|
เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี เก็บข้อธรรมจากบ้านวิริยบารมีมาฝาก สำหรับผู้ที่ไม่มีโอกาสเดินทางไป |
|
คำสั่งเพิ่มเติม |
#21
|
||||
|
||||
ถาม : ฆราวาสที่มีอภิญญา สามารถจับวัตถุมงคลและทราบว่าสมเด็จโตเป็นผู้สร้าง และรู้ว่าสมเด็จโตในปีไหน ทำได้ไหมครับ ? แต่เพื่อนเขาแย้งว่าฆราวาสคนนั้นต้องระดับจิตเดียวกับสมเด็จโตจึงจะรู้ได้
ตอบ : โดยปกติแล้วสามารถทำได้ แต่เท่าที่เจอในปัจจุบัน ทั้งพระและฆราวาสที่อ้างว่าจับพลังได้ ส่วนใหญ่ตอแหลล้วน ๆ ..!
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 07-02-2014 เมื่อ 02:28 |
สมาชิก 227 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#22
|
||||
|
||||
ถาม : การบอกบุญเรี่ยไรซองผ้าป่า พอเก็บซองมาได้ คนเรี่ยไรบอกกรรมการว่า มีค่าใช้จ่ายเกิดขึ้น เช่น ค่าเหมารถ ค่าเดินทาง และมีการเอาไปซื้ออาหารให้คนทำบุญ และมีการหักออกจากซองที่เรี่ยไร ๓๐-๔๐ เปอร์เซ็นมาเป็นค่าใช้จ่าย ในส่วนที่เป็นบาปจะแก้กรรมอย่างไร ถ้าเอามาซื้อเหล้าด้วย ?
ตอบ : ก็ชดใช้ไปตามจำนวนนั้น แต่ว่ามีมาตรฐานคือคิดตามราคาทอง ถ้าสมมติว่าเอาเงินไปแสนหนึ่งสมัยราคาทองบาทละ ๘๐๐ บาท ก็ต้องคืนในอัตราสมัยนี้คือราคาบาทละ ๒๐,๐๐๐ บาท คือสามารถใช้เงินคืนได้แต่ต้องใช้ในอัตราปัจจุบัน
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 06-02-2014 เมื่อ 16:21 |
สมาชิก 214 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#23
|
||||
|
||||
ถาม : การคิดไม่ดีทางใจต่อพระอริยเจ้าโดยความพลั้งเผลอ ขาดสติอันเป็นกรรม การขอขมากรรมทุกวันจะหมดกรรมได้ไหมครับ ?
ตอบ : ต้องบอกว่าพระอริยเจ้าท่านไม่ได้ถือโทษโกรธใคร ฉะนั้นไม่มีกรรมกับท่านตั้งแต่แรกแล้ว แต่กรรมที่คุณล่วงเกินพระรัตนตรัยเองต่างหากละที่ให้ผลอยู่ เพราะฉะนั้น..ถ้าการขอขมาทำให้จิตเราปลดออกจากจุดนั้นเลย ก็หมดกันไป เลิกแล้วต่อกัน แต่ถ้ามัวไปคิดอยู่ว่าเราล่วงเกิน ๆ อยู่ตลอดเวลา แสดงว่าปลดไม่ได้สักที ก็จบเห่..!
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 07-02-2014 เมื่อ 02:20 |
สมาชิก 215 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#24
|
||||
|
||||
ถาม : แม่สุขภาพไม่ดี เป็นเบาหวาน ความดัน โรคหัวใจ ไม่สามารถไปวัดได้ ลูกเอาเงินของคุณแม่ไปทำบุญให้ท่านแทน โดยขออนุญาตส่วนตัวแล้ว แต่ท่านไม่ได้โมทนา ไม่ทราบว่าท่านจะได้บุญเต็มที่ไหมครับ ?
ตอบ : ถ้าท่านไม่ห้าม ท่านก็ได้อยู่แล้ว ถาม : ลูก ๆ ทำบุญ สมาทานศีล ทำกรรมฐานแล้วแผ่ส่วนกุศลให้พ่อแม่ทุกวัน แต่ท่านไม่ได้อนุโมทนา ท่านจะได้บุญที่ลูกปฏิบัติธรรมหรือไม่ ? ตอบ : ใครทำใครได้ ถ้าเป็นอย่างที่ว่ามา ต้องให้ท่านโมทนาก่อน ถาม : แผ่ให้เจ้ากรรมนายเวรของพ่อแม่ด้วย ไม่ทราบว่าเจ้ากรรมนายเวรของพ่อแม่จะได้รับหรือไม่ ถ้าแผ่ให้ไปเรื่อย ๆ เขาอโหสิกรรมให้กับพ่อแม่เราหรือไม่ อย่างไรครับ ? ตอบ : เขารับได้อยู่แล้ว ส่วนจะอโหสิหรือไม่เป็นสิทธิ์ของเขา
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 07-02-2014 เมื่อ 02:21 |
สมาชิก 209 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#25
|
||||
|
||||
ถาม : คนที่มีกรรมในเรื่องของความรัก อดีตเคยทำกรรมอะไรไว้ จะแก้กรรมได้อย่างไรดีครับ ?
ตอบ : อดีตเคยโง่เกิดมา ถ้าจะแก้กรรมตรงนี้ได้ก็ต้องไม่เกิดอีก หรือไปขออโหสิกรรมต่อกันก็ได้
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 07-02-2014 เมื่อ 02:22 |
สมาชิก 211 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#26
|
||||
|
||||
ถาม : เราเรี่ยไรบอกบุญเพื่อน ๆ ถวายพระหมดแล้ว หลังจากถวายเสร็จจะต้องอุทิศส่วนกุศลให้เจ้ากรรมนายเวรที่เขาฝากมาทำบุญด้วยหรือไม่ อุทิศให้เจ้ากรรมนายเวรของผู้ทำบุญทุก ๆ ท่านอีกครั้งหรือไม่อย่างไรครับ ?
ตอบ : ต่างคนต่างอุทิศ แต่ถ้าอุทิศให้เจ้ากรรมนายเวรที่ฝากมาทำบุญก็ไม่ต้องหรอก ถ้าเจ้ากรรมนายเวรฝากมาทำบุญแปลว่าเขาไม่ถือโทษเราหรอก ตกคำว่า "ของคนฝากที่มา"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 07-02-2014 เมื่อ 02:23 |
สมาชิก 204 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#27
|
||||
|
||||
ถาม : เวลาภาวนาพระคาถาเงินล้าน ต้องกำหนดไว้ที่จุดสิ้นสุดของลมหายใจเข้าที่หน้าอก ตามที่บอกในคู่มือภาวนาพระคาถา หรือว่าภาวนาไปพร้อมกับมีสติสูดลมหายใจเข้า – ออกครับ ? ทดลองดูทั้งสองวิธีแล้ว พบว่าวิธีแรกที่กำหนดจุด จะอึดอัดเหมือนหายใจไม่ออก ส่วนตามลมใจหาย เมื่อภาวนาไปเรื่อย ๆ เหมือนร่างกายจะระเบิดออก แต่รู้สึกถึงลมเข้าลมออกได้ รบกวนขอคำแนะนำด้วยครับ
ตอบ : ใช้คำภาวนาควบกับลมหายใจเข้าออกตามปกติธรรมดา แสดงว่าโง่จนไม่รู้ว่าลมหายใจสุดที่ไหน ลมหายใจของใครเขาสุดอยู่แค่หน้าอก ? ฉะนั้น..สมควรตายแล้วที่ไปจับลมสุดอยู่ที่หน้าอก..! ให้ภาวนาควบลมหายใจเข้าออกไปตามปกติธรรมดา ไม่ต้องไปสนใจอย่างอื่น ผลจะเกิดอย่างไรก็ช่างมัน
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 07-02-2014 เมื่อ 02:24 |
สมาชิก 215 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#28
|
||||
|
||||
ถาม : อาการโงนเงน ตัวโยกเหมือนจะหน้าทิ่มไปข้างหน้าแต่ไม่ได้หลับขณะนั่งภาวนา เกิดจากอะไรครับ มีวิธีแก้อย่างไร ?
ตอบ : เกิดจากตัวโยก ถ้าเลิกโยกก็หาย..! นั่นเป็นอาการของจิตที่เริ่มปีติ ต้องปล่อยให้ขึ้นเต็มที่ตึงตังโครมครามไปเลย แล้วจะเลิกเอง
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 07-02-2014 เมื่อ 02:25 |
สมาชิก 207 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#29
|
||||
|
||||
ถาม : มีเจ้าของตลาดอยู่ท่านหนึ่ง แจ้งร้านค้าว่าจะเปิดตลาดในวันที่ ๑๐ กุมภาพันธ์ที่จะถึงนี้ แต่เพิ่งพบว่าเป็นวันดิถีพิฆาต แต่จำเป็นต้องเปิดตลาดแล้ว เพราะแจ้งร้านค้าไปหมดแล้ว ไม่ทราบพอจะมีวิธีแก้อย่างไรครับ ?
ตอบ : กติกาที่บอกมาแล้วแก้ไม่ได้ เขาบอกว่าบอกไปหมดแล้วแก้ไขไม่ได้ แล้วจะแก้ไปทำไม ? ก็เปิดไปตามนั้นแหละ แบ่งเฉลี่ยกันไปหลาย ๆ คน หนักก็จะกลายเป็นเบาไปเอง..!
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 07-02-2014 เมื่อ 02:26 |
สมาชิก 207 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#30
|
||||
|
||||
พระอาจารย์เล่าว่า "ท่านอาจารย์ประมวล เพ็งจันทร์ เดินเท้าจากเชียงใหม่ลงไปบ้านที่เกาะสมุยโดยไม่ยอมใช้เงิน ท่านอยากรู้ว่าจะเป็นไปได้ไหม ? ปรากฏว่ามีแต่คนช่วยเหลือไปตลอดทางเลย มีแม้กระทั่งจะรับอาสาว่าจะขับรถไปส่ง แต่ท่านยืนยันว่าจะเดินเท่านั้น ให้เงินก็ไม่เอา แต่ถ้าซื้ออาหารให้จะรับ ท่านจึงสรุปว่าคนเรามีน้ำใจพร้อมจะช่วยคนอื่นทั้งนั้น เพียงแต่สังคมในเมืองทำให้ความไว้วางใจในเพื่อนมนุษย์นั้นหมดไป"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 09-02-2014 เมื่อ 03:49 |
สมาชิก 206 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#31
|
||||
|
||||
มีโยมพาลูกชายมาทำบุญ "โหงวเฮ้งสุดยอดเลยโยม ที่โบราณเขาบอกว่าสวมมงกุฎมาเกิด เขาบอกคนประเภทนี้อย่างไรก็ประสบความสำเร็จในชีวิต ไปตกอยู่ที่ไหนก็ต้องเจริญ เราลองนึกถึงว่าหมวกฮ่องเต้ของจีนจะมีลักษณะแบบทรงผมของลูกโยมนี่แหละ ใครมีลูกมีหลานโหงวเฮ้งแบบนี้ก็ไม่ต้องห่วง เอาไปโยนไว้ในดงโจรก็เป็นหัวหน้าโจรไปเอง..! นั่นไม่ใช่เขาทำผมทรงนี้นะ ผมของเขาเป็นอย่างนั้นเอง"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 09-02-2014 เมื่อ 03:50 |
สมาชิก 200 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#32
|
||||
|
||||
พระอาจารย์เล่าว่า "มีคนสงสัยว่าทำไมไม่มีใครเขียนประวัติอาจารย์เล็กบ้าง ถ้าเขารู้จักอ่านในอดีตที่ผ่านพ้นก็ประวัติดี ๆ นี่เอง แสดงว่าอ่านหนังสือไม่เป็น เลยลำดับเรื่องไม่ได้
อาตมาเกิดมาเป็นลูกเมียน้อย เพราะว่าโยมพ่อมีแม่ใหญ่อยู่ที่เมืองจีนแล้ว แต่ตอนอพยพมาเมืองไทย แม่ใหญ่ไม่ยอมตามมาด้วย โยมพ่อมาทำงานเมืองไทย ก็เลยมาแต่งงานกับแม่ที่นี่ แต่ว่าก็แอบส่งเงินแบบโพยก๊วนไปให้ทางเมืองจีนอยู่เป็นประจำ จนกระทั่งตอนหลังแม่ของอาตมาจับได้ แม่ก็เลยเป็นคนส่งเงินให้แม่ใหญ่เอง บอกกันดี ๆ ก็หมดเรื่อง ต้องหลบ ๆ ซ่อน ๆ กันด้วย คราวนี้แม่ใหญ่ท่านมีลูกอยู่ ๒ คนก็คือพี่สาวใหญ่กับพี่ชายใหญ่ พี่ชายใหญ่ตามพ่อมาเมืองไทย แต่ว่าพี่สาวใหญ่แต่งงานกับครูอยู่ที่เมืองจีน ส่วนแม่ก็มีลูกไม่มากหรอก แค่ ๑๓ คนเอง..! อาตมาจริง ๆ แล้วเป็นคนที่ ๑๐ แต่ว่ามีพี่สาวซึ่งเป็นน้องของพี่อรวรรณตายไปคนหนึ่ง ก็เลยเลื่อนขึ้นมาเป็นคนที่ ๙ โยมพ่อกับพี่ชายใหญ่มาเมืองไทยแบบเสื่อผืนหมอนใบ ก็มาหาพรรคพวกที่นครปฐม ตอนแรกก็ไปดูอยู่หลายแห่งด้วยกัน ไปถึงปากแพรกซึ่งปัจจุบันก็คือกาญจนบุรี ไปห้วยกระบอก ไปท่ามะกา แล้วก็มานครปฐม ท้ายสุดก็ไปตัดสินใจไปหักร้างถางพกอยู่บริเวณที่เรียกว่าบ้านหนองกร่าง อำเภอกำแพงแสน จังหวัดนครปฐม แต่ว่ามาตอนหลังก็ต้องโยกย้าย เพราะว่าโจรผู้ร้ายชุกชุมมาก เนื่องจากว่าอยู่ในรอยต่อของ ๓ จังหวัด ก็คือด้านหนึ่งติดอำเภอพนมทวนของกาญจนบุรี ด้านหนึ่งติดอำเภอสองพี่น้องของจังหวัดสุพรรณบุรี อีกด้านหนึ่งติดอำเภอกำแพงแสนของนครปฐม"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 09-02-2014 เมื่อ 03:53 |
สมาชิก 205 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#33
|
||||
|
||||
"โยมพ่อมาแต่งงานกับโยมแม่ โยมแม่อยู่บ้านบางลี่ อำเภอสองพี่น้อง อยู่หน้าวัดหลวงพ่อโหน่ง หักร้างถางพงใหม่ ๆ ทำอะไรกัน ? ก็ทำสวนผักกับไร่ยาสูบ สวนผักทำแค่ ๒-๓ ไร่เท่านั้น เพราะว่าหาบน้ำรดไม่ไหว ที่เหลือก็เป็นไร่ยาสูบ
คราวนี้บรรดาคนจีนที่เข้ามาเมืองไทยแบบเสื่อผืนหมอนใบ เมื่อมาถึงถ้าไม่มีพรรคพวก ไม่มีญาติพี่น้อง ก็ต้องแสวงหาคนที่พูดภาษาเดียวกัน ได้แซ่เดียวกัน เป็นญาติกันได้ยิ่งดี จะได้ไปอาศัยทำงานอยู่ด้วยกันก่อน เพราะฉะนั้น..โยมพ่อมาไม่นานก็มีพรรคพวกตามมาเป็นคนงานในไร่ยาสูบ ๔๐ กว่าคน โยมแม่ก็เลยกลายเป็นหญิงแกร่ง ถือปืนลูกซองคุมลูกน้อง สมัยก่อนปืนลูกซองหายากอย่าบอกใครเลย โยมพ่อต้องลงทุนเก็บเงินอยู่ตั้งนาน ซื้อมาในราคา ๒๐ บาท ลองไปนึกถึงสมัยก๋วยเตี๋ยว ๒ ชาม ๕ สตางค์ แล้ว ๒๐ บาทนี่แพงแค่ไหน ? เป็นลูกซองไนโตรของเยอรมัน บรรจุกระสุน ๒ นัด สวยมาก ๆ ทุกวันนี้ก็ยังเห็นว่าปืนกระบอกนั้นสวย เพราะว่าเป็นลูกซองเบอร์ ๑๒ ก็จริง แต่เขาทำได้เล็กมาก เหมือนอย่างกับตั้งใจให้ผู้หญิงใช้ คุณพ่อก็เลยมีอาวุธที่ต้องบอกว่าทันสมัยที่สุดในยุคนั้น เพราะเป็นลูกซองไนโตรของเยอรมัน ขณะที่เพื่อนบ้านใช้ปืนแก๊บบ้าง ปืนคาบศิลาตีข้างบ้าง"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย นายกระรอก : 10-06-2019 เมื่อ 22:45 |
สมาชิก 205 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#34
|
||||
|
||||
ถาม : นิมนต์ไปงานทำบุญขึ้นบ้านใหม่ค่ะ
ตอบ : ไม่ไปจ้ะ ถ้านิมนต์ต้องนิมนต์ทั้งวัดถึงจะไป ถาม : ถ้านิมนต์ทั้งวัด ? ตอบ : ไม่ไหวหรอก คงต้องเช่ารถบัสไปรับ พระตั้ง ๓๐-๔๐ รูป ถ้าไม่ใช่งานเพื่อส่วนรวม อาตมาจะไม่รับนิมนต์ เพราะงานส่วนรวมมีเยอะมาก ประเภทไปทำบุญบ้าน ไปสวดมนต์ฉันเพลอะไรไม่ไปหรอก เสียเวลา..แบบนั้นได้คนเดียวหรือได้แค่บ้านเดียว งานที่ไปส่วนใหญ่คืองานส่วนรวม คือไปที่หนึ่งแล้วเขามารวมกันเยอะ ๆ ต้องบอกว่าไม่ได้ฝืนศรัทธาโยมนะ แต่ไม่มีอารมณ์จะไปจริง ๆ ประเภทกินข้าวมื้อหนึ่งวิ่งข้าม ๓-๔ จังหวัด ถ้าโยมแก่และป่วยขนาดอาตมาก็คงไม่อยากไปหรอก
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 10-02-2014 เมื่อ 03:47 |
สมาชิก 206 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#35
|
||||
|
||||
ถาม : ปืนสับข้างนี่คืออะไรครับ ?
ตอบ : ปืนคาบศิลา ใช้หินเหล็กไฟ เขาเรียกว่าปืนตีข้าง เขาเอาหินเหล็กไฟคีบไว้กับนกปืน พอนกปืนตีลงที่หิน เกิดไฟแลบไปโดนดินปืนก็ติด จุดระเบิดให้ลูกปืนวิ่งออกไป บางทีก็ดังฟืดแล้วเงียบ เพราะดินปืนชื้น ไหม้ไม่ทั่ว
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 10-02-2014 เมื่อ 03:32 |
สมาชิก 195 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#36
|
||||
|
||||
ขนาดโยมพ่อของอาตมามีอาวุธทันสมัยขนาดนั้น พวกโจรก็ยังปล้นไม่ได้เว้นแต่ละวัน ตอนนั้นชุมโจรที่ดังที่สุด คือชุมโจรของเสือขาวที่ทะเลบก พวกเราได้ยินคงงงว่าทะเลบกมาได้อย่างไร ? ทะเลบกเป็นตำบลหนึ่ง อยู่ในเขตของอำเภอสองพี่น้อง จังหวัดสุพรรณบุรี ส่วนใหญ่ก็มาจับลูกไป แล้วก็บังคับพ่อแม่ให้หาบเสบียงไปส่งเพื่อไถ่ลูก ต้องบอกว่าโจรเขาก็รู้จักหาคนเบาแรงเขา
สมัยก่อนมีทั้งไอ้เสือปล้น ก็คือคุมคนเข้าปล้น บางทีก็ปิดทั้งหมู่บ้านเลย อย่างประเภทพวกเสือขาว เสือครึ้ม แล้วก็มีประเภทเล็ก ๆ น้อย ๆ ขโมยควาย แต่ขโมยควายบางทีจำนวนไม่น้อยนะ เล่นต้อนกันหมดคอกเลย ขโมยควาย ขโมยหมู ขโมยเป็ด โห..พวกขโมยเป็ดนี่เก่งสุดยอด เจ้าของเขาจะสานเฝือกเพื่อล้อมเป็ดไว้ตอนกลางคืน พอสาย ๆ เป็ดไข่เสร็จแล้วถึงปล่อยลงน้ำ เจ้าพวกนี้จะไปเจาะเฝือก แล้วเอากระสอบไปกางรอเลย ส่วนอีกคนหนึ่งจะไปอีกฝั่งหนึ่งเป่าหวีดไม้ระกำ เสียงเหมือนอย่างกับงูเห่าขู่ดังฟืด ๆ พวกเป็ดได้ยินคิดว่างูมา ก็เบียดกันออกไปด้านที่เขาเจาะเอาไว้ เข้ากระสอบหมด ถึงเวลามัดปากกระสอบแล้วเป็ดไม่ร้องสักตัว มีอยู่เที่ยวหนึ่งที่บ้านเลี้ยงหมู คราวนี้มีหมูตัวใหญ่ต้องเอาเชือกล่ามไว้ ขโมยก็มาขโมยหมู โยมพ่อก็ตั้งใจจะยิงสั่งสอนจึงเล็งที่โคนขา ใส่ตูมไปตายคาที่เลย..! โยมพ่อเขาใส่กระสุนผิด แทนที่จะเป็นลูก ๙ หรือลูกโดด ดันใส่ลูกปรายเข้าไป โดนเข้าไปร่วมร้อยเม็ดได้กระมัง ตายคาที่เลย บางทีก็เห็นว่าคนเราตายง่ายเหลือเกิน ปกติลูกปรายนี่ยิงสัตว์ยังไม่ค่อยจะอยู่ แต่คนโดนตูมเดียวคาที่เลย สมัยนั้นมีพวกเสือสางคอยปล้นกันอยู่เยอะ ชาวบ้านก็ต้องแสวงหาของดีไว้ป้องกันตัว หลวงปู่หลวงพ่อสมัยนั้นก็สุดยอดวิทยายุทธ์ทั้งนั้นเลย
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 10-02-2014 เมื่อ 03:36 |
สมาชิก 198 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#37
|
||||
|
||||
โยมพ่อเป็นคนจีนก็ไปตามศาลเจ้า หาเครื่องรางของขลัง ต้องบอกว่าสมัยก่อนเขาทำให้เห็นชัด ๆ เลย ศาลเจ้าพ่อกวนอูที่ใกล้บ้านของอาตมา ถึงเวลาร่างทรงเขาจะตัดลิ้นออกมาเขียนยันต์ ตัดลิ้นใช้เลือดเขียนยันต์ ประเภทหยิบลิ้นออกมาเป็นพู่กันเลย พอเขียนเสร็จสรรพเรียบร้อยก็โยนกลับไป ลิ้นก็ติดตามเดิมไม่เห็นเป็นอะไร เขาขลังขนาดนั้นก็ต้องยอมรับว่าเขาแน่จริง
ปรากฏว่าโยมพ่อไปศาลเจ้าไหนเพื่อขอเครื่องรางของขลัง เจ้าเขาบอกว่า “ลื้อไม่ต้องหรอก ลื้อมีฮุดโจ้วคอยป๋อห่ออยู่แล้ว” เขาบอกว่ามีพระคอยคุ้มครองอยู่แล้ว มาถึงตอนช่วงท้าย ๆ ที่โยมพ่อป่วยจนทำงานไม่ได้ มีอาตมาดูแลอยู่ถึงได้รู้ว่าตั้งแต่สมัยหักร้างถางพงที่หนองกร่าง โยมพ่อไปเจอพระธุดงค์เข้า ชายป่าที่ท้ายไร่ของโยมพ่อมีถ้ำใหญ่อยู่ถ้ำหนึ่ง มีงูใหญ่อาศัยอยู่ในนั้น โยมพ่อไปเห็นงูคายกระดูกสัตว์ทิ้งไว้เกลื่อนกลาดไปหมด คือพวกนี้พอกินลงไปย่อยหมดแล้วจะคายกระดูกทิ้ง ต้องบอกว่ากองพะเนินเทินทึก ท่านก็คอยระมัดระวังอยู่ ปรากฏว่าวันดีคืนดีพระธุดงค์ท่านมาปักกลดหน้าถ้ำงูใหญ่ โยมพ่อก็ไปพยายามบอกว่ามีงูใหญ่อยู่ ให้ย้ายที่ เรื่องนี้เป็นเรื่องอัศจรรย์ โยมพ่อพูดไทยไม่ได้ แต่ว่าคุยกับพระรู้เรื่อง ก็สื่อสารกันจนได้ความว่า เวลาพระปักกลดแล้วห้ามถอน โยมพ่อก็เลยต้องแบกปืนไปนอนเฝ้าพระนอน สั่นแหง็ก ๆ ด้วยความกลัว เพราะงูใหญ่เหลือเกิน อาตมาถามว่างูใหญ่แค่ไหน โยมพ่อบอกว่า เวลาเลื้อยออกมาจะตัวโตเต็มถ้ำพอดี อาตมาก็ขี้สงสัยถามต่อไปว่า แล้วถ้ำใหญ่แค่ไหน ? โยมพ่อบอกว่า เวลายืนสูงประมาณหัวพอดี โยมพ่ออาตมาไม่ใช่คนสูง เป็นผู้ชายที่เตี้ยมาก สูง ๑๕๐ กว่าซม. เอง ที่อาตมาได้ความสูงนี่ได้ของแม่มา แต่ ๑๕๐ กว่าซม. แล้วงูตัวใหญ่ท่วมหัวนี่ ต้องคิดนะว่าใหญ่แค่ไหน ท่านบอกว่าตอนดึกงูออกมา โยมพ่อบอกว่ามีปืนก็ไม่กล้าทำอะไร เท่ากับไม้จิ้มฟันชัด ๆ โยมพ่อบอกว่ามัวแต่นั่งสั่นอยู่ เห็นพระธุดงค์ท่านเปิดกลดออกไป ท่านบอกว่า พระเอาดินสาดไปกำหนึ่ง งูก็หดเข้าไปในถ้ำ แล้วพระท่านก็เอาเชือกเล็ก ๆ ไปขึงขวางปากถ้ำไว้ แล้วก็นั่งของท่านต่อ อันนี้แปลมาจากภาษาจีน อาตมาคาดว่าเป็นพวกทรายเสกกับสายสิญจน์ประมาณนั้น
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 10-02-2014 เมื่อ 03:45 |
สมาชิก 197 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#38
|
||||
|
||||
ถ้าเป็นพวกเราเห็นคาตาอยู่ว่าพระท่านขลังขนาดนั้น งูตัวใหญ่ท่วมหัวขนาดนั้น เวลากินเราก็คงกลืนคำเดียวเท่านั้น ปรากฏว่าพระไล่ไปด้วยทรายเสกแค่กำเดียว โยมก็ต้องทึ่ง ท้ายสุดโยมพ่อถามพระท่านว่ามีอะไรดี พระท่านบอกว่ามีคาถาวิเศษ โยมพ่อก็ขอเรียนบ้าง พระท่านก็สอนให้ โยมพ่อก็ท่องมาตลอดชีวิต อาตมาฟังแล้วมี อิติปิ โสฯ สวากขาโตฯ สุปฏิปันโนฯ อยู่ ๓ บท
พระท่านยังสอนว่า “ถ้าจะให้ดี ให้ถวายข้าวพระทุกวัน” โยมพ่อถามว่าให้ถวายอย่างไร ท่านก็บอกว่าให้ทำกระทงเล็ก ๆ ใส่ข้าวนิดหนึ่ง กับนิดหนึ่ง น้ำนิดหนึ่ง ถวายทุกวันแล้วสวดมนต์ ถ้าทำอย่างนี้ทุกวันแล้ว อำนาจของคาถาวิเศษจะคุ้มครองได้ อยู่ที่ไหนก็ปลอดภัย โยมพ่อทำอย่างนั้นทุกวัน พออาตมาเริ่มรู้ภาษาท่านก็อุ้มคอพับคออ่อนไปสวดมนต์ทุกวัน แต่ที่โยมพ่อทำ สมัยนี้อาตมารู้สึกแปลก ๆ เพราะท่านถวายข้าวพระตอนประมาณทุ่มครึ่ง ก็พระธุดงค์ท่านไม่ได้บอกนี่ว่าให้ถวายเวลาไหน บอกให้ถวายทุกวัน กว่าพ่อจะว่างงานก็ค่ำแล้ว อาบน้ำอาบท่ากินข้าวกินปลาเสร็จก็เข้าไปถวายข้าวพระ นั่งสวดมนต์ เอาอาตมาไปสวดด้วย เพิ่งจะขวบกว่าสองขวบก็หลับคอพับอยู่ทุกวัน คราวนี้ที่ไปสวดอยู่ทุกวัน โยมพ่อท่านสวดกรอกหูอยู่เลยจำได้ กลายเป็นสวดมนต์ได้ตั้งแต่ยังไม่ทันจะเข้าโรงเรียน พอเข้าเรียนครูเขาเห็นสวดมนต์ได้ก็เลยให้เป็นหัวหน้าชั้น จะเห็นได้ว่าความซื่อนี่แหละทำให้ขลัง แบบเดียวกับที่นะโมพุทธาแยะเสกหินเป็นอาหารได้ ที่โยมพ่อไม่รู้ว่าธรรมเนียมไทยนิยมถวายข้าวพระก่อนเพล พระบอกให้ทำอย่างนี้ ๆ ก็ถวายเหมือนกัน ลืมถามเรื่องเวลา จึงรอตอนกลางคืน ตกลงพระพุทธรูปที่บ้านอาตมาฉันข้าวเย็นทุกวัน..! ความศักดิ์สิทธิ์ตรงนี้แหละ ไปศาลเจ้าที่ไหนก็ตาม เขายืนยันว่าโยมพ่อมีพระคุ้มครองอยู่แล้ว ไม่ต้องเสียเวลาเอาเครื่องรางของขลังไป ต้องถามว่าแล้วเจ้าเขารู้ได้อย่างไร แล้วเวลาตำรวจกองปราบ พวกพลตระเวนไปปราบพวกเสือปล้น ก็ให้โยมพ่อเป็นคนนำทาง พอเข้าไปใกล้ชุมโจร ตำรวจเขาก็หมอบ ๆ คลาน ๆ โยมพ่อรำคาญก็ถือปืนเดินเทิ่ง ๆ นำหน้าไป ยิงกันกระจายทุกงาน แต่ก็แปลกว่าโยมพ่อไม่เคยโดนอะไรเลย แสดงว่าความที่ท่านเชื่อมั่นว่า คาถาวิเศษของพระธุดงค์ป้องกันภัยได้เป็นเรื่องจริง
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 10-02-2014 เมื่อ 03:45 |
สมาชิก 207 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#39
|
||||
|
||||
คราวนี้มีข้อสังเกตอยู่หลายข้อ ข้อที่ ๑ โยมพ่อพูดไทยไม่ได้แม้แต่คำเดียว แล้วสมัยนั้นลูกคนจีนเขาไม่บวชกัน พี่ชายอาตมาบวช ๒ คนโยมพ่อนั่งร้องไห้เลย เพราะว่าคนจีนบวชแล้วไม่สึก พ่อคิดว่าเสียลูกชายไป ๒ คนแล้ว ไม่ได้ปีติหรอกว่าลูกบวช ที่ร้องไห้เพราะคิดว่าเสียลูกชายไป ๒ คน ไม่รู้ว่าพระไทยบวชแล้วสึกได้
ในเมื่อโยมพ่อพูดไทยไม่ได้ แล้วพระก็ไม่ใช่ลูกจีน เพราะคนจีนไม่ยอมให้ลูกบวช แล้วท่านคุยกันรู้เรื่องอย่างไร ? แถมยังสอนบทสวดมนต์ยาวยืดขนาดนั้นให้ อีกข้อหนึ่งก็คือสิ่งที่พระท่านบอกมา ตรงกับที่หลวงพ่อฤๅษีท่านสอน ก็คืออิติปิ โสฯ ๓ ห้องขลังที่สุด ไม่ต้องใช้คาถาบทอื่น นี่เป็นข้อสังเกตถึงความพิเศษของพระ เราไม่ต้องไปดูความขลังของท่านที่ว่าไล่งูใหญ่มหึมาขนาดรถไฟไปได้ บรรดาพี่สาวพี่ชายของอาตมา โดนชุมโจรที่ทะเลบกกลุ่มเสือขาวจับเป็นตัวประกันบ่อย แต่มีพี่สาวคนที่ถ้านับแม่เดียวกันจะเป็นพี่สาวคนที่ ๒ เวลาโจรมานี่มีอะไรก็เอาหมด ต้องบอกว่าถ้าเป็นชุมโจรที่เขามีศีลมีธรรม ของใช้จะไม่เอา ของทำบุญจะไม่เอา จะเอาเฉพาะเงินและทองที่เหลือเก็บเท่านั้น แต่กลุ่มเสือขาวเอาทุกอย่าง กระทั่งมุ้งหมอนผ้าห่มก็เอาหมด ตอนนั้นแม่เล่าให้ฟังว่า พี่สาวคนที่ ๒ เพิ่งอายุได้ ๓-๔ เดือนเท่านั้น แม่อุตส่าห์กัดฟันลงทุนซื้อมุ้งตราพริกไทย สมัยนั้นแพงอย่าบอกใครเลย ก็เอามากางเพื่อให้ลูกสุขสบายหน่อย ไม่ต้องโดนพวกยุงรบกวน โจรมาปล้นเอากระทั่งมุ้ง..! แม่บอกว่าโจรตัดสายมุ้งไป ๒ สายแล้ว กำลังจะตัดอีก ๒ สาย แม่ก็ขอร้อง บอกว่าลูกยังเล็กอยู่ ขอมุ้งหลังนี้ไว้เถอะ อย่างอื่นจะเอาก็เอาไป ปรากฏว่าพวกเสือขาวนึกอย่างไรไม่รู้ ทิ้งมุ้งไว้ให้ โยมแม่ถึงมั่นใจบอกว่าลูกคนนี้มีบุญ คือเรื่องของบุญรักษา อันดับแรกเกิดมาแม่ก็ตัดสินใจซื้อมุ้งให้ อันดับที่สองก็คือ ปกติโจรปล้นไม่เคยเหลืออะไรไว้ให้ แต่นี่ยังยอมทิ้งมุ้งไว้ให้ มาตอนหลังพี่สาวคนนี้ก็เป็นที่พึ่งของครอบครัวได้ แสดงว่าคนโบราณเขาดูออก อาตมาเองเกิดช่วงหลัง พวกชุมโจรโดนทลายไปหมดแล้ว ทางราชการเขาตัดสินใจสร้างสนามบินกำแพงแสน สร้างมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์วิทยาเขตกำแพงแสน เพราะพื้นที่เป็นรอยต่อ ๓ จังหวัดอยู่ พอจังหวัดนี้ปราบโจรก็หนีข้ามไปอีกจังหวัดหนึ่ง พวกพลตระเวนก็ถือว่าไม่ใช่หน้าที่เขา เป็นเรื่องของจังหวัดโน้น เขาก็ไม่ตาม ปราบทางด้านกำแพงแสนโจรหนีไปทางด้านพนมทวนของกาญจนบุรี พอทางด้านพนมทวนกาญจนบุรีมาปราบ โจรก็หนีข้ามไปเขตสองพี่น้องของสุพรรณบุรี พอสองพี่น้องของสุพรรณบุรีมาปราบ โจรก็หนีข้ามมาเขตกำแพงแสนของนครปฐม
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 10-02-2014 เมื่อ 10:40 |
สมาชิก 184 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#40
|
||||
|
||||
ตอนหลังทางการเลยต้องตัดสินใจสร้างสนามบิน ถล่มป่าตรงนั้นทิ้งไปเลย ไม่อย่างนั้นแล้วป่าใหญ่ขนาดยังมีเสืออยู่ อาตมาตอนเด็กจะโดนเสือลากไปกินแล้ว สร้างเป็นสนามบินกำแพงแสน ๑๐,๕๐๐ ไร่ สร้างเป็นมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์วิทยาเขตกำแพงแสนอีก ๘,๐๐๐ ไร่ นั่นแค่สองอย่าง ต้องถล่มป่าทิ้งไปเลยเพื่อไม่ให้โจรมีที่ซ่อน อาตมามาเกิดช่วงหลังก็เลยเสียดาย ไม่โดนเขาจับเรียกค่าไถ่บ้าง ไม่อย่างนั้นชีวิตคงมีรสชาติมากกว่านี้อีกเยอะ
อาตมาเกิดไม่เหมือนชาวบ้านชาวเมืองเขาหรอก เพราะแม่ไปคลอดกลางนา โยมแม่จะหาบผักไปแลกข้าวในหมู่บ้านลาวโซ่ง เดินวันหนึ่งอย่างน้อย ๆ ก็ ๘ กิโลเมตร ท้องแก่ขนาดนั้นแล้วก็ยังไป พวกลาวโซ่งนี่จะปลูกข้าวแล้วก็หาผักหาเนื้อเอาตามชายทุ่งชายป่า ปลูกผักไม่เป็น คราวนี้โยมพ่อเป็นคนจีนก็ถนัดปลูกผักทำสวน โยมแม่ก็หาบเอาผักไปแลกข้าว สมัยนั้นไม่ได้ซื้อขายกันหรอก ใช้วิธีแลกกัน ก็เอาพวกผักกาดขาว กะหล่ำปลี ผักคะน้า ถั่วฝักยาวไปทีเป็นหาบ ๆ ไปแลกข้าว ไปตกลงกันว่าผักกาดขาวหัวนี้จะแลกข้าวกี่ทะนานอะไรอย่างนี้ ทางด้านโน้นก็จะตวงข้าวเปลือกมาให้ ใช้วิธีแลกกัน ไม่ได้ซื้อหาอะไรหรอก สมัยอาตมาเด็ก ๆ ดูแล้ว เออ..คนเขาถ้อยทีถ้อยอาศัยกันดี พอถึงเวลาโยมแม่ก็หาบข้าวกลับมา กระบุงเบ้อเริ่ม เพราะฉะนั้น..ที่บ้านไม่ได้ปลูกข้าว แต่มีข้าวล้นยุ้งทุกปีเลย เพราะโยมแม่ขยันเดินไปแลกข้าวทุกวัน ประกันความเสี่ยงได้ว่า ถึงเวลาต้องมีข้าวให้ลูกกินแน่ ๆ ตอนแรก ๆ ก็ยังต้องตำข้าวกัน มาระยะหลังเริ่มมีโรงสี โรงสีก็เป็นของอาประเสริฐ ซึ่งโยมพ่อเคยช่วยเหลือท่านมาก่อน ภายหลังร่ำรวยขึ้นมาก็ตั้งโรงสี ถึงเวลาเราก็ไปจ้างเขาสี เอาข้าวไปจ้างเขาสีทีหนึ่ง ๒-๓ ถัง ส่วนใหญ่เขาไม่เอาค่าจ้างหรอก เขาไปรับจ้างสีประเภทมากันทีเป็นสิบเป็นร้อยเกวียน ของเราไปที ๒-๓ ถัง เขาสีเสร็จก็ให้ข้าวมา แล้วก็ขอไว้แค่แกลบกับรำ ถือเอาว่าเป็นค่าแรงแค่นั้น โยมแม่เดินแลกข้าวทุกวัน คราวนี้ ๙ เดือนแล้วยังอุตส่าห์เดินอยู่ อาตมาก็เลยคลอดกลางนา โห..ชีวิตลำเค็ญ..ไปคลอดกลางนา แต่ไม่ต้องกังวลหรอก แม่มีลูกตั้ง ๑๐ คนแล้ว กว่าจะมาถึงอาตมานี่แม่คล่องแล้ว มีอาชีพเป็นหมอตำแยได้เลย เวลาเพื่อนบ้านจะคลอดก็จะมาตามโยมแม่ไปช่วยทำคลอดให้ พูดง่าย ๆ ก็คือทำคลอดตัวเองจนเก่ง แม่ตัดสายรกสายสะดือ มัดเสร็จเรียบร้อยก็ห่ออาตมาใส่หาบกลับบ้าน เป็นสมัยนี้จะไหวไหม ? เพิ่งจะคลอดลูกเสร็จ ต้องเดินไปอีกตั้งหลายกิโลเมตรกว่าจะถึงบ้าน คนสมัยก่อนแข็งแรง มีลูกเป็น ๑๐ คน อย่าคิดว่าแม่มีลูก ๑๓ คนแล้วจะมากนะ อาซิ้มข้างบ้านมีลูกตั้ง ๑๘ คน จนกระทั่ง ๒ คนสุดท้ายไม่รู้จะตั้งชื่ออะไรเรียกอาจับฉิก (ไอ้ ๑๗) กับอาจับโป้ย (ไอ้ ๑๘) ไม่มีปัญญาตั้งชื่อแล้ว
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 30-11-2014 เมื่อ 06:53 |
สมาชิก 179 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน ) | |
|
|