#1
|
||||
|
||||
ปกิณกธรรมจากวัดท่าขนุน วันพฤหัสบดีที่ ๑๔ เมษายน ๒๕๖๕
ปกิณกธรรมจากวัดท่าขนุน วันพฤหัสบดีที่ ๑๔ เมษายน ๒๕๖๕
__________________
มารใช้ คนทุกคน ของทุกชิ้น สัตว์ทุกตัว เป็นเครื่องมือในการขวางเรา โดยเฉพาะคนที่เรารักมากที่สุด (-/\-) (-/\-) (-/\-) |
สมาชิก 28 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ตัวเล็ก ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#2
|
||||
|
||||
วันนี้ตรงกับวันพฤหัสบดีที่ ๑๔ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๖๕ ตรงกับวันขึ้น ๑๓ ค่ำ เดือน ๕ ปีขาล จุลศักราช ๑๖๘๓ เป็นวันสุดท้ายของจุลศักราช ๑๖๘๓ พอพรุ่งนี้ก็เปลี่ยนศกใหม่ เป็นจุลศักราช ๑๘๖๔
จุลศักราช บางคนเรียกง่าย ๆ ว่า ศักราชพม่า เกิดจากการที่พระเจ้าอโนรธามังช่อ หรือที่คนไทยเรียกว่า พระเจ้าอนุรุทธมหาราช ผู้ก่อตั้งอาณาจักรพุกาม แสดงพระราชอำนาจด้วยการลบศักราช ก็คือ "ของเก่าคุณจะใช้อะไรมาก็ช่าง ของใหม่ผมจะเอาอย่างนี้" ถ้าหากว่าไม่ใช่บุคคลที่มากบุญมากบารมีจริง ๆ จนเป็นที่ยอมรับนับถือของประเทศอื่น ๆ ก็จะไม่มีใครยอมใช้ตาม แต่คราวนี้พระเจ้าอนุรุทธมหาราชสามารถขยายอาณาจักรพุกามได้ใหญ่โตมโหฬาร แล้วก็ยึดอาณาจักรสุธรรมวดี ที่คนพม่าเรียกว่า "ตะโทง" ของมอญ ซึ่งมีพระเจ้ามนูหะเป็นผู้ครองอาณาจักร ไปอยู่ใต้ขอบขัณฑสีมา ความจริงแล้วพระเจ้าอนุรุทธมหาราชไม่ได้ต้องการที่จะยึดอาณาจักรมอญ พระองค์เห็นว่าอาณาจักรมอญนั้น เจริญรุ่งเรืองด้วยศิลปะวัฒนธรรมต่าง ๆ ประชาชาติอยู่กันสงบสุขร่มเย็น เพราะว่ามีพระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติ เป็นหลักยึด เป็นแนวทางในการประพฤติปฏิบัติ จึงมีพระราชสาส์นถึงพระเจ้ามนูหะ ขอพระไตรปิฎกและพระสงฆ์ไปช่วยเผยแผ่พระพุทธศาสนาในจังหวัดพุกามด้วย ไม่ทราบว่าพระเจ้ามนูหะดูถูกว่า "ชาวเผี่ยว" หรือที่คนไทยอ่านว่า "พยู" PYU พม่าอ่านว่าเผี่ยว เมื่อสักครู่นี้ออกเสียงภาษาอังกฤษแบบพม่า สำเนียงแบบนี้ใครเก่งภาษาอังกฤษไปใหม่ ๆ ก็ใบ้รับประทาน อาตมาไปถึงอาทิตย์หนึ่งยังคิดว่า "กูรู้ภาษาอังกฤษหรือเปล่าวะ ? ทำไมฟังไม่รู้เรื่องเลย" ภาษาอังกฤษแบบพม่าเขียนอย่างหนึ่ง อ่านอย่างหนึ่ง แล้วเขาก็ดันมั่นใจเสียด้วยว่าของเขานั้นถูก พระเจ้ามนูหะดูถูกว่าชาวเผี่ยวรวมตัวขึ้นมาจากชาวป่าชาวเขา เป็นคนบ้านนอกคอกนา จะบังอาจมาเทียบกับชาวมอญที่ศิวิไลซ์ได้อย่างไร ก็เลยไม่ยอมให้ พระเจ้าอนุรุทธโกรธ พระองค์มีสิทธิ์ที่จะโกรธได้ เพราะว่าพระองค์ท่านไม่มีหลักธรรมในพระพุทธศาสนาไว้ปฏิบัติ ไม่ต้องมีความอดทน อดกลั้น อดออม จึงยกทัพไปเหยียบอาณาจักรสุธรรมวดีกระจายเลย แล้วก็กวาดต้อนช้างม้าวัวควาย ผู้คน ตลอดจนอัญเชิญพระไตรปิฎก นิมนต์พระเจ้าพระสงฆ์ขึ้นไปอาณาจักรพุกาม ตั้งแต่นั้นมา พุกามก็มีพระพุทธศาสนาเป็นแนวทางในการประพฤติปฏิบัติ แล้วก็นิยมสร้างพระเจดีย์แข่งกัน
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 16-04-2022 เมื่อ 05:44 |
สมาชิก 26 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#3
|
||||
|
||||
เพราะฉะนั้น..ใครที่เคยไปเที่ยวเมืองพุกาม ทุกคนจะต้องไปชมอาณาจักรพระเจดีย์ ๔,๐๐๐ องค์ ริมฝั่งแม่น้ำเอยาวดี ที่คนไทยเรียกว่า อิระวดี เป็นเจดีย์ใหญ่โตมโหฬารเหมือนกับเมืองทั้งเมือง เพราะว่าเป็นเจดีย์ใหญ่โตมหึมา มีกำแพงล้อมรอบ มีประตูเข้า ๔ ทิศ เหมือนเมืองเลย แล้วก็ไม่ได้มีแค่องค์เดียว มีหลายต่อหลายองค์ด้วยกัน
อย่างเช่น พระมหาเจดีย์อะนันดา พระมหาเจดีย์มิงกะลา พระมหาเจดีย์ธัมมะยันจี พระมหาเจดีย์สุระมณี พระมหาเจดีย์กะเด๊าะปะลิน เป็นต้น แล้วก็มีเจดีย์องค์เล็ก ๆ ถ้าเราไปยืนก็สูงประมาณแค่หัว ก็คือทั้งใหญ่ทั้งเล็ก แล้วแต่ว่าเจ้าภาพที่สร้างจะลงทุนไปมากน้อยเท่าไร พระเจ้าอนุรุทธมหาราช เมื่อสามารถตีอาณาจักรมอญ ที่ถือว่าตอนนั้นเจริญรุ่งเรืองที่สุด ยิ่งใหญ่ที่สุด แล้วจับเอาพระเจ้ามนูหะกับพระนางสัจจาเทวีไปคุมขังไว้ที่เมืองพุกาม ทุกคนก็ยอมรับในพระราชอำนาจ เมื่อท่านประกาศลบศักราช ของเก่าเคยใช้อะไรก็ไม่รู้..ลืมถามไป หันมาใช้จุลศักราชใหม่ จากวันนั้นถึงวันนี้ ก็ ๑๖๘๓ ปีเต็ม พรุ่งนี้จะขึ้นปีที่ ๑๖๘๔ แล้ว ดังนั้น...เราจะเห็นว่าการเปลี่ยนศักราช ถ้าไม่ใช่พระมหากษัตริย์ที่ทรงกฤษดาภินิหาร ประกอบด้วยบุญญาบารมี เป็นที่หวั่นเกรงของประเทศต่าง ๆ ก็ไม่สามารถที่จะทำได้ ประวัติศาสตร์ชาติไทยต้องบอกว่ายังไม่มี แต่ในเขตประเทศไทย ซึ่งเคยมีอาณาจักรหริภุญไชยเคยมีมาแล้ว ก็คือในสมัยของพระแม่เจ้าจามเทวี บรมราชนารีศรีสุริยวงศ์ องค์บดินทร์ปิ่นธานีหริภุญชัย ชื่อยาวมาก แม่ไม่บอกให้ก็จำไม่ได้หรอก ..(หัวเราะ)... พระแม่เจ้าจามเทวีทรงลบศักราช แจ้งบรรดาอาณาประชาราษฎร์ หัวเมืองใหญ่น้อยต่าง ๆ ให้เปลี่ยนศักราชใหม่ เพื่อหลอกขุนหลวงวิลังคะ พญาลัวะ ลัวะหรือละวะ ซึ่งเป็นคนป่าคนดอยเหมือนกัน แต่ว่ารบเก่งมาก มีฤทธิ์มีอำนาจมาก มาขอแต่งงานกับพระแม่เจ้าจามเทวี โดยไม่ได้สนใจว่าพระแม่เจ้าแต่งงานแล้วกับพระเจ้ารามราชของกรุงละโว้ แถมยังมีพระราชกุมาร ๒ พระองค์แล้ว พูดง่าย ๆ ก็คือ "สวยถูกสเป็ค จะมีลูกกี่คนผมก็ไม่ถือ"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 16-04-2022 เมื่อ 12:20 |
สมาชิก 28 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#4
|
||||
|
||||
พระแม่เจ้าจามเทวีจึงต้องผลัดผ่อนว่าถึงวันนั้น เดือนนั้น ปีนั้น ให้ส่งขบวนขันหมากมาขอ จะยินดีแต่งงานด้วย ช่วงนี้ขอจัดกิจการบ้านเมืองให้เรียบร้อยเสียก่อน เพราะว่าถ้าแต่งงานแล้วก็ต้องไปอยู่กับขุนหลวงวิลังคะ กลัวว่าทางด้านนี้บ้านเมืองจะไม่สงบเรียบร้อย
ถึงเวลาขุนหลวงวิลังคะ พญาลัวะ กลับไปเตรียมขันหมาก พระแม่เจ้าจามเทวีก็ทรงประกาศลบศักราช เลื่อนเวลาเร็วขึ้น ๒ เดือน ประกาศให้ประเทศใหญ่น้อยต่าง ๆ รวมทั้งละโว้บุรี ลวะบุรีหรือลพบุรีนั่นแหละ ซึ่งเป็นเมืองของพระราชสวามีได้รู้ด้วย ทุกคนก็เปลี่ยนศักราชตาม พอถึงเวลาขุนหลวงวิลังคะมาสู่ขอ พระแม่เจ้าจามเทวีก็บอกว่า "เป็นกษัตริย์แล้วทำไมถึงได้ไม่ทำตามสัญญา เลยเวลามาตั้ง ๒ เดือนแล้วค่อยมา ในเมื่อท่านผิดคำพูด เราก็ไม่แต่งงานด้วย" ขุนหลวงวิลังคะงงมาก ต่อให้กูหลับแล้วฝันไป ก็ไม่น่าที่จำผิดถึงขนาดนี้ ไปเที่ยวไล่ถามชาวบ้าน เมืองเล็กเมืองน้อยที่ไหนเขาก็ยืนยันว่าเลยเวลาที่นัดมา ๒ เดือนแล้ว เพราะฉะนั้น...ญาติโยมทั้งหลาย ถ้าหากว่าเราไปเที่ยวลอยกระทงทางภาคเหนือซึ่งเป็นเดือน ๑๒ ภาคเหนือเขาจะบอกว่าเป็นเดือนยี่ ก็คือยี่เป็ง เลยเดือน ๑๒ ไปสองเดือน นั่นคือฝีมือท่านแม่เลยแหละ...! ฉะนั้น...เดือนทางเหนือที่โดนลบศักราชจึงคลาดเคลื่อนกับทางใต้อย่างเรา ๒ เดือน คราวนี้บ้านเราเมืองเราก็รับเอาแบบธรรมเนียมพม่ามามาก ไม่ว่าจะเป็นตั้งแต่ยุคพม่ายึดครองภาคเหนือของเรา ประเภทว่าเป็นข้าขอบขัณฑสีมาก็ดี ยึดเป็นเมืองขึ้นก็ตาม รวม ๆ แล้วประมาณ ๒๐๐ ปี จนกระทั่งพระเจ้าเมกุฏิ เจ้าเมืองเชียงใหม่ ยังกลายเป็นเทพอารักษ์องค์หนึ่งของพม่าที่เขาเคารพนับถือ
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 16-04-2022 เมื่อ 05:50 |
สมาชิก 30 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#5
|
||||
|
||||
แบบธรรมเนียมทั้งหลายของพม่าก็เลยตกมาถึงประเทศไทย โดยเฉพาะด้านโหราศาสตร์ส่วนหนึ่ง ดังนั้น...การใช้วิชาโหราพยากรณ์ ถ้าจะเอาให้แม่นจริง ๆ เขาจะคิดตามจุลศักราช อย่างเช่นวันนี้ เดี๋ยวอีกสักครู่หนึ่ง พระอาทิตย์ก็จะโยกย้ายเข้าสู่ราศีเมษ ตอนนี้ยังอยู่ราศีปลาคู่อยู่ คือราศีมีน ใครชื่อน้องมีนา แปลว่าน้องปลา ขึ้นสู่ราศีเมษ ดาวหัวแกะ เวลา ๙ โมง ๔๕ นาที ๔๖ วินาที เดี๋ยวพวกเราช่วยกันจับเวลาด้วย
ตรงจุดนี้โหราจารย์สมัยก่อนก็มักจะใช้การคำนวณต่าง ๆ ตามหลักจุลศักราชเป็นใหญ่เพื่อความแม่นยำ แต่ว่าของเราก็มีพระโหราจารย์ที่ทรงความสามารถ ถึงขนาดคำนวณย้อนหลังไปได้ว่าพระเจ้าประสูติวันไหน ขึ้นกี่ค่ำ แรมกี่ค่ำ ปีอะไร ย้อนหลังไป ๒,๐๐๐ กว่าปี เพราะฉะนั้น...ใครเกิดปีจอให้รู้ไว้ด้วยนะ ปีจอ วันศุกร์ ขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๖ เป็นวันประสูติของพระพุทธเจ้า อาตมาเกิดช้ากว่าพระพุทธเจ้าเดือนหนึ่ง เพราะว่าเกิด ๑๕ ค่ำเดือน ๗ สี่ปีถึงจะได้ฉลองปีเกิดทีหนึ่ง วิสาขบูชาเดือน ๗ ประมาณ ๓ - ๔ ปีถึงจะมาครั้งหนึ่ง วันนี้ไม่มีอะไร เห็นกำลังจะเปลี่ยนศักราชก็เลยบ่นให้พวกเราฟังไปเรื่อย ๆ ตอนนี้ขอจบลงเพียงเท่านี้ก่อน พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร. ปกิณกะธรรมจากวัดท่าขนุน วันพฤหัสบดีที่ ๑๔ เมษายน ๒๕๖๕ (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 16-04-2022 เมื่อ 05:53 |
สมาชิก 33 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน ) | |
คำสั่งเพิ่มเติม | |
|
|