กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะพระอาจารย์ > พระครูวิลาศกาญจนธรรม (หลวงพ่อเล็ก สุธมฺมปญฺโญ) > เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน > เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน ปี ๒๕๖๗ > เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน เดือนมีนาคม ๒๕๖๗

Notices

ตอบ
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #1  
เก่า 04-03-2024, 19:25
พิชวัฒน์'s Avatar
พิชวัฒน์ พิชวัฒน์ is offline
สมาชิก - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Aug 2014
ข้อความ: 346
ได้ให้อนุโมทนา: 3,307
ได้รับอนุโมทนา 18,897 ครั้ง ใน 824 โพสต์
พิชวัฒน์ is on a distinguished road
Default เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันจันทร์ที่ ๔ มีนาคม ๒๕๖๗

เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันจันทร์ที่ ๔ มีนาคม ๒๕๖๗



แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย พิชวัฒน์ : 04-03-2024 เมื่อ 19:52
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 39 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ พิชวัฒน์ ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #2  
เก่า 05-03-2024, 00:29
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,653
ได้ให้อนุโมทนา: 151,944
ได้รับอนุโมทนา 4,415,901 ครั้ง ใน 34,243 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

วันนี้ตรงกับวันจันทร์ที่ ๔ มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๖๗ พวกเราต้องใช้ระบบ ๕ - ๖ - ๗ คือตื่นนอนตั้งแต่ตี ๕ เวลา ๖ โมงส่งกระเป๋าให้ทางมัคคุเทศก์นำไปจัดการโหลดขึ้นรถ และ ๗ โมงออกเดินทาง

ในช่วงระหว่างที่โหลดกระเป๋านั้น พวกเราก็รับประทานอาหารเช้า ซึ่งทางห้องอาหารของทาง The Vissai Hotel นั้น ถือว่าน่ารักสุด ๆ เพราะว่าพวกเราเข้าไปตั้งแต่ยังไม่ทันจะ ๖ โมง เขาก็พยายามที่จะบริการอย่างเต็มที่ โดยเฉพาะอาหลันนั้น ตอนนี้แปลงตัวเป็น FC วัดท่าขนุนเต็มตัวแล้ว ก็คือนอกจากนำเอาผลไม้มาถวาย ยังมีการถวายเงินทำบุญตอนเช้าเหมือนกับคนอื่น ๆ อีกด้วย

เมื่อพวกเราอิ่มเรียบร้อย ตรวจสอบกระเป๋าแล้ว ก็ออกเดินทางไปยังวัดตามจุ๊ก (Tam Chuc) ซึ่งการเดินทางนั้นไม่ไกล แต่ว่าสถานที่จอดรถแล้วไปยังสถานที่ซื้อตั๋วนั้นไกลมาก ปกติแล้วก็ต้องเดินไป แต่ว่าวันนี้เกิดอะไรขึ้นก็ไม่ทราบ เจ้าหน้าที่ทางวัดส่งรถรางมารับพวกเราจนถึงลานจอดรถ วิ่งไปรออยู่ทางด้านหน้าสถานที่ซึ่งจะตรวจตั๋วตอนขาเข้า พวกเราส่วนใหญ่มาถึงก็วิ่งไปเข้าห้องน้ำกัน ครั้นได้ตั๋วมาเรียบร้อยแล้ว ก็เดินตามมัคคุเทศก์ของเราไป ผ่านการตรวจทีละชั้น เมื่อตรวจแล้วยังต้องเก็บตั๋วติดตัวไว้รอให้เขาตรวจอีก

เมื่อเดินออกจากอาคารหลังใหญ่แล้วก็จะเป็นสนามที่กว้างขวาง และมีต้นไม้ปลูกอยู่เป็นระยะไป ไปจนกระทั่งถึงหน้าอาคารใหญ่มหึมาหลังหนึ่ง พวกเราได้ทำการถ่ายรูปหมู่ก่อน และเพิ่งจะรู้ว่าทางคณะเติมเต็มทราเวลนั้น นำเอาโดรนมาด้วย ถ่ายรูปเสร็จสรรพเรียบร้อย พวกเราเดินเข้าไปในอาคารหลังใหญ่ ปรากฏว่าไม่ได้เดินเข้าไปชมอะไร ทั้ง ๆ ที่เขาจัดสถานที่ไว้สวยงามมาก ๆ โดยเฉพาะโคมไฟหลากสีเหล่านั้น แต่เป็นการให้พวกเราเดินผ่านช่องตรวจตั๋วอีก ๑ รอบ

หลังจากนั้นก็ไปขึ้นเรือ ๒ ชั้น ซึ่งงานนี้ก็ได้รับการอนุเคราะห์สงเคราะห์ยกเรือให้พวกเราไปเลย ๑ ลำ ต้องขอบคุณท่านผู้มีจิตเมตตาอย่างมาก ๆ เพราะว่าปกติคณะทัวร์ก็มักจะโดนคณะอื่นแทรกไปด้วยเสมอ แต่คณะของเราถือว่าพิเศษ นั่งเรือผ่านทะเลสาบที่มีลมหนาว ๑๘ องศาเซลเซียสแบบสะท้านไปตลอดทาง แต่ก็สนุกเฮฮากับการถ่ายรูปหมู่บ้าง รูปเดี่ยวบ้าง

โดยเฉพาะนางสาวลัดดา ไกด์ของบัสที่สองนั้น พยายามที่จะเข้ามาทำบุญ บอกว่า "หลวงพ่ออวยพรให้หนูรวย ๆ แล้วลืมสาธุ..!" กระผม/อาตมภาพจึงบอกว่า "ถ้าอย่างนั้นต้องทำบุญใหม่อีกรอบหนึ่ง..!" จึงได้สนุกสนานเฮฮากันจนไปถึงฝั่งซึ่งเป็นระยะทางที่ไกลมาก เพราะว่าทะเลสาบนั้นกว้างถึง ๓,๐๐๐ ไร่..!

เมื่อข้ามฝั่งไปแล้ว พวกเราถ่ายรูปหมู่หน้า "ประตูสวรรค์" จากนั้นเข้าไปภายในศาลาประตูสวรรค์ ซึ่งมีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปางไสยาสน์อยู่ ด้านซ้าย - ขวามีเทพพิทักษ์องค์มหึมา มัคคุเทศก์ของเรานัดแนะวันและสถานที่นัดพบแล้ว พวกเรากราบพระเรียบร้อย และทำบุญหยอดตู้กันเสร็จ ก็เดินออกไปทางซ้ายมือของศาลาประตูสวรรค์ เดินเลาะขวาไปจนกระทั่งเห็นอาคารหลังใหญ่อยู่ทางด้านขวา อันนี้จะเป็น "ศาลาดิน" ซึ่งทางด้านของมหายานเขามีความเชื่อเกี่ยวกับ ฟ้า ดิน มนุษย์ ถ้าหากว่าสัมพันธ์กันอย่างดีเมื่อไร ก็จะเจริญรุ่งเรืองมาก
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 05-03-2024 เมื่อ 02:01
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 30 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #3  
เก่า 05-03-2024, 00:36
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,653
ได้ให้อนุโมทนา: 151,944
ได้รับอนุโมทนา 4,415,901 ครั้ง ใน 34,243 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พวกเราเข้าไปในศาลาดินที่มีรูปหล่อองค์เจ้าแม่กวนอิมด้วยสำริด ขนาดมหึมามโหฬารเป็นประธานอยู่ กระผม/อาตมภาพถ่ายรูปแล้วก็เดินหยอดตู้ทำบุญ ตอนนี้ขอทำตัวเป็น "องจู๋เหี่ยว(มหาเศรษฐี)" คือหยอดเงินทำบุญไปอย่างน้อยตู้ละ ๕๐,๐๐๐ ด่อง

เสร็จสรรพเรียบร้อย พวกเราเดินออกมาก็ต้องขึ้นบันไดต่อไป บรรดาท่านที่ได้รับคำสั่งให้คอยดูแลกระผม/อาตมภาพอย่างทิดแจ๊ค (กรชัย บันดาลศิริกุล) ก็ดี หรือว่า "มัคคุเทศก์เนตร" จากเติมเต็มทราเวลก็ตาม ต้องวิ่งตามกันชนิดลิ้นห้อย เนื่องเพราะว่าหลวงพ่อเล่นขึ้นบันไดทีละ ๒ ขั้น แล้วเจ้าประคุณรุนช่องเถอะ วัดนี้มีพื้นที่ตั้งแสนไร่..! เขาก็เลยสร้างบันไดกันแบบไม่ยั้ง

จนกระทั่งพวกเรามาถึง "ศาลามนุษย์" เข้าไปข้างในอาคารแล้ว ก็มีรูปองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นประธานอยู่ตรงกลาง ทางซ้ายขวาก็ยังมีพระสงฆ์ ซึ่งถือว่าเป็นสาวกขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่ละองค์ล้วนแล้วแต่หล่อได้ใหญ่โตมหึมาทั้งสิ้น พวกเรากราบพระ ทำบุญกันเรียบร้อยแล้วก็เดินขึ้นเขากันต่อไป

ปรากฏว่าศาลาถัดไปนั้นก็คือ "ศาลาสวรรค์" เมื่อพวกเราเข้าไปภายใน ก็ได้เจอองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอยู่ภายในศาลาเหมือนเดิม แต่ว่ากระผม/อาตมภาพนั้น หลังจากที่ได้ทำบุญเสร็จสรรพเรียบร้อยแล้ว กลับติดใจรูปเศษไม้ที่อยู่ด้านหน้าศาลามากกว่า ไม่น่าเชื่อว่าธรรมชาติจะจัดสรรให้รูปร่างหน้าตาออกมาดูเหมือนกับสัตว์ประหลาดในนิยายก็ไม่ปาน

หมดธุระจากตรงนี้แล้ว พวกเราก็เดินขึ้นต่อไปยัง "แดนสุขาวดีพุทธเกษตร" แต่ว่าทางซ้ายมือนั้น มีหอระฆังสูงลิบ ๆ ซึ่งเขาบอกว่าขึ้นไปแล้วจะสามารถเห็นวิวหมดทั้งวัดนี้เลย กระผม/อาตมภาพจึงขอขึ้นหอระฆังเสียก่อน เดินขึ้นไปชนิดที่ผู้ติดตามอยากจะร้องไห้ แต่ก็พยายามที่จะตามหลวงพ่อให้ทัน เนื่องเพราะว่าความแก่ไม่พอ ก็เลยทำให้ร่างกายไม่แข็งแรง..!

กระผม/อาตมภาพขึ้นไปจนถึงชั้นบนสุด เมื่อมองออกไปรอบด้านแล้ว เห็นมีฝั่งหนึ่งที่กำลังทำการก่อสร้างอยู่อย่างขะมักเขม้น ก็แปลว่าวัดตามจุ๊กแห่งนี้ ยังมีโอกาสที่จะขยายให้ใหญ่โตมากไปกว่านี้อีก ซึ่งได้ยินว่าทางด้านผู้มีจิตศรัทธานั้น ได้จ้างบริษัทให้มาออกแบบเป็นวัดท่องเที่ยว ขณะเดียวกันก็ให้มีส่วนของการปฏิบัติธรรมด้วย แถมยังออกแบบระบบการท่องเที่ยวให้อีก ว่าต้องใช้คนในจุดไหน แต่ละคนทำหน้าที่อะไรบ้าง

ต้องขออนุโมทนากับเขาทั้งหลายเหล่านี้ เพราะว่าแม้แต่เสาที่ปักเอาไว้แทนต้นธูปแต่ละต้นนั้น ก็สลักขึ้นมาจากหินแกรนิตสีเขียว น้ำหนักต้นละสามสี่สิบตันทั้งสิ้น ถ้าบอกว่าธูปที่ใหญ่ที่สุดในโลกก็คงจะอยู่ที่เวียดนามนี่เอง..!
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 05-03-2024 เมื่อ 02:05
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 30 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #4  
เก่า 05-03-2024, 00:42
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,653
ได้ให้อนุโมทนา: 151,944
ได้รับอนุโมทนา 4,415,901 ครั้ง ใน 34,243 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

เมื่อพวกเราส่วนหนึ่งตามขึ้นไปถึง ถ่ายรูปหมู่กันแล้ว ก็กลับลงมาชั้นที่ ๒ ของหอระฆัง ซึ่งมีระฆังใบใหญ่มหึมาให้พวกเราได้ถ่ายรูปกันอีกวาระหนึ่ง เสร็จแล้วก็ค่อยเดินย้อนกลับไปยังศาลาสุขาวดีพุทธเกษตร ซึ่งทางด้านหน้าศาลานั้น มีราชรถของพระพุทธเจ้าในอดีตกาล ในปัจจุบันกาล และในอนาคตกาลอยู่ ๓ คัน

"น้องเจด้า" ขวัญใจประจำทริปได้ทำการถ่ายรูปมาอวดหลวงตาเรียบร้อยแล้ว กระผม/อาตมภาพเข้าไปกราบพระ ทำบุญด้านใน เมื่อถ่ายรูปเสร็จเรียบร้อย จึงทราบว่ายังมีวัดอยู่ทางด้านบนอีก โดยเฉพาะวัดเก่า ที่ต้องนั่งรถรางออกไปถึง ๑๒ กิโลเมตร จึงขอสละสิทธิ์ เดินทางกลับลงมา

ครั้นมานั่งรออยู่ตรงบริเวณที่เป็นที่พักและห้องน้ำ ก็ได้ข่าวว่า โดรนที่ทางเติมเต็มทราเวลนำมาเพื่อถ่ายรูปสวย ๆ นั้น ไม่ทราบเหมือนกันว่าบินพลาดอีท่าไหน จึงไปติดอยู่บนต้นไม้ที่บริเวณใกล้กับหอระฆัง แล้วก็ไม่สามารถที่จะกู้คืนมาได้ เพราะว่าป่าบริเวณนั้นรกทึบมาก จำเป็นต้องตัดใจ สละทิ้งไปโดยปริยาย..!

เมื่อพวกเรามากันครบถ้วน ผ่านการตรวจตั๋ว ซึ่งถือว่าเป็นครั้งสุดท้าย เพราะว่าเจ้าหน้าที่ยึดตั๋วไปเลย ครั้นออกมาทางด้านนอก ก็มีรถรางมารอรับอยู่ แล้ว ขณะเดียวกันเมื่อพาพวกเราวิ่งออกไป
กระผม/อาตมภาพถึงได้รู้ว่าหนทางไกลได้ขนาดนี้ เพราะว่าเป็นการวิ่งอ้อมไปครึ่งทะเลสาบทีเดียว ตอนที่เรานั่งเรือตรงเข้ามาก็ยังไม่รู้ว่าทะเลสาบใหญ่แค่ไหน แต่ตอนนั่งรถรางออกไปนั้น เห็นอย่างชัด ๆ ว่าใหญ่โตมโหฬารมาก..!

ทางด้านรถรางนำพวกเรามาลงจอดบริเวณที่เป็นทางเข้าร้านขายของที่ระลึกต่าง ๆ ซึ่งกระผม/อาตมภาพติดใจที่สุดก็คือรองเท้ายางรถยนต์ ที่พรรคคอมมิวนิสต์ใช้มาตั้งแต่สมัยลุงโฮ หรือว่าท่านโฮจิมินห์ เขามีการทำรองเท้ายางขนาดยักษ์เอาไว้ด้วย กระผม/อาตมภาพสองเท้ายัดเข้าไปข้างเดียวยังได้แค่มุมเล็ก ๆ ของรองเท้าข้างหนึ่งเท่านั้นเอง..!

พวกเราเดินต่อมาจนกระทั่งข้ามสะพาน ซึ่งขาเข้าไม่ได้ข้าม เพราะว่าเขาเอารถรางมารับ แล้วก็เลาะออกไปทางด้านลานจอดรถที่อยู่ไกลมาก อาหลันผู้เป็นมัคคุเทศก์บอกว่า ดูจากยอดเข้าออกที่บันทึกเอาไว้แล้ว มีคนมาก่อนเรา ๖,๐๐๐ กว่าคน..! ทั้ง ๆ ที่ไม่ใช่วันหยุด เพราะฉะนั้น..เขาจึงต้องจัดที่จอดรถเอาไว้ไกลหน่อย เพื่อที่จะได้เพียงพอกับรถที่มาถึง แต่ว่าเขาก็ทำได้ดีมาก เพราะว่ามีห้องน้ำอยู่ในบริเวณนั้นด้วย
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 05-03-2024 เมื่อ 02:09
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 30 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #5  
เก่า 05-03-2024, 00:46
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,653
ได้ให้อนุโมทนา: 151,944
ได้รับอนุโมทนา 4,415,901 ครั้ง ใน 34,243 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พวกเราขึ้นรถแล้วก็รับการแจกขนมรองท้องไปก่อน เพราะว่าเป็นเวลา ๑๑ นาฬิกาเศษ แล้วรถของเราก็วิ่งตรงไปยังกรุงฮานอย เพื่อที่จะหาอาหารรับประทาน ทั้ง ๆ ที่เป็นชั่วโมงเร่งด่วนและรถติด แต่พวกเราก็ไปกันสบาย ๆ เหมือนกับมีคนเคลียร์ทางให้ตลอด มาจนถึงร้านอาหารที่พวกเราต้องขึ้นไปยังชั้น ๔ เพื่อรับประทานอาหาร ตอนนี้ไม่มีใครสนใจแล้วว่าจะ "บัส ๑" หรือว่า "บัส ๒" เนื่องเพราะว่าเกือบบ่าย ๒ โมงแล้ว จึงได้กินกันกระจายอยู่ตรงนั้นเอง อิ่มเรียบร้อยแล้วก็กลับมาขึ้นรถ

มัคคุเทศก์ของเราพาตรงไปยังสุสานลุงโฮ หรือว่าโฮจิมินห์ เพื่อที่ให้พวกเราได้ไปถวายความอาลัยต่อรัฐบุรุษผู้ยิ่งใหญ่ของเวียดนาม เพียงแต่ว่าเราต้องวิ่งวนอ้อมโลกไปก่อน จนกระทั่งถึงลานจอดรถ ซึ่งที่นี่ต้องเสียเงินด้วย

จากนั้นมัคคุเทศก์ก็พาพวกเราเดินอ้อมโลกกลับไป เพื่อเข้าผ่านเครื่องเอ๊กซเรย์ ซึ่งเขาห้ามนำเอาของเหลวเกิน ๑๐๐ มิลลิลิตรเข้า ห้ามนำอาวุธและของมีคมทั้งหมดเข้าไป เนื่องเพราะเกรงว่าจะมีการไปทำร้าย หรือว่าวางระเบิดแถวสุสานของลุงโฮ ซึ่งเป็นที่เคารพรักยิ่งของชาวเวียดนามทั้งหลาย

กระผม/อาตมภาพเองผ่านไปแบบสบาย ๆ แต่เมื่อหันกลับมาถ่ายรูป เจ้าหน้าที่บอกว่าตรงนี้ห้ามถ่าย จึงต้องขอโทษขอโพยเขา เมื่อคณะมาสมทบ จึงได้ล้วงของในกระเป๋าออกมาให้ดู บอกว่าถ้านับแล้วก็เกิน ๒๐ ชิ้น เขาจะสงสัยบ้างหรือไม่ว่า กระผม/อาตมภาพพกอะไรมาบ้าง เพราะว่าตรวจอย่างไรเสียงก็ไม่ดัง..!

แล้วต้องเดินต่อไปอีกไกลมาก กว่าที่จะมาถึงวัดเสาเดียว ซึ่งเป็นวัดที่สร้างอยู่กลางสระน้ำ มีเสาต้นเดียว กระผม/อาตมภาพคาดว่าเป็นวัดทางพระพุทธศาสนามาก่อน เป็นการสร้างหอไตรไว้กลางน้ำ เพื่อป้องกันปลวกเข้าไปกัดแทะคัมภีร์นั่นเอง แต่มาตอนหลัง เขานำเอารูปเจ้าแม่กวนอิมเข้าไปเพื่อให้คนสักการะ จึงเปลี่ยนจากหอไตรมากลายเป็นวัดมากกว่า

ระหว่างที่ถ่ายรูปก็มีบรรดาภิกษุณีถ่ายรูปกระผม/อาตมภาพเป็นจำนวนมาก พูดง่าย ๆ ว่า ถึงไม่อนุญาต แม่เจ้าประคุณก็ยกมือถือถ่าย ขนาดกระผม/อาตมภาพชี้หน้าก็ยังยกมือไหว้หัวเราะกลับมาเสียอีก..! แล้วพวกเราก็เดินเข้าไปจนกระทั่งถึงหน้าสุสานของลุงโฮ กว่าที่จะหามุมถ่ายรูปที่ว่าง ๆ ได้ก็ต้องอาศัยกำลังพลจำนวน ๒ คันรถบัสใหญ่เบียดเข้าไป คนถึงยอมถอยออกมาให้ถ่ายกันได้

ถ่ายรูปเสร็จเรียบร้อยแล้ว ทางมัคคุเทศก์ก็นัดแนะเวลา ซึ่งมีเวลาแค่ไม่กี่นาทีเท่านั้น ให้พวกเรามีอิสระในการที่จะเลือกรูปมุมไหนก็ได้ ถ่ายรูปกันตามอัธยาศัยตัวเอง แล้วก็พาพวกเราเดินกลับออกมา ปรากฏว่าเห็นมีบุคคลจำนวนมาก กำลังเดินผ่านเครื่องตรวจอาวุธเข้าไปอีกจุดหนึ่ง ซึ่งทางมัคคุเทศก์บอกว่า จุดนี้เป็นจุดที่ใกล้สุสานมากกว่า จึงมีคนนิยมเข้ากันมาก จุดที่พวกเราเข้านั้น ใกล้ที่จอดรถก็จริง แต่ว่าต้องเดินอ้อมไปไกลมาก
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 05-03-2024 เมื่อ 02:13
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 28 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #6  
เก่า 05-03-2024, 00:53
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,653
ได้ให้อนุโมทนา: 151,944
ได้รับอนุโมทนา 4,415,901 ครั้ง ใน 34,243 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พวกเราจึงได้ทดลองการเดินข้ามถนนในกรุงฮานอย ซึ่งมีกฎเกณฑ์กติกาว่า ห้ามหยุดกลางคัน ห้ามถอยหลัง ให้เดินหน้าอย่างเดียว แล้วเราจะปลอดภัย ก็ปรากฏว่าทุกคนปลอดภัยจริง ๆ แต่ต้องยอมรับว่ารถในฮานอยนี้เยอะมาก ๆ พวกเรารอจนกระทั่งรถยนต์มารับแล้วก็พาฝ่ารถติดไป แต่ก็เป็นเรื่องอัศจรรย์เหมือนเดิม เพราะว่าด้านหน้าของเราประมาณ ๕๐ เมตร หรือว่า ๑๐๐ เมตรจะว่างอยู่ตลอด ให้รถของเราวิ่งได้โดยไม่ติดขัด

มัคคุเทศก์พาพวกเรามาลงที่หน้าโรงละครหุ่นน้ำ ซึ่งมีการแสดงหลายรอบ แต่พวกเราไม่ได้เข้าไปดู หากแต่มัคคุเทศก์แนะนำว่า จะต้องไปช็อปปิ้งที่ไหน ? มีของดีที่ใดบ้าง ? ส่วนกระผม/อาตมภาพนั้น ไปชมทะเลสาบคืนกระบี่ ซึ่งคำว่า "หว่านเกี๊ยม" ของทางด้านเวียดนามนั้น แปลว่า "คืนกระบี่" แต่คนไทยมักจะเรียกว่าทะเลสาบคืนดาบ แล้วซื้อตั๋วข้ามสะพานแสงอาทิตย์ ซึ่งก่อนที่จะได้ตั๋วนั้น ก็ดูสิ่งต่าง ๆ ที่มีคนทำมือขึ้นมาขายบริเวณนั้น เป็นข้าวของแปลก ๆ อย่างเช่นว่าไม้สลัก ไม้ไผ่สาน หรือว่าการตัดกระดาษเป็นรูปต่าง ๆ เป็นต้น

ครั้นเข้าไปข้างในแล้ว ไม่สามารถที่จะถ่ายรูปบนสะพานได้ เพราะคนเยอะมาก จึงเดินเข้าไปขอถ่ายรูปทะเลสาบด้านใน ซึ่งความจริงแล้ว จะมีเจดีย์เล็ก ๆ ที่เป็นหมุดเมืองของทางด้านฮานอยนี้ แต่เสียดายว่าในรูปนั้นมองเห็นไม่ชัด แล้วก็เข้าไปชมศาลยอดขุนพลเจิ่นฮึงด่าว เจ้าเทพเจ้าแห่งความซื่อสัตย์ของประเทศเวียดนาม ซึ่งคล้าย ๆ กับเทพเจ้ากวนอูของประเทศจีนนั่นเอง

ในที่นี้เขาห้ามถ่ายรูป แต่กระผม/อาตมภาพเดินวนถ่ายจนรอบแล้วจึงออกมา แล้วค่อยไปเยี่ยมสหาย ก็คือตะพาบยักษ์แยงซีเกียงตัวสุดท้ายของโลกที่เสียชีวิตไปแล้ว โดยรู้จักกันโดยทางใจมานาน แต่ว่าเพิ่งมีโอกาสมาเยี่ยมเยียน เพื่อนฝูงก็ไม่อยู่ ชิงตายไปก่อนหลายปี..!

แถมใกล้ ๆ นั้น ยังมีซากตะพาบเซียนซึ่งเป็นผู้มาทวงกระบี่คืนจากกษัตริย์เวียดนามอีกต่างหาก แต่ว่าซากของตะพาบเซียนนั้น เป็นการสตัฟฟ์ไว้ด้วยเทคนิครุ่นเก่า จึงมีการหดเล็กลง ทั้ง ๆ ที่หนักถึง ๒๕๐ กิโลกรัม ทำให้ซากที่ใช้เทคนิคการสตัฟฟ์แบบใหม่ของตะพาบยักษ์แยงซีเกียง สหายของกระผม/อาตมภาพนั้น ดูใหญ่กว่า ทั้ง ๆ ที่น้ำหนักแค่ ๑๕๐ กว่ากิโลกรัมเท่านั้น

เสร็จสรรพเรียบร้อย พวกเราก็ต้องมากันตรงจุดนัดพบหน้าโรงละครหุ่นน้ำ ซึ่งต้องรอกันนานมาก เพราะว่ารถบัสทุกคันจะต้องมารับผู้โดยสารที่นี่ จนกระทั่งรถมาถึงแล้ว พวกเราก็ต้องรีบขึ้นอย่างเร่งด่วน เพราะว่าข้างหลังรถติดมาก แล้วก็วิ่งฝ่าจราจรที่ติดขัดมายังสนามบินนานาชาตินอยไบ หรือสนามบินนานาชาติกรุงฮานอย ซึ่งตลอดทางนั้น แม้ว่าจะเป็นชั่วโมงเร่งด่วนก็ตาม เหมือนกับมีคนเคลียร์ทางข้างหน้าให้ตลอด เมื่อเข้ามาถึงภายในสนามบินแล้ว ต้องรอให้ทางคณะทัวร์ไปจัดการเคลียร์เรื่องข้าวของต่าง ๆ และแลกเงินด่องเป็นเงินไทยให้ กระผม/อาตมภาพจึงมานั่งบันทึกเสียงธรรมจากวัดท่าขนุนสำหรับท่านทั้งหลาย ลำดับต่อไปก็เป็นการรอเดินทางกลับสู่เมืองไทย

สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายแก่พระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้

พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
วันจันทร์ที่ ๔ มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๖๗
(ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 05-03-2024 เมื่อ 02:20
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 32 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
ตอบ


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 
คำสั่งเพิ่มเติม

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 00:55



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว