กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะพระอาจารย์ > พระครูวิลาศกาญจนธรรม (หลวงพ่อเล็ก สุธมฺมปญฺโญ) > เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน > เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน ปี ๒๕๖๖ > เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน เดือนเมษายน ๒๕๖๖

Notices

ตอบ
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #1  
เก่า 04-04-2023, 20:26
พิชวัฒน์'s Avatar
พิชวัฒน์ พิชวัฒน์ is offline
สมาชิก - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Aug 2014
ข้อความ: 351
ได้ให้อนุโมทนา: 3,307
ได้รับอนุโมทนา 19,096 ครั้ง ใน 829 โพสต์
พิชวัฒน์ is on a distinguished road
Default เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอังคารที่ ๔ เมษายน ๒๕๖๖

เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอังคารที่ ๔ เมษายน ๒๕๖๖


ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 46 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ พิชวัฒน์ ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #2  
เก่า 04-04-2023, 23:53
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,713
ได้ให้อนุโมทนา: 152,065
ได้รับอนุโมทนา 4,418,735 ครั้ง ใน 34,303 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

วันนี้ตรงกับวันอังคารที่ ๔ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๖๖ กระผม/อาตมภาพไปหาหมอผ่าตัดมา ภาษาหมอเขาเรียกว่า "โออาร์เล็ก" เป็นการผ่าตัดแบบไม่ต้องวางยาสลบ เนื่องจากว่าไม่ใช่บาดแผลที่ใหญ่นัก แต่ว่าดูจากที่หมอเย็บมา ๔ - ๕ เข็มแล้ว ก็ยังสงสัยอยู่เหมือนกันว่าไม่ใหญ่หรือวะ ? เกิดจากบาดแผลที่เหยียบพลาด แล้วไปกระแทกหินเป็นรอยช้ำเล็ก ๆ ประมาณปลายนิ้วเท่านั้น แต่ว่าระยะประมาณ ๒ - ๓ อาทิตย์ที่ผ่านมา มีอาการแข็งเป็นก้อนขึ้นมา เดินแล้วเจ็บ จึงตั้งใจว่าจะผ่าเอง..!

แต่ก็นึกขึ้นมาได้ว่าเรามีโรงพยาบาลทั้งโรงอยู่ในมือ ก็เลยถามหมอนุ้ย (แพทย์หญิงนวลจันทร์ เวชสุวรรณมณี) ผู้อำนวยการโรงพยาบาลทองผาภูมิดู ว่าควรจะทำอย่างไร ? ปรากฏว่าหมอนุ้ยนอกจากมาด้วยตัวเองแล้ว ยังพาหมอมาอีก ๒ คน แล้วก็ลงความเห็นว่าอย่าผ่าเอง เพราะว่าตรงกับเส้นเลือดพอดี ถ้าหากว่าห้ามเลือดไม่อยู่จะเป็นปัญหาใหญ่ จึงต้องไปผ่าที่โรงพยาบาล

นี่ก็เปลี่ยนผ้าปิดแผลไปสองชุดแล้ว สรุปว่าโรงพยาบาลก็ห้ามเลือดไม่อยู่เหมือนกัน มีบางท่านสงสัยว่าผ่ามาแล้วหรือยัง ? เพราะเห็นหลวงพ่อเดินตัวปลิวเลย ผ่ามาแล้ว..เพียงแต่ไม่ได้ยกฝ่าเท้าให้ดูเท่านั้น เพราะไม่ค่อยจะสุภาพนัก ยกเว้นว่าจะถีบใคร..!

ในเรื่องของร่างกายของเรา กระผม/อาตมภาพยืนยันว่า สิ่งที่พระพุทธเจ้าตรัสเอาไว้เป็นจริงทุกประการ

ประการแรกคือ ร่างกายนี้ไม่ใช่ของเรา เป็นเพียงธาตุ ๔ ดิน น้ำ ไฟ ลม ประกอบขึ้นมาให้เราอาศัยอยู่ชั่วคราว กระผม/อาตมภาพก็เลยถือคติว่า
ในเมื่อไม่ใช่ของเรา เราก็ต้องบังคับร่างกาย ไม่ใช่ให้ร่างกายมาบังคับเรา

ประการที่สองคือการปฏิบัติกรรมฐาน โดยเฉพาะอานาปานสติ สามารถระงับกายสังขารได้ คำว่าระงับกายสังขารในที่นี้ สรุปเป็นภาษาไทยง่าย ๆ ว่า ตัดความรู้สึกจากร่างกายไปได้

หลายท่านก็มีประสบการณ์ว่า เวลาเราปฏิบัติธรรม เหมือนอย่างกับโลกโดนตัดหายไปเฉย ๆ ภาพก็ไม่เห็น เสียงก็ไม่ได้ยิน ไม่ต้องไปพูดถึงจมูกได้กลิ่น ลิ้นได้รส กายสัมผัส เหตุที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่า
สภาพจิตกับร่างกายแยกออกเป็นคนละส่วนกัน ในเมื่อเป็นเช่นนั้น จิตไม่ไปรับรู้อาการทางร่างกาย ร่างกายอยากจะเป็นอะไรก็เป็นไป..!
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 05-04-2023 เมื่อ 03:19
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 49 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #3  
เก่า 04-04-2023, 23:57
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,713
ได้ให้อนุโมทนา: 152,065
ได้รับอนุโมทนา 4,418,735 ครั้ง ใน 34,303 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

มีอยู่ช่วงหนึ่ง สมัยนั้นกระผม/อาตมภาพยังออกธุดงค์อยู่เป็นปกติ แล้วไปพลาดท่าจากการเดินทางไปน้ำตกทุ่งนางครวญครั้งแรก ๆ สมัยนั้นยังไม่มีการเปิดทางให้เป็นแหล่งท่องเที่ยว ตอนนั้นตั้งใจที่จะดูให้ตลอดว่าน้ำตกมีกี่ชั้น ? ปรากฏว่าตอนปีนลงน้ำตกชั้นสูงสุด เนื่องจากไม่ใช่เส้นทางที่คนเขาขึ้นลงกัน เพราะว่าช่วงนั้นยังไม่มีทางขึ้นลง ตอนปีนลงมือเหนี่ยวก้อนหินแล้วก้อนหินติดมือมาด้วย..! จึงร่วงลงไปข้างล่าง กระแทกพื้น ก็เจ้ากรรมว่าเอาก้นไปกระแทกกับก้อนหินเข้าพอดี จนเกิดอาการบวมช้ำขึ้นมา ประมาณลูกปิงปอง แล้วกลายเป็นฝีกลัดหนองในภายหลัง จึงต้องไปให้หมอผ่า

หมอที่ทำหน้าที่ผ่าตัดเล็กครั้งนั้นก็คือหมอเหลือง (นายแพทย์อภิศักดิ์ เหลืองเวชการ) ที่อำเภออู่ทอง จังหวัดสุพรรณบุรี ไปผ่าตัดที่เหลืองเวชการคลีนิค คุณหมอก็ฉีดยาชาให้ ๓ - ๔ เข็ม แล้วก็เริ่มลงมือผ่า กระผม/อาตมภาพก็นอนคุยกับหมอไปเรื่อย พอถึงเวลาหมอตั้งใจจะคว้านเนื้อที่เน่าออกให้หมด ก็บอกกับหมอว่า "ตอนนี้เจ็บฉิบหายแล้วนะหมอ" หมอก็ตกใจว่าทำไมยาชาไม่ได้ผล ปรากฏว่าจุดที่หมอฉีดยาชาทั้งหมด ยาลงไปในบริเวณที่กลัดหนอง ไม่ได้อยู่ที่กล้ามเนื้อบริเวณที่จะทำให้ชา หมอบอกว่าเกิดมาก็ไม่เคยพบเคยเห็นว่า ใครที่โดนผ่าตัดเหมือนกับผ่าสด ๆ แล้วยังนอนคุยกับหมอหน้าตาเฉย..!

ครั้งนี้ก็นอนให้หมอผ่า เจ้ากรรมว่าเครื่องอัตโนมัติดันร้องขึ้นมาพอดี ก็เลยถามหมอว่า "ตกลงเครื่องแจ้งว่าหัวใจหยุดเต้นแล้วใช่ไหม ?" ก็เลยทำให้ทุกคนหัวเราะ บรรยากาศในห้องผ่าตัดหายเครียดไปได้

อีกประการหนึ่งก็คือ การที่การปฏิบัติธรรมของเรา ถ้าสามารถทรงรูปฌาน ๑ - ๒ - ๓ - ๔ ได้คล่องตัวแล้ว ก็ควรที่จะจับกสิณกองใดกองหนึ่งขึ้นมา เว้นเสียจากอาโลกกสิณก็คือแสงสว่าง กับอากาสกสิณก็คือการพิจารณาช่องว่าง

ถามว่าทำไมถึงต้องเว้น ? เพราะว่าการที่เราจะทำเป็นอรูปฌานนั้น ตัวอากาสกสิณคือช่องว่าง มีความคล้ายคลึงกันมากกับอากาสานัญจายตนฌาน ถ้าเราแยกไม่ออกก็จะไม่สามารถทำเป็นอรูปฌานได้ ส่วนอาโลกกสิณนั้นเป็นการจับแสงสว่าง ถ้าหากว่าเผลอกำหนดผิด ก็จะไม่เป็นอรูปฌานเช่นกัน

แล้วถ้าถามว่า
อากาสกสิณกับอากาสานัญจายตนฌานต่างกันอย่างไร ? ต่างกันตรงที่ว่าอากาสกสิณนั้นจับแค่ช่องว่าง ส่วนอากาสานัญจายตนฌานนั้นจับความกว้างไม่มีขอบเขตของอากาศ ฟังรู้เรื่องไหมนี่ ? ถ้าหากว่าเราทำไปจนกระทั่งถึงเนวสัญญานาสัญญายตนฌาน ที่เป็นอรูปฌานที่ ๔ หรือสมาบัติที่ ๘ เกิดอะไรขึ้นกับร่างกายเราก็ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ได้
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 05-04-2023 เมื่อ 03:26
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 44 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #4  
เก่า 05-04-2023, 00:02
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,713
ได้ให้อนุโมทนา: 152,065
ได้รับอนุโมทนา 4,418,735 ครั้ง ใน 34,303 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

อย่างหลวงพ่อเกษม เขมโก สำนักสุสานไตรลักษณ์ ท่านนั่งตากแดดร้อนเปรี้ยง ๆ อยู่เป็นเดือน ๆ จนหนังลอกเป็นแผ่น ๆ ก็ไม่เห็นท่านเป็นอะไร ก็คือร้อนก็ทำเป็นไม่ร้อน หนาวก็ทำเป็นไม่หนาว หิวก็ทำเป็นไม่หิว เป็นอาการที่กำลังจิตมีสภาพเหนือกว่าร่างกาย ความจริงตั้งแต่ปฐมฌานขึ้นไป ก็มีสภาพที่เหนือกว่าร่างกายแล้ว แต่ว่าไม่มาก ถ้าจะเอาระดับสูงสุด ก็ต้องถึงสมาบัติที่ ๘ หรืออรูปฌานที่ ๔

แล้วอรูปฌานเป็นเรื่องที่แปลกมาก ไม่ว่าจะเป็นอรูปฌานที่ ๑ ที่ ๒ ที่ ๓ ที่ ๔ กำลังก็คือรูปฌาน ๔ ทั้งหมด เพียงแต่ว่ากำหนดภาพกสิณขึ้นมาแล้วทิ้ง หรือที่ภาษาโบราณเรียกว่า "เพิกภาพนั้นเสีย" แล้วก็ไปจับความว่างของอากาศบ้าง จับความไม่มีขอบเขตของวิญญาณบ้าง จับความไม่เหลืออะไรแม้แต่น้อยหนึ่งเลยบ้าง จนกระทั่งท้ายสุด รู้สึกก็ทำเป็นไม่รู้สึกบ้าง

ในเรื่องของสมาธิทั่ว ๆ ไป ถ้าท่านทั้งหลายมีของเก่าอยู่ สามารถที่จะกระโดดข้ามขั้นได้ บางท่านตั้งใจภาวนาเอาแค่ปฐมฌาน อาจจะไปถึงฌาน ๔ โดยไม่รู้ตัว เพราะว่ามีความชำนาญในชาติก่อน ๆ มาด้วย แต่อรูปฌานนั้นอย่างไรก็ต้องไปตามลำดับ

เพราะว่าอากาสานัญจายตนฌานนั้น จับความว่างไม่มีขอบเขตของอากาศ พอขยับไปอรูปฌานที่ ๒ คือวิญญานัญจายตนฌานนั้น จะกำหนดความรู้สึกว่า ถึงแม้อากาศนี้จะว่างอยู่ แต่เรายังสามารถใช้ความรู้สึกคือวิญญาณ กำหนดขอบเขตนั้นได้ จึงไปจับความกว้างไม่มีขอบเขตของวิญญาณแทน

เมื่อก้าวเข้าไปถึงอากิญจัญญายตนฌาน อรูปฌานที่ ๓ ก็เพิ่มความรู้สึกเข้าไปว่า แม้ความรู้สึกของเราจะไม่มีขอบเขต แต่จิตนี้ก็ยังมีการหน่วงยึดอยู่ ก็คือเราต้องยึดความรู้สึกที่ว่าไม่มีขอบเขตนั้น ก็จะปล่อยวางการยึดลง กลายเป็นว่าอะไรแม้แต่น้อยหนึ่งก็ไม่ยึดเอาไว้ เมื่อมาถึงตรงจุดนี้แล้ว ถึงจะรู้สึกทำเป็นไม่รู้สึกได้ ก็คือเนวสัญญานาสัญญายตนฌาน อรูปฌานที่ ๔ ฟัง ๆ เอาไว้ก่อน เผื่อใครมีโอกาสทำได้บ้าง..!

สมัยที่กระผม/อาตมภาพอยู่ที่เกาะพระฤๅษี มีต้นไม้อยู่ต้นหนึ่ง เขาเรียกว่าประดู่เลือด หรือว่าประดู่ส้ม พอแตกใบอ่อนเมื่อไรจะมีผีเสื้อมาวางไข่ แล้วออกมาเป็นหนอนคัน ได้เกาคะเยอกันทุกปี เพราะว่าต้นไม้สูงใหญ่มาก ถึงเวลาขนของหนอนปลิวไปถึงไหนก็คันถึงที่นั่น โดยเฉพาะคุณจิรา ลิ่วเฉลิมวงศ์ นามสกุลนี้ท่านทั้งหลายอาจจะคุ้น เพราะว่าน้องแบม (จณิสตา ลิ่วเฉลิมวงศ์) ก็เป็นดาราที่มีชื่อเสียงอยู่ เป็นลูกหลานของเขาเอง มาอยู่ปฏิบัติธรรมแล้วปรากฏว่าแพ้ขนบุ้ง คอบวม หายใจไม่ออก เกือบตาย กระผม/อาตมภาพก็เลยตัดสินใจว่าจะต้องตัดต้นประดู่นี้ทิ้งไปเลย..!
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 05-04-2023 เมื่อ 03:29
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 45 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #5  
เก่า 05-04-2023, 00:07
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,713
ได้ให้อนุโมทนา: 152,065
ได้รับอนุโมทนา 4,418,735 ครั้ง ใน 34,303 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

คราวนี้ไม่มีใครขึ้นไป เพราะว่าหนอนคันเต็มไปทั้งต้น กระผม/อาตมภาพก็เลยต้องขึ้นไปเอง โดยการตัดเลาะกิ่งอื่นทิ้งให้หมดก่อน ให้เหลือแต่ลำต้น ถึงเวลาโค่นลงจะได้ไม่ไปกระทบอะไร ปรากฏว่าพอลงมาข้างล่าง ทั้งเนื้อทั้งตัวก็มีแต่ตุ่มซ้อนตุ่ม หนาเห่อไปทั้งตัว สองชั้น สามชั้น สี่ชั้น เพราะว่าโดนขนหนอนบุ้งทั้งตัว หลังจากอาบน้ำเสร็จเรียบร้อยแล้ว ตอนนั้นทิดตู่ (นายชาญชัย อาจิระวัฒน์) ยังบวชเป็นสามเณรอยู่ มาถามว่า "หลวงพี่ไม่คันหรือครับ ?" เลยบอกไปว่า "มึงก็อย่าไปคิดถึงสิวะ..!" จนป่านนี้ทิดตู่รู้หรือยังก็ไม่รู้ ว่าตอนนั้นกระผม/อาตมภาพทำอะไรอยู่ เพราะถ้าเป็นคนทั่ว ๆ ไปก็คงเกากันเลือดเข้าเลือดออกไปเรียบร้อยแล้ว..!

ดังนั้น
..สิ่งที่พระพุทธเจ้าตรัสสอนเรามา ไม่ว่าจะเป็นสมถกรรมฐาน คือการระงับใจให้สงบ รัก โลภ โกรธ หลง กินไม่ได้ชั่วคราว หรือว่าวิปัสสนากรรมฐาน การรู้แจ้งเห็นจริง สภาพจิตยอมรับ แล้วปล่อยวางได้ก็ตาม ล้วนแล้วแต่มีประโยชน์ทั้งสิ้น ทั้งสองอย่างต้องทำควบคู่กันไปถึงจะเกิดผลเร็วมาก

ถ้าหากว่าท่านทั้งหลายทำมาในด้านของรูปฌาน อย่างน้อย ๆ กำลังใจก็ควบคุมร่างกายได้ในระดับหนึ่ง เจ็บไข้ได้ป่วยก็แสดงออกน้อยลง แต่ถ้าทำมาทางอรูปฌานก็จะไม่ใส่ใจร่างกายไปเลย ถือว่าถ้าจะใช้ประโยชน์แค่ทางโลก ๆ ก็มีประโยชน์มากตรงที่ระงับอาการทางร่างกายได้

แต่ถ้าจะใช้ประโยชน์ในทางธรรม ก็จำเป็นอย่างยิ่งที่ท่านทั้งหลายจะต้องกลับไปพิจารณาในวิปัสสนาญาณ ให้เห็นชัดเจนว่าร่างกายนี้ไม่เที่ยงอย่างไร เป็นทุกข์อย่างไร ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเราอย่างไร ถ้าสภาพจิตยอมรับ ก็จะปล่อยวางการยึดมั่นถือมั่น ปล่อยได้มากเท่าไร ความเป็นพระอริยเจ้าก็เข้าถึงเรามากเท่านั้น


สำหรับวันนี้ ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้

พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
วันอังคารที่ ๔ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๖๖
(ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 14-11-2023 เมื่อ 15:23
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 47 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
ตอบ


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 
คำสั่งเพิ่มเติม

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 04:23



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว