กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะพระอาจารย์ > พระครูวิลาศกาญจนธรรม (หลวงพ่อเล็ก สุธมฺมปญฺโญ) > เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน > เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน ปี ๒๕๖๖ > เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน เดือนเมษายน ๒๕๖๖

Notices

ตอบ
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #1  
เก่า 07-04-2023, 17:49
ตัวเล็ก's Avatar
ตัวเล็ก ตัวเล็ก is offline
กรรมการเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Mar 2009
ข้อความ: 10,611
ได้ให้อนุโมทนา: 216,886
ได้รับอนุโมทนา 747,314 ครั้ง ใน 36,390 โพสต์
ตัวเล็ก is on a distinguished road
Default เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันศุกร์ที่ ๗ เมษายน ๒๕๖๖

เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันศุกร์ที่ ๗ เมษายน ๒๕๖๖


__________________
มารใช้ คนทุกคน ของทุกชิ้น สัตว์ทุกตัว เป็นเครื่องมือในการขวางเรา โดยเฉพาะคนที่เรารักมากที่สุด
(-/\-) (-/\-) (-/\-)
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 41 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ตัวเล็ก ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #2  
เก่า 08-04-2023, 08:25
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,685
ได้ให้อนุโมทนา: 151,964
ได้รับอนุโมทนา 4,417,691 ครั้ง ใน 34,275 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

วันนี้ตรงกับวันศุกร์ที่ ๗ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๖๖ กระผม/อาตมภาพต้องเดินทางไปยังสำนักสงฆ์สุธรรมาราม ตำบลกุดน้อย อำเภอสีคิ้ว จังหวัดนครราชสีมา ตั้งแต่ประมาณตี ๓ โดยอาศัย "พี่กู" นำทางไปเช่นเคย แล้วก็เจอ "พี่กู" นิสัยเสียเหมือนเดิม ก็คือทุกครั้งในการเดินทางขาไป จะโดนพาเข้าป่าเข้าดง ประมาณว่าจะโดนฆ่าทิ้งฝังดินเมื่อไรก็ไม่รู้..!? จึงทำให้ต้องละล้าละลัง

เพราะว่าระยะทางในช่วงหลังนั้น หลงอยู่กลางไร่อ้อยที่เพิ่งจะตัดและไถไปใหม่ ๆ ไม่แน่ใจว่ารถจะไปติดเอาตรงไหน แต่ก็ยังสามารถผ่านไปได้ตลอดรอดฝั่ง เมื่อไปถึงสำนักสงฆ์สุธรรมารามแล้ว สมุห์นวย (พระสมุห์ฐิติ ฐิติโก) เจ้าสำนักสงฆ์บอกว่า เมื่อคืนก็มีรถหลายคันโดน "พี่กู" พาไปทางนั้น จนกระทั่งต้องเรียกรถไถไปช่วยลากกลางดึกมาแล้ว..!

แต่พอเสร็จพิธีกรรมทุกอย่างแล้ว ขากลับ "พี่กู" ก็ทำนิสัยเดิม คือพากลับทางถนนใหญ่ ถ้าเป็นคนก็คงประมาณต้องตบให้หัวทิ่ม..! ด้วยความที่อยากจะอวดว่าตนเองรู้เส้นทางมากหรือว่าอย่างไรก็ไม่รู้ ? ทุกครั้งจะไปที่ไหน ขาไปจะโดนพาเข้าป่าเข้าดงไป ชนิดที่คนขับรถหมดความมั่นใจว่าจะไปดีหรือไม่ดี ? แต่ครั้นจะไม่ไป ก็ตามมาเกินครึ่งค่อนทางแล้ว จะย้อนกลับก็ไม่รู้ทางเช่นกัน จึงต้องไปตายเอาดาบหน้า ดังนั้น..จึงไม่แปลกใจว่าทำไมมีคนขับรถบางคนลงไปอยู่ในคลอง ก็เพราะว่า "พี่กู" นำทางในลักษณะอย่างนี้เอง

ครั้นเมื่อกลับมาจากงานแล้ว ก็ต้องกลับมาจัดเตรียมกระเป๋า ช่วงนี้อยู่ในลักษณะเตรียมเครื่องช่วยชีวิต เพราะมีผู้นิมนต์และออกตั๋วเครื่องบินให้ไปลุยหิมะ แค่นี้ยังไม่พอ ปรากฏว่าปีนี้ยังมีอีก ๑ รายก็คือลูกกิฟท์ (นางสาวอันตรา ลักษณะ) ซึ่งทำทัวร์ไปลาวใต้ ได้นิมนต์ "หลวงตา" ให้ไปด้วยในจังหวะที่พอเหมาะพอดีว่า
กระผม/อาตมภาพมีเวลาว่าง ๔ วัน

กระผม/อาตมภาพตั้งใจจะไปดูหลี่ผีและคอนพะเพ็ง ซึ่งเป็นน้ำตกใหญ่ ช่วยป้องกันลาวจากการยึดครองของฝรั่งเศสได้อยู่หลายปี แต่ว่ามหาน้ำตกขนาดนั้นก็ยังกั้นความโลภในใจของคนไม่ได้ ฝรั่งเศสใช้เรือบรรทุกรางรถไฟมาขึ้นตรงบริเวณใกล้น้ำตก แล้วก็ต่อทางรถไฟอ้อมน้ำตก ขนเอาอาวุธยุทโธปกรณ์และเสบียงอาหาร เข้าไปยึดประเทศลาวจนได้..!

ด้วยความที่อยากจะรู้ว่า แม่น้ำโขงทั้งสายหักลำลงไปกลายเป็นน้ำตกได้อย่างไร ? จึงได้รับปากลูกกิฟท์ว่าหลวงตาจะไปด้วย แต่ว่าเหมือนเดิม ก็คือกฎเกณฑ์กติกาการไปต่างประเทศของกระผม/อาตมภาพ จะไม่จ่ายเงินแม้แต่บาทเดียว..! ใครนิมนต์ไปต้องรับผิดชอบค่ากิน ค่าอยู่ ค่าเครื่องบินทั้งหมด ถ้าแถม "พ็อคเก็ตมันนี่" ให้ก็จะยิ่งดีมาก ไม่เช่นนั้นแล้ว
กระผม/อาตมภาพก็จะเล่นตัว ไม่ยอมเดินทางไปด้วย

เหตุที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่า ปัจจัยไทยธรรมที่ญาติโยมถวายมานั้น ถวายมาในขณะที่เราเป็นพระภิกษุสงฆ์ ต่อให้ระบุว่าถวายส่วนตัว ก็ต้องนึกอยู่เสมอว่า "เราได้มาในขณะที่เป็นพระสงฆ์"..!
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 08-04-2023 เมื่อ 17:07
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 31 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #3  
เก่า 08-04-2023, 08:29
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,685
ได้ให้อนุโมทนา: 151,964
ได้รับอนุโมทนา 4,417,691 ครั้ง ใน 34,275 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระเดชพระคุณหลวงพ่อฤๅษีฯ วัดท่าซุงท่านบอกเอาไว้ว่า "เงินส่วนตัวให้ใช้พอสมควรแก่สมณสารูปเท่านั้น" เมื่อกราบเรียนถามท่านว่า "พอสมควรแก่สมณสารูปคือใช้อย่างไรครับ ?" ท่านบอกว่า "ใช้เป็นค่ารถ ค่าอาหาร ค่ารักษาพยาบาล ช่วยเหลือคนหรือสัตว์ ส่วนที่เหลือนอกจากนั้นถ้าไม่ทำสาธารณประโยชน์ ก็ให้ผลักเข้ากองบุญการกุศล เพื่อเพิ่มอานิสงส์ให้แก่ผู้ถวาย"

ในเมื่อเป็นเช่นนั้น กระผม/อาตมภาพจึงมีหลักการว่า
เงินสงฆ์ไม่ได้มีเอาไว้เที่ยว อยากจะไปที่ไหนก็รอบุญพาวาสนาช่วย ถ้ามีคนนิมนต์และพอเหมาะพอดีกับจังหวะเวลาที่ว่าง ก็จะยินดีเดินทางไปด้วย

เนื่องเพราะว่าตั้งแต่เรียนหนังสือระดับมัธยม ได้อ่านนิทานเวตาลแล้วก็ติดใจ ตอนที่บรรดาหนุ่ม ๆ ทั้งหลายไปแสดงข้อคิดความเห็นของตนเอง เพื่อที่จะได้ครองใจสาว ๆ ได้กล่าวถึงเรื่องทั้งหลายเหล่านี้ไว้ประมาณว่า "ชายใดไม่เที่ยวเทียวไป ทุกแคว้นแดนไพร มิอาจประสบพบสุข ชายใดอยู่เหย้าเนาทุกข์ ไม่ด้นซนซุก ก็ชื่อว่าชั่วมัวเมาฯ"

บางท่านก็แสดงความเห็นว่า "จงจรเที่ยว เทียวบทไป พงพนไพร ไศละลำเนา ดั้นบถเดิน เพลินจิตเรา แบ่งทุกขเบา เชาวนไวฯ" ซึ่งอยู่ในลักษณะสรรเสริญการเดินทางท่องเที่ยวทั้งสิ้น

โดยเฉพาะภาษิตจีนที่บอกว่า "เดินทางหมื่นลี้ดีกว่าอ่านหนังสือหมื่นเล่ม" เหตุที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่าการอ่านหนังสือนั้น เราได้แค่จินตนาการเท่านั้น แต่การเดินทาง เราจะพบประสบเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่แท้จริง เรื่องราวทั้งหลายอาจจะแตกต่างกับที่ตำราเขียนเอาไว้มากมายมหาศาล ตามแต่ประสบการณ์ของแต่ละคน จึงได้กล่าวเอาไว้ในลักษณะสรรเสริญว่า การเดินทางนั้น ย่อมเป็นสิ่งที่ดีกว่า

โดยเฉพาะท่านทั้งหลายที่อ่านยุทธจักรนิยายตั้งแต่ยุคแรก ๆ บุคคลใดก็ตาม ถ้าหากว่าเดินทางไปเหนือ ๖ ใต้ ๗ รวม ๑๓ มณฑลได้ทั่วถึง สามารถที่จะคุยไปได้ทั้งยุทธจักรว่าเป็นบุคคลที่ยอดเยี่ยมในประสบการณ์เป็นอย่างยิ่ง สมัยนี้แม้ว่าจะขยายเพิ่มขึ้นมาเป็น ๒๐ กว่ามณฑลแล้วก็ตาม คาดว่าน้อยคนนักที่จะเดินทางไปได้ทั่วแผ่นดินจีนอันกว้างใหญ่ไพศาล

ประเทศจีนนั้นก็เป็นประเทศหนึ่งที่กระผม/อาตมภาพได้ร่างกำหนดการคร่าว ๆ ไว้ในใจ ว่าจะเขียนประสบการณ์ต่าง ๆ เกี่ยวกับ "พินิจเกล็ดพญามังกร" คำว่า เกล็ดพญามังกร ในที่นี้ก็คือแต่ละเมือง แต่ละมณฑลของจีน ตอนนี้ที่เขียนเอาไว้ก็มี ไข่มุกพญามังกร ดวงใจพญามังกร ได้ไปประมาณ ๒ หรือ ๓ ตอนแล้ว

ส่วนที่ไหนที่ไปแล้วเป็นไข่มุกพญามังกร หรือดวงใจพญามังกร ปล่อยให้พวกเราคาดเดากันไปเอง ถ้าหากว่าประกอบเรื่องทั้งหลายเหล่านี้ขึ้นมาจนครบถ้วนสมบูรณ์เมื่อไร "พินิจเกล็ดพญามังกร" ก็จะเป็นสารคดีท่องเที่ยวประเทศจีนที่ครบเครื่องจริง ๆ
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 08-04-2023 เมื่อ 17:11
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 31 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #4  
เก่า 08-04-2023, 08:38
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,685
ได้ให้อนุโมทนา: 151,964
ได้รับอนุโมทนา 4,417,691 ครั้ง ใน 34,275 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

แต่ไม่แน่ใจว่าอายุของกระผม/อาตมภาพที่มีอยู่ ตลอดจนกระทั่งความว่างที่มีน้อย จะทำให้สามารถไปประเทศจีนได้สักปีละครั้งสองครั้งหรือไม่ ? ถ้าหากว่าไปได้ก็คงจะเขียนจบก่อนที่จะถึงแก่ชีวิต แต่ถ้าหากว่าไปไม่ได้ ท่านใดที่รู้เรื่องนี้แล้ว ก็โปรดอาสาดำเนินการต่อไปด้วย พยายามประกอบเกล็ดพญามังกรให้ครบถ้วนสมบูรณ์ เพื่อที่ท่านทั้งหลายจะได้อ่านเรื่องราวเหล่านั้นได้ครบถ้วน กลายเป็น "ไกด์บุ๊ค" สำหรับบุคคลที่เดินทางตามไปทีหลัง แม้ว่าสภาพสังคม ตลอดจนกระทั่งเศรษฐกิจการเมืองต่าง ๆ อาจจะมีการเปลี่ยนแปลงไปตามระยะเวลา แต่ว่าสถานที่ต่าง ๆ ก็คงจะไม่ได้เปลี่ยนไปด้วย

ปกติแล้วกระผม/อาตมภาพมีความฝันตั้งแต่เป็นฆราวาส ก็คือว่าจะแบกเป้เดินทางท่องเที่ยวไปเรื่อย เงินหมดเมื่อไรก็หางานทำ ได้เงินมาก็เที่ยวต่อไป อยู่ในลักษณะที่เรียกว่าเป็นนักท่องเที่ยวสะพายเป้ ศึกษาหาความรู้ไปเรื่อย ๆ ถึงขนาดวางโครงการเอาไว้ว่า เมื่อเป็นพระแล้ว จะเดินธุดงค์ ในลักษณะที่ว่าเข้าไปทางประเทศพม่า เดินทะลุไปอินเดียทางด้านรัฐยะไข่ แล้วก็วนมาขึ้นเนปาล เข้าสู่ทิเบต ลงมาประเทศจีน เข้าเวียดนาม เข้าลาว ลงไปเขมร แล้วทะลุกลับประเทศไทย

แต่ว่าแผนการที่วางเอาไว้ต้องล่มสลายไปเสียก่อน เนื่องเพราะภาระหน้าที่ต่าง ๆ มีมาก การเดินธุดงค์ในลักษณะอย่างนั้นต้องใช้ระยะเวลาเป็นปี ๆ ไม่ใช่เป็นเดือน ถ้าหากว่าหายไปเป็นปี ก็คาดว่าญาติโยมทั้งหลายอาจจะมีการลงแดงตาย เพราะไม่ได้ฟังบันทึกเสียงธรรมจากวัดท่าขนุน..!

คราวนี้ในเรื่องของการเดินทางนั้น ต้องอาศัยหลักธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่สำคัญที่สุด ก็คือความไม่ประมาท อะไรที่สามารถนำติดตัวไปได้ ต้องคิดไว้เสมอว่าเราหาจากที่อื่นไม่ได้ โดยเฉพาะยารักษาโรคประจำตัว ตลอดจนกระทั่งข้าวของเครื่องใช้จำเป็น

สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ บางทีกระผม/อาตมภาพเคยเจอมาด้วยตนเองแล้ว ในที่ขาดแคลนนั้น ราคาแพงกว่าปกติ ๖ - ๗ เท่าก็ต้องไปซื้อเขา จึงทำให้ค่อนข้างที่จะสามารถจัดกระเป๋าได้กระชับ ก็คือมีแต่ของที่จำเป็นเท่านั้น ส่วนที่ไม่จำเป็นก็ไม่ได้เอาติดตัวไปเลย

ดังนั้น..เวลาเดินทางไปต่างประเทศ ถ้าระยะเวลาอยู่ในช่วงประมาณ ๑ อาทิตย์ หลายท่านจะเห็นว่า กระผม/อาตมภาพมีกระเป๋าหิ้วขึ้นเครื่องใบเดียวเท่านั้น น้ำหนักก็ตกอยู่ประมาณ ๖ - ๗ กิโลกรัม เพราะว่าส่วนที่หนักที่สุดก็คือคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊กที่ติดไปเพื่อทำงาน ส่วนอื่นก็เพียงพอที่จะใช้งานตลอดระยะเวลาที่เดินทางอยู่แล้ว
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 08-04-2023 เมื่อ 17:14
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 29 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #5  
เก่า 08-04-2023, 08:40
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,685
ได้ให้อนุโมทนา: 151,964
ได้รับอนุโมทนา 4,417,691 ครั้ง ใน 34,275 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

แต่ว่างวดนี้ สถานที่ไปนั้นตั้งใจจะไปลุยหิมะกัน จึงต้องมีกระเป๋าสำหรับเครื่องกันหนาวต่างหากอีก ๑ ใบ คาดว่าน้ำหนักรวมกันแล้ว ทั้ง ๒ ใบก็น่าจะอยู่ที่ไม่เกิน ๑๒ - ๑๕ กิโลกรัม ยังสามารถเฉลี่ยน้ำหนักให้ เผื่อมีใครคิดที่จะซื้อข้าวของกลับมาด้วย

ความจริงจะว่าไปแล้ว องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้น ให้พระเรามีแค่บริขาร ๘ เท่านั้น ก็คือ สบง จีวร สังฆาฏิ ซึ่งอยู่ในส่วนของเครื่องนุ่งห่ม เป็น ๓ อย่างไปแล้ว เมื่อบวกประคดเอวเข้าไปก็เป็น ๔ อย่าง แล้วก็ยังมี บาตร มีดโกน หม้อกรองน้ำ เข็มและด้าย ซึ่งเข็มและด้ายนี้จัดรวมเป็นอย่างเดียว

ในเมื่อเป็นเช่นนั้นก็ไม่ทราบเหมือนกันว่ากองทัพธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่ประกอบด้วยต้นทุนน้อยขนาดนั้น ทำไมถึงสามารถเผยแผ่พระพุทธศาสนาได้กว้างใหญ่ไพศาล จนกลายเป็นศาสนาอันดับที่ ๔ ของโลกได้ ? ก็คือรองจากศาสนาอิสลาม ศาสนาคริสต์และศาสนาฮินดูเท่านั้น

ตรงจุดนี้จะว่าไปแล้ว ศาสนาฮินดูซึ่งเผยแผ่โดยเฉพาะพื้นที่ มีศาสนิกหนาแน่นอยู่แค่ประเทศเดียวคืออินเดีย แต่กลับมีศาสนิกชนนับถือศาสนาฮินดูตั้ง ๙๐๐ กว่าล้านคน..! ส่วนศาสนาพุทธเผยแผ่ไปทั่วโลก นับถือกันหลายสิบประเทศ รวมแล้วเพิ่งจะมีศาสนิกอยู่ประมาณ ๔๐๐ กว่าล้านคนเท่านั้น

ในส่วนนี้จะว่าไปแล้ว เราลงทุนน้อยมากคือแค่บริขาร ๘ เท่านั้น แต่สามารถเผยแผ่พระพุทธศาสนาจนกลายเป็นอันดับ ๔ ของโลก ต้องบอกว่าค้ากำไรเกินควร การลงทุนอยู่ในระดับ D หรือระดับ C แต่ว่าผลงานที่ออกมาอยู่ในระดับ A+ เลยทีเดียว เป็นเรื่องที่กล่าวไว้เป็นข้อคิดสำหรับท่านทั้งหลาย เผื่อที่จะคิดฟุ้งซ่านแบบกระผม/อาตมภาพบ้าง ก็จะได้มาพินิจพิจารณาว่า ทำไมพุทธศาสนาของเราลงทุนน้อยแล้วถึงได้ผลมากเช่นนี้ ?

สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้

พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
วันศุกร์ที่ ๗ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๖๖
(ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 08-04-2023 เมื่อ 17:16
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 33 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
ตอบ


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 
คำสั่งเพิ่มเติม

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 17:19



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว