กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะพระอาจารย์ > พระครูวิลาศกาญจนธรรม (หลวงพ่อเล็ก สุธมฺมปญฺโญ) > เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน

Notices

กระทู้ถูกปิด
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #1  
เก่า 16-10-2010, 16:24
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,704
ได้ให้อนุโมทนา: 152,039
ได้รับอนุโมทนา 4,418,451 ครั้ง ใน 34,294 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default เทศน์ช่วงทำกรรมฐานวันเสาร์ที่ ๒ ตุลาคม ๒๕๕๓

ทุกคนตั้งกายให้ตรง กำหนดสติจดจ่ออยู่กับลมหายใจเข้าออกเฉพาะหน้าของเรา หายใจเข้าให้ความรู้สึกทั้งหมดไหลตามลมหายใจเข้าไป หายใจออกให้ความรู้สึกทั้งหมดไหลตามลมหายใจออกมา จะกำหนดคำภาวนาอย่างไรก็ได้แล้วแต่เราถนัด

วันนี้เป็นวันเสาร์ที่ ๒ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๕๓ เป็นการปฏิบัติกรรมฐานประจำต้นเดือนตุลาคมของพวกเราวันที่สองแล้ว

ในเรื่องของการปฏิบัตินั้น สิ่งที่ทุกท่านจะลืมไม่ได้เลย อันดับแรกก็คือ เรื่องของลมหายใจเข้าออก เพราะว่าเป็นการปฏิบัติที่ทำให้เรามีสมาธิทรงตัว การที่สมาธิจะทรงตัวได้ต้องอาศัยการกำหนดดูลมหายใจเข้าออกไปด้วย

ในขณะเดียวกัน ทุกท่านก็ต้องละทิ้งความกังวลทั้งหมด ความกังวลที่ภาษาบาลีเรียกว่า ปลิโพธ อยู่ที่นี่แล้วห่วงลูกห่วงหลาน ห่วงบ้านห่วงช่อง ห่วงการงาน เป็นต้น

เราต้องตัดใจว่า เราอยู่ที่นี่ ถึงอะไรจะเกิดขึ้นก็ตาม เราไม่สามารถที่จะไปแก้ไขได้อยู่แล้ว ถ้าจะดูตัวอย่าง ก็ต้องดูตัวอย่างของบุคคลในธรรมบทที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสไว้ คือ นางกาติยานี

นางกาติยานีเป็นมหาเศรษฐี เป็นบุคคลที่เลื่อมใสในพระโสณกุฎิกัณณเถระ ตั้งใจไปฟังธรรรม ปรากฏว่า การแสดงธรรมนั้นเป็นเวลาค่ำ นางจึงสั่งสาวใช้ให้กลับบ้าน ไปเอาคบไฟมามาก ๆ หน่อย เพื่อจุดให้แสงสว่างแก่คนทั่วไป จะได้มีความสะดวกในการฟังธรรมจากพระโสณกุฎิกัณณเถระ

เมื่อสาวใช้กลับบ้านไป ปรากฏว่าเห็นบรรดาโจรกำลังเจาะกำแพงบ้าน เพื่อจะเข้าไปปล้นทรัพย์ จึงรีบวิ่งกลับมาบอกเจ้านายว่า "ข้าแต่พระแม่เจ้า..บัดนี้โจรกำลังเจาะกำแพงเพื่อที่จะประสงค์เอาทรัพย์อยู่"

นางกาติยานีกล่าวว่า “ขอเธอจงอย่าทำเราฉิบหายจากความดีเสียเลย ขึ้นชื่อว่าการฟังธรรมนั้นเป็นของยาก ใครจะประสงค์ต่อทรัพย์ก็ให้เขาเอาไปเถอะ เราจักฟังธรรม”
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 16-10-2010 เมื่อ 17:37
สมาชิก 64 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #2  
เก่า 17-10-2010, 21:19
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,704
ได้ให้อนุโมทนา: 152,039
ได้รับอนุโมทนา 4,418,451 ครั้ง ใน 34,294 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

หัวหน้าโจรที่แอบดูเหตุการณ์อยู่ คิดว่า "คนใช้วิ่งมาคงจะมาบอกเจ้านายแน่ ถ้าเจ้านายเธอนำเอาข้าทาสย้อนกลับไป ลูกน้องของเราเองยังไม่ได้ทรัพย์สิน ก็จะเสียเวลาเปล่า เราจะฟันนางกาติยานีให้ตายอยู่ตรงหน้าประตูวัดนี้ แต่ถ้าหากเธอไม่กลับไป ยังคงอยู่ฟังธรรมต่อ แสดงว่าเธอเป็นคนมีความดีจริง ๆ เราก็ไม่ควรจะเบียดเบียนคนดีขนาดนี้"

เมื่อนางกาติยานีไม่ยอมกลับ ตั้งใจฟังธรรมจริง ๆ หัวหน้าโจรจึงเกิดความละอายใจ เมื่อจบการแสดงธรรม นางกาติยานีจะกลับบ้าน หัวหน้าโจรจึงมาสารภาพผิด ให้บริวารขนทรัพย์สินกลับไปคืนให้

เราจะเห็นตัวอย่างของบุคคลในธรรมบท ที่ตัดความกังวลทุกเรื่องเพื่อการฟังธรรม ถ้าเปรียบกับพวกเรา ก็คือ เราต้องตัดกังวลทุกอย่าง แม้เหตุที่จะทำให้ทรัพย์สินเสียหายหรือถึงแก่ชีวิต เพื่อที่จะได้ปฏิบัติธรรมของเรา

ข้อต่อไปก็คือ ให้สังเกตอารมณ์ใจของเราว่า มีนิวรณ์ ๕ อย่างอยู่ในจิตของเราหรือไม่ ? ไม่ว่าจะเป็นกามฉันทะ ความพอใจในรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัสระหว่างเพศ

พยาบาท ความโกรธเกลียดผู้อื่น ถีนมิทธะ ความง่วงเหงาหาวนอน ชวนให้ขี้เกียจ ไม่อยากปฏิบัติ อุทธัจจกุกกุจจะ ความฟุ้งซ่านหงุดหงิด เดือดร้อนรำคาญใจ และ วิจิกิจฉา ความลังเลสงสัยในผลการปฏิบัติว่าจะได้ผลจริงหรือไม่

ถ้าท่านใดอยู่ในตอนก่อนค่ำ จะเห็นโยมท่านหนึ่ง ที่ถามปัญหาว่า ปฏิบัติธรรมแล้วจะได้ผลหรือไม่ ? ทำแล้วจะเป็นอย่างนั้นหรือไม่ ? ทำแล้วจะเป็นอย่างนี้หรือไม่ ? นั่นคือบุคคลที่ยังมีวิจิกิจฉาอยู่เต็มหัวอก

ถ้านิวรณ์ข้อใดข้อหนึ่งเหล่านี้มีอยู่ในจิตในใจของเรา ก็แปลว่า กำลังใจของเราด้อยคุณภาพมาก ความชั่วกำลังมีอำนาจมากกว่าความดีเสียแล้ว

ให้เร่งรีบดึงกำลังความรู้สึกทั้งหมด มาอยู่ที่ลมหายใจเข้าออกเฉพาะหน้า เพื่อสร้างความมั่นคงให้เกิดแก่จิต พอสมาธิจิตทรงตัวมั่นคง ก็จะทำการขับไล่นิวรณ์ ๕ ให้พ้นไปจากจิตจากใจของเราได้
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 19-10-2010 เมื่อ 10:33
สมาชิก 54 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #3  
เก่า 18-10-2010, 18:24
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,704
ได้ให้อนุโมทนา: 152,039
ได้รับอนุโมทนา 4,418,451 ครั้ง ใน 34,294 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

อีกจุดหนึ่งก็คือ ผู้ที่ปฏิบัติต้องเป็นผู้ที่ทรงสัจจบารมี ถ้าขาดสัจจบารมี เราก็จะเป็นผู้ที่ไม่มีความจริงจังจริงใจในการปฏิบัติ จะกลายเป็นคนที่ทำบ้างทิ้งบ้าง ซึ่งถ้าว่าไปแล้ว มีโทษมากกว่าไม่ปฏิบัติเลยเสียอีก

เพราะว่าการปฏิบัตินั้นเหมือนกับการว่ายทวนน้ำ เมื่อถึงเวลาเราทิ้งการปฏิบัติ ก็เท่ากับลอยตามน้ำไป แล้วเราปฏิบัติใหม่ก็ว่ายทวนน้ำขึ้นมา ถึงเวลาปล่อยทิ้งก็ลอยตามน้ำไปอีก เท่ากับว่าเราเป็นคนขยัน ทำงานทุกวันแต่ไม่มีผลงานให้ภูมิใจเลย

จนอาจจะเกิดมิจฉาทิฐิ เข้าใจผิดไปได้ว่า ธรรมะขององค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ใช่ของจริง เพราะว่าปฏิบัติแล้วไม่เห็นได้ผลเลย ถ้าเป็นอย่างนั้นท่านก็แย่แล้ว เพราะความเป็นมิจฉาทิฐิเกาะกินใจ ปัญญาต่าง ๆ ก็จะถดถอยไปด้วย

บุคคลที่ไม่ปฏิบัติเลยยังไม่สามารถที่จะกล่าวได้อย่างเต็มปากเต็มคำ เพราะว่าตนเองไม่ได้ลองปฏิบัติ แต่บุคคลที่ปฏิบัติแล้วทิ้ง ปราศจากสัจจบารมี คือไม่มีความจริงจังสม่ำเสมอในการปฏิบัติ กลับสามารถพูดได้ว่าตนเองทำแล้วแต่ไม่เกิดผล จึงกลายเป็นโทษมากกว่าคนทั่วไป

ดังนั้น..สัจจบารมีจึงเป็นส่วนสำคัญ ต้องเป็นคนที่จริงจัง จริงใจ ตรงต่อเวลา เมื่อถึงเวลาที่กำหนดไว้ ตั้งใจไว้ ต้องปฏิบัติทันที เพราะว่าการปฏิบัตินั้น ต่อให้เราปฏิบัติตลอด ๒๔ ชั่วโมง กิเลสก็ยังมีโอกาสแทรกเข้ามาสิง เข้ามากินใจของเราได้ ถ้าเราไม่กำหนดเวลาปฏิบัติของตนเองให้แน่นอน แล้วทุ่มเททำให้เต็มที่ ก็แปลว่าเรามีสิทธิ์ที่จะแพ้กิเลสอยู่ตลอดเวลา
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 19-10-2010 เมื่อ 01:51
สมาชิก 48 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #4  
เก่า 19-10-2010, 16:39
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,704
ได้ให้อนุโมทนา: 152,039
ได้รับอนุโมทนา 4,418,451 ครั้ง ใน 34,294 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

อีกข้อหนึ่งที่อยากกล่าวถึงคือ การทรงพรหมวิหาร ๔ เป็นเครื่องช่วยหล่อเลี้ยงจิตใจของเราให้สงบเยือกเย็น ขณะเดียวกันสรรพสัตว์ทั้งหลาย โดยเฉพาะท่านที่อยู่ในภพภูมิที่เราไม่สามารถจะมองเห็นได้ ถ้าได้รับความเย็นจากกระแสเมตตาของเรา จะเกิดความหวังดีปรารถนาดี ช่วยประคับประคอง ช่วยอำนวยความสะดวก ให้เรามีความเจริญก้าวหน้าในการปฏิบัติ

นอกจากนี้แล้ว พรหมวิหาร ๔ ยังเป็นเครื่องหล่อเลี้ยงจิตใจให้เยือกเย็น ไม่คล้อยตามไปกับรัก โลภ โกรธ หลงได้ง่าย ๆ บุคคลที่ทรงพรหมวิหาร ๔ เป็นปกติ จึงมีโอกาสเข้าถึงมรรคผลมากกว่าผู้อื่น

ดังนั้น..ในการปฏิบัติของเรา นอกจากการกำหนดรู้ลมหายใจเข้าออก พร้อมกับคำภาวนาหรือภาพพระแล้ว ระหว่างที่ปฏิบัติต้องละทิ้งความวิตกกังวลทั้งหมดเสียก่อน ตรวจสอบดูว่าจิตใจของเราขณะนั้นมีนิวรณ์ ๕ อย่างใดอย่างหนึ่งแทรกสิงอยู่หรือไม่ ?

ตอนนี้เราเป็นผู้ที่มีสัจจะตั้งมั่นแล้วหรือยัง ? ถึงเวลาปฏิบัติ เราลงมือโดยฉับพลันทันที หรือว่ามีการผลัดวันประกันพรุ่งอยู่ ในขณะเดียวกันเรามีพรหมวิหาร ๔ เป็นปกติหรือไม่ ?

ขอให้ทุกท่านพินิจพิจารณาดูกำลังใจของตน สิ่งใดขาดตกบกพร่องก็เสริมสร้างให้เต็มขึ้นมา สิ่งใดที่มีอยู่แล้ว ก็ทำให้เจริญให้ดีงามยิ่ง ๆ ขึ้นไป

โดยเฉพาะการกำหนดรู้ลมหายใจเข้าออกพร้อมกับคำภาวนานั้น เป็นสิ่งที่ละเว้นเสียไม่ได้ เพราะว่าเป็นสิ่งที่ช่วยสงบระงับ ไม่ให้จิตใจของเราฟุ้งซ่านไปกับ รัก โลภ โกรธ หลงได้

ในลำดับต่อไปนี้ ขอให้ทุกท่านกำหนดลมหายใจเข้าออกพร้อมกับคำภาวนา หรือพิจารณาของเราตามอัธยาศัย จนกว่าจะได้ยินสัญญาณบอกว่าหมดเวลา


พระครูธรรมธรเล็ก สุธมฺมปญฺโญ
เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน ณ บ้านอนุสาวรีย์
วันเสาร์ที่ ๒ ตุลาคม ๒๕๕๓
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 19-10-2010 เมื่อ 17:03
สมาชิก 41 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
กระทู้ถูกปิด


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 
คำสั่งเพิ่มเติม

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 10:55



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว