กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะพระอาจารย์ > พระครูวิลาศกาญจนธรรม (หลวงพ่อเล็ก สุธมฺมปญฺโญ) > เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน > เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน ปี ๒๕๖๖ > เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน เดือนตุลาคม ๒๕๖๖

Notices

ตอบ
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #1  
เก่า 30-10-2023, 19:58
พิชวัฒน์'s Avatar
พิชวัฒน์ พิชวัฒน์ is offline
สมาชิก - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Aug 2014
ข้อความ: 351
ได้ให้อนุโมทนา: 3,307
ได้รับอนุโมทนา 19,083 ครั้ง ใน 829 โพสต์
พิชวัฒน์ is on a distinguished road
Default เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันจันทร์ที่ ๓๐ ตุลาคม ๒๕๖๖

เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันจันทร์ที่ ๓๐ ตุลาคม ๒๕๖๖


ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 41 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ พิชวัฒน์ ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #2  
เก่า 31-10-2023, 00:20
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,696
ได้ให้อนุโมทนา: 152,041
ได้รับอนุโมทนา 4,418,063 ครั้ง ใน 34,286 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

วันนี้ตรงกับวันจันทร์ที่ ๓๐ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๖๖ เป็นวันแรม ๑ ค่ำเดือน ๑๑ ซึ่งเรียกกันอย่างเป็นทางการว่าวันเทโวโรหณะ หรือที่ชาวบ้านเรียกกันง่าย ๆ ว่าวันตักบาตรเทโว หรือถ้าอย่างที่สมัยกระผม/อาตมภาพยังเด็กอยู่ ชาวบ้านเขาใช้คำว่าวันตักบาตรดาวดึงส์ เพราะถือเอานิมิตที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เสด็จลงจากสวรรค์ชั้นดาวดึงสเทวโลก หลังจากที่ไปโปรดพระพุทธมารดามาตลอดพรรษาที่ ๗

คราวนี้วัดท่าขนุนของเราถือเป็นธรรมเนียม ตั้งแต่กระผม/อาตมภาพเป็นเจ้าอาวาสมา ๑๖ ปีแล้ว ก็คือว่าวันตักบาตรเทโว เราจะทอดกฐินไปเลย เนื่องจากว่าวัดของเราอยู่ไกลมาก แค่ในตัวจังหวัดกาญจนบุรีเดินทางมาถึงก็ ๑๔๐ กิโลเมตรเข้าไปแล้ว..! ญาติโยมถ้าต้องเดินทางมาร่วมงานตักบาตรเทโวครั้งหนึ่ง ร่วมงานทอดกฐินสามัคคีอีกครั้งหนึ่ง ก็จะเสียเวลามาก สิ้นเปลืองมาก กระผม/อาตมภาพจึงรวบเอาสองงานมาเป็นงานเดียวกัน ก็คือตอนเช้าตักบาตรเทโว ตอนบ่ายเราทอดกฐินสามัคคีไปเลย

คราวนี้ตั้งแต่ปี ๒๕๖๑ เป็นต้นมา ก่อนงานตักบาตรเทโวและทอดกฐินสามัคคี กระผม/อาตมภาพได้รับคำสั่งให้เข้ากรรมฐาน ๓ วัน เพื่อเป็นการสงเคราะห์ญาติโยม ซึ่งช่วงนั้นต้องบอกว่าเศรษฐกิจไม่ดี แต่ว่าจากวันนั้นจนถึงวันนี้ ก็ไม่มีคำสั่งให้เลิก..! ยังไม่รู้เหมือนกันว่าจะมีกำลังทำไหวได้อีกสักกี่ปี ?

แต่ว่าการเข้ากรรมฐานปีนี้ถือว่าเป็นปีที่สงบเรียบร้อยที่สุด เพราะว่าโดยปกติแล้วมักจะมีนักเลงดีชอบส่ง "ของดี" มาให้ ต้องบอกว่าเขาเคารพนับถือเรา ก็อยากจะถวายของดี ๆ ที่เขามีอยู่ ปีนี้กระผม/อาตมภาพก็เลยตั้งรับแบบเต็มที่ พร้อมที่จะสวนทุกดอก..! คือกะจะเอาให้เข็ดไปเลย ปรากฏว่าเงียบสนิท..!

ถ้าหากว่าท่านทั้งหลายเข้าไปเห็นในกุฏิเจ้าอาวาส อาจจะตกใจ เพราะว่าอาจจะมากยิ่งกว่าอาวุธที่อิสราเอลถล่มฮามาสเสียอีก..! เพราะว่าอันดับแรกเลย มีดหมอครูบาอาจารย์เต็มพานพอดี มีตั้งแต่หลวงปู่ยิ้ม วัดหนองบัว หลวงปู่บุญ วัดกลางบางแก้ว หลวงปู่ทองเฒ่า วัดเขาอ้อ หลวงปู่เดิม วัดหนองโพธิ์ หลวงพ่อฤๅษีฯ วัดท่าซุง แล้วก็หลวงพ่อบุญมี วัดเขาสมอคอน กะว่าเอ็งมามุมไหนก็ไม่รอด..! แล้วสี่มุมกุฏิยังมีตะกรุดพยัคฆราชเกราะเพชรอยู่ทุกมุม แถมด้วยแมลงภู่คำตัวครูงาช้างแกะอีก ๒ ตัว ซึ่งเลือกเอาตัวที่ดุที่สุดมาอีกด้วย..!

ปรากฏว่าพอเริ่มเข้าวันเสาร์
กระผม/อาตมภาพก็ภาวนาคาถามหาสะท้อนรอรับอยู่ ๕ - ๖ ชั่วโมง น่าเสียดายมาก คือโดนทุกปี โดนจนรำคาญ กะว่าปีนี้จะเอาเสียให้เข็ด แต่ที่เสียดายกว่านั้นก็คือตะกรุดโลกธาตุเนื้อทองคำ ที่เข้าพิธีปลุกเสกอยู่ เสียดายว่าน้ำหนักไม่ถึงบาท ไม่อย่างนั้นคงจะเป็นมหาสะท้อนแบบชนิดที่มีอานุภาพมากที่สุดเท่าที่เคยทำมา เพราะว่าไม่เคยเสกหลายชั่วโมงขนาดนี้มาก่อน..!
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 31-10-2023 เมื่อ 02:38
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 42 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #3  
เก่า 31-10-2023, 00:27
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,696
ได้ให้อนุโมทนา: 152,041
ได้รับอนุโมทนา 4,418,063 ครั้ง ใน 34,286 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

เมื่อกระผม/อาตมภาพขึ้นไปกราบถาม "พระ" ท่านชี้ให้ดูว่าท่านขีดวงเอาไว้ ๔ กิโลเมตร "ห้ามรบกวน" ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าท่านไปแขวนป้ายห้ามรบกวนไว้ตอนไหน เล่นกระผม/อาตมภาพเอาตั้งท่าฟรี แต่ที่ท่านไม่บอก อาจจะเป็นเพราะตั้งใจที่จะให้กระผม/อาตมภาพภาวนาให้เยอะหน่อยก็ได้

แต่คราวนี้ในเรื่องของการภาวนานั้นก็คล้าย ๆ กับการออกกำลังกาย ถ้าหากว่าร่างกายของเราเคยชินกับการออกกำลังกายระดับไหน เมื่อเราได้ออกแรงไประยะหนึ่ง เมื่อถึงระดับนั้นเมื่อไร ร่างกายก็เหมือนกับเป็นอัตโนมัติ ก็คือจะไปได้เองเรื่อย ๆ เรื่องของสมาธิภาวนาก็เหมือนกัน ถ้าเราเคยชินกับการกำหนดเวลาเอาไว้ ถ้ายังไม่ถึงเวลา สมาธิก็จะไม่คลายตัวออกมา

สำหรับท่านอื่นเป็นอย่างไรไม่ทราบ แต่กระผม/อาตมภาพเองนั้น ถ้าไม่คลายตัวออกมา ต่อให้หกคะเมนตีลังกาอย่างไร ก็จะทรงตัวอยู่อย่างนั้น ถึงได้เคยยืนยันกับท่านทั้งหลายว่า การเข้าสมาธิ เราจะอยู่ในอิริยาบถในก็ได้ สมัยที่เป็นวัยรุ่นฆราวาส กระผม/อาตมภาพหกหัวเอามือเดินแทนเท้ายังภาวนาได้เป็นกิโล ๆ..! จึงขึ้นอยู่กับการซักซ้อมของเรา อยู่ในลักษณะของกีฬาสมาธิ

คราวนี้สภาพร่างกายของเราที่อดอาหาร ถ้าหากว่าเราไม่เคยชิน ใหม่ ๆ มื้อแรกก็จะหิวมาก แต่กระผม/อาตมภาพเคยบอกกับท่านทั้งหลายแล้วว่า ร่างกายของเรานั้น เราสั่งได้ เราตั้งโปรแกรมเองได้ อย่างเช่นท่านที่เริ่มถือศีล ๘ อดอาหาร ถ้าเราตั้งใจว่ามื้อเย็นเราจะไม่กิน พอผ่านไป ๓ วัน วันที่ ๔ ร่างกายก็จำแล้วว่ามื้อนี้ไม่มีให้ ก็จะไม่รบกวนเราอีก

หรือที่กระผม/อาตมภาพตั้งแต่เด็กมา เกลียดหมอที่ฉีดยามากเป็นพิเศษ เพราะว่าเด็ก ๆ ป่วยบ่อย แล้วหมอที่รักษาเป็นหมอทหารเสนารักษ์ ซึ่งรักษาด้วยการฉีดยาให้ แต่แกฉีดแบบจิ้มเข็มเข้าไป พร้อมกับกดยาปื้ดเดียวหมดเลย..! เนื้อก็จะบวมเป็นก้อน ให้เราเดินตูดปัดไปเป็นอาทิตย์..!

ในเมื่อเกลียดมาก ๆ สภาพจิตก็ไม่ยอมรับ หลังจากนั้นพอเห็นเข็มก็เป็นลม และเป็นอย่างนั้นมาตลอด จนกระทั่งเรียนชั้นมัธยมแล้วก็ยังเป็นอยู่ มาภายหลังพอไปเรียนทหาร เขาต้องมีการเจาะเลือด ตรวจเลือดอะไรเป็นปกติ มีการฉีดยากันบาดทะยักก่อนที่เราจะออกสู่ชายแดน กระผม/อาตมภาพก็คิดว่าตอนนี้เป็นทหารแล้ว ถ้าหากว่าเป็นลม ก็ขายหน้าชาวบ้านเขา จึงบอกกับร่างกายว่า "เอ็งเลิกเป็นลมได้แล้ว"

แต่ขนาดนั้น พอหมอฉีดยาให้ก็ยังต้องไปนั่งนิ่ง ๆ อยู่ประมาณ ๑๐ นาที เพื่อให้มั่นใจว่าไม่เป็นลม ไม่อย่างนั้นแล้ว ก่อนหน้านี้พอเจอเข็มเข้าก็เป็นลมไปก่อนแล้ว มาภายหลังก็นั่งมองหมอผ่าตัดตัวเอง เย็บให้ตัวเอง โดยที่ไม่รู้จักคำว่าเป็นลมเพราะกลัวเลือดหรือกลัวเข็มนั้นเป็นอย่างไร..!?
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 31-10-2023 เมื่อ 02:42
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 39 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #4  
เก่า 31-10-2023, 00:31
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,696
ได้ให้อนุโมทนา: 152,041
ได้รับอนุโมทนา 4,418,063 ครั้ง ใน 34,286 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

นั่นคือการที่เราตั้งโปรแกรมร่างกายเสียใหม่ ร่างกายที่เป็นลมหรือช็อก ก็เพื่อที่จะรักษาสภาพเอาไว้ เพราะว่าเวลาเราช็อก ความดันจะต่ำ เลือดจะไหลช้า ถ้ามีบาดแผลใหญ่ก็จะได้ตายช้าหน่อย..! ช่วยให้หมอรักษาได้ทัน เป็นระบบอัตโนมัติของร่างกายเราเอง เราก็ต้องตั้งใจใหม่ว่าระดับไหนถึงจะยอมให้ช็อกหรือว่าเป็นลม แต่ว่าเรื่องพวกนี้ถ้าหากว่าเรายังทำไม่ถึงก็แค่ฟัง ๆ เอาไว้ก่อน ถึงเวลาถ้าทำได้เมื่อไรก็จะเข้าใจว่า ที่กระผม/อาตมภาพพูดถึงอยู่นี้หมายถึงอะไร ?

แต่ว่ามีเรื่องตลกอยู่ก็คือ พอเข้าวันที่สอง กำลังภาวนา อยู่ ๆ ก็เกิดนิมิต คำว่านิมิตนี้ไม่ใช่ฝัน ความฝันของเราจะเป็นเรื่องเป็นราว แต่นิมิตนี่มักจะมาแบบไม่มีหัวไม่มีท้าย แล้วชัดเจนเหมือนอย่างกับตัวตนของเราไปเจอด้วยตนเอง อย่างชนิดที่ว่าถ้าโดนใครตีหัวก็จะต้องหลบ นิมิตที่ปรากฏก็คือตัวเองกำลังตักข้าวต้มกับผักกาดดอง แต่ด้วยความที่สติยังสมบูรณ์อยู่ ก็เลยบอกกับตัวเองว่า "อย่าทะลึ่ง ตอนนี้เข้ากรรมฐาน อดข้าวอยู่" ภาพก็เลยหายไป

สมัยก่อนที่ยังอยู่วัดท่าซุง มีเพื่อนรุ่นน้อง ท่านตั้งใจอดบุหรี่ พอถึงวันที่ห้า ท่านบอกว่านิมิตนั้นชัดเจนเหมือนกับทำด้วยตัวเองจริง ๆ ก็คือมือซ้ายคีบบุหรี่ มือขวาจุดไฟแช็ก แล้วก็นึกขึ้นมาได้ว่า "เฮ้ย..เรากำลังอดบุหรี่อยู่..!" ลืมตาขึ้นมา มือยังอยู่ในท่านั้นอยู่เลย นั่นคือนิมิต นิมิตจะชัดเจนมากเป็นพิเศษ เหมือนอย่างกับตัวเราไปสัมผัสเองจริง ๆ ทุกประการ

เพียงแต่ว่าในเรื่องของนิมิตนั้น อย่าไปถือสาหาความอะไรมาก ถ้าหากว่าดี เราก็เก็บไว้เป็นกำลังใจให้ตัวเอง ถ้าไม่ดีก็ลืม ๆ ไปเสีย เหตุที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่า ถ้าเป็นเรื่องไม่ดีที่จะเกิดขึ้น แล้วเรามัวแต่ไปเครียดอยู่ ก็เสียเวลาเปล่า ๆ เพราะว่าอย่างไรเรื่องของนิมิตก็แสดงให้รู้ถึงบุญถึงกรรมที่จะเข้ามา หรือว่าเป็นนิมิตที่เกิดขึ้น เพื่อบอกใบ้บางสิ่งบางอย่างให้เรารู้ ต่อให้เรารู้แล้วจะแก้ไขหรือไม่แก้ไข เรื่องนั้นก็ต้องเกิดแน่ จึงควรที่จะทำใจสบาย ๆ เหมือนอย่างกับไม่รู้อะไรเลย อยากจะมาก็มา อยากจะไปก็ไป เราทำไว้เราก็ต้องรับ เป็นเรื่องธรรมดาอยู่แล้ว

คราวนี้สภาพร่างกายเมื่อผ่านวันที่สองไป ก็เป็นเรื่องปกติ เหมือนกับเครื่องเริ่มติดแล้ว ก็จะไม่รู้สึกรู้สาอะไร อยู่กับการภาวนายาว ๆ ไปเลย ทั้งกลางวันและกลางคืน แม้กระทั่งช่วงเย็นวันที่สาม น้องเล็ก (นางสาวจิราพร ซื่อตรงต่อการ) เอาน้ำผึ้งมานูก้าที่ท่านอาจารย์บ๊ะ (พระอาจารย์ศิริชัย ชยธมฺโม) บอกว่าให้เอาไปเผื่อไว้ ช่วงเช้าวันที่สี่ที่ออกมาคือวันนี้ จะได้ฉันแล้วมีกำลัง ปรากฏว่า
กระผม/อาตมภาพก็ปล่อยเอาไว้อย่างนั้นเฉย ๆ จนป่านนี้ก็ลืมไปแล้วว่าวางไว้ตรงไหน..!? ก็คือถ้าร่างกายของเราเคยชินแล้วก็จะไปได้เรื่อย ๆ จะไม่ฉันอย่างนี้ไปนานเท่าไร ก็อยู่ที่เราตั้งใจเอง
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 31-10-2023 เมื่อ 02:47
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 38 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #5  
เก่า 31-10-2023, 00:33
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,696
ได้ให้อนุโมทนา: 152,041
ได้รับอนุโมทนา 4,418,063 ครั้ง ใน 34,286 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามักจะกำหนดไว้ว่าไม่ให้เกิน ๑๕ วัน เพราะว่าตอนแรกร่างกายของเราจะดึงสารอาหารจากกล้ามเนื้อโดยธรรมชาติ แล้วหลังจากนั้นก็จะไปดึงจากไขมัน พอไม่มีแล้ว คราวนี้จะไปดึงจากอวัยวะภายใน ถ้าดึงมากเกินไป อวัยวะภายในล้มเหลว ก็เสียชีวิต..!

แต่สำหรับท่านที่มีความคล่องตัวในอภิญญา ๕ สมาบัติ ๘ นั่นถือว่านอกเหตุเหนือผล เพราะว่าท่านสามารถที่จะดึงเอา "ปราณละเอียด" รอบกายเข้าไปแทนอาหารได้ สามารถที่จะเข้าสมาธิอยู่ได้เป็นเดือนเป็นปี โดยไม่เดือดร้อนอะไรกับใคร นั่นเป็นคนละส่วนกัน ถ้าหากว่าใครทำได้ กระผม/อาตมภาพก็อนุโมทนาด้วย แต่ไม่ควรที่จะไปทำอวดใคร

แม้แต่พระเถระครูบาอาจารย์ที่กระผม/อาตมภาพรู้จักมักคุ้น อย่างหลวงพ่อเกษม เขมโก สำนักสุสานไตรลักษณ์ จังหวัดลำปาง ครูบาเจ้าเกษม ท่านก็ฉันอาหารให้คนอื่นเห็น จะได้ไม่เป็นห่วง แต่ว่าท่านฉันคำเดียว ฉันพอเป็นพิธี ไม่อย่างนั้นแล้วลูกศิษย์มักจะกังวลมาก ก็ถือว่าเป็นความเมตตาของครูบาอาจารย์ แต่ความจริงท่านไม่ฉันเลยก็อยู่ได้ เพียงแต่ว่าสภาพของท่านผอมเสียจนคนเห็นแล้วสงสารมากกว่า

สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายแก่พระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้

พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
วันจันทร์ที่ ๒๗ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๖๖
(ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 31-10-2023 เมื่อ 02:49
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 47 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
ตอบ


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 
คำสั่งเพิ่มเติม

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 11:01



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว