กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะพระอาจารย์ > พระครูวิลาศกาญจนธรรม (หลวงพ่อเล็ก สุธมฺมปญฺโญ) > เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน

Notices

ตอบ
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #1  
เก่า 22-02-2013, 19:32
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,653
ได้ให้อนุโมทนา: 151,944
ได้รับอนุโมทนา 4,416,062 ครั้ง ใน 34,243 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน วันอาทิตย์ที่ ๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๖

ให้ทุกคนนั่งในท่าที่สบายของตนนะจ๊ะ กำหนดความรู้สึกทั้งหมดของเราอยู่ที่ลมหายใจเข้าออก หายใจเข้า..เอาความรู้สึกทั้งหมดไหลตามลมหายใจเข้าไป หายใจออก..เอาความรู้สึกทั้งหมดไหลตามลมหายใจออกมา ใช้คำภาวนาตามที่เรามีความถนัดมาแต่ดั้งเดิม

วันนี้เป็นวันอาทิตย์ที่ ๓ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๕๖ เมื่อตอนขึ้นไปพักช่วงบ่าย ๔ โมง ก็ปรากฏว่าอาตมาโดนไข้มาลาเรียจับ ตอนแรกเข้าใจว่าเป็นความดันขึ้นเพราะฉันยาของป้านุชลงไป แต่ความจริงแล้วไม่ใช่ เพราะว่ายาที่ฉันลงไปนั้นเป็นสารที่สกัดมาจากบรรดาสาหร่ายและผักผลไม้ต่าง ๆ ซึ่งเป็นธาตุเย็น เมื่อร่างกายภายในเย็นก็เลยทำให้มาลาเรียกำเริบขึ้นมาได้

อยากจะบอกกับทุกท่านว่าการเจ็บไข้ได้ป่วยนั้นเป็นธรรมดาของสังขารร่างกายนี้ พระพุทธเจ้าตรัสเอาไว้ว่า สังขารัง โรคะนิทธัง ปะภังคุณัง สังขารนี้เป็นรังของโรค ย่อมมีความเปื่อยเน่าไปเป็นธรรมดา ถ้าความเจ็บไข้ได้ป่วยทั้งหลายเหล่านี้เกิดขึ้นแก่ท่านทั้งหลาย เราจะมีวิธีจัดการและรับมืออย่างไร ?

การรับมือกับความเจ็บไข้ได้ป่วยในขั้นต้นนั้น เราต้องซักซ้อมสมาธิภาวนาของเราให้มีความคล่องตัว ถ้าสมาธิภาวนาของเรามีความคล่องตัวตั้งแต่ระดับปฐมฌานขึ้นไป เมื่อถึงเวลานึกอยากจะเข้าฌานเมื่อไร ในสภาพอย่างไรเช่น เวลาหิวมาก ๆ เวลาเหนื่อยมาก ๆ เวลาเจ็บไข้ได้ป่วย เป็นต้น เราก็สามารถเข้าฌานได้ในทันทีทันใด

เมื่อสภาพจิตของเราเข้าสู่สภาวะของฌาน จิตกับประสาทจะเริ่มแยกจากกัน เราจะไม่รับรู้ถึงอาการป่วยที่เป็นอยู่ ก็สามารถที่จะบังคับร่างกายให้ทำหน้าที่การงานของเราไปตามปกติได้ ดังที่พระบาลีที่มีมาในมหาสติปัฏฐานสูตรว่า ปัสสัมภะยัง กายะสังขารังฯ เป็นต้น ก็คือสามารถที่จะระงับกายสังขารนี้ได้ นี่เป็นวิธีการรับมือในขั้นต้น
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 23-02-2013 เมื่อ 02:06
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 85 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #2  
เก่า 23-02-2013, 19:27
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,653
ได้ให้อนุโมทนา: 151,944
ได้รับอนุโมทนา 4,416,062 ครั้ง ใน 34,243 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

วิธีการรับมือกับความเจ็บไข้ได้ป่วยในขั้นกลางนั้น ในเรื่องของสมาธิจะต้องให้ถึงระดับของอรูปฌาน เมื่อมีอรูปฌานที่คล่องตัว โดยเฉพาะในเรื่องของเนวสัญญานาสัญญายตนฌานแล้ว ต่อให้อาการเจ็บไข้ได้ป่วยเกิดขึ้น เราก็ทำไม่รู้ไม่ชี้ได้

เพราะคำว่า "เนวสัญญานาสัญญายตนะ" ก็คืออายตนะทั้งหลายมีสัญญาคือความรู้สึก ความจำได้หมายรู้อยู่ ก็เหมือนกับไม่มี สภาพจิตจะก้าวข้ามความเจ็บไข้ได้ป่วยนั้นไป ไม่รับรู้อาการต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นกับร่างกาย เราก็จะพ้นจากเวทนานั้นชั่วคราว จนกว่าจะคลายสมาธิออกมา นี่เป็นการรับมือกับความเจ็บไข้ได้ป่วยในระดับที่สอง

ในระดับสุดท้ายนั้น ให้เราพิจารณาเห็นว่า สภาพความเจ็บไข้ได้ป่วยนั้นเป็นธรรมดาที่เกิดขึ้นกับร่างกาย สิ่งทั้งหลายเหล่านี้เกิดขึ้นในเบื้องต้น เปลี่ยนแปลงไปในท่ามกลาง สลายไปในที่สุด เวทนาจากความเจ็บป่วยก็ไม่สามารถที่จะตั้งอยู่ตลอดเวลาได้ โดยเฉพาะเวทนานั้นเกิดขึ้นกับสภาพร่างกาย ไม่ได้เกิดขึ้นกับสภาพจิตใจ เมื่อเป็นดังนั้น เราก็สามารถที่จะก้าวล่วงจากสภาพร่างกายที่เจ็บไข้ได้ป่วยอยู่ เข้าไปสู่สภาวะธรรม ซึ่งมีจิตรู้เด่นอยู่เฉพาะดวงเดียวเท่านั้น ไม่ยุ่งเกี่ยวกับอาการของร่างกาย เหมือนกับเราข้ามสะพานใหญ่ไปสู่อีกฝั่งหนึ่ง แล้วทำลายสะพานนั้นเสีย ฝั่งตรงข้ามก็จะเป็นคนละส่วนกับเรา ไม่ได้ยุ่งเกี่ยว ไม่ได้เกี่ยวข้องกัน

ถ้าเป็นดังนี้ก็ถือว่าท่านทั้งหลาย สามารถเอาความเจ็บไข้ได้ป่วยนั้นเป็นประโยชน์ในการปฏิบัติของตนเป็นอย่างยิ่ง ซึ่งสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ ไม่ว่าจะเป็นการรับมือกับความเจ็บป่วยขั้นต้นก็ดี ขั้นกลางก็ดี ขั้นปลายก็ดี เราทุกคนจำเป็นจะต้องซักซ้อมเอาไว้เสมอ ๆ เพื่อที่ถึงเวลา เมื่อการเวทนากำเริบกล้าขึ้นมา เราจะได้ไม่ขาดสติ ไม่ไปโอดโอยอยู่กับความเจ็บไข้ได้ป่วยนั้น ไม่เช่นนั้นแล้ว เมื่อเราขาดสติไปคร่ำครวญอยู่กับอาการเวทนาที่เกิดขึ้น สภาพจิตของเราที่เศร้าหมอง ถ้าตายลงไปตอนนั้น เราจะมีทุคติเป็นที่ไป

แต่ถ้าซักซ้อมจนสภาพจิตของเรามีความคล่องตัว นึกจะทรงรูปฌานเมื่อไรก็ทรงได้ นึกจะทรงอรูปฌานเมื่อไรก็ทรงได้ ถ้าเป็นดังนี้ก็เป็นการประกันความเสี่ยงในเบื้องต้น ว่าอย่างน้อยถ้าอาการเจ็บไข้ได้ป่วยกำเริบกล้าจนถึงขนาดสังขารร่างกายรับไม่ไหว เราก็ยังมีสุคติเป็นที่ไป
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 24-02-2013 เมื่อ 02:43
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 77 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #3  
เก่า 26-02-2013, 20:06
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,653
ได้ให้อนุโมทนา: 151,944
ได้รับอนุโมทนา 4,416,062 ครั้ง ใน 34,243 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

หรือถ้าสามารถแยกแยะเห็นจนชัดเจนว่า สภาพร่างกายนี้ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา อาการเจ็บไข้ได้ป่วย เวทนาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น เป็นเรื่องของร่างกาย ไม่ใช่เรื่องของเรา ขึ้นชื่อว่าการอยู่กับร่างกายที่เต็มไปด้วยความเจ็บไข้ได้ป่วยอย่างนี้ จะมีกับเราแค่ชาตินี้เท่านั้น ตายลงไปเมื่อไรเราไม่ต้องการร่างกายที่เต็มไปด้วยความทุกข์เช่นนี้อีก เราไม่ต้องการโลกนี้ที่เต็มไปด้วยความทุกข์เช่นนี้อีก เป็นเทวดา เป็นนางฟ้า เป็นพรหมที่พ้นทุกข์เพียงชั่วคราว เราก็ไม่ปรารถนา เราต้องการที่เดียวคือพระนิพพาน แล้วเอาจิตจดจ่ออยู่กับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบนพระนิพพาน

ถ้าสามารถทำดังนี้ไว้ทุกวัน รักษาอารมณ์ใจให้ตั้งมั่นไว้ได้สักคราวละ ๓ นาที ๕ นาทีอยู่บ่อย ๆ ถ้าท่านหมดอายุขัยตายลงไปก็ดี หรือเกิดอุปฆาตกรรมต้องเสียชีวิตลงไปก็ดี ท่านจะสามารถหลุดพ้นเข้าสู่พระนิพพานได้ดังที่ต้องการ

ลำดับต่อไปก็ให้ทุกท่านตั้งใจภาวนาและพิจารณาตามอัธยาศัย จนกว่าจะได้รับสัญญาณบอกว่าหมดเวลา


พระครูวิลาศกาญจนธรรม
เทศน์ช่วงกรรมฐาน ณ บ้านวิริยบารมี
วันอาทิตย์ที่ ๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๖

(ถอดจากเสียงเป็นอักษรโดยรัตนาวุธและเถรี)
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 27-02-2013 เมื่อ 02:07
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 50 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
ตอบ


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 
คำสั่งเพิ่มเติม

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 19:39



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว