#1
|
||||
|
||||
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันจันทร์ที่ ๓ กรกฎาคม ๒๕๖๖
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันจันทร์ที่ ๓ กรกฎาคม ๒๕๖๖
__________________
มารใช้ คนทุกคน ของทุกชิ้น สัตว์ทุกตัว เป็นเครื่องมือในการขวางเรา โดยเฉพาะคนที่เรารักมากที่สุด (-/\-) (-/\-) (-/\-) |
สมาชิก 41 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ตัวเล็ก ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#2
|
||||
|
||||
วันนี้ตรงกับวันจันทร์ที่ ๓ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๖๖ กระผม/อาตมภาพหนีงานออกมา ขนาดนั้นก็ยังแทบจะไม่ทันเวลา หน้าไม่ต้องล้าง น้ำไม่ต้องสรง ต้องมาบันทึกเสียงให้พวกคุณฟังอยู่นี่..!
ความจริงวันนี้ถ้าเป็นไปตามวาระการประชุมก็คงจะไม่เสียเวลามาก แต่พอดีว่าพระบัญชาสมเด็จพระสังฆราช ในการแต่งตั้งคณะกรรมการโครงการสร้างความปรองดองสมานฉันท์ โดยใช้หลักธรรมทางพระพุทธศาสนา หรือที่เรียกสั้น ๆ ว่า หมู่บ้านรักษาศีล ๕ ออกมาพอดี พระเดชพระคุณท่านเจ้าประคุณสมเด็จพระมหารัชมงคลมุนี (ธงชัย ธมฺมธโช) กรรมการมหาเถรสมาคม เจ้าคณะใหญ่หนกลาง องค์ประธานอำนวยการ โครงการสร้างความปรองดองสมานฉันท์ โดยใช้หลักธรรมทางพระพุทธศาสนา ก็เลยทำพิธีมอบพระบัญชาสมเด็จพระสังฆราชให้ด้วย คราวนี้คณะกรรมการอำนวยการส่วนใหญ่ก็อายุกาลผ่านวัยเยอะมาก ทำให้การขึ้นการลงนั้นช้าไปหมด แต่พอมาถึงท้าย ๆ ก็เร็วจนได้ เพราะว่าส่วนใหญ่คณะกรรมการดำเนินงานอายุยังน้อยอยู่ ระดับ ๖๔ เต็ม ๖๕ ปีอย่างกระผม/อาตมภาพนี่ เขาถือว่าอายุยังน้อยอยู่ เพราะฉะนั้น..โปรดนึกเอาว่าอายุมากนี่เท่าไร..?! พอรับพระบัญชาเสร็จ ถ่ายรูปเสร็จ กระผม/อาตมภาพก็ต้องหนีงานก่อน ไม่อย่างนั้นจะกลับมาไม่ทันพวกท่าน มาจนกระทั่งถึงเมืองกาญจน์แล้ว มีข้อความในกลุ่มไลน์ส่งมาว่า "กรุณาเลี้ยวรถกลับมาครับ มีการประชุมเพื่อแบ่งงาน" "ไม่ทันแล้วครับ เหยียบกาญจนบุรีแล้ว จะแบ่งให้ทำอะไรก็แบ่งมาก็แล้วกัน ผมรับได้ทุกงานครับ" คราวนี้ในวันนี้ก่อนที่จะไปประชุม พระเดชพระคุณพระธรรมวชิรานุวัตร, ดร. (แย้ม กิตฺตินฺธโร) เจ้าคณะภาค ๑๔ ประธานคณะกรรมการอำนวยการเมตตาเลี้ยงอาหารที่ร้านร่มไม้ริมนา อยู่ถนนพุทธมณฑลสาย ๕ กระผม/อาตมภาพเองมีการเข้าอบรมออนไลน์เกี่ยวกับการทำวิจัย จึงขออนุญาตแยกมานั่งต่างหาก เพื่อที่จะฟังการอบรมให้จบ
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 04-07-2023 เมื่อ 02:16 |
สมาชิก 30 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#3
|
||||
|
||||
ปรากฏว่าหลวงปู่พรหมา วัดจักรวรรดิราชาวาส สมณศักดิ์ของท่านคือพระธรรมวัชรวิสุทธิ์ ท่านเห็นก็มานั่งด้วย เห็นหนังสือที่กระผม/อาตมภาพอ่านอยู่ ก็ขอไปลูบ ๆ คลำ ๆ แล้วท้ายสุดก็ปรารภว่า "เด็กสมัยนี้ไม่อ่านหนังสือกันแล้ว เล่นแต่โทรศัพท์มือถือ เล่นแต่แทบเล็ต" พอปล่อยให้คนแก่บ่น คราวนี้ก็มาจน "กระบุงโกยไม่ไหว" บ่นไปยันเรื่องพระเณรในวัดว่า ท่านเองพยายามทำตัวเป็นแบบอย่าง ลงไปสวดมนต์ทำวัตร เจริญกรรมฐานทุกวัน แต่บรรดาเจ้าคณะที่ตั้งเอาไว้ให้ช่วยดูแลวัด ไม่ยอมปล่อยให้ลูกคณะมาทำวัตร เจริญกรรมฐาน อ้างว่าเสียเวลาท่องหนังสือ
คราวนี้หลวงปู่ท่านใช้คำหนึ่งที่กระผม/อาตมภาพรู้สึกว่ากระทบใจมาก ก็คือท่านบอกว่า "วัดวาอารามจะมีพระภิกษุสามเณรมากมายเท่าไรก็ตาม ถ้าหากว่าไม่มีเสียงสวดมนต์ทำวัตร ก็ไม่ถือว่าเป็นวัด..!" กระผม/อาตมภาพฟังแล้วเห็นด้วย กราบเรียนถวายหลวงปู่ท่านไปว่า "วัดท่าขนุนของกระผม ทำวัตรเช้าเย็น ๓ รอบ บิณฑบาตและเจริญกรรมฐานทุกวัน ใครไม่ทำก็คือคนป่วย ถ้าป่วยห้ามอยู่วัด ให้ไปอยู่โรงพยาบาล" ท่านก็ยกมือสาธุ บอกว่า "เดี๋ยวนี้เจ้าอาวาสที่คิดแบบคุณน้อยมากแล้ว ส่วนใหญ่แล้วกลัวว่าจะไม่มีพระเณรอยู่ด้วย ก็อะลุ้มอล่วยปล่อยกันเละเทะไปหมด วันทั้งวันสวดมนต์ไหว้พระไม่ทำ ก้มหน้าก้มตาอยู่แต่กับมือถือ" ไม่รู้เหมือนกันว่ามือถือไปทำหลวงปู่เจ็บช้ำน้ำใจอะไรหรือเปล่า ? บ่นเรื่องนี้จัง..! แต่ว่าหลวงปู่ท่านเป็นพระเถระที่น่ารักมาก ก็คืออายุมากแล้ว แต่ไม่ทำตัวเป็นภาระกับคนอื่น พอเดินได้เองก็เดิน พอตักอาหารได้เองก็ตัก ต้องบอกว่าเป็นแบบอย่างที่ดีสำหรับพวกเราอย่างหนึ่ง ก็เพราะว่าเจ้าคุณใหญ่ ๆ โต ๆ ปัจจุบันนี้ท่านเป็นที่ปรึกษาเจ้าคณะภาค ๑๐เพราะว่าอายุ ๘๐ กว่าแล้ว เกษียณอายุแล้ว ก็ต้องเป็นแค่ที่ปรึกษา อยู่พระอารามหลวง คือวัดจักรวรรดิราชาวาสวรมหาวิหาร ยังมีแนวคิดอยู่ในลักษณะอย่างนี้ แล้วยังทำตัวเป็นแบบอย่างให้กับพระลูกพระหลาน แต่พระลูกพระหลานส่วนใหญ่แล้วก็อย่างที่ว่า ไม่ได้คิดจะเอาความก้าวหน้าในทางธรรม คิดแต่จะเอาความก้าวหน้าในทางโลก ไปทุ่มเทให้กับการเรียนการศึกษา ซึ่งถ้าหากว่าใครมีวุฒิการศึกษา ก็มักจะได้รับการสนับสนุนให้เป็นใหญ่ในสายปกครอง ก็เลยทำให้ห่างไกลเรื่องการปฏิบัติธรรม ท่านใช้คำว่า "เด็กสมัยนี้ไม่มีความอดทน จะให้มานั่งอ่านหนังสือวันหนึ่งเป็นเล่ม ๆ อย่างคุณ เขาไม่อ่านกันหรอก เสียเวลาเล่นมือถือ..!" เลี้ยวมามือถืออีกแล้ว..!
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 04-07-2023 เมื่อ 02:20 |
สมาชิก 34 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#4
|
||||
|
||||
เรื่องทั้งหลายเหล่านี้ ไปตรงกับที่พระเดชพระคุณท่านเจ้าประคุณสมเด็จพระมหารัชมงคลมุนี เจ้าคณะใหญ่หนกลาง กรรมการมหาเถรสมาคม องค์ประธานอำนวยการโครงการหมู่บ้านรักษาศีล ๕ ที่ท่านให้นโยบายเอาไว้ว่า "งานของหมู่บ้านรักษาศีล ๕ เน้นไปเลยว่า ให้สำนักปฏิบัติธรรมประจำจังหวัดรับผิดชอบ" เจริญ..คือแต่ละท่านที่ไป อย่างดีที่สุดก็เป็นแค่เจ้าสำนักปฏิบัติธรรม แต่กระผม/อาตมภาพเองเป็นประธานศูนย์ประสานงานสำนักปฏิบัติธรรมประจำจังหวัดกาญจนบุรี ทั้ง ๔๔ แห่งอยู่ในมือของเราคนเดียว แล้วจะไปบีบคอให้เขาทำได้อย่างไร ?
ในส่วนที่พระเดชพระคุณท่านเจ้าประคุณสมเด็จหนกลางปรารภก็คือว่า ถ้าพูดถึงการปฏิบัติธรรม คนก็จะนึกถึงสมาธิ เรื่องของศีล ๕ เป็นเบื้องต้นของสมาธิ ก็แปลว่าถ้าหากว่าเรานำเอาโครงการรักษาศีล ๕ ไปแนะนำให้ชาวบ้านเขาปฏิบัติ ก็ต้องเขาเห็นประโยชน์ด้วยว่ารักษาศีล ๕ แล้วได้อะไร ? พระเดชพระคุณท่านเจ้าประคุณสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ (ช่วง วรปุญฺโญ ป.ธ.๙) อดีตผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช ผู้ล่วงลับไปแล้ว ท่านเคยกล่าวเอาไว้ว่า การรักษาศีลข้อที่ ๑ เป็นการประกันชีวิต ถ้าทุกคนรักษาศีลก็ไม่ต้องกลัวว่าใครจะมาฆ่าเรา การรักษาศีลข้อที่ ๒ เป็นการประกันทรัพย์สิน ทุกคนรักษาศีลข้อนี้ได้ ไม่ต้องกลัวว่าข้าวของจะสูญหาย การรักษาศีลข้อที่ ๓ เป็นการประกันครอบครัว ถ้าหากว่าไม่นอกใจกัน ครอบครัวก็ไม่แตกแยก การรักษาศีลข้อที่ ๔ เป็นการประกันสังคม ไม่โกหก ไม่หลอกลวง ไม่ส่อเสียด ยุแหย่ให้คนแตกร้าวกัน สังคมเราจะสุขสงบ รักใคร่สามัคคีกันดี ถ้าหากว่ารักษาศีลข้อที่ ๕ เป็นการประกันสุขภาพ คนที่ไม่กินเหล้าเมายา อย่างไรเสียสุขภาพก็ต้องดีกว่าคนกินเหล้าเมายา
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 04-07-2023 เมื่อ 02:23 |
สมาชิก 35 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#5
|
||||
|
||||
แต่คราวนี้ญาติโยมจะมีกำลังใจรักษาศีลได้ ต้องมีสมาธิเป็นเครื่องหนุนเสริม ถ้ากำลังสมาธิไม่พอที่จะต่อต้านกิเลส ก็อดไม่ได้ที่จะละเมิดศีล
พวกท่านทั้งหลายที่เป็นพระภิกษุสามเณรนี่ตัวดีเลย..! ใครก็ตามที่สติยังไม่พอ เผลอเมื่อไรก็จะละเมิดศีล ถ้าเป็นแบบนี้ให้เรารู้ตัวไว้ว่า กำลังสมาธิยังไม่พอใช้งาน ต้องเร่งรัดตัวเองให้มากกว่านี้ เพราะว่าสติจะแหลมคมว่องไวก็ต่อเมื่อสมาธิทรงตัว หลังจากนั้นท่านบอกว่า ต้องสอนให้ชาวบ้านมีปัญญาด้วย ก็คือมีปัญญารู้คุณค่า ว่าศีลทั้งหลายเหล่านี้ดีอย่างไร อย่างที่ได้ยกตัวอย่างที่พระเดชพระคุณท่านเจ้าประคุณสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ อดีตผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช ได้ให้โอวาทเอาไว้ ถ้าชาวบ้านเขาเห็นว่าศีล ๕ มีประโยชน์ เขาจะรักษากันเอง นี่เป็นเรื่องที่พระเถระผู้ใหญ่ท่านเห็นแนวทางอย่างชัดเจนอยู่แล้ว แต่พวกเราทั้งหลายต้องเข้าใจว่า ที่ปัจจุบันนี้ศีลธรรมของเราเสื่อมทรามกันลงไป เพราะว่าสภาพสังคมเปลี่ยนไป สภาพสังคมที่เปลี่ยนไปทำให้คนไม่มีเวลาที่จะมารักษาศีล ปฏิบัติธรรม ซึ่งความจริงอ้างตรงนี้ก็ไม่ถูก เพราะว่าตราบใดที่เรายังหายใจอยู่ ก็ต้องมีเวลาปฏิบัติธรรรม เพราะว่าการปฏิบัติธรรม หลัก ๆ ถ้าจะเอาดีกันเลย ก็คือต้องรับรู้ลมหายใจเข้าออกของตนเอง กำหนดสติให้อยู่เฉพาะหน้ากับลมหายใจเข้าออก ไม่ไปหวนหาอาลัยอดีต แล้วก็ไม่ไปฟุ้งซ่านกับอนาคต หยุดอยู่กับปัจจุบันนี้เท่านั้น
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 04-07-2023 เมื่อ 02:26 |
สมาชิก 30 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#6
|
||||
|
||||
ถ้าทำลักษณะนี้ได้ รัก โลภ โกรธ หลง จะโดนกดดับลงชั่วคราว ไม่ว่าจะเป็นพระภิกษุ สามเณร แม่ชี หรือฆราวาส ชีวิตก็จะมีความสุขมาก เพราะว่าไฟใหญ่ ๔ กองก็คือ ราคะ โลภะ โทสะ โมหะ ดับลงหมดแล้ว ด้วยอำนาจของสมาธิ ต่อให้ดับลงชั่วคราวก็ดับ บุคคลถ้าก้าวถึงตรงจุดนี้ จะปฏิบัติสมาธิภาวนาโดยไม่เบื่อไม่หน่าย เพราะว่าเห็นคุณค่าแล้ว มีแต่จะพยายามใช้ปัญญาของตนเอง ประคับประคองรักษาสมาธินี้เอาไว้ ไม่ยอมปล่อยให้หลุดไปง่าย ๆ เพราะเห็นจริง ๆ ว่ามีประโยชน์อย่างไร
ดังนั้น..ในเรื่องของ ศีล สมาธิ ปัญญาในปัจจุบันนี้ พูดแล้วยาก เพราะว่าญาติโยมมักจะอ้างความจำเป็นในการดำรงชีวิต จำเป็นที่จะต้องฆ่าสัตว์ จำเป็นที่จะต้องโกหกหลอกลวงเขา จำเป็นที่จะต้องเข้าสังคม ถ้าหากว่าจะแนะนำญาติโยมทั้งหลาย เราต้องมั่นใจว่าตัวเองสามารถบอกให้เขาเห็นประโยชน์ของศีล สมาธิ ปัญญาได้จริง ๆ ไม่อย่างนั้นแล้วก็เสียเวลาปากเปียกปากแฉะเปล่า ๆ แต่ว่าเรื่องทั้งหลายเหล่านี้ก็ขึ้นอยู่กับวาระบุญ วาระกรรมของคนเหมือนกัน ถ้าหากว่ากุศลกรรมมาสนอง จากคนที่ทำชั่วมาตลอดชีวิต บางทีพลิกหลังเท้าเป็นหน้ามือ เปลี่ยนมาถือศีลปฏิบัติธรรมเฉยเลย..! เรื่องพวกนี้ถ้ามัวแต่รออยู่ ก็อาจจะเสียประโยชน์ พวกเราจึงจำเป็นที่จะต้องทน จ้ำจี้จ้ำไชไปเรื่อย ใครบุญถึง บารมีถึง ปุพเพกตปุญญตาสร้างเอาไว้ดี เขาก็จะรู้สึกอยากทำเอง จึงเป็นภาระที่พวกเราทั้งหลายจะต้องช่วยกันต่อไป โดยเฉพาะพระเดชพระคุณท่านเจ้าประคุณสมเด็จหนกลาง โยนมาเป็นภาระของสำนักปฏิบัติธรรมประจำจังหวัดแล้ว ก็แปลว่าไม่ทำก็ไม่ได้ ทำแล้วต้องเอาดีให้ได้อีกด้วย กลายเป็นว่าทุกคนต้องเหนื่อยร่วมกัน เพื่อที่จะประคับประคองพระพุทธศาสนาของเราให้ก้าวต่อไป จนกว่าที่จะครบ ๕,๐๐๐ ปี สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้ พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร. เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันจันทร์ที่ ๓ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๖๖ (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 04-07-2023 เมื่อ 02:28 |
สมาชิก 38 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน ) | |
คำสั่งเพิ่มเติม | |
|
|