุดมาก็ตักท่านออกจากเก้าอี้ไม่ได้ อาตมาถามว่าของท่านห้องหมายเลขอะไร ? ท่านจึงจำใจลากสังขารออกมาข้างนอก ดูกระเป๋าของตัวเอง แล้วตะโกนบอกว่า "๑๖๐๓ อยู่ติดกันเลย"... อาตมาลงลิฟท์ไปถึงชั้นสอง เห็นแต่ห้องพักเป็นตับ พอดีพนักงานชายหน้าตาเหมือนชาวบังกลาเทศเดินมา จึงถามว่า "Where's the lobby ?" หนุ่มหน้าแขกโค้งพลางผายมือไปทางบันไดเล็กด้านข้าง อาตมาเดินลงไปจึงเห็นว่า ล็อบบี้ที่เหมือนกับชั้นลอยอยู่ตรงนี้เอง... |
สมาชิก 62 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ สุธรรม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#54
|
||||
|
||||
ได้เข้าห้องพักของตัวเองซะที..! มีพนักงานสาวสวยอยู่สองคน อาตมาบอกกับคนที่นั่งอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ว่า "ฉันมากับคณะของรีเจนซี่ทัวร์ แยกกับคณะไปซื้อของ กลับมาไม่เจอมัคคุเทศก์แล้ว จะขอกุญแจสำรองจากคุณได้ไหม ?” "ของท่านพักห้องหมายเลขอะไรคะ ?" "๑๖๐๔ ของเพื่อนเป็น ๑๖๐๓ ถ้าเธอมีรายชื่ออยู่ให้ตรวจสอบดูได้ ฉันชื่อพระครูธรรมธรเล็ก ชื่ออยู่ลำดับที่ ๙" น้องหนูสวยอวบอั๋นหยิบรายชื่อออกมาปึกเบ้อเริ่ม ดึงเอาแผ่นของ Regency Travel & Education ออกมา อาตมาชี้ให้ดูรายชื่อของตนและพระครูวิสุทธฯ "กรุณารอสักครู่นะคะ" เธอหยิบแผ่นการ์ดมา ๒ ใบ เอาเสียบเข้าไปที่เครื่องตรงหน้า กดบันทึกข้อมูลอย่างคล่องแคล่ว ภายในไม่ถึงนาทีก็ส่งมาให้ "แผ่นไหนเป็นของห้อง ๑๖๐๔ ?" อาตมาถาม... เธอยิ้มแบบขออภัยที่บกพร่อง แล้วหยิบแผ่นพับสำหรับสอดการ์ดออกมา เขียนหมายเลขห้องลงไป แล้วเสียบการ์ดส่งมาให้ อาตมารับมาแล้วบอกขอบคุณด้วยความรู้สึกดี ๆ เต็มหัวใจ เรียกลิฟท์กลับขึ้นชั้น ๖ ไปเคาะประตูห้องส่งการ์ดให้พระครูวิสุทธฯ คืนของพระครูญาณฯ ให้กับเจ้าของ บอกขอบคุณอย่างแรง แล้วรีบจรลีไปเปิดห้อง ๑๖๐๔ ขนกระเป๋าทั้งปู่ทั้งหลานเข้าไปแบบด่วนจี๋... แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 15-05-2017 เมื่อ 02:43 |
สมาชิก 60 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ สุธรรม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#55
|
||||
|
||||
รูปจากชั้นลอยที่มองลงไปชั้นล่างได้ โดดเข้าห้องน้ำ เปิดน้ำแบบไม่ต้องบิดหัวก๊อกไปข้างไหน เพราะว่าต้องการแค่อุณหภูมิปกติ น้ำไหลซู่ลงมาพาให้สดชื่น จัดการ "ลอกคราบ" ตัวเองออกไปหนึ่งชั้น เช็ดตัวผลัดผ้าแบบรีบด่วน เพราะนึกขึ้นมาได้ว่า ที่หน้าห้องมีแต่กระเป๋าที่ฝากใต้ท้องรถเท่านั้น คุณโอเล่เอากระเป๋าใบอื่น ๆ ไปฝากไว้ที่ล็อบบี้ ห่มผ้าแล้วจึงกลับลงไปที่ล็อบบี้อีกครั้ง สาวสวยทั้งสองกำลังวุ่นวายกับการแจกห้องให้กับบรรดา "แขก" อินเดียยังไม่เสร็จ อาตมาตรงเข้าไปหา "หนูอวบ" คนเดิม... "ขอโทษนะ...ฉันขอรับกระเป๋าที่ฝากเอาไว้ เป็นหมายเลข ๙ และมีกระเป๋าผ้าไม่มีหมายเลขพร้อมกับถุงของฝากอีก ๑ ใบด้วย" "ขอเวลาสองนาทีนะคะ" เธอยกหูโทรศัพท์เพื่อติดต่อสอบถาม อาตมาหมุนตัวเดินออกมา จะได้ไม่เกะกะหน้าเคาน์เตอร์ เพิ่งถ่ายรูปจากชั้นลอยได้รูปเดียว เธอก็ลุกก้าวฉับ ๆ ตรงไปยังประตูที่อยู่ไม่ไกลมากนัก เสียบบัตรเปิดประตูเข้าไป เห็นกระเป๋ากองพะเนินอยู่บนรถเข็นข้างในห้องนั้น อาตมาตรงเข้าไปช่วย "หนูอวบ" ยกกระเป๋าที่ซ้อนกันลงมา หยิบกระเป๋าหมายเลข ๙ มาก่อน ยังดีที่อยู่ค่อนไปด้านบน ไม่อย่างนั้น ตุ๊กตาทั้งหมูทั้งหมาคงแบนเป็นหมูปิ้งหมาปิ้งไปหมดแล้ว จากนั้นค้นหากระเป๋าอีกใบ เจอเสื้อกันหนาวที่ให้หลวงพ่อพระครูเรืองยืมด้วย จึงดึงมาพาดแขนเอาไว้... "หนูอวบ" ยกกระเป๋าออกมาจนเกือบจะใบสุดท้าย จึงเห็นกระเป๋าอีกใบนอนรออยู่ข้างใต้ พออาตมาออกแรงดึงหูกระเป๋าก็ขาดติดมือออกมาด้วย..! "หนูอวบ" ทำท่าตกใจที่เห็นหูกระเป๋าขาด อาตมาลากกระเป๋าออกมานอกห้อง บอกเธอว่า "No problem, thank you for your kindness" เธอยิ้มเขิน ๆ จัดการปิดประตูตามหลัง ขณะที่อาตมาหอบกระเป๋าขึ้นลิฟท์กลับห้องตัวเอง จัดการเปลี่ยนผ้าที่นุ่งมา ๖ วันเข้าไปแล้ว พับผ้าเก่าใส่ถุงพลาสติก เอาถุงเท้าเก่าม้วนใส่ถุงพลาสติกใบเล็กอีกใบ ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวจะพาบรรยากาศในกระเป๋าเสียหมด ยกกระเป๋ารถเข็นเทของข้างในออกมาจนหมด เอาผ้าเก่าใส่ลงก้นกระเป๋า กั้นด้วยถุงพลาสติกอีก ๑ ชั้น แล้วจึงจัดของใหม่ลงไป กำลัง "ข่มขืน" เพื่อใส่ของลงไปให้หมด ก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น... แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 15-05-2017 เมื่อ 02:53 |
สมาชิก 62 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ สุธรรม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#56
|
||||
|
||||
ไม่ได้ฉันยามานาน เจอทีก็อิ่มไปเลย..! (ภาพจากอินเตอร์เน็ต) เปิดออกมาเจอหลวงพ่อพระครูเรืองยืนหน้าเหี่ยวอยู่ บอกว่า "ผมยังหาเสื้อของหลวงพ่อไม่เจอเลย โอเล่กำลังโทรถามมาร์โกว่าเอาลงครบไหม ?" อาตมารีบบอกให้ท่านคลายใจว่า "ผมเอามาแล้วครับ" ท่านค่อยทำท่าโล่งใจมาก "ผมนึกว่าหายซะแล้ว ยิ่งของแพง ๆ อยู่ด้วย"... ท่านหันไปตะโกนว่า "โอเล่..ได้เสื้อคืนแล้วนะ ไม่ต้องหาแล้ว หลวงพ่อเล็กท่านไปเอามาก่อนพวกเราอีก" สาวโอเล่ที่หอบบรรดา "ปานะ" มาถามว่า "ยังขาดอะไรหรือเปล่าคะ ?" อาตมาบอกเสียงจมูกบี้ว่า "ขอยาแก้ไข้ แก้ปวด แก้อักเสบ ถ้ามีเข็มก็ขอด้วยจ้ะ" เมื่อเห็นอาการของอาตมาย่ำแย่ไม่เบา เธอจึงฝาก "ปานะ" ทั้งหมดเอาไว้ที่ห้องเลย แล้วรีบไปเอากระเป๋ายามา เปิดขวดเทเอายาแก้แพ้ ๑ เม็ด ยาแก้ปวดลดไข้ ๒ เม็ดมาให้ แต่ไม่มีเข็มที่อาตมาจะใช้เจาะรอยพองที่เท้า "มีเท่าไรก็เอาเท่านั้น ขอบคุณมากจ้ะ ขอหมายเลขห้องของพระครูปลัดปรีชาด้วย" ที่แท้ก็เป็นห้อง ๑๖๑๘ อยู่เยื้องกันที่ฝั่งตรงข้ามนี่เอง... |
สมาชิก 53 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ สุธรรม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#57
|
||||
|
||||
สาวภูเก็ตกับเพื่อนมาถวายสังฆทาน (ภาพฝีมือ ดร.วันชัย) โยนยาเข้าปาก ตามด้วยน้ำร้อน ๒ แก้ว แล้วไปเคาะประตูห้อง ๑๖๑๘ ท่านไพฑูรย์เป็นคนมาเปิด พระครูปรีชาที่นอนอยู่รีบเลิกผ้าห่มลุกขึ้นมาถามความประสงค์ "ขอยืมมีดพับที่คุณเพิ่งซื้อมาหน่อยครับ ผมจะเจาะรอยพองที่รองเท้ากัด" ท่านรีบค้นเอามีดพับ Victorinox มาส่งให้ อาตมาเปิดเอากรรไกรจิ๋วออกมา ตัดรอยพองขณะที่ท่านส่งกระดาษซับให้ อาตมากดแผลรีดเอาน้ำออกมาจนหมด บอกขอบคุณและขออภัยที่รบกวน แล้วกลับออกมา... เห็นท่านอาจารย์คณบดีกับพระครูกุ้ยไฮ้ กำลัง ยถาฯ สัพพีฯ อยู่ตรงสุดทางเดิน มีญาติโยมสองคนนั่งรับพรอยู่ หนึ่งในนั้นคือคุณจุรีพรสาวภูเก็ต น่าจะเลิกงานแล้วจึงตามมาถวายน้ำปานะ อาตมาไม่ชอบรู้จักคนมาก ๆ เพราะขี้เกียจไปยุ่งกับกรรมของใคร จึงเดินเลยกลับห้อง ไปจัดการ "ข่มขืน" กระเป๋าจนสำเร็จ..! ยกกระเป๋าวางไว้หัวนอน เอาตุ๊กตาและของฝากทั้งหมดใส่รวมกันในกระเป๋าใบที่ใช้ประจำ แล้วปิดเครื่องโน้ตบุ๊ก ใส่อังสะกันหนาว ลากผ้าห่มลงไปกองกับพื้น แล้วส่งใจไปกราบพระ หลับไปในเวลาอันรวดเร็ว... |
สมาชิก 50 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ สุธรรม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน ) | |
|
|