|
อีหรอบเดียวกัน อีหรอบเดียวกัน โดยพระครูวิลาศกาญจนธรรม (หลวงพ่อเล็ก สุธมฺมปญฺโญ) |
|
คำสั่งเพิ่มเติม |
#21
|
||||
|
||||
จานที่สองมีให้แค่นี้ ถ้าไม่กินจานแรกก็ช่วยไม่ได้ มีใครเป็นเหมือนผมบ้างไหม ? หลวงพ่อพระครูสันติฯ ปรารภขึ้นกลางวง ไม่ว่าจะไปกินอะไรที่ไหนก็ตาม ถ้าเขาไม่ลืมที่ผมสั่ง ก็จะได้อาหารมาไม่ครบ...เป็นแบบนี้บ่อยมากเลย เรื่องนี้ขึ้นอยู่กับเวรกรรมของแต่ละคน ถ้าสร้างวีรกรรมมาในแนวนี้ ถึงเวลาก็ต้องเจอแบบนี้ อาตมาเองก็ใช้ของใหม่ไม่ได้ ถึงตั้งใจซื้อใหม่มาแค่ไม่กี่วันก็ต้องชำรุดมีตำหนิ แม้แต่ผ้าจีวรใหม่ที่เพิ่งจะซักครั้งแรก ยังต้องขาดทุกชุด เพราะว่าในอดีตเคยทำ ทาสทาน ไว้ แล้วมาส่งผลให้ในปัจจุบันนี้... กว่าสะเต๊กปลาแซลมอนจะมาถึงหลวงพ่อพระครูสันติฯ อาตมาก็กวาดของตนเองหมดเรียบ เช็ดจานด้วยขนมปังซึ่งสมัยเป็นนักเรียนทหารฝึกการกินอาหารฝรั่ง ครูฝึกบอกว่าเป็นการกระทำที่ไร้มารยาทสุด ๆ เมื่อขนมปังหายลงท้องไปแล้ว Cup cake ที่โรยผงช็อกโกแล็ตมาด้วยก็ถูกวางลงตรงหน้า แม้ว่าอาตมาจะไม่ชอบของขมพวกนี้แต่ก็กินตามสิทธิ์ แค่สามคำก็หมดเกลี้ยง อิ่มจนรู้สึกแน่นมาก แต่ท่านอื่นที่ไม่แตะพาสต้า คงจะไส้กิ่วอย่างแน่นอน เพราะว่าปลาแซลมอนชิ้นเล็กนิดเดียว... เห็นขวดน้ำแร่เปล่าดูสวยงามและแข็งแรงดีมาก อาตมาที่จบภารกิจแล้วจึงหยิบเอาขวดเปล่าไปเติมน้ำในห้องน้ำ กะว่าจะเอาติดตัวไปด้วย ที่ไหนได้...เดินมาถึงหน้าประตูตึก นายบริกรขอคืนไปซะนี่ บอกว่าถ้าต้องการขวดคิดเพิ่มอีก ๒ ยูโร..! ถ้าแพงขนาดนี้ก็เอาของเอ็งคืนไปเถอะ เดินตามคณะของเราออกมา ข้ามทางม้าลายไปยังทางเท้าริมทะเลสาบ... |
สมาชิก 76 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ สุธรรม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#22
|
||||
|
||||
ถ่ายรูปกับเรือด่วนของ "เขยไทย" นี่คือทะเลสาบโคโม (Lake Como) นะครับ เป็นทะเลสาบที่ใหญ่มาก กินพื้นที่ถึงสองประเทศ คือสวิตเซอร์แลนด์และอิตาลี ถึงแม้ว่าสวิสจะไม่มีทางออกทะเล แต่มีทะเลสาบใหญ่ ๆ แบบนี้แทบจะทั่วประเทศ ที่คู่ขนานกับทะเลสาบโคโมก็คือ ทะเลสาบแม็กจิออเร่ (Lake Maggiore) แล้วยังมีทะเลสาบเจนีวา (Lake Geneva) ที่กั้นระหว่างฝรั่งเศสกับสวิตเซอร์แลนด์ ซึ่งทางฝรั่งเศสเรียกว่าทะเลสาบเลอมัง (Lac Leman) มัคคุเทศก์รูปหล่อทำหน้าที่อย่างไม่บกพร่อง ขณะที่คุณโอเล่ซึ่งปกติจะรั้งท้าย วันนี้กลับวิ่งไปถ่ายรูปอยู่ด้านหน้าสุด... บรรดาชาวเมืองโคโมตลอดจนนักท่องเที่ยวที่เดินสวนมา ต่างก็มองคณะของเราเป็นตาเดียว บ้างก็เดินหลบลงไปบนถนน เพราะทางเท้าโดนพวกเราทั้งคณะยึดไปแล้ว บ้างก็ถ่ายคลิปวิดีโอด้วยโทรศัพท์มือถือ เมื่อเดินพ้นแนวรั้วตาข่ายไป ก็เป็นรั้วเหล็กเตี้ย ๆ สูงเลยเข่ามาหน่อยเดียว แถวนี้มีเรือจอดอยู่หลายสิบลำ ทั้งเรือด่วน (Speed boat) และเรือสำราญ (Yacht) ขนาดเล็ก ดูสภาพน้ำที่มีฟองแล้ว น่าจะไม่ค่อยจะสะอาดนัก.... สวัสดีครับ ฝรั่งหนวดเครารุงรัง ถอดเสื้อตากแดดตัวแดง โผล่จากเรือด่วนลำหนึ่งมายกมือไหว้ มัคคุเทศก์รูปหล่อปฏิสันถารด้วย แล้วหันมาบอกกับพวกเราว่า นายคนนี้มีเมียคนไทยครับ บอกว่าถ้าพวกเราเช่าเรือท่องทะเลสาบ เขาจะคิดราคาพิเศษในฐานะที่เป็นเขยไทย ฮ่า..ถ้าเป็นเขยไทยจริงต้องฟรีซีเว้ย..! พวกเราไม่มีใครอยากจะนั่งเรือด่วนกินลมชมวิว จึงขอถ่ายรูปกับเรือของเขาแทน นายฝรั่งน้ำพริกก็อนุญาตให้ขึ้นไปถ่ายรูปบนเรือของเขาได้แบบใจกว้าง... |
สมาชิก 75 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ สุธรรม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#23
|
||||
|
||||
วิธีจัดการกับความวุ่นวายของคณะที่ได้ผลดีมาก นึกไม่ถึงว่าการถ่ายรูปของพวกเรา Go so big เกินกว่าที่นายฝรั่งน้ำพริกจะคาดไว้ เพราะว่านอกจากบรรดาเพื่อนฝูงจะปีนขึ้นไปถ่ายรูปบนเรือของแกแล้ว ยังลามไปถึงเรือลำอื่น ๆ รอบข้างอีกด้วย ใครเห็นว่าลำไหนสวยก็ตะกายขึ้นไปถ่ายรูปบนลำนั้น ท่านอาจารย์ ดร.วันชัย เซลฟี ตัวเองด้วยกล้องอันใหญ่เบ้อเริ่มอย่างที่ไม่น่าจะทำได้ บางท่านก็เดินไปโพสท์ท่าบนสะพานเทียบเรือ จนคุณโอ๋ต้องตะโกนเตือนว่า ระวังตกน้ำนะครับ... ทุกอย่างวุ่นวายอยู่พักหนึ่ง จนท่านอาจารย์ ดร.พิเชฐ ซึ่งถ่ายวิดีโออยู่ ตะโกนนิมนต์ให้มาถ่ายรูปหมู่ด้วยกัน นับว่าใช้วิชาการจัดการความเสี่ยง (Risk Management) อย่างได้ผล จีวรสีเหลืองอร่ามที่ผลุบโผล่เป็นนินจาอยู่บนเรือต่าง ๆ ตลอดจนท่าเรือและริมน้ำ มารวมตัวกันครบ ๒๒ รูปเป็นครั้งที่ ๒ ในการเดินทางครั้งนี้ จึงกลายเป็นภาระหน้าที่ของ ๒ ท่านอาจารย์ ๒ มัคคุเทศก์ และ ๑ รถเข็นประจำคณะ ที่หอบกล้องกันคนละหลาย ๆ ตัว เพื่อถ่ายรูปตามที่ทุกคนร้องขอ แต่งานนี้ท่านประธานรุ่น มหาประโยค ๙ ของรุ่น และใบฎีกาวรัญญู โดนบังจนแทบมิดไปพร้อมกับเรือของนายฝรั่งน้ำพริก... เสร็จจากการถ่ายรูปหมู่แล้ว มัคคุเทศก์รูปหล่อแจ้งกับพวกเราว่า ตอนนี้บ่ายโมงครึ่งกว่านิดหน่อย ผมจะให้เวลาพระอาจารย์ทุกท่านเดินเที่ยวกันเองประมาณ ๑ ชั่วโมง เวลาบ่ายสองครึ่งเราไปพบกันที่บริเวณที่จอดรถครั้งแรก ตรงข้างวงเวียนใกล้กับสถานีรถรางไฟฟ้านะครับ ยังไม่ทันจะชี้แจงจบ บรรดาลูกทัวร์ที่แสนดีก็เหลืออยู่ไม่ถึงครึ่งแล้ว อาตมาเดินข้ามถนนไปยังฝั่งตรงข้ามกับทะเลสาบ ซึ่งมี รถเมล์ยูโร จอดอยู่ในซอยข้างสวนสาธารณะคันหนึ่ง ที่ป้ายรถเขียนว่า "CHIASSO"... |
สมาชิก 72 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ สุธรรม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#24
|
||||
|
||||
โบสถ์ใหญ่แห่งเมืองโคโม (ภาพจากอินเตอร์เน็ต) จากจุดนี้มองกลับไปทางทะเลสาบ จะเห็นน้ำสีฟ้าใสและบ้านพักตากอากาศที่อยู่บนเนินเขารอบบริเวณเต็มไปหมด บ้านสีเหลือง สีส้ม ตัดกับต้นไม้สีเขียวดูโดดเด่น “ทะเลสาบนี้มีพื้นที่ถึง ๑๔๖ ตารางกิโลเมตร อยู่ต่ำกว่าระดับน้ำทะเลปานกลางถึง ๒๐๐ เมตร เป็นที่พักตากอากาศเก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งของยุโรป ผู้มีอำนาจและพ่อค้าที่ร่ำรวยนิยมมาพักผ่อนที่นี่กันตั้งแต่ยุคโรมันเรืองอำนาจโน่นเลยครับ” “ลุง” เอ๊ย.. “ท่านนายพล” กลายเป็นมัคคุเทศก์ไร้ใบอนุญาตไปอีกคนหนึ่งแล้ว... เลาะไปทางขวาที่เป็นสวนสาธารณะไม่ใหญ่นัก ลักษณะเป็นแค่สวนหย่อมหน้าลานตึก แต่ก็ปลูกไม้ดอกสีแดงขาว ชมพู ดูละลานตา มีต้นไม้ยืนต้นที่อาตมาไม่รู้จักแทรกอยู่เป็นระยะ มีทั้งชาวบ้านที่นั่งคุยกันบนม้านั่งในสวนและบรรดานักท่องเที่ยวที่กำลังถ่ายรูปอยู่ด้วย อาตมาเก็บภาพแล้วเลี้ยวซ้ายมือตามคนที่ค่อนข้างมาก เข้าไปในซอยที่ขนาบด้วยตึกสภาพเก่า ๆ ดูสวยขรึมขลังทีเดียว... ผ่านร้านอาหารและร้านขายของที่ระลึกหลายร้าน มาถึงลานกว้างแห่งหนึ่ง มีโบสถ์ฝรั่งขนาดใหญ่ตั้งอยู่ด้านหนึ่ง อีกด้านหนึ่งของลานเป็นร้านกาแฟกลางแจ้ง มีลูกค้านั่งอาบแดดจิบกาแฟกันอยู่หลายโต๊ะ ตัวโบสถ์นั้นแบ่งออกเป็นสามช่วง ทางซ้ายมือสุดเหมือนกับเป็นหอคอยสี่เหลี่ยม มีนาฬิกาขนาดใหญ่ติดอยู่ด้วย ตัวหอคอยดูเก่าแก่ผิดไปจากส่วนอื่น ช่วงกลางเป็นอาคารสองชั้น ชั้นล่างเป็นซุ้มโค้งสี่ซุ้มต่อกันเหมือนกับเป็นระเบียงคด ด้านบนระเบียงเป็นอาคารที่พักสามห้องมีหลังคาคลุมอยู่ด้านบน ซึ่งอาคารช่วงนี้เชื่อมระหว่างหอคอยกับตัวโบสถ์... แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 13-03-2017 เมื่อ 17:15 |
สมาชิก 69 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ สุธรรม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#25
|
||||
|
||||
แท่นบูชางดงามอลังการ (ภาพจากอินเตอร์เน็ต) ตัวโบสถ์แบ่งออกเป็นสามช่วง เป็นประตูโค้งซ้ายขวาและประตูโค้งขนาดใหญ่ตรงกลาง บนซุ้มเหนือประตูใหญ่และด้านริมโบสถ์ที่เป็นซุ้มแถวยาวในแนวดิ่ง มีรูปแกะสลักเต็มองค์บรรดานักบุญของศาสนาคริสต์อยู่มากมาย ตรงกลางเหนือซุ้มนักบุญขึ้นไปเป็นหน้าต่างหรือช่องรับแสงทรงกลมขนาดมหึมา ซึ่งเท่าที่เคยเห็นมาจะเป็นหน้าต่างประดับกระจกสีตามยุคสมัยฟื้นฟูศิลปวิทยา ด้านบนสุดเป็นซุ้มหอคอยเหมือนยอดปราสาทซินเดอเรลล่าอยู่ ๕ ยอดด้วยกัน ส่วนอื่นมองไม่เห็นเพราะโบสถ์หลังใหญ่จนเกินไป ไม่นึกว่าสวิตเซอร์แลนด์จะมีโบสถ์ที่สวยงามและใหญ่โตขนาดนี้... ขออภัยครับท่าน เมืองโคโม่นี้ยังเป็นของแคว้นลอมบาร์ดี ประเทศอิตาลีอยู่นะครับ เจอ ท่านนายพล ทักท้วงเข้าเล่นเอาอาตมามึนตึ๊บ แล้วไอ้ด่านตรวจร่วมกันของสองประเทศนั่นแปลว่าอะไรวะ ? แปลว่าทั้งสองประเทศทำงานร่วมกันเพื่อแบ่งปันข้อมูลกันครับ แล้ว ลุง ทะลึ่งมาทำไมในเมื่อยังเป็นประเทศอิตาลีของ ท่านผู้นำ อยู่เลย ? เพราะว่าผมขยันครับ เอ๊ย..ผิดหยุด..พูดใหม่ เพราะว่าผมได้รับคำสั่งให้มาต้อนรับท่านตั้งแต่ตรงนี้ครับ ความจริง ท่านผู้นำ ยังต้องมาด้วยกัน แต่ ไอ้นั่น อู้ครับท่าน อ้าว..แล้วตูจะไปตามเตะ ไอ้ตัวอู้ ได้ที่ไหนละนี่ ? อาตมาพยายามหามุมถ่ายรูปเท่าไรก็ไม่ได้อย่างใจ เพราะว่าตัวโบสถ์ใหญ่เหลือเกิน ในที่สุดก็ถ่ายเอาแค่ที่พอจะหามุมได้ ส่วนภาพที่สวยกว่านี้คงต้องรอกลับวัดก่อน แล้วค่อยไปค้นหาเอาจากในอินเตอร์เน็ต... เดินเข้าไปทาง ประตูเล็ก ขวามือที่สูงท่วมหัว แม่เจ้าโว้ย...อะไรจะมหึมามโหฬารขนาดนี้ ภายในใหญ่โตเกือบเท่าสนามฟุตบอลมาตรฐานโลก ประกอบด้วยเสาหินอ่อน แฝดสี่ ขนาดมหึมาสูงลิบลิ่ว เสาแต่ละต้นมีรูปสลักหินอ่อนของบรรดานักบุญประดับอยู่ ซุ้มโค้งบนหลังคาเป็นลวดลายสีฟ้าสดสลับทอง บริเวณโดมใหญ่เป็นช่องกระจกรับแสงนับสิบช่องรอบทิศทาง ทำให้ภายในสว่างไสวทั้งที่ไม่ได้เปิดไฟ ผนังตรงกลางด้านในสุดเป็นแท่นบูชาหินอ่อนประดับลวดลายงดงามสุดอลังการ บนแท่นมีเชิงเทียนทำด้วยเงินขนาดมหึมาเรียงรายอยู่ ๖ ต้น ตรงกลางเป็นรูปสลักพระคริสต์บนไม้กางเขนที่น่าจะเป็นทองคำ เมื่อเปรียบกับเชิงเทียนแล้วดูแล้วเล็กไปถนัดใจ... |
สมาชิก 69 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ สุธรรม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#26
|
||||
|
||||
เห็นแล้วสะท้อนใจว่าของเราทำได้ไม่ประทับใจอย่างของเขา ที่พื้นมีม้านั่งไม้เงาวับอยู่หลายแถว น่าจะรับคนได้หลายร้อย แต่เมื่อเปรียบเทียบกับตัวโบสถ์แล้ว กลายเป็น ธุลี เล็ก ๆ ในจักรวาล ข่มคนที่นั่งอยู่จนตัวลีบเหลือนิดเดียว สองข้างตามช่องระหว่างเสาหินอ่อนมหึมานั้น มี พรม แบบแขวนผนังที่ทอเป็นลวดลาย ประวัติคริสตศาสนา แต่ละแผ่นดูเก่าแก่งดงามมาก เมื่อหันหลังกลับมาด้านทางเข้า ก็เห็นช่องรับแสงทรงกลมขนาดมหึมา ประดับกระจกสีงดงามจริงดังคาด ด้านบนและสองข้างช่องรับแสงเป็นซุ้มหินอ่อนตื้น ๆ สลักรูปนักบุญหรือกษัตริย์ก็ไม่รู้ ด้านใต้ลงมายังมีซุ้มลึกแกะสลักรูปนักบุญและกษัตริย์งดงามดังมีชีวิต เรียงรายลงมาจนเป็นซุ้มโค้งบนประตูใหญ่ที่อยู่ตรงกลาง... ถ่ายรูปไปสะท้อนใจไปด้วย ศาสนสถานของเขาแต่ละแห่ง งดงามอลังการจนแทบไม่น่าเชื่อ ของบ้านเราสร้างตามศรัทธาชาวบ้าน วัดไหนที่มีเจ้าอาวาสเก่ง มีวิสัยทัศน์ ก็ทำได้ใหญ่โตแต่ก็ไม่มีความงดงามประทับใจแบบของเขา อาตมาเดินกลับออกมาข้างนอก ตรงไปยังซอยหน้าโบสถ์ ท่านจะไม่ไปดูด้านหลังโบสถ์สักหน่อยหรือครับ มัคคุเทศก์ไร้สังกัดถาม อาตมาไม่รู้ว่าจะไปทำอะไร ด้านหลังเป็นยอดโดมสวยงามทีเดียวครับ แล้วมีที่ให้พอถ่ายรูปได้หรือเปล่า ? น่าจะไม่พอครับ เออ...ถ้าอย่างนั้นก็ไม่ไปหรอก โบสถ์มหึมาขนาดนี้ เดินจนขาลากแล้วถ่ายรูปไม่ได้ ก็ไม่รู้ว่าจะไปทำไมให้เมื่อย... เดินไปจนสุดซอยแล้วเลี้ยวขวา ทางด้านนี้มีร้านขายหนังสือ ถัดไปเป็นร้านขายผลไม้ ที่มีพริกหวานลูกเท่ากำปั้น มะละกอ และมะเขือเทศที่ผิวเป็นลอนอย่างกับลูกโพธิ์ลังกา สุดตึกแถวเป็นร้านขายดอกไม้ที่มีดอกไม้หน้าตาแปลก ๆ ซึ่งอาตมาไม่รู้จัก เมื่อเห็นอาตมาไปยืนดูดอกไม้ หนุ่มเจ้าของร้านก็ถามว่ามาจากอังกฤษหรือเปล่า ? "No" ถ้าอย่างนั้นก็ฝรั่งเศส ? ไม่ใช่โว้ย...หน้าตาตูเป็นฝรั่งมากเลยหรือ ? วัดไทยแห่งแรกในยุโรปอยู่ที่อังกฤษครับ คนแถวนี้จึงคิดว่าท่านมาจากที่นั่น เมื่อ ท่านนายพล เฉลยอาตมาจึงถึงบางอ้อ ลืมวัดป่าจิตวิเวกของหลวงพ่อเจ้าคุณสุเมโธที่อังกฤษไปเลย มิน่าล่ะ...มีแต่คนถามแบบนี้อยู่เรื่อย... |
สมาชิก 71 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ สุธรรม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#27
|
||||
|
||||
รูปปั้นที่บอกไม่ถูกว่าตั้งใจสื่อถึงเรื่องอะไร เดินออกมาอีกหน่อยก็เจอท่านอาจารย์ ดร.พิเชฐ และท่านอาจารย์ ดร.วันชัยที่กำลังเข็นรถให้พระครูด็อกเตอร์ มีใบฎีกาวรัญญูตามอยู่ห่าง ๆ เมื่อเดินไปทันกัน ใบฎีกาวรัญญูถามว่า "เห็นอาจารย์เข้าไปในโบสถ์ ข้างในเป็นอย่างไรบ้างครับ ?" อาตมาตอบว่าโคตรอลังการเลย ควรอย่างยิ่งที่จะเข้าไปดู เผื่อมีแรงบันดาลใจกลับไปทำอะไรที่วัดของตนเองบ้าง แล้วขอตัวเดินวนกลับไปทางสวนหย่อมหน้าลานตึกแถว เลาะขวาฝั่งตรงข้ามกับทะเลสาบกลับไปด้านจุดนัดพบ... ทางด้านนี้มีตึกที่ปลูกต้นไม้ประเภทตีนตุ๊กแก เลื้อยจนเต็มผนังตึกทั้งสามชั้น ตัดช่องเอาไว้เฉพาะประตูหน้าต่างเท่านั้น ถัดไปเป็นรั้วที่เหมือนคอนกรีตแต่ก็เหมือนสกัดมาจากหินแกรนิต เป็นลวดลายงดงามน่าทึ่ง แถมยังมีพวกมอส ตะไคร่ ขึ้นเขียวบอกถึงความเก่าแก่คร่ำคร่าด้วย ถัดไปเป็นเหมือนกับสนามหญ้าในบ้าน แต่ก็เหมือนกับสวนสาธารณะเล็ก ๆ อยู่ข้างลานจอดรถของอาคารหลังใหญ่ มีรูปปั้นม้ากับชายหญิงคู่หนึ่ง ซึ่งอาตมาดูไม่ออกว่าตั้งใจสื่อถึงอะไร แต่มือฝ่ายชายดูอยู่ผิดที่ผิดทางพิกล ถ้าเป็นคนจริง ๆ น่าจะโดนตบไปแล้ว..! เสียงฝีเท้าวิ่งกรูเกรียวตามหลังมาไม่น้อยกว่า ๔ คู่ พร้อมกับเสียงใส ๆ ตะโกนเรียก "Hey guy, wait a minute." หันกลับมาเจอสามหนุ่มสามสาววัยรุ่น ท่าทางน่าจะเป็นนักเรียน อีหนูหน้าตกกระลายพร้อยรี่เข้ามาถามอย่างกระตือรือร้นว่า "Whereโโฌโขre you from ?" คงไม่ใช่มาขอสัมภาษณ์เพื่อเอาไปทำการบ้านส่งครูนะ "I come from Thailand in Southeast Asia." ที่ต้องบอกละเอียดเพราะฝรั่งหลายคนมักจะคิดว่า Thailand คือ Taiwan... แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 27-10-2024 เมื่อ 15:53 |
สมาชิก 66 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ สุธรรม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#28
|
||||
|
||||
พระครูชินฯ กับท่านไพฑูรย์ที่ป้ายรถเมล์เมืองโคโม Yehh..! ทั้งกลุ่มเฮลั่นขณะที่ไอ้หนูเสื้อเชิร์ตลายทางทำท่าเข่าอ่อนจะเป็นลม เมื่อถามว่าเรื่องอะไรกัน อีหนูหน้าลายบอกว่าทายกันว่าอาตมาต้องเป็นพระไทย แต่เพื่อนชายบอกว่าเป็นพระจีน เลยพนันกันว่าใครผิดต้องเป็นเจ้ามือเลี้ยงไอศกรีมเพื่อนทั้งกลุ่ม เออ...สมน้ำหน้าเอ็งที่ประสบการณ์น้อยกว่าผู้หญิง ไปควักกระเป๋าเลี้ยงเขาซะดี ๆ..! เห็นพรรคพวกทั้งหิ้วปีกทั้งดันหลังไปแล้ว จะสงสารดีหรือเปล่าก็ไม่รู้ ? ค่าขนมทั้งอาทิตย์ของเอ็งคงติดลบแน่ ๆ... พระครูวิลาศฯ สนุกอะไรกับเด็ก ๆ เสียงเฮดังมาถึงนี่ พระครูชินฯ ซึ่งนั่งเต๊ะจุ๊ยอยู่ที่ป้ายรถเมล์ ให้พระครูโจช่วยถ่ายรูปให้ถามขึ้น อาตมาเล่าเรื่องให้ฟังพร้อมกับขอถ่ายรูปท่านไปด้วย ท่านไพฑูรย์รีบเดินมาเข้าเฟรมบ้าง เสร็จแล้วก็อาศัยป้ายรถเมล์นั่นแหละ เป็นที่นั่งรอรถของพวกเรา คุยสัพเพเหระได้พักหนึ่ง พรรคพวกก็ทยอยกันเดินกลับมา อาตมาเริ่มรู้สึกร้อนจึงถอดอังสะกันหนาวออก พอดีนายสันโดษนำรถมาถึง เพิ่งจอดลงคุณตำรวจจราจรรูปหล่อก็เดินมาเตือน ว่าตรงนี้เป็นมุมเลี้ยว ให้เลื่อนขึ้นหน้าไปจอดไกลอีกหน่อย... อาตมาขึ้นรถไปหยิบขวดน้ำที่เสียบไว้หลังเบาะมาเปิดดื่มจนเกลี้ยง เห็นมีก๊อกน้ำสาธารณะที่ไหลโจ๊กอยู่ข้างแปลงดอกกุหลาบ จึงถือขวดเปล่าจะลงไปเติมน้ำ ใบฎีกาวรัญญูฝากให้ช่วยเติมด้วย กำลังรองน้ำอยู่ก็มีนกกระจอก (Sparrow) ตัวเมียรักสะอาด บินลงมาจุ่มตัวลงบนพื้นที่เปียกน้ำ สะบัดไปมาพลางไซ้ขนทำความสะอาด ถ้าถามว่าทำไมถึงรู้ว่าเป็นตัวเมีย ? ก็ต้องบอกว่าอาตมากินมาเยอะแล้ว นกกระจอกที่นี่หน้าตาเหมือนกับบ้านเราทุกประการ ไม่มีอะไรแตกต่างกันเลย... |
สมาชิก 64 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ สุธรรม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#29
|
||||
|
||||
อาบน้ำแบบไม่ดูฟ้าดูดินเลย ต่างประเทศโดยเฉพาะในยุโรปและอเมริกา มีกฎหมายห้ามทารุณสัตว์ จึงทำให้เจ้านกกระจอกไม่ได้เกรงใจอาตมาเลย ตั้งหน้าตั้งตาอาบน้ำจนอาตมากรอกน้ำเสร็จ ขนาดหยิบกล้องมาจ่อหน้าถ่ายรูป อีกฝ่ายก็ยังคงอาบน้ำต่อไปแบบสบายใจมาก “พระครูวิลาศฯ รถจะออกแล้วค่ะ” เสียงของ “หญิงใหญ่” ตะโกนเรียก จนอาตมาต้องเลิกยุ่งกับชีวิต “กระจอก” เผ่นขึ้นรถก่อนที่จะโดนทิ้งเอาไว้แถวนี้... นายสันโดษนำรถวิ่งออกจากเมืองไปอีกด้านหนึ่ง ซึ่งตรงกันข้ามกับที่เราเข้าเมืองมา ต้องวิ่งลอดใต้สะพานที่ค่อนข้างเตี้ย แถมมุมเลี้ยวยังแคบมาก รถเล็กที่สวนมาต้องหยุดก่อนเพื่อให้รถของเรามีวงเลี้ยว ขนาดนั้นยังเกือบจะไปจิ้มกับรถเมล์โดยสารที่อยู่ในเลนสวนมา ทางด้านนี้ผ่านภูเขาที่มีบ้านพักอยู่เยอะแยะ ดูสภาพแล้วราคาน่าจะแพงหูดับเลย... “บ้านบนภูเขาของที่นี่ ราคาถูกกว่าข้างล่างครับ เหตุเพราะว่าขึ้นลงลำบาก” เสียงของ “ท่านนายพล” บรรยายแทรกเข้ามา “เรากำลังจะพ้นเขตประเทศอิตาลีแล้วนะครับ ด้านหน้านั่นเป็นประเทศสวิตเซอร์แลนด์แล้ว” เห็นว่าบ้านเมืองก็ยังคงเหมือน ๆ กัน แล้วเขาแบ่งเขตกันตรงไหนวะ ? “ท่านนายพล” ชี้ให้ดูป้ายคร่อมกลางถนนเหนือหัวที่เขียนว่า “Como” แล้วมีเส้นขวางขีดฆ่าไปเลย แปลว่าเลยจากนี่ไปไม่ใช่เมืองโคโมแล้ว บอกกันง่ายดีนะ แต่ถ้าไม่ใช่คนแถวนี้จะดูออกไหมนี่ ? แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 16-03-2017 เมื่อ 02:56 |
สมาชิก 66 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ สุธรรม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#30
|
||||
|
||||
ด่านตรวจคนเข้าเมืองเล็กแค่นี้เอง บ้านเรือนแถวนี้ส่วนมากเป็นตึกสูงแค่ ๒ – ๓ ชั้น ที่สูงถึง ๔ – ๕ ชั้นหายากมาก วิ่งเลยป้ายบอกเขตไปแล้ว ก็มีด่านตรวจคนเข้าเมืองที่ไม่น่าจะเป็นด่าน เพราะว่าเล็กพอ ๆ กับตู้เก็บเงินทางด่วนบ้านเรา แล้วเขาตรวจสอบกันอีท่าไหนวะ ? “สวิตเซอร์แลนด์ใช้ความก้าวหน้าของเทคโนโลยีให้เป็นประโยชน์ครับ แทบทุกอย่างควบคุมด้วยสมองกล จึงไม่จำเป็นต้องใช้สถานที่กว้างขวางหรือผู้คนมากมายในการทำงาน” ได้ยิน “ท่านนายพล” อธิบายแล้วรู้สึกอิจฉาบ้านเขามาก บ้านเราเหมือนกับกลัวว่าจะทุจริตไม่ได้ จึงประดังเอาลูกท่านหลานเธอบรรจุเข้าไป ทั้งที่ทำงานกันเป็นหรือเปล่าก็ไม่รู้ ? มัคคุเทศก์รูปหล่อหอบเอกสารลงไปที่ด่านตรวจ ใช้เวลาไม่ถึงห้านาทีก็กลับขึ้นมาบนรถ ให้สัญญาณนายสันโดษออกรถได้ เทคโนโลยีก็ดีแบบนี้เอง ทำอะไรก็ “ไวปานกามนิตหนุ่ม” แต่ก็ต้องอาศัยคนที่ซื่อสัตย์ต่อหน้าที่ด้วย “คนสวิสได้ชื่อว่าซื่อสัตย์ที่สุดในโลกครับท่าน กองทหารพิทักษ์นครวาติกันใช้แต่ทหารจากสวิสเท่านั้นครับ และที่น่าภูมิใจสำหรับท่านก็คือ คนสวิสชอบคนไทยมากที่สุดครับ หนุ่ม ๆ สวิสเกินครึ่งใฝ่ฝันว่าจะได้เมียคนไทย” ถ้าอย่างนั้นก็เอาสาวสวิสหุ่นอึ๋ม ๆ ไปขอแลกได้เลย เชื่อว่าหนุ่มไทยเกินครึ่งน่าจะยอมแลกเหมือนกัน ถ้า..ยังมีชีวิตรอดมาจนได้ไปอยู่กับสาวสวิสนะ..! พาหนะคันเก่งของเราวิ่งมาจนถึงวงเวียน นายสันโดษนำวนขวาออกไปตามป้ายที่เขียนว่า Lugano ลอดใต้สะพานแล้วเลียบลำห้วยที่ใสสะอาดจนน่าโดดน้ำเล่น ตรงไปอีกหน่อยน่าจะเป็นเขตชุมชน เพราะว่ามีแผงกันเสียงสูงท่วมหัว จัดเป็นแผงที่เอื้อเฟื้อมาก เพราะว่าเป็นแผ่นอะครีริกใสให้มองเห็นป่าเขาอีกฝั่งหนึ่งได้ด้วย บางช่วงมีไร่องุ่นอยู่บนเนินเขา ที่บ้านของอาตมาเคยปลูกองุ่นมาก่อน ใช้วิธีทำร้านให้ต้นองุ่นเลื้อย แต่ที่นี่ปลูกบนค้างที่เหมือนกับค้างถั่วฝักยาวของบ้านเรา คือตั้งขึ้นไปตรง ๆ ไม่รู้ว่าให้ผลผลิตดีเหมือนกันหรือเปล่า ? |
สมาชิก 62 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ สุธรรม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#31
|
||||
|
||||
บนเนินเขามีบ้าน "ราคาถูก" อยู่ไม่น้อยเลย ถนนบางช่วงคร่อมผ่านทางรถไฟรางคู่ ที่ตั้งแต่สมัยล้นเกล้าฯ ร.๕ มาจนป่านนี้ของบ้านเราก็ยังไม่ได้พัฒนาไปไหน ถึงก็ช่าง ไม่ถึงก็ช่าง ล้าหลังเป็นไดโนเสาร์ยุคจูราสสิกปาร์ก ขณะที่ทั่วโลกเขาไปกันไกลจนเกือบจะถึงต่างดาวกันแล้ว วิ่งเลยไปอีกครู่ใหญ่ก็ต้องมุดใต้ถนนที่วิ่งอยู่บนหัวของเราบ้าง ดูแล้วสงสัยเหมือนกันว่าเขามีถนนกี่ระดับกันแน่ ? ทะเลสาบสีฟ้าเข้มปรากฏขึ้นตรงหน้า พอรถของเราวิ่งขึ้นสะพานที่เป็นมุมสูง ทุกคนก็ยื่นกล้องถ่ายรูปทะเลสาบแสนสวยกันอุตลุด จนทิวเขาบังมุมไปค่อยกลับเข้าที่นั่งของใครของมัน ครู่ต่อมาทะเลสาบก็โผล่มาอีก เดี๋ยวอยู่ข้างซ้าย เดี๋ยวย้ายไปข้างขวา แสดงว่าใหญ่มหึมาสมดังที่ ท่านนายพล ให้ข้อมูลเอาไว้จริง ๆ สวิสเข้มงวดกับการรักษาคุณภาพของสิ่งแวดล้อมมาก จนได้ชื่อว่ามีแหล่งน้ำที่สะอาดที่สุดในโลกทีเดียวครับ ดูจากความใสของน้ำ อาตมาก็เชื่อ ท่านนายพล จนหมดใจไปแล้ว... รถวิ่งเข้าอุโมงค์ยาวเหยียด น่าจะไม่ต่ำกว่า ๓ ๔ กิโลเมตร โผล่ออกมาอีกฝั่งหนึ่งก็เห็นอาคารบ้านเรือน ราคาถูก ที่เกาะอยู่ตามลาดเขา ถ้าเป็นบ้านเราคงจะราคาแพงหูดับ แต่ที่นี่คนเขาเกี่ยงเรื่องการขึ้นลงลำบาก สาธารณูปโภคก็ไม่สะดวกเท่าพื้นราบ จึงทำให้ราคาที่พักข้างล่างแพงกว่าบนเขา ดูกลับหัวกลับหางกับความนิยมของบ้านเราอยู่พิกล วิ่งผ่านป้ายบอกทางที่มีชื่อสถานที่ว่า Lugano Sud, Melide, Bissone, Morcote, Campione ซึ่งอาตมาไม่คุ้นเคยแม้แต่ชื่อเดียว ผ่านกำแพงกันเสียงสูงท่วมหัวเข้าไปในเมืองที่การจราจรไม่ค่อยจะพลุกพล่านนัก... |
สมาชิก 64 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ สุธรรม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#32
|
||||
|
||||
ไม่ทันสนใจอนุสาวรีย์เพราะรีบไปเข้าห้องน้ำ พลขับหน้าตายนำพาหนะมาจอดข้างทะเลสาบ เห็นที่ป้ายจอดเขียนว่า Tourist Max 5 Min. แปลว่าถ้าลงช้ามีหวังโดนปรับหูตูบ จึงต้องลงรถกันอย่างไวเลย “พระอาจารย์ทุกท่านสามารถไปเข้าห้องน้ำที่ร้านขายนาฬิกาได้นะครับ เรามีเวลาชมทะเลสาบและหาซื้อนาฬิกาสวิสแท้ ๆ ประมาณ ๔๐ นาที แล้วต้องวิ่งออกนอกเส้นทางเพื่อไปยังวัดไทยอีกครับ” มัคคุเทศก์รูปหล่อบอกให้รู้ว่าเรามาจอดทำไม พลางชี้ไปที่ตัวตึกหกชั้นซึ่งมีตัวหนังสือมหึมาอยู่บนขอบตึกว่า BUCHERER... อาตมาเดินตามพรรคพวกตรงไปที่ตัวตึกทันที มีรูปหล่อสัมฤทธิ์ครึ่งตัวลักษณะเป็นอนุสาวรีย์อยู่บริเวณหน้าตึก เพิ่งถ่ายรูปไว้แต่ยังไม่ทันที่จะดูให้ถนัดว่าเป็นรูปของใคร อาตมาก็เหลือบเห็นป้าย WC พร้อมลูกศรเล็ก ๆ ชี้ไปทางซ้ายมือ จึงหันขวับเดินไปแบบเร็วจี๋ องปลัดตะโกนถามว่า “จะไปไหน ?” อาตมาบอกว่ามีห้องน้ำอยู่ทางนี้ เดินไปประมาณหนึ่งช่วงตึก มีโบสถ์ฝรั่งอยู่ตรงหน้า ลูกศรชี้ไปทางขวามือ เมื่อเลี้ยวตามไปก็เห็นประตูที่มีอักษร WC อยู่ที่มุมตึก... มุดเข้าประตูไปแล้วต้องประทับใจอย่างยิ่ง เพราะห้องน้ำเป็นสเตนเลสทั้งห้อง ประตูหนักอึ้งทีเดียว กำลังปัสสาวะอยู่เสียงองปลัดก็นินทาอยู่หน้าห้องแบบไม่เกรงใจว่า “พระครูวิลาศฯ แกตามกลิ่นห้องน้ำได้จริง ๆ ว่ะ มาถึงแบบไวโคตรเลย” โง่จนไม่รู้ว่าเครื่องหมาย WC มีไว้ทำอะไรแล้วยังจะมานินทาอีก อุตส่าห์เสี่ยงชีวิตเพื่อเพื่อนฝูงแล้วนะ ถ้าเขาวางระเบิดไว้ตูต้องตายเป็นคนแรกเลยนะเว้ย..! แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 17-03-2017 เมื่อ 13:11 |
สมาชิก 62 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ สุธรรม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#33
|
||||
|
||||
ราคาต่ำสุดเรือนละเกือบห้าแสนบาท..! ออกจากห้องน้ำโดยทิ้งเพื่อนฝูงปากไม่สร้างสรรค์เอาไว้ ถ้ากลับไม่ถูกก็ปล่อยหลงซะให้เข็ด เมื่อเดินมาถึงอาคาร BUCHERER ถึงได้รู้ว่าร้านนี้มหึมากว่าที่คิด เพราะว่าตึกแถวที่อยู่ติดกันก็เป็นของร้านนี้ด้วย ร้านขายเนื้อ (Bucher) แค่นี้ทำไมต้องใช้พื้นที่มากนัก ? “ร้าน BUCHERER เป็นร้านนาฬิกาที่มีสาขามากที่สุดในสวิตเซอร์แลนด์ครับ เน้นขายเฉพาะยี่ห้อดัง ๆ ที่มีราคาสูงตั้งแต่หลายหมื่น หลายแสน ไปจนถึงหลายล้านบาทเลยครับ” มัคคุเทศก์เถื่อนทำหน้าที่โดยไม่ได้ดูสักนิด ว่าอาตมามีปัญญาซื้อหรือเปล่า ? ไม่ได้ใช้นาฬิกามาเป็นสิบปีแล้ว อาตมาจึงไม่อยากเข้าไปข้างในให้เสียเวลา เดินส่องเอาจากห้องกระจกที่เขาวางโชว์ไว้ก็ได้ เห็นนาฬิกายี่ห้อมงกุฎทองที่บ้านเรานิยมกันนักหนาวางอยู่เป็นตับ ราคาต่ำสุดเรือนละ ๑๒,๔๐๐ ยูโร ก็แค่เกือบห้าแสนบาทเท่านั้น คุณค่าของนาฬิกาอยู่ที่การบอกเวลา ในสายตาของอาตมาแล้ว นาฬิกามิกกี้เมาส์ราคา ๒๕๐ บาท ก็ใช้งานได้ดีไม่แพ้ของมียี่ห้อเรือนละหลายแสน นี่ย่อมไม่ใช่ทัศนคติ “องุ่นเปรี้ยว” แต่เป็นความจริงที่ปฏิเสธมิได้... มีห้องกระจกโชว์เครื่องประดับจำพวกเพชรพลอยด้วย ไม่ต้องสงสัยว่าราคาจะแพงหูดับขนาดไหน แต่การออกแบบดูดีมีรสนิยมทีเดียว ห้องถัดไปเป็นกระเป๋ายี่ห้อดังที่ลงท้ายด้วยคำว่า “ติ๊งต๊อง” อะไรประมาณนั้น ในสายตาคนไร้รสนิยมอย่างอาตมา เห็นว่าถุงผ้าราคาหลักสิบ หรือว่ากล่องพลาสติกน่าจะใช้งานได้หลากหลายกว่า ในเมื่อไม่ได้มีเงินไว้ผลาญเล่น ซ้ำยังไม่ได้มีรสนิยมบ้ายี่ห้อแบบคนอื่นเขา อาตมาจึงข้ามถนนไปชมความงามของทะเลสาบดีกว่า... |
สมาชิก 63 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ สุธรรม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#34
|
||||
|
||||
เห็นรูปนี้ "ออกสื่อ" เจ้าตัวคงกรี๊ดแน่..! คนขับรถแถวนี้มารยาทดีมาก แค่ทำท่าจะข้ามถนนเขาก็เบรกหยุดให้แล้ว ไม่หยุดก็โดนตัดแต้มซีครับ สามครั้งขึ้นไปโดนยึดใบขับขี่ชั่วคราว อยากได้คืนต้องไปสอบใหม่ครับ โห...โหดมากนะนี่ ที่บ้านเราขนาดข้ามทางม้าลายยังโดนชนกระเด็นเลย แสดงว่าของเราเจ๋งกว่า ฝึกให้คนข้ามถนนอย่างมีสติ รู้จักระมัดระวัง มีความรอบคอบ รวดเร็ว ถ้าฝึกสำเร็จจะข้ามถนนที่ประเทศไหนก็ปลอดภัยทุกที่ ฮ่า..ฮ่า..! ข้ามฝั่งได้ก็เดินเลาะข้างทะเลสาบ ซึ่งมีเป็ด Mallard Duck อยู่หลายตัว ทั้งที่นอนอยู่ริมฝั่งและว่ายน้ำหากินอยู่ แต่น่าสงสารที่เป็นตัวผู้ล้วน ๆ เพราะมีแต่หัวเขียว ๆ ทั้งนั้น สงสัยว่าที่นี่จะเป็นเมืองเป็ดพ่อหม้าย หน้าตาก็เหมือนเป็ดตัวผู้บ้านเราทุกประการ ไม่รู้ว่ารสชาติจะเหมือนกันหรือเปล่า ? เจอพระครูโจเดินถ่ายรูปอยู่ริมน้ำ จึงขอให้ท่านช่วยถ่ายรูปอาตมากับทะเลสาบให้ด้วย เพราะว่า ท่านนายพล ถ่ายรูปไม่เป็น เอ๊ย..ช่วยถ่ายรูปให้ไม่ได้... ขอบคุณท่านเลขานุการเจ้าคณะจังหวัดกาญจนบุรีแล้ว จะเดินต่อก็กลัวว่าไปไกลจนกลับไม่ทัน จึงนั่งลงบนม้ายาวริมน้ำ เขียนบันทึกประจำวันรอเพื่อน ๆ ส่วนหนึ่งที่ยังไม่ออกจากร้าน BUCHERER กำลังบันทึกเพลิน ๆ เหลือบไปเห็นคุณโอเล่กำลังนั่งคุกเข่าข้างเดียว ตั้งอกตั้งใจถ่ายรูปของอาตมาอยู่ จึงส่งกล้องให้ช่วยถ่ายเผื่อด้วย พอโดนกวนเข้าเลยหมดอารมณ์บันทึก ลุกขึ้นจะหามุมสวย ๆ ถ่ายรูป เจออาจารย์ตู๋นั่งอยู่ที่ม้ายาวอีกตัวหนึ่ง จึงบอกให้หันมาจะถ่ายรูปให้ อีกฝ่ายทำปากยื่นเป็นแม่ไก่ คงไม่คิดว่ารูปนี้จะได้ออกสื่อละมั้ง ? |
สมาชิก 63 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ สุธรรม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#35
|
||||
|
||||
ยี่สิบยูโรเพิ่มความหล่อได้เยอะทีเดียว มัคคุเทศก์รูปหล่อตะโกนนิมนต์ทุกรูปมารวมกันเพื่อเช็คยอด เมื่อเห็นว่าครบแล้วก็โทรศัพท์เรียกนายสันโดษนำรถมารับ ทุกคนขึ้นรถแบบมือเปล่ากันทั้งนั้น ยกเว้นท่านอาจารย์ ดร.พิเชฐที่มีหมวกทรงขอทานครอบหัวขึ้นมาด้วย บอกว่าราคาแค่ ๒๐ ยูโร เลยซื้อเอาไว้ใช้งาน แล้วขอไมค์จากคุณโอ๋ประกาศว่า "คณะของเรามายุโรปได้ ก็ด้วยความกรุณาของท่านเจ้าคุณอาจารย์พระเทพกิตติโมลี (ทองสูรย์ สุริยโชโต, ดร.) เจ้าอาวาสวัดศรีนครินทรวราราม ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ที่ออกหนังสือนิมนต์ให้ เพราะฉะนั้น...จงควักกระเป๋าร่วมกันทำบุญเพื่อถวายผ้าป่าซะดี ๆ ครับ"... “คนละเท่าไร ?” อาตมายิงหมัดตรง “ไม่เกินร้อย แต่ไม่ควรน้อยกว่าห้าสิบครับ” พระครูกล้ารีบมาทำหน้าที่เลขานุการรุ่นทันที “บาทใช่ไหม ?” พระครูวิสุทธฯ ขอความชัดเจน “ฮื้อ..อยู่ยุโรปก็ต้องยูโรสิครับ เอาบาทไปทำอะไร ?” ก็ไม่บอกให้ชัด ๆ เองนี่หว่า แต่ละคนควักกระเป๋ายื่นไปให้สลอน อาตมาควักให้ ๑๐๐ ยูโร บอกว่า “สองคนรวมพระครูปลัดปรีชา” พระครูกล้ารับเงินมือเป็นระวิง นับแล้วได้ ๑,๔๙๐ ยูโร “ขาดไป ๑๐ ยูโรก็จะได้ ๑,๕๐๐ แล้ว พระครูวิลาศฯ แล้วกัน ปิดท้ายกองบุญจะได้แฟนสวย” ... อาตมาควักให้แต่โดยดี ปากก็ยังโต้กลับไปว่า “บวชอยู่ได้แฟนสวยแล้วมีประโยชน์อะไรวะ ?” ท่านอาจารย์หัวหน้าภาควิชาบอกว่า “ถ้าได้จริง ๆ แล้วไม่ได้ใช้งานก็ส่งมาทางนี้ 'เชฐยินดีรับใช้แทนครับ” เสียงฮาลั่นไปทั้งคันรถ “นิมนต์ทำวัตรเย็นครับ ทำบุญผ้าป่าเสียเงิน ทำบุญด้วยการทำวัตรไม่เสียอะไรครับ” พูดจบก็ส่งไมค์มาให้ “ใครนำ ?” อาตมาถามก่อน “ท่านอาจารย์ ดร.ทองขาวครับ” ทุกคนมีความเห็นเป็นเอกฉันท์ ท่านอาจารย์คณบดีจึงรับไมค์ไปเพื่อนำทำวัตรเย็นครั้งแรกในแผ่นดินสวิตเซอร์แลนด์แต่โดยดี... แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 19-03-2017 เมื่อ 05:11 |
สมาชิก 62 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ สุธรรม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#36
|
||||
|
||||
มีซ่อมถนนเหมือนกัน แต่รถไม่ติด เมื่อสำรวมจิตตั้งใจนมัสการพระรัตนตรัยเพื่อทำวัตรเย็น สิ่งที่เป็นผลพลอยได้ก็คือ เห็น ท่านนายพล และคณะยืนพนมมือสำรวมเป็นแถวยาวเหยียดตลอดสองฝั่งถนน ดูแล้ว พวก เยอะจริง ๆ อย่างที่ท่านคุยเอาไว้เสียด้วย แล้วนึกอย่างไรใส่ชุดขาวเป็นอุบาสกอุบาสิกากันเสียหมดแบบนั้น ? เวลาไปหาพระหาเจ้า หรือไปยังสถานที่ควรเคารพ พวกผมก็ต้องไปกันแบบ ศิษย์วัด อย่างนี้ ถ้าหากว่าอยู่ที่เทวสภาค่อยใส่กันเต็มยศครับ อ้อ..ที่แท้ก็เกี่ยวกับกาลเทศะนี่เอง... ออกนอกเมืองไปแล้ว หนทางบางช่วงเลียบลำห้วยน้ำใส บางช่วงก็ขึ้นเนินเขาซึ่งบ้างก็เป็นนา บ้างก็เป็นไร่องุ่น บางที่ก็เป็นป่าธรรมชาติไปเลย หลายช่วงต้องมุดเข้าอุโมงค์สั้นบ้าง ยาวบ้าง ตามแต่ว่าภูเขาลูกนั้นใหญ่เล็กขนาดไหน บางช่วงมีเจ้าหน้าที่กำลังซ่อมแซมทางอยู่เหมือนกัน แต่เนื่องจากออกจากเมืองมาไกลแล้ว ไม่ค่อยมีรถราวิ่งมากนัก รถจึงไม่ติดให้รำคาญใจ... อุทิศส่วนกุศลในการทำวัตรเย็นท่ามกลางเสียงสาธุการของ ท่านนายพล และคณะ ยอดเขาหิมะขาวกระจ่างตาปรากฏขึ้นตรงหน้า ทำเอาทุกคนเลิกสำรวม หันมาคว้ากล้องถ่ายรูปเป็นการใหญ่ เป้าหมายหลักของเราคือเมืองลูเซิร์น (Luzern) ของแคว้นลูเซิร์น (Luzern) นะครับ แต่ตอนนี้เราต้องวิ่งออกนอกเส้นทางไปทิศตะวันตก เพื่อไปยังเมืองโซโลทูร์น (Solothurn) ของแคว้นโซโลทูร์น (Solothurn) ซึ่งเป็นที่ตั้งของวัดไทยศรีนครินทรวราราม ทั้งสองแคว้นนี้ชื่อเมืองหลวงกับชื่อแคว้นเป็นชื่อเดียวกันครับ รับไมค์คืนจากท่านอาจารย์คณบดีมาแล้ว มัคคุเทศก์รูปหล่อก็บรรยายต่อตามหน้าที่... |
สมาชิก 61 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ สุธรรม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#37
|
||||
|
||||
"ใกล้ตาแต่ไกลตีน" ชมขุนเขา ป่าไม้ สายน้ำ ไปตามเส้นทาง ครึ่งชั่วโมงต่อมาทะเลสาบอีกแห่งก็ปรากฏอยู่ในสายตา ริมถนนด้านที่รถของเราวิ่งอยู่เป็นแอ่งต่ำลงไปมาก มีบ้านอยู่แค่ไม่กี่หลัง แต่อีกฝั่งหนึ่งของทะเลสาบที่มองเห็นลิบ ๆ อยู่นั้น มีอาคารบ้านเรือนหนาแน่น ถ้าเป็นบ้านเราก็ต้องเป็นชุมชนระดับอำเภอทีเดียว บนยอดเขาถัดจากชุมชนไปมีหิมะปกคลุมอยู่ไม่น้อย อากาศน่าจะเย็นเอาเรื่องทีเดียว เพราะได้ทั้งลมจากทะเลสาบ ได้ทั้งความเย็นจากยอดเขาหิมะเป็นสองแรงบวก... ถนนลัดเลาะไปตามขอบทะเลสาบ ผ่านอาคารชุดแห่งหนึ่ง มีป้ายว่า HOTEL พร้อมกับธงชาติสวิสที่เป็นกากบาดขาวบนพื้นแดง พื้นที่ริมทะเลสาบเริ่มแผ่กว้างออกเหมือนเป็นที่ราบลุ่ม และมีบ้านเรือนมากขึ้น แต่ส่วนมากก็สร้างชิดติดริมน้ำ ดูท่าแล้วไม่กลัวน้ำท่วมกันเลย ถัดมาเริ่มมีบ้านเรือนปลูกชิดติดถนน เป็นบ้านเดี่ยวทั้งนั้น บางหลังมีเถาตำลึงฝรั่ง (Ivy) ขึ้นคลุมไปครึ่งบ้าน... พ้นจากทะเลสาบไปแล้ว เริ่มมีนาข้าวปรากฏอยู่ตามที่ราบเนินเขา ข้าวบาร์เลย์ที่รับลมเป็นระลอกโอนไปเอนมา บางแห่งเป็นทุ่งหญ้าเลี้ยงวัว มีวัวยืนเคี้ยวเอื้องอยู่แบบทองไม่รู้ร้อน มีถนนอีกเส้นที่ขนานไปกับเส้นที่เราวิ่งอยู่ น่าจะเป็นถนนสำหรับสัญจรของชาวไร่ชาวนาโดยเฉพาะ ยอดเขาหิมะเข้ามาใกล้จนอยากจะไปกลิ้งเล่น แต่คงจะเป็นไปตามคำโบราณที่ว่า ใกล้ตาแต่ไกลตีน ถ้าจะไปจริง ๆ คงต้องเดินกันเหงื่อตกกีบเป็นแน่... |
สมาชิก 60 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ สุธรรม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#38
|
||||
|
||||
"ดอน มาร์โค" ณ สถานีบริการน้ำมัน ผ่าน “น้ำฟ้าป่าเขา” โดยไม่ได้ “มีเพียงเราสองคน” ไปอีกเกือบครึ่งชั่วโมง นายสันโดษก็นำรถเลี้ยวเข้าไปยังสถานีบริการน้ำมันขนาดใหญ่ ที่มีป้ายสีเขียวเหลืองขาวเขียนว่า Ultimate ซึ่งดูแล้วน่าจะเป็นชื่อของสถานีบริการน้ำมันแห่งนี้ มีตราสัญลักษณ์เป็นทรงกลมมีแฉก ดูเหมือนกับดอกทานตะวันขนาดใหญ่ ไล่สีสีเขียวเหลืองขาวจากนอกเข้าไปหาใน ติดอยู่ขอบบนของหลังคาสถานี รอบข้างมีรถจอดอยู่หลายสิบคัน ทั้งรถเก๋ง รถกระบะ และรถโดยสารไม่ประจำทางแบบของเรา... ด้านหนึ่งมีตัวอาคารที่ดูเหมือนร้านอาหารขนาดใหญ่ บริเวณหน้าตัวอาคารมีรถจอดอยู่แน่นทีเดียว อีกส่วนหนึ่งเหมือนกับเป็นร้านสะดวกซื้อ แต่เป็นร้านเล็กประมาณ ๑ ใน ๕ ของร้านอาหารเท่านั้น พลขับหน้าตายลงไปจัดการเติมน้ำมันเอง ตามแบบฉบับของทางยุโรปที่แทบทุกแห่งเป็นสถานีบริการตนเอง ราคาน้ำมันดีเซลวันนี้อยู่ที่ลิตรละ ๑.๗๐๐ ยูโร ประมาณ ๖๘ บาท ส่วนเบนซินอยู่ที่ ๑.๖๘๓ ยูโร เท่ากับ ๖๗.๓๒ บาท นับว่าแพงมาก... พวกเราส่วนหนึ่งลงไปเดินยืดเส้นยืดสายที่นั่งรถมานาน อาตมาถ่ายรูปนายสันโดษที่กำลังเติมน้ำมัน แล้วเดินไปถ่ายรูปป้ายบอกทาง “พระครูวิลาศฯ ช่วยถ่ายผมกับป้ายสักรูปสิ จะได้รู้ว่ามาถึงที่นี่แล้ว” หลวงพ่อพระครูสันติฯ ร้องขอ เมื่อบริการท่านเสร็จแล้ว อาตมาก็เดินออกไปยังถนนหน้าสถานีบริการน้ำมัน จัดการถ่ายรูปบริเวณด้านหน้าที่มีรั้วโปร่งเตี้ย ๆ เป็นแนวยาวไปตามถนน เหมือนกับบังคับไปในตัวว่า ถ้าจะข้ามถนนต้องไปใช้ทางแยกเท่านั้น ไม่ใช่นึกจะข้ามตรงไหนก็ได้แบบบ้านเรา ซึ่งดูแล้วน่าจะให้ความปลอดภัยแก่ทั้งคนและสัตว์ได้ดีกว่ามาก... แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 20-03-2017 เมื่อ 14:38 |
สมาชิก 60 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ สุธรรม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#39
|
||||
|
||||
ถึงแล้ว...วัดศรีนครินทรวราราม พระครูปรีชาเดินมาถ่ายรูปด้านหน้านี่เหมือนกัน จึงให้ท่านช่วยถ่ายให้อาตมา ๑ รูป เสร็จแล้วเดินกลับไปขึ้นรถ คุณโอ๋นับจำนวนครบแล้วก็ให้สัญญาณออกรถ พลขับของเราทำหน้าที่ต่อไปแบบไม่มีปากมีเสียงตามเคย สงสัยว่าเวลาอยู่บ้านเคยบ่นเคยว่าลูกเมียบ้างหรือเปล่า ? หรือว่าพูดออกมาแต่ละทีลูกเมียแตกตื่นจนต้องวิ่งไปแก้บนก็ไม่รู้ ? คนแบบนี้สมควรที่จะมีให้มาก ๆ ไว้ รับรองว่าบ้านเมืองจะสุขสงบกว่านี้ เพราะว่าไม่เคยทะเลาะเบาะแว้งกับใคร... “แคว้นโซโลทูร์นที่เรากำลังเหยียบย่างเข้าไปนี้ เป็นดินแดนเก่าแก่มาตั้งแต่สมัยโรมันยังเรืองอำนาจ ความจริงแล้วมีสถานที่สวย ๆ มากมายไม่แพ้แคว้นใด ๆ ของสวิตเซอร์แลนด์ จนได้ชื่อว่าเป็นเมืองแห่งสถาปัตยกรรมแบบบาร็อกที่สวยที่สุดของสวิสทีเดียวครับ น่าเสียดายว่าพวกเราต้องวิ่งออกนอกเมืองเพื่อไปยังวัดไทย จึงไม่ได้มีโอกาสเที่ยวชมสถาปัตยกรรมงาม ๆ อย่าง มหาวิหาร St. Ursus Cathedral และโบสถ์ Church of the Jesuits ตลอดจนหอนาฬิกาประจำเมืองที่ชื่อว่า Zeitglockzentrum ซึ่งสร้างมาหกร้อยกว่าปีแล้ว” มัคคุเทศก์รูปหล่อไม่ปล่อยให้พวกเราเงียบเหงา ยังคงทำหน้าที่ของตนอย่างคุ้มค่าคุ้มราคา... ประมาณ ๓๐ นาทีต่อมา รถของเราวิ่งเข้าไปในเขตชุมชนที่ค่อนข้างจะ “บ้านนอก” ดูได้จากอาคารบ้านเรือนที่ต่ำเตี้ยเรี่ยดิน อย่างเก่งที่สุดก็สูง ๒ – ๓ ชั้น ผ่านวงเวียนที่มีศิลปวัตถุอยู่ข้างบน หน้าตาเป็นตัวอักษรภาษาอังกฤษ “ตัวยู” เกาะเกี่ยวกับ “ตัวโอ” และอะไรอีกตัวหนึ่งที่ดูไม่ทัน เข้าไปในตัวเมืองที่ไม่ใหญ่นัก ลัดเลาะไปตามถนนที่กว้างประมาณ “สองเลน” แล้วหลุดออกไปอีกฟากหนึ่งของชุมชนที่มีแต่ทุ่งนา วิ่งไปอีกราวสิบห้านาที ก็เข้าไปในเขตชุมชนที่หน้าตาประมาณหมู่บ้านของเรา ดูเงียบสงบน่าอยู่ทีเดียว พอเลี้ยวซ้ายอีกทีก็เห็นอาคารทรงไทยหน้าตาคล้ายพระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัย แต่หลังเล็กกว่ามาก น่าจะเป็นตัวโบสถ์ มีธงสวิส ธงธรรมจักร และธงไทย ปักอยู่พลิ้วไสว... |
สมาชิก 59 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ สุธรรม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#40
|
||||
|
||||
พระประธานในห้องโถงปฏิบัติธรรมชั้นบน วิ่งจนสุดกำแพงวัดก็มีโยมผู้ชายในชุดเสื้อยืดสีขาวกางเกงยีนส์ มาโบกให้รถอ้อมไปเข้าทางประตูใหญ่อีกด้านหนึ่ง ซึ่งประตูใหญ่น้อยไปหน่อยสำหรับรถทัวร์ จึงต้องขยับอยู่สองขยัก ก่อนจะมาจอดที่หน้าอาคารยาวสองชั้นลักษณะเหมือนศาลาการเปรียญ แต่แบ่งออกเป็นหลายห้อง ดูแล้วน่าจะเป็นที่พักสำหรับญาติโยมที่มาวัดนี้มากกว่า พวกเราลงจากรถตามมัคคุเทศก์รูปหล่อไปโดยไม่ต้องบอกกล่าวให้เสียเวลา มีโยมผู้หญิงค่อนข้างมีอายุ ในชุดเสื้อยืดคอวีสีขาวแขนยาว กับกางเกงยีนส์เหมือนกัน พนมมือไหว้แล้วเชิญเข้าประตูที่มีตราสัญลักษณ์ สว. ของสมเด็จพระศรีนครินทรา บรมราชชนนี ติดอยู่ด้านบน... พวกเราส่วนหนึ่งได้แก่ หลวงพ่อพระครูเรือง พระครูญาณฯ ฯลฯ แต่งองค์ทรงเครื่องให้รัดกุมใหม่ อีกส่วนตามอาตมาที่ถามโยมผู้ชายว่า ห้องน้ำอยู่ด้านไหน ? พอทราบจุดหมายก็ตรงดิ่งเข้าไปทันที อีกส่วนหนึ่งตามโยมผู้หญิงที่นิมนต์ขึ้นไปพักผ่อนด้านบน เมื่อออกจากห้องน้ำแล้ว อาตมาก็เดินขึ้นบันไดไปชั้นบนบ้าง พอถึงชั้นสองก็เป็นที่ว่าง ทางขวามือมีชุดรับแขกที่พวกเราหลายคนลงไปเอกเขนกแก้เมื่อยกันแล้ว ถัดไปเป็นประตูที่ด้านในเป็นห้องโถงใหญ่ที่น่าจะเป็นห้องโถงสำหรับปฏิบัติธรรม มีพระพุทธชินราชจำลองเป็นประธาน พร้อมกับพระแก้วมรกต พระพุทธรูปสมัยสุโขทัย และอื่น ๆ แต่ที่ใหญ่เป้งจนแทบจะเป็นพระประธานคือ รูปหล่อสมเด็จพระพุทธชินวงศ์ (สุวรรณ สุวณฺณโชโต) อดีตเจ้าคณะใหญ่หนเหนือ และอดีตเจ้าอาวาสวัดเบญจมบพิตร ที่อาตมาคุ้นเคยดีตั้งแต่สมัยยังอยู่ที่วัดท่าซุง... อีกด้านหนึ่ง มีหุ่นขี้ผึ้งขนาดเท่าองค์จริงของ สมเด็จย่า ในชุดทรงศีลสีขาวอยู่ภายในตู้กระจก ที่เหลือเป็นรูปหลวงปู่ทวด พระพุทธรูปองค์ย่อมลงมาและตาลปัตร พวกเรากราบพระแล้ว โยมผู้หญิงเอาแก้วน้ำเย็นใส่ถาดมาถวายทุกรูป พักหนึ่งก็มีพระภิกษุ ๔ รูปออกมากราบปฏิสันถารด้วย จึงทราบว่า ท่านเจ้าคุณอาจารย์ ดร.ทองสูรย์ ติดกิจนิมนต์ ไม่ได้อยู่ต้อนรับคณะของพวกเรา แต่ก็มอบหมายให้พวกท่านอยู่ต้อนรับแทน อีกครู่หนึ่งโยมผู้ชายก็เอาแก้วน้ำส้มใส่ถาดมาประเคนทุกรูปอีก ซึ่งพวกเราก็รับมาฉลองศรัทธาด้วยความเต็มอกเต็มใจ... |
สมาชิก 58 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ สุธรรม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน ) | |
|
|