#1
|
||||
|
||||
ปกิณกธรรมช่วงบวชเนกขัมมะปฏิบัติธรรมสงกรานต์ วันที่ ๑๒ - ๑๖ เมษายน ๒๕๖๗
ปกิณกธรรมวันสงกรานต์ วันศุกร์ที่ ๑๒ เมษายน ๒๕๖๗ (ก่อนปฏิบัติธรรมช่วงเช้า)
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย พิชวัฒน์ : 13-05-2024 เมื่อ 19:09 |
สมาชิก 30 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ พิชวัฒน์ ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#2
|
||||
|
||||
ตอนนี้ค่าเงินประเทศลาวตกลงไปสาหัสมาก เหตุที่สำคัญที่สุดก็คือบรรดาผู้ปกครองเป็นแต่ทำมาหารับประทานเฉพาะตัว เรื่องที่จะช่วยชาวบ้านทำมาหารับประทานนั้นไม่มี แบบเดียวกับประเทศเราที่จะแจกเงินดิจิทัลวอลเล็ตให้คนละหนึ่งหมื่นบาท รวมแล้วประมาณห้าแสนล้านบาท..!
พวกเรารู้ไหมว่าประเทศจีนใช้งบประมาณห้าแสนล้านบาทในการสนับสนุนเกษตรกรชาวจีน ให้ปลูกพืชและส่งป้อนท้องตลาดอย่างเป็นระบบ เหมือนกับว่าแต่ละคนจะมีโควต้าเลยว่าตัวเองจะทำอะไร ได้เท่าไร และจะเอาไปส่งที่ไหน ทุกคนจะรู้ว่าของที่ทำออกมาจะขายได้ ส่วนของเราแจกให้ไปกินเฉย ๆ เข้า "เซเว่น" หมด..! สรุปก็คือแจกไปแล้วเถ้าแก่ใหญ่ได้..! ถามว่านักการเมืองรู้ไหม ? รู้..ถ้าอาตมาเป็นพวกนักร้องเรียนจะร้องเรียนเรื่องนี้ ดังแน่นอน..! ก็คือร้องเรียนให้ยุบรัฐบาล เพราะว่าเท่ากับเป็นการให้สินบนล่วงหน้าให้คนเลือกพรรคตัวเอง เพราะเขาสัญญาไว้เป็นนโยบายพรรคเลยใช่ไหม ? เสียดายมาบวชแล้ว ไม่อย่างนั้นคงป่วนประเทศชาติได้อีกเยอะเลย..! ถ้าใครกินอิ่มไม่มีอะไรจะทำก็ลองไปฟ้องดูนะ ฟ้องวันนี้พรุ่งนี้ก็จัดงานศพได้เลย..! การแก้ปัญหาทุกอย่างต้องแก้ปัญหาแบบยั่งยืน คือไม่ย้อนกลับมาเป็นใหม่ หรือถ้าเป็นใหม่ด้วยเหตุสุดวิสัยก็ให้เป็นให้น้อยที่สุด เพราะฉะนั้น..ประเทศจีนก็ดี ซาอุดิอาระเบียก็ดี สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ก็ดี เขาแก้ปัญหาด้วยการปลูกพืชในทะเลทราย แย่งพื้นที่คืนมาจากทะเลทราย เขาไปดูแบบอย่างมาจากพวกคนแอฟริกันว่าทำกันอย่างไร
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 25-04-2024 เมื่อ 11:56 |
สมาชิก 29 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#3
|
||||
|
||||
แอฟริกันมีทะเลทรายนามิบ ตั้งอยู่บริเวณชายฝั่งประเทศนามิเบีย เขามีระบบการเกษตรที่ปลูกคล้าย ๆ กับเป็นหลุม แต่เป็นหลุมใหญ่หน่อย รูปพระจันทร์ครึ่งเสี้ยว พอถึงเวลาก็พูนดินขึ้นมาเป็นรูปพระจันทร์ครึ่งเสี้ยวในด้านที่ลมตีมา เพื่อกันไม่ให้ทรายมาถมพืชผลของตัวเอง แล้วก็ปลูกพืชโตเร็วใช้น้ำน้อย พอเขียวขึ้นมาก็ขยายออกไปทีละวง..ทีละวง..ก็จะมีพระจันทร์ครึ่งเสี้ยวเยอะไปเรื่อย..เยอะไปเรื่อย ท้ายที่สุดก็จะกลายเป็นหย่อม แล้วก็กลายเป็นป่า
ประเทศจีนใช้งบประมาณหนึ่งแสนสองหมื่นล้านบาทสร้างคลองส่งน้ำเข้าทะเลทราย ที่ไหนมีน้ำชาวบ้านก็หากินได้ กระทั่งสามารถเลี้ยงปลาในทะเลทรายได้..! คลองส่งน้ำเป็นคลองที่ดึงน้ำจากใต้ขึ้นเหนือ โดยปกติธรรมชาติแล้วน้ำจะไหลจากเหนือลงใต้ เขาก็แค่ทำเป็นลักษณะน้ำวนเท่านั้น พอด้านนี้ชักน้ำขึ้นไปก็ไปเปลี่ยนของเก่าไหลกลับมา เท่ากับว่ามีน้ำสะอาดอยู่ตลอดเวลา แล้วจะเลี้ยงปลาอะไรก็ได้ เพราะฉะนั้น..เราไม่ต้องแปลกใจว่าทำไมจีนเริ่มก้าวเข้ามาเป็นมหาอำนาจอันดับแรก ๆ ของโลก ก็เพราะว่าเขาแก้ไขปัญหาแบบยั่งยืน แก้ไขปัญหาแบบในหลวงรัชกาลที่ ๙ ก็คือสอนชาวบ้านหาปลา ไม่ใช่เอาปลาไปแจกชาวบ้าน..! รัฐบาลของเราปัจจุบันนี้เอาปลาไปแจกชาวบ้าน แล้วจะแจกได้นานเท่าไร..? พระอาจารย์เล็กแจกได้สองปีแล้วเลิกแจกเลย เพราะว่าชาวบ้านจะงอมืองอเท้ารอรับแจกอย่างเดียว ไม่ดิ้นรนด้วยตัวเอง เพราะฉะนั้น..จะเห็นว่าปัจจุบันนี้อาตมภาพใช้วิธีสนับสนุนอาชีพ อยากมีเงินต้องเหนื่อยบ้าง ไม่ใช่รอรับดิจิทัลวอลเล็ตอย่างเดียว..! แล้วเงินดิจิทัลวอลเล็ตเป็นเงินอะไร..? ก็เงินภาษีของเรา แล้วแถมต้องไปกู้ต่างประเทศมาอีก พอเก็บภาษีได้ก็ไปอุดงบประมาณตรงนี้ เอาเงินเรามาแจกเราเอง..! ฟังแล้วเครียดไหม..? หวังว่าปฏิบัติธรรม ๔ - ๕ วันจะช่วยลดความเครียดให้ หรือไม่ก็เครียดหนักขึ้น..!
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 25-04-2024 เมื่อ 11:58 |
สมาชิก 28 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#4
|
||||
|
||||
วิธีแก้ไขปัญหาส่วนหนึ่งก็คือหุบปากเงียบ ๆ ไว้ อย่าไปวิพากษ์วิจารณ์อะไรที่เป็นเชิงลบ พอไม่พูดแล้วต้องพยายามหยุดคิดให้ได้ด้วย ทุกวันนี้ส่วนใหญ่พวกเราทุกข์เพราะความคิดตัวเอง อยากจะเป็นอย่างนั้น อยากจะเป็นอย่างนี้ อยากจะได้อย่างนั้น อยากจะได้อย่างนี้ รู้อย่างนี้ที่ผ่านมาทำอย่างนั้นดีกว่า..รู้อย่างนี้ที่ผ่านมาทำอย่างนี้ดีกว่า..รู้อะไรไม่สู้รู้อย่างนี้..! แล้วทำไมไม่ทำปัจจุบันให้ดี..? แค่นั้นก็จบแล้ว มัวแต่ไปรู้อย่างนี้ให้เครียด ถ้าตราบใดที่เรายังหยุดคิดไม่เป็น เราก็ต้องพยายามคิดให้น้อยที่สุด
ส่วนที่ควรจะคิดก็คือหลักธรรมของพระพุทธเจ้า คิดให้เห็นว่าจริงแท้แค่ไหน ? ท่านบอกว่าทุกอย่างไม่เที่ยง..จริงไหม..?..คิดดูสิ ทุกอย่างเป็นทุกข์..จริงไหม..?..คิดดู ทุกอย่างไม่มีอะไรเป็นเราเป็นของเรา..จริงไหม..?..ลองคิดดู แต่พวกเรามักจะไปคิดเรื่องที่ไม่ควรคิด ก็เลยกลายเป็นเพิ่มความทุกข์ให้กับตัวเอง เท่ากับว่าเรากระทืบตัวเองทุกวันแล้วบ่นว่าเจ็บเหลือเกิน ต้องให้คนอื่นช่วยกระทืบซ้ำใช่ไหมจะได้หายเจ็บ..? ทุกอย่างให้ลงไปตรงจุดที่ว่า อตฺตนา โจทยตฺตานํ ให้กล่าวโทษโจทย์ตนเองอยู่เสมอ อะไรเกิดขึ้นให้พยายามมองความผิดของตนเองให้เห็น ไม่ใช่อะไรเกิดขึ้นก็โทษแต่คนอื่น อาตมภาพมีเพื่อนพระสังฆาธิการบางรูป พอเรื่องไม่ดีเกิดขึ้นในวัด โทษลูกน้องไว้ก่อน "ทำไมคุณทำอย่างโน้น ?" "ทำไมคุณทำอย่างนี้ ?" ไอ้ห่..ก็ที่เขาทำนั่น..มึงสั่งทั้งนั้น..! แต่ลูกน้องไม่กล้าเถียง ถ้าหากว่าอยู่ในลักษณะนั้นเราจะพัฒนาตัวเองไม่ได้ เพราะว่ามองไม่เห็นความผิดตัวเอง ในเมื่อมองไม่เห็นก็แก้ไขไม่ได้ ส่วนที่ชัดเจนที่สุดก็คือการที่เราแบกตัวกูของกูเอาไว้เต็มที่เลย ก็คือกูต้องเอาตัวรอดไว้ก่อน คนอื่นผิดล้วน ๆ ถ้าอยู่ในลักษณะอย่างนี้โอกาสปรับปรุงตัวจะไม่มี เพราะไม่รู้ว่าผิดอะไร แล้วขณะเดียวกันที่แย่กว่านั้นก็คือ ไม่รู้ว่าที่ถูกต้องทำอย่างไร..เจริญ..!
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 25-04-2024 เมื่อ 12:01 |
สมาชิก 28 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#5
|
||||
|
||||
การที่เรามาปฏิบัติธรรมจึงเป็นการที่มาเพื่อหยุดความฟุ้งซ่านของเราเอง พอใจสงบไม่ฟุ้งซ่าน เดี๋ยวก็จะเห็นช่องทางเองว่า ทำอย่างไรจึงจะรักษากำลังใจให้ดีได้ตลอดรอดฝั่ง ไม่ต้องไปรู้อย่างนี้ จำไว้ว่าไม่เคยมีใครไม่ทำอะไรผิดเลย ทุกอย่างเป็นบทเรียนที่ให้เราแก้ไขปรับปรุงตัวเองทั้งนั้น
แต่อย่าใช้โอกาสเปลือง มีโอกาสในการปรับปรุงแก้ไขแล้วต้องรีบฉวยเอาไว้ แล้วก็ทำให้ดีที่สุด ถ้ามัวแต่ปล่อยให้ผ่านไป..ผ่านไป กลายเป็นคนใช้โอกาสเปลือง แล้วถึงเวลาถ้าโอกาสไม่มาอีก ก็ไม่ต้องผุดไม่ต้องเกิดกัน..! ธรรมดาของปุถุชนต้องมี รัก โลภ โกรธ หลง เป็นปกติ แต่ตรงที่ไม่ปกติก็คือเราไปปล่อยให้ รัก โลภ โกรธ หลง ไปสร้างความเดือดร้อนให้กับคนอื่น แล้วท้ายที่สุด รัก โลภ โกรธ หลง นั้นก็ย้อนมาสร้างความเดือดร้อนให้กับตัวเอง เพราะฉะนั้น..วิธีที่ดีที่สุดก็คือต้องควบคุมให้ได้ วิธีควบคุมในเบื้องต้นก็คือศีล คุมกายกับวาจาเอาไว้ก่อน กาย..ไม่ฆ่าสัตว์ ไม่ลักทรัพย์ ไม่ประพฤติผิดในกาม ไม่ดื่มสุราเมรัย วาจา..ไม่โกหก ไม่ส่อเสียด ไม่เพ้อเจ้อ ไม่พูดคำหยาบ..อกจะแตกตาย..! เมื่อตีกรอบตัวเอง ให้กายวาจาอยู่ในกรอบที่เหมาะสมแล้ว ก็สร้างสมาธิให้เกิด จะได้มีกำลังบังคับตัวเอง ให้ทำสิ่งทั้งหลายเหล่านั้นให้ดียิ่งขึ้น ให้กรอบของเรามั่นคงแข็งแรงขึ้น ไม่ใช่พร้อมที่จะพังอยู่ตลอดเวลา ปฏิบัติธรรมมาปีแล้วปีเล่ามีอะไรดีขึ้นไหม ? ถ้าไม่ดีขึ้นต้องหาสาเหตุให้เจอว่าเป็นเพราะอะไร ?
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 25-04-2024 เมื่อ 12:03 |
สมาชิก 27 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#6
|
||||
|
||||
เมื่อถึงเวลาตีกรอบกายวาจาด้วยศีล ตีกรอบใจด้วยสมาธิ กิเลสไม่มีทางไปแล้ว ก็จะดิ้นสุดชีวิตเลย จะชวนเราไปชั่วให้ได้ คนเคยติดยา เคยติดการพนัน ดิ้นหลุดออกจากวงจรมาแล้ว โดนชวนว่า "กลับไปอีกหน่อยเถอะ" ลืมไปว่าก่อนหน้านี้เราเข็ดแล้ว ดันตะเกียกตะกายกลับไปอีก อันนี้เขาเรียกว่าเข็ดไม่จริง พูดคำว่า "ไม่" ไม่เป็น
ฝรั่งเขาว่า "Just say no" ปฏิเสธให้เป็น พูดคำว่า "ไม่" ให้เป็น รู้ว่าคนนี้มายืมเงินเรา ไม่ได้คืนแน่นอน บอกว่าไม่ให้ ตอนยืมเป็นมหามิตร ตอนทวงคืนเป็นมหาศัตรู พวกเรานิสัยดีเกินไป..น่าชื่นชม..! ตอนยืมเงินคนอื่นก็ แหม..เป็นเดือดเป็นร้อนต้องพยายามหาไปคืนเขาให้ได้ ตอนคนอื่นยืมเราดันไม่กล้าทวง เพราะฉะนั้น..อย่าเป็นหนี้ใคร และอย่าให้ใครเป็นหนี้เรา เพราะนิสัยอย่างพวกเรานี่ไม่รุ่งทั้งคู่ จะเป็นเจ้าแม่เงินกู้ก็หน้าไม่ด้าน ใจไม่ดำ เชื่อว่าคนอื่นคิดดี พูดดี ทำดีเหมือนกับเรา..ก็เจ๊งสิครับ..! ตอนยืมคนอื่นก็แหม..ละอายใจต้องรีบเอาไปคืน ฟังดูแล้วคนดี ๆ แบบนี้น่าจะเจริญนะ แล้วทำไมถึงไม่เจริญ..? เขาเรียกว่าใช้ความดีในทางที่ผิด วิธีใช้ความดีในทางที่ถูกใช้อย่างไร ? ทวงเงินไม่ได้ก็อัดให้น่วมเลย..! แล้วค่อยเมตตาพาไปรักษา เห็นไหม..เราก็ปฏิบัติตามหลักธรรมแล้ว ? ชักนอกลู่นอกทางมากไปแล้วใช่ไหม ? ขืนอยู่วัดนี้เดี๋ยวเสียผู้เสียคนหมด..! พวกเราตั้งใจสมาทานพระกรรมฐานแล้วเข้าสู่การปฏิบัติกัน ช่วงนี้ช่วงสงกรานต์เวลาปฏิบัติมีน้อยมาก
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 26-04-2024 เมื่อ 00:24 |
สมาชิก 29 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#7
|
||||
|
||||
ปกิณกธรรมวันสงกรานต์ วันศุกร์ที่ ๑๒ เมษายน ๒๕๖๗ (ก่อนปฏิบัติธรรมช่วงบ่าย)
ปกิณกธรรมวันสงกรานต์ วันศุกร์ที่ ๑๒ เมษายน ๒๕๖๗ (ก่อนปฏิบัติธรรมช่วงบ่าย)
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย พิชวัฒน์ : 13-05-2024 เมื่อ 19:10 |
สมาชิก 25 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ พิชวัฒน์ ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#8
|
||||
|
||||
ทางองค์การบริหารส่วนจังหวัดกาญจนบุรี จัดงานสงกรานต์แบบไม่ใช้หัวแม่เท้าคิด..! ก็คือจะให้ทุกอำเภอไปร่วมงานด้วย โดยที่ลืมไปว่าเรื่องของสงกรานต์นี่ แทบจะทุกหมู่บ้านเขาก็จัดกันเอง แต่คุณจะให้ทุกคนไปร่วมงานด้วย แล้วเขาจะปลีกตัวไปอย่างไร ?
และแจ้งมาว่าพรุ่งนี้ถึงจะจ่ายค่าอาหารและค่าเดินทางให้ กระผม/อาตมภาพเลยตอบไปในกลุ่มไลน์ว่า "ตกลงให้เด็กรอกินข้าวเย็นพรุ่งนี้ ?" คือค่าใช้จ่ายให้เขาเร็วเท่าไรก็ดีเท่านั้น เขาจะได้บริหารจัดการได้ ไม่ใช่รอให้ทำงานเสร็จแล้วค่อยไปเบิก..! เรื่องพวกนี้ต้องโทษพวกเรากันเอง ถามว่าโทษพวกเราตรงไหน ? ก็ตรงที่ว่า ทำไมยิ่งอยู่ไปความไว้วางใจในเพื่อนมนุษย์ถึงได้น้อยลงไปเรื่อย ๆ ขอบ่นเป็นคนแก่ว่า สมัยที่กระผม/อาตมภาพยังเด็กอยู่ ขึ้นบ้านได้ทุกบ้าน เดินทะลุได้ยันห้องครัว หลายต่อหลายบ้านก็ไม่ได้มีรั้วรอบขอบชิดอะไร เนื่องเพราะว่าทุกคนอยู่ในศีลกินในธรรม เรื่องของการลักขโมยกัน ถ้าทำให้เสียหายถึงวงศ์ตระกูลนี่ต้องบอกว่า จะโดนสังคมกดดัน จนอยู่แถวนั้นไม่ได้อีกเลย..! แล้วปัจจุบันของเราสภาพสังคมแบบนั้นหายไปไหน..? ทำไมเรากลายเป็นยอมรับว่า ถ้าคนมีเงินแล้วก็เป็นอันว่าดี เขาจะหาเงินมาด้วยวิธีไหนเราไม่ต้องสนใจ..!? ทุกวันนี้แม้แต่วัดท่าขนุนของเราก็กลายเป็นวัดประหลาดในสายตาคนอื่น อย่างกระผม/อาตมภาพขอมติคณะสงฆ์อำเภอทองผาภูมิว่า ถ้ามีพระภิกษุสามเณรทำผิดระเบียบวัด โดนไล่ออกแล้ว วัดและสำนักสงฆ์อื่นทั้งหมดห้ามรับเข้าอยู่อาศัย พูดง่าย ๆ คือต้องให้พ้นจากอำเภอไปเลย..! เรื่องของวัดท่าขนุนก็คือถ้าไม่สวดมนต์ ทำวัตร บิณฑบาต กรรมฐาน ร่วมกัน ถือว่าทำผิด ตักเตือนแล้วไม่ฟังก็ไล่ออก เพื่อนพระสังฆาธิการถามว่า "เรื่องแบบนี้เขาไล่ออกกันด้วยหรือ ?" หรือแม้กระทั่งหลวงพ่อพระเทพเมธากร (ณรงค์ ปริสุทฺโธ) อดีตเจ้าคณะจังหวัดกาญจนบุรี เมื่อกระผม/อาตมภาพตั้งกฎเกณฑ์กติกาของวัดเสร็จสรรพเรียบร้อย ได้นำไปถวายให้ท่านดู ท่านอ่านแล้วบอกว่า "เดี๋ยวคุณก็ได้อยู่คนเดียว..!" แล้วปัจจุบันนี้ท่านทั้งหลายจะเห็นว่า พระวัดท่าขนุนมี ๕๐ กว่ารูป กระผม/อาตมภาพไม่เห็นว่าจะอยู่คนเดียวเลย..!
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 26-04-2024 เมื่อ 02:59 |
สมาชิก 24 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#9
|
||||
|
||||
แล้วก็ดีอยู่อย่างหนึ่งก็คือ พวกที่ไม่เอาการเอางานเลยจะไม่มาอยู่วัดนี้ ชาวบ้านแถวนี้เคารพหลวงปู่สายมาก เหมือนอย่างกับเทพเจ้าในสายตาของเขา จะบวชลูกวัดไหนก็แล้วแต่ จะแห่นาคมากราบขอขมาหลวงปู่ก่อน แล้วค่อยไปบวช แต่กูจะไม่บวชวัดนี้เด็ดขาด..! เขาบอกว่าวัดนี้เคร่ง..!
แล้วพวกเราเห็นว่าวัดนี้เคร่งตรงไหน..? ก็แค่ทำอะไรไปเรื่อยเปื่อย เพียงแต่ว่าทำจริงเท่านั้น ก็คือทำไม่เว้น ทำไม่เลิก ทำตรงเวลา ในเมื่อเป็นเช่นนั้นเราจะเห็นว่า สภาพสังคมที่อยู่กันด้วยหลักธรรม ไม่ต้องมีกฎหมายก็อยู่ได้ แต่ปัจจุบันนี้สังคมแบบนั้นเลือนลางจืดจางไปแล้ว ขนาดมีกฎหมายยังไม่ค่อยจะยอมรับกัน โดยเฉพาะในวงการพระสงฆ์ของเราซึ่งต้องถือพระธรรมวินัยเป็นใหญ่ ถ้าปรากฏว่าทำผิดก็คือต้องอาบัติศีลขาด ก็เป็นอันว่าผิดแล้ว เสียหายแล้ว ถ้าสามารถทำคืนได้ก็แก้ไขไป ถ้าแก้ไขไม่ได้ก็คือขาดความเป็นพระในทันที แต่สมัยนี้เขารอให้ศาลตัดสิน..มันใช่หรือ..!? คุณละเมิดศีล คุณขาดความเป็นพระ ยังต้องให้ศาลตัดสินถึงจะขาดหรือ..? ศาลชั้นต้นตัดสินก็ยังอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ตัดสินก็ยังฎีกา ศาลฎีกาตัดสินกูยังฟ้องศาลปกครองต่อ..! ถ้าท่านทั้งหลายไปอ่านในพระไตรปิฎก จะเห็นในวินัยปิฎกคือส่วนที่พระพุทธเจ้าท่านบัญญัติศีลขึ้นมาในมูลบัญญัติ หรือวินีตวัตถุคือเรื่องราวที่เกิดขึ้น ทำให้ต้องมีการบัญญัติศีลขึ้นมา เมื่อพระพุทธเจ้าตรัสถามบุคคลผู้ล่วงละเมิดว่า "ดูกร..โมฆบุรุษ เธอกระทำเช่นนั้นจริงหรือ ?" พระสมัยนั้นตอบว่า "จริงพระเจ้าข้า" ไม่เห็นมีใครบิด ๆ เบี้ยว ๆ เลย ไม่เห็นมีใครบอกว่า "น้ำที่ห้องไม่ไหล ก็เลยต้องอาศัยอาบที่ห้องแม่บุญธรรม..!" เรื่องเดียวกันหรือเปล่า..?!
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 26-04-2024 เมื่อ 03:02 |
สมาชิก 24 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#10
|
||||
|
||||
ผิดก็คือผิด แล้วดีตรงที่ว่าพระพุทธเจ้าละท่านละเว้น "อาทิกัมมิกะ" คือผู้เป็นต้นบัญญัติให้ เพราะถือว่ายังไม่มีข้อห้าม ในเมื่อยังไม่ห้าม เธอทำไม่ถือว่าผิด เมื่อบัญญัติศีลขึ้นมาแล้ว ใครทำคนถัดไปถึงจะถือว่าผิด แล้วกำลังใจที่รับผิดชอบในสิ่งที่ตัวเองคิด ในสิ่งที่ตัวเองพูด ในสิ่งที่ตัวเองทำหายไปไหนหมด..? ที่หายไปหมดเพราะว่าการปฏิบัติธรรมของเราไม่เกิดผล ก็คือสักแต่นั่งฟุ้งซ่านไปวัน ๆ ภาวนาแล้วอารมณ์ใจไม่ทรงตัว
ถ้าบุคคลที่ภาวนาแล้วกำลังใจทรงตัว จะเป็นคนที่กล้าคิด กล้าพูด กล้าทำ โดยเฉพาะตรงต่อหลักธรรม ผิดก็คือผิด ถูกก็คือถูก ดังนั้น..ถ้าหากว่ามีใครว่าในสิ่งที่เราทำไม่ดี แล้วเรายังยอมรับไม่ได้ แปลว่าการปฏิบัติธรรมของเรายังไม่มีผล..! อันดับแรก กำลังใจไม่แกล้วกล้าพอที่จะยอมรับข้อบกพร่องของตน อันดับที่สอง ยังแบกตัวกูของกูไว้เยอะมาก ต้องรีบแก้ไขด่วน..! ไม่ทราบว่าครูรอยพิมพ์อยู่ไหม ? คุณครูรอยพิมพ์ สุทธิบานเย็น เป็นครูคนเก่าคนแก่ของที่นี่ เมื่ออาตมภาพชี้แจงให้ดูว่าสิ่งนี้ไม่ถูกต้อง ครูจะบอกเดี๋ยวนั้นเลยว่า "ค่ะ..ผิดค่ะ" แล้วก็พร้อมที่จะแก้ไข นั่นบุคคลอายุ ๖๐ กว่าจะ ๗๐ ปีแล้วนะ ไม่เห็นจะต้องไปแบกกิเลสอะไรไว้เลย เนื่องเพราะว่าบุคคลที่ชี้ขุมทรัพย์ก็คือความผิดพลาดให้กับเรานั้น มีน้อยมาก ส่วนใหญ่แล้วคนเรารักตัวเองมากกว่าความถูกต้อง ก็เลยไม่กล้าพูดในสิ่งที่สมควร ไม่กล้าชี้ในข้อบกพร่องคนอื่น เพราะกลัวว่าเขาจะไม่ชอบขี้หน้าเรา นั่นคือการรักตัวเองมากกว่ารักความสัตย์ความจริง มากกว่ารักในพระธรรมวินัย ถ้าลักษณะอย่างนี้จะให้ท่านทั้งหลายปฏิญาณตนว่า "มอบกายถวายชีวิตให้พระพุทธเจ้า" ดูท่าว่าจะสักแต่ปากพูดเท่านั้น..! "หลวงพ่อด่าหนูอีกแล้ว..!" ไม่ได้ด่า..พูดความจริงให้ฟัง แล้วมีใครเขาบอกอย่างนี้ให้เราฟังบ้าง..? แล้วเราก็ฟัง "เข้าหูซ้ายทะลุหูขวา" หรือว่า "ผิดเป็นครู" แต่เราอยากได้ตำแหน่งวิชาการ ผิดจนเป็นศาสตราจารย์ก็ยังผิดอยู่นั่นแหละ..!
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 26-04-2024 เมื่อ 03:06 |
สมาชิก 25 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#11
|
||||
|
||||
ปกิณกธรรมวันสงกรานต์ วันศุกร์ที่ ๑๒ เมษายน ๒๕๖๗ (ก่อนทำวัตรค่ำ)
ปกิณกธรรมวันสงกรานต์ วันศุกร์ที่ ๑๒ เมษายน ๒๕๖๗ (ก่อนทำวัตรค่ำ)
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย พิชวัฒน์ : 13-05-2024 เมื่อ 19:10 |
สมาชิก 23 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ พิชวัฒน์ ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#12
|
||||
|
||||
(โยมถวายเมาส์) แบบนี้เขาเอาไว้เล่นเกมส์ พระไม่ได้ใช้ เอาเมาส์ตัวละ ๙๐ บาทมาก็เหมือนกัน จะถวายข้าวของอะไรที่วัดท่าขนุนต้องระวังให้ดี ผิดจังหวะโดนด่าอีกต่างหาก..! อาตมภาพไม่รู้จะเอามาทำอะไร ของเก่าก็มีใช้อยู่แล้ว
อาตมภาพใช้โน้ตบุคตัวแรก ๘ ปี..! จนทุกคนฟันธงว่าเป็นของที่เสียชำรุดมาจากโรงงาน ไม่อย่างนั้นจะใช้ได้ไม่นานขนาดนั้นหรอก..! ปกติ ๓ ปีก็ไปไม่รอดแล้ว แต่คราวนี้เราต้องเข้าใจว่าของทุกอย่างได้มาเพราะศรัทธาของญาติโยม เราจะไปฟุ่มเฟือยไม่ได้ สมัยที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อฤๅษีฯ วัดท่าซุง ท่านไปอยู่ที่วัดท่าซุงใหม่ ๆ ท่านซื้อเครื่องเสียง ๒ เครื่อง สมัยนั้นเครื่องขยายเสียงแอมปลิฟายเออร์ยังเป็นหลอดทรานซิสเตอร์อยู่ จะต้องเสียบปลั๊กอุ่นเครื่องกันพักใหญ่กว่าที่จะใช้งานได้ ท่านซื้อมา ๒ เครื่องถวายให้วัดยางที่อยู่กันคนละฝั่งคลองไปหนึ่งเครื่อง แล้วก็ใช้เองหนึ่งเครื่อง ของวัดยางพังไปหลายปีแล้ว ของหลวงพ่อท่านยังใช้งานได้ดีเหมือนเดิม ท่านระมัดระวังในเรื่องการใช้มาก ถ้าคนรุ่นเก่า ๆ จะจำทิดเอี้ยงได้ ชื่อจริงชื่อ นพดล นาควิเชตร์ ทิดเอี้ยงพอถึงเวลาก็เสียบแจ็คไมโครโฟนเข้าไป บิด ๆ ๆ โป๊ก..! ไม้เท้าลงกบาลดาวขึ้นว่อนเลย..! หลวงพ่อท่านบอกว่า "เสียบเข้าตรง ๆ ดึงออกตรง ๆ ไปหมุนแบบนั้นก็หลวมหมด ทำให้พังเร็ว..!" ส่วนอาตมาทดสอบไมค์ด้วยการเคาะที่หัวไมโครโฟน โดนโป๊ก..! เหมือนกัน..ดาวขึ้นเหมือนกัน ท่านบอกให้เกาข้างล่างตรงก้านไมโครโฟน ท่านบอก "ข้างในเป็นฟิวส์บางนิดเดียว เอ็งไปเคาะ..มันก็ขาดน่ะสิ..!" เราจะเห็นว่าทุกสิ่งทุกอย่างของท่านนี่ท่านใช้แบบถนอมมาก ขนาดจีวรเก่า อาตมภาพแอบเปลี่ยนเพื่อที่จะเก็บไว้บูชา พอท่านหยิบของใหม่ปุ๊บ ท่านบอกว่า "ของเก่าอยู่ที่ไหน ? เอามาเลย..ขอคืน" อาตมาก็สงสัย ผ้าก็เอามาจากผ้าแบบเดียวกัน สีสันเดียวกัน อุตส่าห์ซักก่อนด้วย แล้วท่านรู้ได้อย่างไร..? ปรากฏว่าพอตอนหลังเฉลียวใจไปลองวัดดู จีวรใหม่สั้นกว่าจีวรเก่าประมาณความหนา ๒ นิ้วมือแค่นั้น พอท่านจับทาบกับตัวปุ๊บท่านบอกเลยว่า "ของเก่าอยู่ที่ไหน ? เอาคืนมา" คือถ้าไม่รู้จักสังเกตเองก็ไม่ต้องเอาของเก่าไป..! เอาแค่นี้ก่อน "โม้" มากเดี๋ยวทำวัตรรอบแรกไม่ทัน..!
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 27-04-2024 เมื่อ 16:49 |
สมาชิก 25 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#13
|
||||
|
||||
ปกิณกธรรมวันสงกรานต์ วันอาทิตย์ที่ ๑๔ เมษายน ๒๕๖๗ (ก่อนทำวัตรค่ำ)
ปกิณกธรรมวันสงกรานต์ วันอาทิตย์ที่ ๑๔ เมษายน ๒๕๖๗ (ก่อนทำวัตรค่ำ)
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย พิชวัฒน์ : 13-05-2024 เมื่อ 19:11 |
สมาชิก 20 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ พิชวัฒน์ ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#14
|
||||
|
||||
ผู้ใหญ่ให้อะไรต้องรีบรับเอาไว้ ต้องการหรือไม่ต้องการก็รับไว้ ไม่อย่างนั้นแล้วถ้าหากว่าไปทำให้ท่านหมั่นไส้ หลังจากนั้นจะไม่ได้อะไรอีกเลย..! อย่าไปอวดดีประมาณว่ากูไม่โลภ นั่นเป็นการกระทำที่โง่มาก..!
การทำสิ่งหนึ่งประการใดจะประสบความสำเร็จ นอกจากความสามารถและโอกาสแล้ว ยังมีเรื่องของเส้นสายหรือว่าผู้ใหญ่สนับสนุน เพราะฉะนั้น..อย่าทำให้ผู้ใหญ่เขารู้สึกไม่ดีกับเรา ไม่ว่าจะด้วยประการใดก็ตาม เพราะว่าถ้าเขาเลิกเมตตาเมื่อไร เราจะเดือดร้อนกว่าที่คิด..! เรื่องของทางโลกนั้นวุ่นวายมาก เราจะเอาทางธรรมเข้าไปจับอย่างเดียวก็ถือว่า "อยู่ไม่เป็น" บางคน "อยู่ไม่เป็น" หนักถึงขนาดต้องออกจากงาน ต้องเปลี่ยนศาสนาไปเลย..! มีโยมอยู่คนหนึ่งตั้งใจปฏิบัติเพื่อความเป็นพระโสดาบัน เกรงว่าศีล ๕ จะไม่พอ ก็เลยถือกรรมบถ ๑๐ คราวนี้พอเพื่อนฝูงร่วมงานสอบถาม ไม่ว่าจะปัญหาทางการทางงาน หรือคุยเล่นอะไร แม่เจ้าประคุณอมลิ้นเงียบอย่างเดียว กลัวว่าจะผิดกรรมบถ ๑๐ ข้อวาจา ซึ่งมีทั้งห้ามโกหก ห้ามส่อเสียด ห้ามเพ้อเจ้อ ห้ามพูดคำหยาบ คราวนี้เพื่อนฝูงก็ยังพอทน พอเจ้านายถามแกก็อมลิ้นเงียบอีก กลัวจะผิดกรรมบถ ๑๐ ท้ายสุดก็เลยโดนไล่ออกจากงาน..! แล้วแกก็น้อยใจว่าถือศาสนาพุทธ อุตส่าห์ปฏิบัติเคร่งครัดขนาดนี้แล้ว ยังไม่เห็นได้ผลดีอะไรตอบแทน แกก็เลยเปลี่ยนไปนับถือศาสนาคริสต์ ซึ่งคาดว่าปัจจุบันนี้อาจจะเป็นอิสลามไปแล้วก็ได้..! นั่นคือลักษณะของคนที่ "อยู่ไม่เป็น" ปฏิบัติธรรมแบบเถรตรง โลกเราวุ่นวายมาก ถ้าใช้ภาษิตจีนเขาบอกว่า "พบผู้คนกล่าววาจาผู้คน พบภูตผีกล่าววาจาภูตผี" ก็คือต้องไปกับเขาได้ทุกเรื่อง เพียงแต่ว่าในฐานะพุทธศาสนิกชนของเราก็ไปแค่สุดขอบของศีล ก็คือถ้าทำให้เราต้องละเมิดศีล ๕ เราก็ไม่ไปด้วย ถ้าลักษณะอย่างนี้เราถึงจะสามารถรักษาตัวรอดได้
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 28-04-2024 เมื่อ 02:50 |
สมาชิก 22 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#15
|
||||
|
||||
ในขณะเดียวกัน ถ้าหากว่าทำไปในลักษณะของบุคคลผู้มีน้ำใจ ช่วยเหลือเอื้อเฟื้อต่อผู้อื่นอยู่เสมอ ท้ายสุดก็จะมีคนเห็นด้วยกับการปฏิบัติของเรา บางคนก็คล้อยตาม บางคนก็ทำตามไปเลย เพียงแต่ว่าเป็นเรื่องที่ต้องใช้เวลาค่อนข้างที่จะนานมาก
ดังนั..ในเรื่องของการปฏิบัติธรรมหรือทำคุณงามความดีจึงเป็นเรื่องที่ควรจะออกจากใจ ถ้าเราทำดีด้วยใจก็จะทำได้ทน ทำได้นาน หน้าด้านทำไปจนกระทั่งตายกันไปข้างหนึ่ง แต่ถ้าเราทำดีเพราะอยากดี ถึงเวลาความดีไม่ตอบแทน เราก็จะท้อถอย หมดกำลังใจ หลายต่อหลายคนก็หลุดวงโคจรหายไปเลย ซึ่งไม่รู้ว่าอีกกี่กัปกี่กัลป์กว่าจะย้อนกลับมาได้โอกาสอย่างนี้อีก..! ดังนั้น..พระพุทธเจ้าท่านถึงได้ตรัสเอาไว้ แล้วพระรัฐบาลเถระนำไปกล่าวกับพระเจ้าโกรัพยะว่า "โลกนี้สับสน พร่องอยู่เป็นนิจ ไม่รู้จักอิ่ม เป็นทาสแห่งตัณหา" เห็นหรือยังว่าสับสน แต่คราวนี้ความสับสนเหล่านี้ ถ้าเรายึดมั่นในเรื่องของศีล ของสมาธิ ของปัญญา เราก็จะมีสติปัญญาที่แหลมคม ว่องไว สามารถแยกแยะได้ว่าอะไรถูก อะไรผิด อะไรควร อะไรไม่ควร แล้วก็จะทำในด้านที่ดีที่สุด ก็คือดีที่สุดทั้งสำหรับตนเอง ทั้งสำหรับผู้อื่น และทั้งสำหรับส่วนรวม การปฏิบัติธรรมจึงเป็นเรื่องจำเป็นในทุกที่ ถ้าหากว่าเราปฏิบัติแล้วยังไม่สามารถเอาไปใช้งานในชีวิตจริงได้ แปลว่าการปฏิบัตินั้นยังไม่มีผล ถ้าปฏิบัติแล้วสามารถให้กลมกลืนเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับเราในการดำเนินชีวิตได้ ถึงจะเรียกว่าการปฏิบัติธรรมแล้วมีผล พวกเราตอนนี้ส่วนใหญ่ก็อยู่ในลักษณะของลูกเต๋า โยนลงไปตรงไหนก็แปะอยู่ตรงนั้น เพราะว่าลูกเต๋าเป็นเหลี่ยม ๆ ต้องค่อย ๆ ขัด ค่อย ๆ เกลาตนเองไปเรื่อย จนกระทั่งเหลี่ยมใหญ่เป็นเหลี่ยมเล็ก จากเหลี่ยมเล็กก็ไม่มีเหลี่ยม แล้วท้ายที่สุดก็สามารถกลิ้งไปได้รอบตัว เอาไปแช่น้ำมันเพิ่มได้ยิ่งดี..! สิ่งทั้งหลายเหล่านี้เราจะดึงเอามาจากรอบข้างของเราได้ เห็นว่าส่วนโน้นของเขาดีเราก็หยิบเอามาใช้สักนิด ส่วนนั้นของคนนี้ดีก็หยิบเอามาใช้เสียหน่อย เมื่อทำไป..ทำไป..ก็กลมกลืนกลายเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับเรา ก็จะเป็นตัวตนของเราที่ไม่เหมือนใคร อาจจะมีมุมโน้นเหมือนคนโน้นนิด มุมนี้เหมือนคนนี้หน่อย แต่ว่าจะให้คนอื่นเลียนแบบทั้งหมดนั้นเป็นไปไม่ได้ เพราะว่าเป็นประสบการณ์ทั้งชีวิตหลายสิบปี เหมือนอย่างกับเราหยิบเอาดินเหนียวจากแหล่งโน้นนิดแหล่งนี้หน่อยมา ท้ายสุดก็ปั้นเป็นผลงานของตัวเอง
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 28-04-2024 เมื่อ 02:53 |
สมาชิก 21 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#16
|
||||
|
||||
หลักธรรมของพระพุทธเจ้าก็เหมือนกัน ไม่จำเป็นต้องศึกษาทั้ง ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ หลัก ๆ ก็แค่ ศีล สมาธิ ปัญญา เท่านั้น เพียงแต่ว่าทำให้จริง ถ้าหากว่าทำไม่จริงอย่างหนึ่ง ยังไม่รู้จักเบื่อหน่ายและเข็ดหลาบกับชีวิตที่เต็มไปด้วยความทุกข์อีกอย่างหนึ่ง เราก็จะไม่ตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติเพื่อความหลุดพ้น
พูดง่าย ๆ ว่ายังไม่เห็นทุกข์ เห็นโทษ ของการดำเนินชีวิตอยู่ ตั้งแต่ลืมตาตื่นขึ้น จนหลับตาลงไป เราเดินอยู่บนกองทุกข์ตลอดเวลา ในเมื่อมองไม่เห็น ไม่รู้สึกว่าสิ่งนี้เป็นโทษ เราก็ไม่คิดที่จะดิ้นรนหลีกหนี โดยเฉพาะในสิ่งดี ๆ เป็นสิ่งที่หลีกหนียากที่สุด เพราะว่าทุกคนต้องการ ในการปฏิบัติธรรมนั้นดีก็เกาะไม่ได้ ชั่วก็เกาะไม่ได้ เกาะดีก็ติดดี เกาะชั่วก็ติดชั่ว ไปไหนไม่ได้ เพียงแต่ว่าสิ่งใดที่เป็นความดี สมมติทางโลกเขานิยมอย่างนั้น เราก็เร่งทำไปเรื่อย ทำดีจนถึงดีที่สุดเมื่อไร เราก็จะปล่อยดีไปเองโดยอัตโนมัติ เหมือนอย่างกับเราเดินขึ้นบันได เราก็เกาะราวบันไดไปเรื่อยเพื่อความมั่นคง พอขึ้นถึงชั้นบน เราเดินเข้าห้องไป ไม่รู้ด้วยซ้ำไปว่าปล่อยราวบันไดตอนไหน นั่นคือลักษณะของการทำดีจนถึงที่สุด แล้วท้ายที่สุด รู้ว่าดีก็ทำ รู้ว่าชั่วก็ละ ไม่เกาะทั้งดีทั้งชั่วก็จบ ฟังดูง่ายนะ..ไปลองทำดูก็แล้วกัน แต่ตอนนี้ทำวัตรก่อน
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 28-04-2024 เมื่อ 02:55 |
สมาชิก 23 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#17
|
||||
|
||||
ปกิณณกธรรมเทศกาลสงกรานต์ วันจันทร์ที่ ๑๕ เมษายน พ.ศ. ๒๕๖๗ (ก่อนทำบุญช่วงเช้า)
ปกิณณกธรรมเทศกาลสงกรานต์ วันจันทร์ที่ ๑๕ เมษายน พ.ศ. ๒๕๖๗ (ก่อนทำบุญช่วงเช้า)
|
สมาชิก 21 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ พิชวัฒน์ ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#18
|
||||
|
||||
วันนี้เป็นวันจันทร์ มีใครป่วยเป็นโรควันจันทร์ไหม ? พอถึงวันจันทร์แล้วอยากจะ "เลื้อย" ไม่อยากทำงาน โรควันจันทร์นี่พวกข้าราชการเขาเป็นกันบ่อย ส่วนโรควันศุกร์ พอหลังเที่ยงก็เริ่มกระวนกระวาย หงุดหงิด นั่งไม่ติด จะกลับบ้านให้ได้ สรุปก็คือวันศุกร์กลับให้เร็วที่สุด วันจันทร์ไปให้ช้าที่สุด..!
แล้วก็เป็นเรื่องแปลกตรงที่ว่า วันไหนที่เราไปทำงานเร็วเจ้านายจะยังไม่มา วันไหนที่เราไปช้า เจ้านายมานั่งรอก่อนทุกที..! ถ้าใครเจอแบบนี้บ่อย ๆ ก็โปรดรู้ว่าอนาคตกำลังจะแย่แล้ว เรื่องของงานเป็นหน้าที่ ภาษาบาลีเรียกว่าภาระ แปลว่าสิ่งที่หนัก ภาราหะเว ปัญจักขันธา ขันธ์ ๕ นี้เป็นภาระอันหนักยิ่งหนอ ในเมื่อบาลีเรียกว่าภาระ ก็แปลว่าเป็นสิ่งหนักที่เราต้องแบกต้องหามไป คราวนี้พอเราแบกเราหามไป ถ้าเป็นไปตามปกติก็ยังพอทน แต่ส่วนใหญ่ไม่ค่อยปกติ ที่ว่าไม่ค่อยปกติก็คือ เรามักจะไปเอาสิ่งที่เกินภาระเข้ามา ก็คือโดยสภาพร่างกายของมนุษย์และสัตว์ทั่ว ๆ ไป สิ่งที่ต้องการก็คือ อาหาร เครื่องนุ่งห่ม ที่อยู่อาศัย ยารักษาโรค แต่เราก็ไปหาอย่างอื่นมาเพิ่ม อย่างเช่นว่าต้องมีโทรศัพท์มือถือ ต้องมีรถยนต์ แล้วแต่ละอย่างเป็นอย่างไร..? ก็ต้องหาเงินมาซื้อ..กลายเป็นภาระ มีข้อความส่งมาทางไลน์ว่า ครูคนที่ ๑ สอนให้เราเป็นคนดี คือแม่ ครูคนที่ ๒ สอนให้เราเป็นคนเก่ง คือพ่อ ครูคนที่ ๓ สอนให้เราอ่านออกเขียนได้ คือครูที่โรงเรียน ครูคนที่ ๔ สอนให้เราใช้ชีวิตอยู่ในสังคม คือเพื่อน ครูคนที่ ๕ สอนให้เราใช้ชีวิตร่วม คือคู่ครอง ครูคนที่ ๖ สอนให้รู้จักการให้ คือลูก ครูคนที่ ๗ สอนให้รู้จักคำว่าอภัย คือศัตรู ครูคนสุดท้าย สอนให้เราเรียนรู้ชีวิต คือตัวเอง อย่างน้อย ๆ ไม่ส่ง "สวัสดีวันจันทร์" มาอย่างเดียวก็ดีแล้ว ไม่อย่างนั้นก็มีแต่สวัสดีวันจันทร์..น่าเบื่อหน่ายมาก..! ตอนนี้มีรายการอบรมเพิ่มความรู้ทุกวันศุกร์ มีรายการปฏิบัติธรรมทุกวันอาทิตย์ พระอาจารย์เล็กต้องบรรลุสักวันหนึ่งแน่ ๆ งานเยอะเป็นบ้าเลย..! ที่รู้อยู่คนอื่นเขาก็รู้ไม่เท่า แล้วยังต้องมาเพิ่มความรู้อยู่อีก นี่ต้องอบรมเพิ่มอีก ๑๖ อาทิตย์..!
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 29-04-2024 เมื่อ 15:32 |
สมาชิก 16 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#19
|
||||
|
||||
เมื่อวันที่ ๑๓ เมษายน ตอนเทศน์บอกศักราชผิด คือบอกเดือนผิดเป็นเดือนสี่ ลืมไปว่าสงกรานต์เป็นเดือนห้า ก็คือเดือนทางภาษาบาลีเขาจะมี
มิคะสิระมาสัสสะ คือ เดือนอ้าย ปุสสะมาสัสสะ คือ เดือนยี่ มาฆะมาสัสสะ คือ เดือนสาม ผัคคุณะมาสัสสะ คือ เดือนสี่ จิตตะมาสัสสะ คือ เดือนห้า วิสาขะมาสัสสะ คือ เดือนหก เชฏฐะมาสัสสะ คือ เดือนเจ็ด อาสาฬหะมาสัสสะ คือ เดือนแปด สาวะนะมาสัสสะ คือ เดือนเก้า โปฏฐะปะทะมาสัสสะ หรือ ภัททะปะทะมาสัสสะ คือ เดือนสิบ อัสสะยุชะมาสัสสะ คือ เดือนสิบเอ็ด กัตติกะมาสัสสะ คือ เดือนสิบสอง วันก่อนบอกผิด แทนที่จะเป็น จิตตะมาสัสสะ เดือนห้า ดันไปบอกเป็น ผัคคุณะมาสัสสะ คือ เดือนสี่ เรื่องของภาษาบาลีในส่วนของการบอกศักราชก็เพื่อไม่ให้พวกเราประมาท จะได้รู้ว่าอายุพระพุทธศาสนาล่วงพ้นไปแล้วเท่าไร เราเหลือเวลาในการทำความดีน้อยลงไปเรื่อย ๆ แล้ว ทุกอย่างที่โบราณทำเอาไว้ ก็เพื่อให้เรามีความก้าวหน้าในการปฏิบัติธรรม คราวนี้เราจะก้าวหน้าในการปฏิบัติธรรมได้ก็ต้องเป็นผู้ไม่ประมาท บาลีท่านใช้คำว่า ผู้มีราตรีอันเจริญ รติวัฑฒโน คำว่า ผู้มีราตรีอันเจริญ ก็คือไม่เห็นแก่นอน เน้นในการปฏิบัติธรรมมากกว่า
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 29-04-2024 เมื่อ 15:34 |
สมาชิก 17 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#20
|
||||
|
||||
แบบเดียวกับใน ภัทเทกรัตตสูตร ที่ท่านสอนว่า อะตีตัง นานวาคะเมยยะ นัปปะฏิกังเข อะนาคะตัง อย่ามัวแต่ไปกังวลหวนถึงอดีต อย่าไปฟุ้งซ่านถึงอนาคต ปัจจุปปันนัญจะ โย ธัมมัง ตัตถะ ตัตถะ วิปัสสะติ เราต้องอยู่กับปัจจุบันนี้เท่านั้น ถึงจะรู้แจ้งได้
อดีตเปรียบเหมือนอย่างกับรถที่ออกจากท่าไปแล้ว หรือเครื่องบินที่บินไปแล้ว Take off ไปแล้ว แล้วเราจะไปขึ้นอย่างไร..? คำว่า Take off นี่ประหลาดมาก ก็ในเมื่อ off แล้ว จะขึ้นได้อย่างไร ? ทำไมไม่ใช้ว่า Take on ? ก็พอ ๆ กับคำว่า Shut up ที่ให้หุบปาก ทำไมไม่ใช้ว่า Shut down ? อาตมาเป็นคนขี้สงสัย ถ้าใครคุยด้วยนี่ปวดหัวตายเลย..! ส่วนอนาคตเป็นเครื่องบินที่ยังไม่มาจอดในลานเลย "เรียนท่านผู้มีเกียรติทราบ ขณะนี้ทางสายการบิน..ขออภัยต่อผู้โดยสารที่ต้องเรียนแจ้งว่า เครื่องจากกรุงเทพมหานครยังมาไม่ถึง" ก็บอกตรง ๆ ไปสิว่าเลื่อนกี่ชั่วโมง..! ในเมื่อยังมาไม่ถึงเราก็ขึ้นไม่ได้ แปลว่าอดีตก็ไม่มีประโยชน์ ไปหวนหาอะไรอยู่ อนาคตก็ไม่มีประโยชน์เพราะยังมาไม่ถึง คิดไปก็ฟุ้งเปล่า ๆ ก็เหลือแต่ตอนนี้ เครื่องบินเที่ยวที่อยู่ตรงหน้าเรานี่ ขึ้นให้ทัน ซื้อตั๋วหรือยัง ? เช็คอินเรียบร้อยไหม ? ฝากกระเป๋าเรียบร้อยไหม ? ที่แน่ ๆ ก็คือเดินไปถึงประตูขึ้นเครื่องทันไหม ? อาตมภาพเคยตาลีตาเหลือกสุดชีวิตอยู่ครั้งหนึ่ง ตื่นขึ้นมาก็ตั้งหน้าตั้งตา "โม่" วิทยานิพนธ์ปริญญาโท หันไปดูนาฬิกา ตายห่..อีก ๒๐ นาทีจะ ๖ โมง จะต้องขึ้นเครื่อง ๖ โมงเช้าเพื่อลงไปหาดใหญ่ คว้าสังฆาฏิ อังสะ สบงสำรองได้ โยนลงกระเป๋า ห่มคลุม แล้วเผ่นพรวดออกจากบ้าน โบกแท็กซี่ "ไปให้ถึงสนามบินดอนเมืองภายใน ๒๐ นาที..!" แท็กซี่ก็โกยสุดชีวิตเหมือนกัน เหยียบกระจายเลย..! ไปถึงสนามบินดอนเมือง ๐๕.๕๕ น. ค่ารถ ๒๖๗ บาท ให้ไป ๔๐๐ บาทเลย วิ่งไปเช็คอิน เจ้าหน้าที่บอกว่า "ไม่ต้องค่ะ นิมนต์ขึ้นรถเลย" เขาเอารถกอล์ฟมาจอดรอ..เหลือมึงคนเดียวแหละ..! งานนั้นทำวิทยานิพนธ์เพลิน พอคิดออกว่าจะเขียนอะไรก็พิมพ์ไปเรื่อย ลืมไปว่าต้องไปขึ้นเครื่อง..!
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 29-04-2024 เมื่อ 15:37 |
สมาชิก 17 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน ) | |
คำสั่งเพิ่มเติม | |
|
|