กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะพระอาจารย์ > พระครูวิลาศกาญจนธรรม (หลวงพ่อเล็ก สุธมฺมปญฺโญ) > เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน > เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน ปี ๒๕๖๖ > เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน เดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๖๖

Notices

ตอบ
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #1  
เก่า 17-02-2023, 18:51
ตัวเล็ก's Avatar
ตัวเล็ก ตัวเล็ก is offline
กรรมการเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Mar 2009
ข้อความ: 10,563
ได้ให้อนุโมทนา: 216,949
ได้รับอนุโมทนา 748,070 ครั้ง ใน 36,431 โพสต์
ตัวเล็ก is on a distinguished road
Default เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันศุกร์ที่ ๑๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๖

เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันศุกร์ที่ ๑๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๖


__________________
มารใช้ คนทุกคน ของทุกชิ้น สัตว์ทุกตัว เป็นเครื่องมือในการขวางเรา โดยเฉพาะคนที่เรารักมากที่สุด
(-/\-) (-/\-) (-/\-)
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 44 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ตัวเล็ก ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #2  
เก่า 17-02-2023, 23:35
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,720
ได้ให้อนุโมทนา: 152,086
ได้รับอนุโมทนา 4,418,960 ครั้ง ใน 34,310 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

วันนี้ตรงกับวันศุกร์ที่ ๑๗ กุมภาพันธ์ พุทธศักราช ๒๕๖๖ ญาติโยมถ้าฟังเสียงกระผม/อาตมภาพแล้วรู้สึกรำคาญหู จะปิดเสียงไปเลยก็ได้..!

กระผม/อาตมภาพเองอยู่ในสภาพอากาศที่ค่อนข้างจะย่ำแย่ ก็คือเดี๋ยวอากาศหนาว เดี๋ยวอากาศร้อน ซ้ำยังฝนตกอีกด้วย สภาพร่างกายที่มีโรคภัยไข้เจ็บประจำตัว คือมาลาเรียเรื้อรัง ซึ่งโรคนี้ถ้าหากว่าพักผ่อนไม่พอเมื่อไร อาการก็จะกำเริบทันที แล้วถ้าหากว่าเจ็บไข้ได้ป่วยด้วยโรคอื่นใด มาลาเรียก็จะช่วยซ้ำให้โรคนั้นหนักขึ้น..!

หลายคนพอได้ยินก็รีบแนะนำยาอย่างโน้น หมออย่างนี้ กระผม/อาตมภาพขอบอกกับทุกท่านว่าอย่าเสียเวลาแนะนำ จากการที่ป่วยด้วยโรคนี้มาตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๒๔ จนถึงปัจจุบันนี้ ไม่มียาอะไรและไม่มีหมออะไรที่ไม่เคยรักษา ยาทุกประเภท หมอทุกประเภทรักษามาหมดแล้ว

แต่ด้วยเหตุที่ว่าสร้างเวรสร้างกรรมเอาไว้มาก จึงเกิดอาการ Deadlock ก็คือไม่ว่าจะฉันยาอะไรก็ตาม ถ้าไม่ส่งผลร้ายให้ ก็ไม่ส่งผลดีให้เช่นกัน อย่างเช่นว่ายาที่มีธาตุเย็น ฉันลงไปเมื่อไร อาการจะกำเริบซ้ำเติมขึ้นมาทันที ส่วนยาที่เป็นธาตุร้อน ถ้าฉันลงไปเมื่อไร เสียงก็แหบ ไม่สามารถที่จะเทศน์หรือว่าแสดงธรรมได้ หรือถ้าหากว่าจะฝืนใช้ร่างกายก็จะมีสภาพอย่างที่ญาติโยมทั้งหลายได้ยินอยู่ในขณะนี้

ดังนั้น..ยาที่ท่านทั้งหลายเห็นว่าดี ขอยืนยันว่าไม่ได้ดีกับกระผม/อาตมภาพแม้แต่อย่างเดียว ตลอดระยะเวลา ๓๐ กว่าปีที่ฉันยามาทุกชนิดทุกประเภท ยาบางอย่างออกฤทธิ์บีบจนกระผม/อาตมภาพจะตายอยู่แล้ว แต่ว่าเชื้อโรคกลับไม่ตาย..!

จนกระทั่งท้ายสุด กระผม/อาตมภาพตัดสินใจเลิกฉันยาทุกประเภทมาประมาณ ๔ - ๕ ปีแล้ว ปรากฏว่าสุขภาพดีขึ้นกว่าเดิมมาก ก็แปลว่าในเรื่องของวาระกรรมนั้น ถ้ายังไม่เปิดเมื่อไร ท่านทั้งหลายก็ไม่สามารถที่จะหาหมอหายาที่เหมาะสมมาได้ บางท่านวาระกรรมเปิด แม้แต่ยาที่ไม่คิดว่าจะเป็นยา กินลงไปก็ยังหายได้ ซึ่งเป็นเรื่องที่อัศจรรย์เกินกว่าที่เราทั้งหลายจะคาดคิดถึง
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 18-02-2023 เมื่อ 00:25
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 37 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #3  
เก่า 17-02-2023, 23:38
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,720
ได้ให้อนุโมทนา: 152,086
ได้รับอนุโมทนา 4,418,960 ครั้ง ใน 34,310 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ดังนั้น..ในเรื่องที่เป็นอจินไตย คือเรื่องที่ไม่ควรที่จะเอามาคิดทั้ง ๔ อย่าง ซึ่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสเอาไว้นั้น มีข้อหนึ่งคือกรรมวิบาก การส่งผลของกรรม ไม่ว่าอย่างไร เราก็ต้องรับผลอันนั้น สิ่งหนึ่งประการใดที่ดีสำหรับผู้อื่น แต่สำหรับผู้ที่จะรับผลของกรรมหรือว่าต้องรับผลของกรรมนั้น สิ่งนั้นกลับกลายเป็นส่งผลร้ายไปให้

ท่านทั้งหลายจึงไม่มีความจำเป็นที่จะต้องส่งยามา เพราะว่ากระผม/อาตมภาพเองฉันยามาทุกประเภท ไม่ว่าจะเป็นยาฝรั่ง ยาไทย หรือว่ากระทั่งยาโบราณ ยาพระบอก ยาผีบอกทุกประเภท แม้กระทั่งกลายเป็นหนูลองยาของเวชศาสตร์เขตร้อนก็ตาม

ดังนั้น..ในส่วนนี้
กระผม/อาตมภาพก็ได้แต่ประคับประคองร่างกายไปวันหนึ่ง ๆ อาศัยการสร้างบุญสร้างกุศลเพื่อบรรเทาเบาบางเคราะห์กรรมตรงนี้ลงไป โดยที่ไม่เคยคิดว่าจะอยู่ได้มากกว่าวันนี้ สิ่งที่ทำจึงเป็นการปฏิบัติหน้าที่ในลักษณะวันนี้เป็นวันสุดท้าย ในเมื่อกระทำวันนี้เป็นวันสุดท้าย เราจึงต้องทำให้ดีที่สุด ทำให้เต็มที่ที่สุด

ตรงจุดนี้ ครูบาอาจารย์คือพระเดชพระคุณหลวงพ่อฤๅษีฯ วัดท่าซุง ท่านทำองค์เป็นตัวอย่างให้กระผม/อาตมภาพเห็นมาตั้งแต่ปี ๒๕๑๘ จนถึง ๒๕๓๕ ตลอดระยะเวลา ๑๗ ปีเต็ม ๆ ที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อท่านปฏิบัติหน้าที่โดยไม่เห็นแก่ความเหนื่อยยาก สร้างทั้งในสิ่งที่เป็นสาธารณประโยชน์ สร้างทั้งในสิ่งที่เป็นหลักธรรม สร้างทั้งในสิ่งที่เป็นอนุสรณ์สถานสำหรับท่านเอง

แม้ว่าท่านไม่ได้ตั้งเจตนาจะทำเป็นอนุสรณ์สถานสำหรับตนเอง แต่ถ้ากล่าวถึงศาลา ๒ ไร่ ศาลา ๔ ไร่ ศาลา ๑๒ ไร่ หรือว่าวิหารแก้ว ๑๐๐ เมตร ก็จะไม่มีการนึกถึงผู้อื่น ทุกรูปทุกนามล้วนแล้วแต่นึกถึงพระเดชพระคุณหลวงพ่อฤๅษีฯ ว่าเป็นผู้ริเริ่ม เป็นผู้สร้างทั้งสิ้น

ในเมื่อเป็นเช่นนั้น จึงเป็นเรื่องที่ท่านก็กระทำให้เห็นแล้วว่า สิ่งที่ท่านทำนั้นท่านก็ทำเป็นวันสุดท้ายเช่นกัน แล้วอาการเจ็บไข้ได้ป่วยของท่านนั้น หนักหนากว่ากระผม/อาตมภาพหลายเท่า แม้กระทั่งบางวัน ท่านเองอยากจะฉันแกงเผ็ด เพราะว่าปากคอจืดหมด ขาดสารอาหารอย่างแรง เพียงแค่เอาช้อนแตะน้ำแกงหน่อยหนึ่งแล้วแตะปลายลิ้น โรคภัยไข้เจ็บที่กินท่านอยู่ก็ทำให้อาการเจ็บปวดอักเสบที่เป็นอยู่นั้น ทันทีที่รับรสเผ็ดเข้าไป ท่านบอกว่าอักเสบไปถึงลำไส้..!
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 18-02-2023 เมื่อ 00:29
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 37 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #4  
เก่า 17-02-2023, 23:42
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,720
ได้ให้อนุโมทนา: 152,086
ได้รับอนุโมทนา 4,418,960 ครั้ง ใน 34,310 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

เรื่องพวกนี้พูดไป ท่านที่ไม่เคยเจอ ไม่เคยพบ ไม่เคยเห็น จินตนาการอย่างไรก็นึกไม่ถึงว่าอาการเจ็บป่วยจะทรมานได้ขนาดนั้น แล้วบุคคลหนึ่งก็ยังอุตส่าห์ดำรงขันธ์เอาไว้ เพื่อทำงานที่พระท่านสั่งให้ดีที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้นั้น ท่านทำกันได้อย่างไร ?

ถ้าเราไปนึกถึงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ประชวรปักขันธิกาพาธ ซึ่งแปลเป็นไทยว่า เป็นโรคถ่ายเป็นเลือด ถ้าเป็นสมัยนี้ หมอก็น่าจะวินิจฉัยว่าเป็นกระเพาะอาหารหรือว่าลำไส้ทะลุ ทำให้กำลังของพระองค์ท่านหมดไป

จากที่เคยเสด็จพระราชดำเนินได้วันละ ๑๒๐ โยชน์ ก็ต้องเดินไปพักไป กว่าจะถึงสาลวโนทยานนั้น ถ้าเป็นบุคคลทั่วไปก็อาจจะล้มลง สิ้นชีวิตไปนานแล้ว แต่ด้วยอธิวาสนขันติ ซึ่งท่านเองกำหนดอยู่เป็นกำลังส่วนองค์ แม้ว่ากำลังกายจะหมดแล้ว แต่กำลังใจที่เข้มแข็ง ก็ยังลากร่างกายนั้นไปจนกระทั่งถึงสาลวโนทยาน อันเป็นสถานที่ซึ่งพระองค์ท่านตั้งใจจะไปดับขันธ์พระปรินิพพานที่นั่น

หรือถ้าหากว่าไปนึกถึงพระเถระครูบาอาจารย์ในยุคที่พวกเราทั้งหลายยังสามารถทัน หรือว่าใกล้เคียง อย่างหลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต ซึ่งท่านเจ็บไข้ได้ป่วยอยู่ในป่าในดง แต่ด้วยความที่เวทนาสงสารว่า สรรพชีวิตทั้งหลายอาจจะต้องมาดับสิ้นลงไป เพราะว่างานศพของท่านก็จะต้องมีการเลี้ยงกัน

ในเมื่อมีการจัดเลี้ยงก็ต้องมีการล้มวัว ล้มควาย ฆ่าหมู ฆ่าไก่ ท่านจึงยอมให้เขาเอาขึ้นเกวียนบ้าง แบกหามไปบ้าง จนกระทั่งไปถึงตัวเมืองสกลนคร ซึ่งการขึ้นลงนั้น กระผม/อาตมภาพเองมีประสบการณ์ว่า เวลาอาการเจ็บป่วยกำเริบหนัก ๆ นั้น แค่รถสะเทือนนิดหน่อยก็แทบจะขาดใจตายแล้ว แต่ว่าหลวงปู่มั่นก็ใช้อำนาจของขันติ อำนาจของกำลังใจ อดทนอดกลั้นจนกระทั่งไปถึงสถานที่ซึ่งท่านตั้งใจจะเข้านิพพาน

หรือว่าพระเดชพระคุณหลวงพ่อฤๅษีฯ วัดท่าซุง แม้กระทั่งวันสุดท้าย ท่านเองก็ยังให้พวกกระผม/อาตมภาพส่งท่านออกไปรับแขก ท่านบอกว่าคนอื่นเขาตั้งใจมาหา เขามาไกล มาแล้วไม่พบเขาจะเสียกำลังใจ แล้วก็เพียรพยายามที่จะไปเพื่อที่จะรับแขกให้ได้ ทั้ง ๆ ที่สายตาของท่านนั้นไม่สามารถที่จะแยกแยะผู้คนได้แล้ว เนื่องเพราะว่ากำลังกายหมดไป ทำให้สายตาพร่ามัว เห็นคนก็เป็นเพียงเงา ๆ เท่านั้น แยกแยะได้ว่าเป็นผู้หญิงผู้ชายหรือว่าเป็นพระเป็นโยม ก็นับว่าเก่งมากแล้ว..!
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 18-02-2023 เมื่อ 00:31
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 35 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #5  
เก่า 17-02-2023, 23:45
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,720
ได้ให้อนุโมทนา: 152,086
ได้รับอนุโมทนา 4,418,960 ครั้ง ใน 34,310 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

สิ่งที่ท่านทั้งหลายอดทนอดกลั้นไปนั้นเกิดจากมานะ ซึ่งเป็นปุพเพกตปุญญตา ก็คือบุญกุศลหรือบารมีที่สร้างมาในอดีตชาติ เคยเกิดเป็นพระเจ้าจักรพรรดิ เคยเกิดเป็นพระมหากษัตริย์ เคยเกิดเป็นผู้นำคนมานับชาติไม่ถ้วน สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ทำให้ท่านทั้งหลายนั้น มีมานะว่าจะแสดงความอ่อนแอต่อหน้าคนอื่นไม่ได้

แม้กระทั่งพระเดชพระคุณหลวงพ่อฤๅษีฯ ก็เช่นกัน เมื่อกระผม/อาตมภาพรับท่านลงจากตึกริมน้ำ เพื่อที่จะขึ้นรถยนต์ไปรับแขกที่ตึกรับแขกใหม่ ท่านจะต้องลงบันไดประมาณ ๓ ขั้น กระผม/อาตมภาพเกรงว่าท่านจะสะดุดล้มจึงจับแขนของท่านเอาไว้ เมื่อท่านก้าวลงถึงบันไดขั้นสุดท้าย ก็สะบัดแขนออกทันที ขอเดินด้วยองค์ท่านเอง..!

ตรงนี้ทำให้เห็นชัดเป็นอย่างยิ่งว่า ในส่วนของมานะกษัตริย์ หรือที่เรียกว่าขัตติยมานะนั้น ก็เป็นสิ่งที่ฝังรากลึกอยู่ในขันธสันดานเหมือนกัน เมื่อถึงเวลาก็ต้องแสดงออกซึ่งความเข้มแข็งโดยส่วนเดียว เจ็บไข้ได้ป่วยแค่ไหนก็ไม่ออกอาการให้คนอื่นเห็น เวลาสู้รบกับข้าศึก บาดเจ็บแค่ไหนก็จะไม่ร้องให้ข้าศึกนั้นได้ใจ..!

ดังนั้น..ท่านทั้งหลายเหล่านี้จึงเป็นคนปากหนักโดยปริยาย ถ้าหากว่าโอดครวญขึ้นมาเมื่อไร แปลว่าสิ่งนั้นเกินกว่าที่อำนาจของร่างกายและจิตสังขารจะทานไหวแล้ว จึงเป็นเรื่องที่เราท่านทั้งหลายไม่ควรไปคิดถึงอีกประเภทหนึ่ง

เนื่องเพราะว่าพุทธวิสัย คือความสามารถของพระพุทธเจ้าก็ดี ฌานวิสัย ความสามารถของบุคคลผู้ทรงฌานทรงสมาบัติก็ตาม กรรมวิบาก การส่งผลของกรรม ตลอดจนกระทั่งโลกจินไตย ความเป็นไปของโลกนั้น เป็นสิ่งที่เราไม่ควรที่จะไปคิด

สิ่งหนึ่งประการใดที่ท่านทำ เป็นความดีความงามสำหรับพระพุทธศาสนา สำหรับส่วนรวม เราก็แค่ทำใจโมทนาในคุณงามความดีนั้นไป ในส่วนอื่น ๆ นั้น เราไม่มีสิทธิ์ไม่มีส่วนที่จะไปช่วยเหลืออะไรท่านได้ แค่เอาใจช่วยอยู่ห่าง ๆ อย่างห่วง ๆ ก็พอแล้ว

สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้

พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
วันศุกร์ที่ ๑๗ กุมภาพันธ์ พุทธศักราช ๒๕๖๖
(ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 18-02-2023 เมื่อ 00:34
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 45 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
ตอบ


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 
คำสั่งเพิ่มเติม

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 10:50



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว