#1
|
||||
|
||||
เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน วันเสาร์ที่ ๑ ธันวาคม ๒๕๖๑
ขอให้ทุกคนตั้งกายให้ตรง กำหนดสติอยู่ที่ลมหายใจเข้าออก หายใจเข้าให้ความรู้สึกทั้งหมดของเราไหลตามลมหายใจเข้าไป หายใจออกให้ความรู้สึกทั้งหมดของเราไหลตามลมหายใจออกมา ใช้คำภาวนาอะไรก็ได้ที่เรามีความถนัด มีความชำนาญมาแต่เดิม
วันนี้เป็นวันเสาร์ที่ ๑ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๖๑ จากการปฏิบัติธรรมเมื่อวานที่พระเดชพระคุณพระเทพประสิทธินายก (หลวงปู่นาค วัดระฆัง) หรือที่อาตมาเรียกด้วยความเคารพนับถือส่วนตัวว่า "หลวงเตี่ย" ท่านเมตตามาตักเตือนว่าหลายท่านสามารถรักษาศีล ๘ ได้ เพราะว่าทุกอย่างที่ทำก็เท่ากับศีล ๘ อยู่แล้ว ยกเว้นเสียเวลาไปกินข้าวเย็นอยู่แค่พักเดียว ซึ่งลักษณะนี้ที่ท่านเมตตามาเตือน เกิดจากความที่พวกเราไม่สามารถตัดสินใจได้เด็ดขาดเพียงพอ จึงทำให้เสียประโยชน์ใหญ่ที่ควรจะได้ไปอย่างน่าเสียดาย ถ้าเราศึกษาในพุทธประวัติ คืนวันเพ็ญขึ้น ๑๕ ค่ำเดือน ๖ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประทับนั่งใต้โคนไม้พระศรีมหาโพธิ์ ทรงตั้งพระทัยไว้ว่า แม้ว่าเลือดเนื้อร่างกายนี้จะเหือดแห้งไปก็ดี หรือชีวิตินทรีย์นี้จะตักษัยลงไปก็ตาม ถ้าไม่สามารถจะเข้าถึงธรรมที่ปรารถนาด้วยเรี่ยวแรงของบุรุษที่พึงกระทำแล้ว เราจะไม่ทำลายบัลลังก์นี้โดยเด็ดขาด คือจะไม่ลุกจากที่ นี่คือความเด็ดขาดในการตัดสินใจ ว่าต่อให้ตายลงไปก็ตาม ถ้าไม่บรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณ พระองค์ท่านจะไม่ยอมลุกขึ้นอีกแล้ว ด้วยการตัดสินใจที่เด็ดขาดจริงจังอย่างนี้ พระองค์ท่านจึงบรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณ เป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้เลิศที่สุดในโลก
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 21-12-2018 เมื่อ 03:48 |
สมาชิก 42 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#2
|
||||
|
||||
หรือถ้าศึกษาเถระประวัติของพระพาหิยทารุจีริยเถระ ชาติก่อนท่านกับเพื่อน ๆ ที่เป็นนักบวชด้วยกัน ต่อบันไดปีนขึ้นไปบนถ้ำที่อยู่บนเขาสูง แล้วถีบบันไดทิ้งไปเลย ด้วยความตั้งใจว่าถ้าไม่สามารถบรรลุอรหันต์แล้วเหาะได้ ก็จะยอมตายอยู่บนนี้ นั่นคือการตัดสินใจที่เฉียบขาด เด็ดขาด เอาชีวิตเข้าแลก
หรือแม้กระทั่งตัวของอาตมาเองก็ตาม ประมาณต้นปี ๒๕๒๗ ถ้าจำไม่ผิด เจริญกรรมฐานอยู่ที่บ้านสายลม พระเดชพระคุณหลวงพ่อวัดท่าซุงบอกกล่าวหลังเจริญกรรมฐานแล้วว่า วันนี้พระท่านเสด็จมาบอกว่า บุคคลที่เจริญกรรมฐานอยู่ที่บ้านสายลมนี้ทั้งหมด มีอยู่ ๘๐ คนที่สามารถรักษาศีล ๘ ได้เลย ทันทีที่ได้ยินดังนั้นความคิดของอาตมาก็คือ เราคือหนึ่งในจำนวนนั้น ทันทีที่ตัดสินใจได้ รู้สึกเบากายเบาใจอย่างบอกไม่ถูก หลังจากวันนั้นเป็นต้นมา พอหลังจากอาหารกลางวันแล้ว รู้สึกเหมือนคอหอยตัน ถ้าไม่ใช่เฉพาะน้ำแล้วกินอะไรไม่ได้เลย เป็นการเตรียมตัวอดข้าวเย็นได้ก่อนบวชเกือบ ๒ ปี เต็ม ๆ ส่วนนี้ที่กล่าวนี้ ไม่ได้อวดอ้างความสามารถตัวเอง แต่อยากจะบอกให้รู้ว่าการปฏิบัติธรรมของเรานั้น ทุกระดับของกำลังใจไม่ว่าจะเป็นปุถุชน ผู้ทรงฌาน หรือว่าพระอริยเจ้าก็ตาม ต้องมีการตัดสินใจที่เด็ดขาด อย่างที่พระสายวัดป่าท่านบอกว่า ธรรมะอยู่ฟากตาย ต้องเด็ดขาดกันชนิดแลกกันด้วยชีวิต นี่คือสัจบารมี
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 21-12-2018 เมื่อ 03:49 |
สมาชิก 40 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#3
|
||||
|
||||
ถ้าเราศึกษาประวัติในพระไตรปิฎก พระในสมัยพุทธกาล พอฟังเทศน์จากองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็บรรลุพระโสดาบัน บรรลุพระสกทาคามี บรรลุพระอนาคามี บรรลุอรหัตผลตามวาสนาบารมีของแต่ละท่าน เพราะว่าท่านมีการตัดสินใจที่เด็ดขาด ว่าหลักธรรมนี้ไม่เกินความสามารถ เราจะถือไว้ทำ คำว่าถือไว้ทำคือยึดเป็นหลักปฏิบัติในการดำเนินชีวิตตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป
ถ้าหากว่าไม่มีการตัดสินใจที่เด็ดขาด เราจะไม่สามารถเข้าถึงธรรมได้เลยแม้แต่ระดับเดียว แต่ถ้าสามารถตัดสินใจได้เด็ดขาด เราก็จะได้มรรคได้ผลตามวาสนาบารมีของตนที่สั่งสมมา ดังนั้น การที่พระเดชพระคุณหลวงปู่นาค วัดระฆัง ท่านเมตตามาเตือน ก็เพราะท่านเห็นว่า กำลังใจของหลายท่านสามารถรักษาศีล ๘ เป็นสมุทเฉทได้แล้ว ก็คือรักษาได้โดยเด็ดขาดไม่ต้องเกรงใจใครแล้ว แต่ขาดการตัดสินใจเลยไม่ได้ประโยชน์ใหญ่อย่างที่ตนต้องการ ในเมื่อท่านเมตตามาตักเตือนแล้ว ใครที่คิดว่าคุณสมบัติของตนเองเพียงพอ ก็ให้ตั้งใจรักษาศีล ๘ ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 21-12-2018 เมื่อ 21:49 |
สมาชิก 29 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#4
|
||||
|
||||
ศีล ๘ เป็นศีลพรหมจรรย์ เป็นศีลของพระอนาคามีโดยเฉพาะ มีคุณสมบัติสูงกว่าศีล ๕ หลายร้อยเท่า เอื้อต่อการปฏิบัติธรรมของเราอย่างยิ่ง
บางท่านอาจจะหนักใจว่า ยังต้องแต่งเนื้อแต่งตัวเพื่อไปเข้าสังคม เพื่อไปทำงาน ขอให้ทราบว่า เรื่องการแต่งตัวตามหลักของศีล ๘ นั้น ท่านห้ามแต่งเพื่ออวดเพศตรงข้าม หรือว่าแต่งไปยั่วกิเลสเพศตรงข้าม ต่อให้ท่านไม่แต่งเนื้อแต่งตัว แต่ถึงเวลาเจอเพศตรงข้าม ก็มีการกระเซ้าเย้าแหย่ มีการหยอกล้อ มีการทิ้งหางตาให้ ลักษณะอย่างนั้นถือว่าศีล ๘ บกพร่องไปแล้ว ในเมื่อรู้ดังนี้แล้วว่า วัตถุประสงค์ในการห้ามแต่งเนื้อแต่งตัวเพราะอะไร เราก็สักแต่ว่าแต่งเพื่อเข้าสังคม จะได้รู้ว่าสภาพร่างกายของเราน่าเกลียดเป็นปกติ ถ้าไม่แต่งไปเขาก็ทนดูไม่ได้ ก็แต่งเพื่อเอาใจสังคม แต่อย่าแต่งไปยั่วกิเลสเขา ก็ขอให้ทุกท่านตั้งอกตั้งใจในการประคับประคองรักษา ถ้าสามารถเป็นศีล ๘ ที่เป็นสมุทเฉทได้ ก็จะเป็นคุณแก่การปฏิบัติของตนเป็นอย่างยิ่ง ลำดับต่อไปขอให้ทุกท่านภาวนาและพิจารณาตามอัธยาศัย จนกว่าจะได้รับสัญญาณบอกว่าหมดเวลา พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร. เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน ณ บ้านเติมบุญ วันเสาร์ที่ ๑ ธันวาคม ๒๕๖๑ (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย คะน้า)
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 21-12-2018 เมื่อ 21:51 |
สมาชิก 31 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน ) | |
คำสั่งเพิ่มเติม | |
|
|