กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะพระอาจารย์ > เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี

Notices

เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี เก็บข้อธรรมจากบ้านวิริยบารมีมาฝาก สำหรับผู้ที่ไม่มีโอกาสเดินทางไป

ตอบ
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #121  
เก่า 15-05-2013, 21:28
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,720
ได้ให้อนุโมทนา: 152,086
ได้รับอนุโมทนา 4,418,916 ครั้ง ใน 34,310 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์กล่าวว่า "พ่อแม่รักลูกมีความเป็นตัวกูของกูอยู่เต็ม ๆ เลย คือนอกจากจะลูกของกูแล้ว ลูกก็คือเลือดเนื้อเชื้อไขของตัวเอง จะว่าไปแล้วก็คือแบบจำลองของตัวเอง ในเมื่อเหมือนตัวเองก็เลยรัก"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 16-05-2013 เมื่อ 02:44
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 187 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #122  
เก่า 15-05-2013, 21:32
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,720
ได้ให้อนุโมทนา: 152,086
ได้รับอนุโมทนา 4,418,916 ครั้ง ใน 34,310 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์กล่าวว่า "คนเราบางวาระเป็นช่วงทดสอบกำลังใจ คราวนี้ช่วงทดสอบจะเป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ เลี้ยวผิดก็ไปยาวเลย พลาดไปนานเลย เพราะฉะนั้น..ของบางอย่างความหวังดี ปรารถนาดีของเราก็อาจจะไปผิดจังหวะ ผิดเวลา ก็ทำให้คนอื่นเขาเข้าใจผิดได้

ขณะเดียวกันก็จะมีการดลใจจากสิ่งภายนอก คือบรรดากิเลสมารต่าง ๆ ด้วย ในเมื่อรวมกันเข้าไปก็จะกลายเป็นเตลิดเปิดเปิงกันไปใหญ่โต นักปฏิบัติต้องระมัดระวังอยู่เสมอในเรื่องของการทดสอบ มารจะใช้คนทุกคน ของทุกชิ้น สัตว์ทุกตัวในการทดสอบเรา โดยเฉพาะคนที่จะสร้างความสะเทือนใจให้เราได้มากที่สุด ก็คือคนที่เรารักมากที่สุด

ฉะนั้น..ต้องระวังให้ดี เรื่องทั้งหลายเหล่านี้พอเกิดขึ้น ก็สำคัญตรงที่ว่าเราได้แก้ไขเต็มความสามารถแล้วหรือยัง ? บางอย่างแก้ไม่ได้เพราะต่างคนต่างถือทิฐิ ถ้ายอมลด ละ ทิฐิของตัวเองลง ลักษณะเหมือนกับไปง้อเขาก่อน ไปขอโทษเขา ก็น่าจะทำให้อะไร ๆ ดีขึ้นมาได้"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 16-05-2013 เมื่อ 02:46
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 188 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #123  
เก่า 15-05-2013, 21:39
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,720
ได้ให้อนุโมทนา: 152,086
ได้รับอนุโมทนา 4,418,916 ครั้ง ใน 34,310 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : อนาคตเขาจะดีได้ไหมครับ ?
ตอบ : ได้..คนเคยตรงแล้ว เดี๋ยวก็เลี้ยวกลับมาเอง ตอนช่วงนี้เขาอาจจะมีเรื่องครอบครัวเข้ามาด้วยก็เตลิดไปหน่อย พอถึงเวลาทุกข์ใจหาทางไม่ออก ก็เคยรู้ว่าทางด้านนี้ดี เดี๋ยวเขาก็เลี้ยวกลับมา ถึงเวลาเขากลับมาเอง ไม่ต้องไปกังวล จะช้าจะเร็วก็ต้องมา อะไรที่เคยดีอยู่แล้วพอถึงเวลาคิดถึงก็มาใหม่เอง กลัวอยู่อย่างเดียว..พอเลี้ยวกลับมาแล้วจะรู้ตัวว่าไม่น่าเสียเวลาไปนานขนาดนี้เลย

ถ้าคนเราขาดการทดสอบ ขาดประสบการณ์จะไม่โต ในเมื่อโต มีประสบการณ์ก็แปลว่าโดนจนจุกแล้ว ไม่ต้องไปกังวลหรอก เราเอาตัวเราก่อน เราคิดว่าเวลาเราน้อยแล้ว ตะกายไปให้เต็มที่เลย ถ้าคิดกันอย่างคนประมาทก็คือลูกอายุยังน้อยอยู่ เดี๋ยวเขาก็มาเอง เราเองไม่มีเวลาแล้ว เราต้องประกันความเสี่ยงให้ตัวเองก่อน ลูกหลานหลวงพ่อวัดท่าซุงถึงไปก็ไปไม่ไกลหรอก เดี๋ยวก็กลับมา
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 16-05-2013 เมื่อ 02:47
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 180 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #124  
เก่า 15-05-2013, 21:46
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,720
ได้ให้อนุโมทนา: 152,086
ได้รับอนุโมทนา 4,418,916 ครั้ง ใน 34,310 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ความรู้จักมักคุ้นก่อให้เกิดความผูกพัน ในเมื่อทั้งผูกทั้งพันก็แปลว่าดิ้นหลุดได้ยาก จึงต้องระมัดระวังให้ดี มีสติอยู่เสมอ ไม่อย่างนั้นจะเอาตัวไม่รอด มารเขามีสารพัดวิธี ที่จะดึงเราให้จมอยู่กับห้วงวัฏสงสาร เขารู้ว่าแต่ละคนมีจุดอ่อนที่ไหน เขาก็จะจิ้มตรงนั้นแหละ

เพราะฉะนั้น..ทำความดีหนีความชั่วไปเรื่อย ๆ ทำไปถึงที่สุดแม้กระทั่งดีก็ต้องปล่อย กลายเป็นว่า “รู้ว่าดีก็ทำ รู้ว่าชั่วก็ละ ไม่เอาทั้งดีทั้งชั่วแล้วจึงจบได้” ถ้าถามว่าในเมื่อดีก็เกาะไม่ได้ ชั่วก็เกาะไม่ได้ ไม่ต้องทำความดีไม่ได้หรือ ? ก็ต้องบอกว่าความดีต้องทำ เพื่อความไม่ประมาท เพราะกำลังความดีจะส่งเราหนีห่างจากความชั่วไป แต่พอหนีถึงจุด ๆ หนึ่งแล้ว ก็จะสุดกำลังของความดี

ถ้าถึงเวลานั้นดีเราก็เกาะไม่ได้ แต่ยังต้องทำความดีไว้เพื่อเป็นเนตติ คือเป็นแบบอย่างกับคนอื่นเขา เขาเรียกว่ายังคิดเผื่อผู้อื่นที่มาทีหลัง
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 16-05-2013 เมื่อ 02:50
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 185 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #125  
เก่า 15-05-2013, 21:48
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,720
ได้ให้อนุโมทนา: 152,086
ได้รับอนุโมทนา 4,418,916 ครั้ง ใน 34,310 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์กล่าวว่า "ความจริงเกรงใจนะ แต่คนที่เอาหนังสือธรรมะก็ดี หนังสือสวดมนต์ก็ดีมาถวาย อยากถามว่าตัวเองได้อ่านหรือสวดแล้วหรือยัง ? ..(หัวเราะ).. ต้องให้เกิดประโยชน์กับเราให้มากที่สุดก่อน พอเราเห็นประโยชน์อันนั้นแล้วค่อยเอาไปให้คนอื่น ไม่อย่างนั้นถึงเวลาเขาถามว่าดีอย่างไร แล้วเราตอบไม่ได้ ขายหน้าตายเลย"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 16-05-2013 เมื่อ 02:50
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 192 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #126  
เก่า 17-05-2013, 20:46
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,720
ได้ให้อนุโมทนา: 152,086
ได้รับอนุโมทนา 4,418,916 ครั้ง ใน 34,310 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : ขอคำแนะนำในการทำกำลังใจพุทธภูมิให้บารมีให้เต็มครับ
ตอบ : อันดับแรก..เล่นสมาธิให้เต็มที่เลย ถ้าไม่ได้สมาบัติ ๘ ก็ต้องเอาฌาน ๔ ให้ได้ อันดับสอง..ในส่วนของสังฆทาน วิหารทาน ธรรมทานหรือการสร้างพระพุทธรูป มีใครเขาทำที่ไหนเมื่อไรร่วมกับเขาทันที หรือถ้าคิดว่ากำลังทรัพย์พอ กำลังคนพอก็เริ่มทำเองเลย

สุดท้ายก็คือตัวปัญญาของเรา ที่จะต้องพินิจพิจารณาให้เห็นความเป็นจริงในชีวิตอย่างชัดเจน ไม่ว่าจะดูในลักษณะของอริยสัจ ในลักษณะของไตรลักษณ์ หรือวิปัสสนาญาณ ๙ ต้องทำให้คล่องตัว เพราะสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ถ้าไม่คล่องตัว เราก็ไม่สามารถที่จะบอกต่อ สอนต่อได้ จะว่าไปแล้วเป็นงานมหาศาลเลย แต่ก็ไม่เกินความสามารถหรอก ขอให้ทำจริงเท่านั้น
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 18-05-2013 เมื่อ 02:12
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 168 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #127  
เก่า 17-05-2013, 21:02
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,720
ได้ให้อนุโมทนา: 152,086
ได้รับอนุโมทนา 4,418,916 ครั้ง ใน 34,310 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

มีผู้นำหนังสือพระเครื่องไปถวายพระอาจารย์ ท่านดูไปแล้วเล่าเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยต่าง ๆ ให้ฟัง "ตอนพระครูแสงท่านศึกษาเรื่องพระเครื่องแทบเป็นแทบตาย ท่านบ่น ๆ มาเข้าหูอาตมา อาตมามองแล้วก็จำ พอถึงเวลาเจ้าตัวลืมแล้วแต่อาตมายังจำได้ แค่เห็นรูปเห็นเหรียญก็แยกวัดแยกพิมพ์ได้แล้ว

แม้กระทั่งเรื่องคาถาอาคม อักขระเลขยันต์จริง ๆ ก็เริ่มที่พระครูแสงทั้งนั้นแหละ ท่านหัดลบผง ทำ
ผงปถมัง ผงมหาราช ผงอิทธิเจ ผงตรีนิสิงเห ขึ้น พินทุเอกัง สุมังพันธัง นะกุเอกัง สุมังพันธัง ฯลฯ ว่าไปเรื่อย ๒๐ ปีให้หลังไปถามท่านลืมหมดแล้ว แต่ยังอยู่ในหัวอาตมาเลย ท่านไม่นึกหรอกว่าที่ท่านว่าไปเรื่อย ๆ แล้วเข้าหู อาตมาได้ยินแล้วจะจำได้ขนาดนั้น เพราะสมัยฆราวาสนอนอยู่ห้องเดียวกัน

การเล่นพระเครื่องนั้นเซียนเขาแยกง่าย ๆ ว่าก่อน พ.ศ.๒๕๐๐ กับหลัง พ.ศ.๒๕๐๐ ถ้าหลังพ.ศ. ๒๕๐๐ นี่เขาถือว่าเป็นพระเครื่องรุ่นใหม่ รูปนี้เป็นเหรียญหล่อหลวงพ่อวัดบ้านแหลม สมัยก่อนชาวบ้านเขาเรียกว่า “คุณพ่อวัดบ้านแหลม”

เหรียญหล่อของเก่าจุดตายจะอยู่ตรงขอบเหรียญ เพราะว่าใช้เลื่อยฉลุ ฉะนั้น..จะมีรอยเลื่อยอยู่ ถ้าเป็นพระบูชาดูที่ฐาน ถ้าเป็นของเก่า รอยตะไบจะเป็นแนวตรง ถ้าเป็นของรุ่นใหม่ส่วนใหญ่ใช้หินเจียรหมุน รอยจะโค้ง สายตาต้องดีพอ โค้งก็โค้งนิดเดียว เพราะขอบพระไม่กว้าง ฉะนั้น..ที่แนวตรงเลยกับโค้งจะต่างกัน แค่เราพลิกขึ้นมาก็จะเห็น

เหรียญมหาสมณุตตมาภิเษกของกรมสมเด็จพระปวเรศฯ นี่บางคนเรียกว่าเหรียญบาตรน้ำมนต์ เพราะท่านตั้งใจให้เป็นเหรียญทำน้ำมนต์เลย จะเป็นเหรียญที่ใหญ่มาก เป็นที่ระลึกงานมหาสมณุตตมาภิเษกของพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมสมเด็จพระปวเรศวริยาลงกรณ์ วันที่ ๒๗ พฤศจิกายน ร.ศ.๑๑๐ ก็ พ.ศ.๒๔๓๕ เพราะว่า พ.ศ.๒๓๒๕ เป็น ร.ศ.๑ เราก็เอาจำนวน ร.ศ.บวก ๒๓๒๕ เข้าไป"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 18-05-2013 เมื่อ 02:26
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 165 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #128  
เก่า 17-05-2013, 21:04
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,720
ได้ให้อนุโมทนา: 152,086
ได้รับอนุโมทนา 4,418,916 ครั้ง ใน 34,310 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

"รูปนี้เหรียญหลวงปู่จิต วัดสัตตนารถปริวัตร ถ้าถัดจากรุ่นท่านก็คือท่านเจ้าคุณพระธรรมเสนานี (เงิน) ที่ท่านเจอพระองค์ที่ ๑๐ ท่านเป็นรุ่นอาจารย์ของหลวงปู่เงิน วัดสัตตนารถปริวัตรแต่ก่อนนี่อยู่บนเนินเขาที่ราชบุรี เขานั้นเดิมชื่อเขาศัตรูพินาศ เพราะว่าไทยรบชนะพม่าที่นั้น คราวนี้พอเรียกไปนาน ๆ ชื่อกร่อนเหลือสัตตุนารถ คนเขาว่าไม่มีความหมายก็เลยเรียกใหม่เป็นสัตตนารถ

คราวนี้พอรัชกาลที่ ๕ ท่านจะไปสร้างวังที่นั้น เห็นว่ามีวัดเก่าอยู่ท่านก็เลยใช้การผาติกรรมโดยการลงมาสร้างวัดข้างล่าง เพื่อถวายให้เป็นสมบัติพุทธศาสนา ลักษณะว่าผาติกรรมแลกเปลี่ยนเพื่อที่จะเอาที่ยอดเขานั้นไปสร้างวัง เพราะฉะนั้น..วัดที่ลงมาสร้างข้างล่างก็เลยเรียกว่าวัดสัตตนารถปริวัตร ก็คือแลกเปลี่ยนกับเขาสัตตนารถ ปริวัตรคือแลกเปลี่ยนกัน สับเปลี่ยนกัน

พระกริ่งปวเรศรุ่น ๒ หรือพระกริ่ง
ในหลวง ๕ รอบ หลวงพ่อฤๅษีเสก หลวงพ่อฤๅษีท่านไม่เคยเสกพระกริ่งเลยนอกจากรุ่นนี้ ตอนนี้ปลอมกันระเบิดเถิดเทิง ใต้ฐานบรรจุเส้นพระเจ้า (พระเกศาในหลวง) อาตมาพกติดตัวตั้งหลายปีเพิ่งให้เขาแลกบูชาไปตอนสร้างพระทองคำนี่แหละ คนรู้จักของนี่ประเภทลงเว็บเขาเห็นปุ๊บก็คว้าปั๊บเลย"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 18-05-2013 เมื่อ 02:29
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 161 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #129  
เก่า 17-05-2013, 21:09
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,720
ได้ให้อนุโมทนา: 152,086
ได้รับอนุโมทนา 4,418,916 ครั้ง ใน 34,310 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : วัตถุมงคลต่าง ๆ นี่ต้องเข้าพิธีพุทธาภิเษกไหมครับ ?
ตอบ : ถ้าเป็นพระเครื่องต้องเข้า เพราะว่าพระเครื่องเราพกติดตัวเป็นการตัดเคราะห์ ถ้าเป็นพระบูชาไม่ต้องก็ได้ เพราะพระบูชาส่วนใหญ่เราบูชาไว้อยู่กับบ้าน
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 18-05-2013 เมื่อ 02:30
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 171 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #130  
เก่า 17-05-2013, 21:13
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,720
ได้ให้อนุโมทนา: 152,086
ได้รับอนุโมทนา 4,418,916 ครั้ง ใน 34,310 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์กล่าวว่า "เรื่องขุนโจรคู่บัลลังก์ นอกจากจะเป็นการปลอมประวัติศาสตร์ ที่เขาเอาคนจริงกับคนปลอมมาใส่รวมกันแล้ว เขาแสดงให้เห็นชัดอยู่อย่างหนึ่งคือความเปลี่ยนแปลงของบุคคลที่เกิดจากสิ่งแวดล้อมบังคับ ตัวเองเป็นคนดีมากเลย แต่คนอื่นนึกถึงแต่ผลประโยชน์ ทำดีแค่ไหนท้ายสุดก็โดนเขาขายทิ้ง ก็เลยต้องค่อย ๆ เปลี่ยนแนวความคิดของตัวเองไป กำลังจะดูว่าท้ายสุดแล้วเขาจะรักษาอุดมการณ์ไว้ได้ไหม อย่าลืมว่าแม้ว่าแนวความคิดเปลี่ยน แนวทางการปฏิบัติเปลี่ยน แต่ท้ายสุดเป้าหมายเปลี่ยนไหม ? ต้องการรู้แค่นี้

ลักษณะแบบเดียวกับที่เราปฏิบัติธรรม ถ้าเราปฏิบัติแบบทื่อ ๆ ตรง ๆ บางทีก็ไปไม่ถึงไหนหรอก เพราะว่าสารพัดอุปสรรคจะเกิดขึ้น แบบเดียวกับที่ว่าเรารักษาศีล ๘ พอเพื่อนถามว่าทำไมไม่กินข้าวเย็น เราบอกว่ารักษาศีล ๘ เขาก็มองเราเป็นสัตว์ประหลาด แต่ถ้าบอกว่ากำลังลดความอ้วนอยู่ ก็กลายเป็นเรื่องธรรมดาของเขา เขาจะเข้าใจแล้วรับได้ง่ายกว่า

ฉะนั้น..จึงต้องมีการพลิกเพลง เพื่อที่จะให้อยู่ในสังคมได้โดยที่กระทบกระทั่งกันให้น้อยที่สุด ขณะเดียวกันการปฏิบัติของเราก็ให้มีความก้าวหน้ามากขึ้น จึงต้องการจะดูว่าในเมื่อคุณเปลี่ยนความคิด เปลี่ยนวิธีการปฏิบัติ แต่เป้าหมายของคุณยังเหมือนเดิมหรือเปล่า อาตมาจะรออ่านให้ถึงตอนจบ"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 31-05-2013 เมื่อ 19:45
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 165 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #131  
เก่า 17-05-2013, 21:16
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,720
ได้ให้อนุโมทนา: 152,086
ได้รับอนุโมทนา 4,418,916 ครั้ง ใน 34,310 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : เปลี่ยนอย่างไรไม่ให้ผิดสัจจะ ?
ตอบ : เปลี่ยนอย่างไรก็ได้ แต่ให้เราประสบความสำเร็จเหมือนเดิม เพราะบางทีเราเพิ่งจะเข้าใจว่าความตั้งใจเดิมใช้ไม่ได้ ไม่ถูกต้อง เราก็ต้องเปลี่ยนให้ถูก แบบเดียวกับบางคนตั้งอธิษฐานบารมีไว้

อย่างเช่น ตั้งความปรารถนาพระโพธิญาณ แล้วเห็นว่ากลายเป็นความเนิ่นช้า เพราะระยะเวลาอีกยาวนาน ไม่เห็นต้นเห็นปลายเลย ลาดีกว่า ก็เปลี่ยนความตั้งใจใหม่ได้ เปลี่ยนเป้าหมายใหม่ได้ ถ้าจะไม่ให้เสียสัจจะก็คือเปลี่ยนจากสิ่งที่ไม่ถูกมาให้ถูก ถือว่าไม่เสียสัจจะ เขาเรียกว่ามีปัญญา แต่ถ้าเปลี่ยนจากสิ่งที่ถูกไปผิดนี่เสียสัจจะแน่ ๆ
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 18-05-2013 เมื่อ 02:32
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 161 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #132  
เก่า 17-05-2013, 21:20
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,720
ได้ให้อนุโมทนา: 152,086
ได้รับอนุโมทนา 4,418,916 ครั้ง ใน 34,310 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : จริตหรืออัชฌาสัยของแต่ละคนไม่เหมือนกัน ?
ตอบ : คำว่าจริตอย่างหนึ่ง อัชฌาสัยอย่างหนึ่ง จริตคือความชอบพอเฉพาะตัว อัชฌาสัยคือแนวทางที่ตนเองยึดถือปฏิบัติ ในเมื่อเรามาคนละอย่างกันจะให้เหมือนกันย่อมเป็นไปไม่ได้

วันก่อนบอกไปแล้วว่า บางคนเดินขึ้นบันไดมามีกี่ขั้นยังไม่รู้เลย แต่บางคนบันไดมีกี่ขั้น กว้างยาวเท่าไร ทำด้วยวัสดุอะไรเขาต้องรู้ เพื่อที่จะสร้างบันได้ให้คนอื่นใช้ แค่นี้ก็ไม่เหมือนกันแล้ว บางคนแค่รู้ว่าบันไดกี่ขั้นก็พอใจแล้ว แต่บางคนต้องไปดูลงรายละเอียดว่าสร้างด้วยวัสดุอะไร แต่ละขั้นทำไมไม่เหมือนกัน ทำไมบันไดขั้นที่ ๑ ของชั้นที่ ๒ เป็นไม้ตะแบก แต่ขั้นที่ ๓ เป็นไม้ชิงชัน ก็ต้องไปติดตามดูรายละเอียด

จริตนิสัยที่สร้างมาไม่เหมือนกัน ความชอบพอต่างกัน แนวทางปฏิบัติและสิ่งที่ประสบความสำเร็จช้าเร็วก็เลยต่างกันไปด้วย
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 18-05-2013 เมื่อ 02:34
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 158 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #133  
เก่า 17-05-2013, 21:38
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,720
ได้ให้อนุโมทนา: 152,086
ได้รับอนุโมทนา 4,418,916 ครั้ง ใน 34,310 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : เวลาสงสัยบางอย่างจะนึกถึงหลวงพ่อฤๅษี บางทีก็เห็นภาพมาลาง ๆ โดยไม่รู้ว่าจินตนาการไปเองหรือเปล่า ?
ตอบ : ไม่ต้องไปใส่ใจหรอกจ้ะ นึกได้ก็ใช้ได้แล้ว เพราะว่าใจเราที่นึกไป นึกถึงพระก็ได้พุทธานุสติ นึกถึงหลวงปู่หลวงพ่อก็ได้สังฆานุสติ นึกถึงท่านปู่ท่านย่าก็ได้เทวตานุสติ

ถาม : แล้วทำไมเวลาเห็นพระข้างบนถึงเห็นไม่ชัด ?
ตอบ :อาตมาไปกราบพระนี่สูงไม่เคยถึงเข่าท่านสักที จะมองดูหน้าคงยากหน่อย ถ้าเห็นไม่ชัดแสดงว่าจิตยังหยาบไปหน่อย วิปัสสนาญาณต้องพิจารณาให้ละเอียดกว่านี้

ถาม : เราไม่เห็นหน้าท่าน แล้วคุยกับท่านได้ด้วยหรือครับ ?
ตอบ : ในความเป็นทิพย์แค่วินาทีเดียวมีคำตอบเสร็จสรรพ มาแบบเขียนได้หลายหน้ากระดาษเลย
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 18-05-2013 เมื่อ 02:36
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 170 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #134  
เก่า 17-05-2013, 21:44
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,720
ได้ให้อนุโมทนา: 152,086
ได้รับอนุโมทนา 4,418,916 ครั้ง ใน 34,310 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : เวลาเราฟังเทปธรรมะ จะบอกว่าเราคือจิต แต่ที่เพิ่งได้ยินมาว่า เราคือผู้รู้อยู่ระหว่างจิตกับกาย จริง ๆ แล้วผู้รู้คือเรา ? ?
ตอบ : ผู้รู้นั้นแหละคือจิตดั้งเดิมของเรา ส่วนสิ่งที่เขาไปรับรู้นั้นเป็นอาการเคลื่อนไปของจิต ภาษาอภิธรรมเขาเรียกว่า ชวนะ เขาถึงได้บอกว่าจิตมีตั้ง ๘๙ ดวง มี ๑๒๑ ดวง แต่จริง ๆ นั่นเป็นการทำงานของจิต ฉะนั้น..เราไปดูบาลีที่เขาบอกว่า จิตตัง เอกะจะรัง อะสะรีรัง คูหาสะยัง ฯลฯ จิตเดียวเที่ยวไป

ถาม : จิตเราก็ไม่ข้องแวะกับธาตุทั้งสี่ใช่ไหมคะ ?
ตอบ : จำเป็นที่จะต้องควบคุมให้สภาพร่างกายที่เกิดจากธาตุ ๔ นี้ทำงานทำการต่าง ๆ ตามที่เราต้องการ แต่การควบคุมต้องมีสติสัมปชัญญะรู้อยู่เสมอว่านั่นไม่ใช่ของเรา เป็นเพียงสมบัติที่เรายืมโลกมาใช้ชั่วคราวเท่านั้น ไม่อย่างนั้นถ้าเผลอจะไปยึด ถ้ายึดเมื่อไรก็ติดอยู่ตรงนั้น
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 19-05-2013 เมื่อ 02:02
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 155 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #135  
เก่า 17-05-2013, 21:56
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,720
ได้ให้อนุโมทนา: 152,086
ได้รับอนุโมทนา 4,418,916 ครั้ง ใน 34,310 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : ทำไมพระอรหันต์ถึงอยู่ในร่างของฆราวาสไม่ได้ ?
ตอบ : การอยู่ของท่านมีโทษมากกว่าประโยชน์ คนที่ไม่รู้ว่าท่านเป็นผู้บริสุทธิ์ขนาดนั้น ล่วงเกินด้วยกาย ด้วยวาจา ด้วยใจ แม้แต่นิดเดียวก็เกิดโทษมหันต์แล้ว ดูอย่างนางขุชชุตตราที่ไปล้อเลียนพระปัจเจกพุทธเจ้าว่าเป็นคนหลังค่อม แล้วทำท่าให้เพื่อนดู ไปเกิดเป็นเป็นคนหลังค่อม ๕๐๐ ชาติ และยังขอให้เพื่อนที่เป็นภิกษุณีอรหันต์ส่งกระเช้าเครื่องแต่งตัวให้ จึงต้องกลายเป็นคนรับใช้เขา ๕๐๐ ชาติ

นางสิริมาด่าภิกษุณีอรหันต์ที่บ้วนน้ำหมากมาเปื้อนผ้าตัวเองว่าหญิงแพศยา ตัวเองต้องไปเป็นโสเภณีอยู่ ๕๐๐ ชาติ เพราะฉะนั้น..การอยู่ที่มีโทษมากกว่าประโยชน์จึงต้องตัดให้ตายไปเลย

เขาไม่เชื่อว่าคนด้วยกันแล้วจะต่างกัน แต่ถ้าอยู่ในเพศนักบวชที่เป็นที่ยอมรับว่าเป็นอุดมเพศ คือเพศอันสูง คนให้ความเคารพอยู่ โอกาสที่คนจะล่วงเกินหนัก ๆ แบบนั้นไม่มี ก็เป็นอันว่าอยู่ได้ ไม่อย่างนั้นโดนตัดหมด แล้วที่บอกว่าอยู่ไม่เกิน ๗ วันนี่เห็นอยู่ไม่เกินวันสักที

ไฟฟ้าเป็นหมื่นโวลต์ แตะปุ๊บตายปั๊บ ฉะนั้น..สิ่งที่มีคุณอนันต์ก็มีโทษมหันต์ ใช้ประโยชน์ได้ งานการทุกอย่างก็เป็นไปได้ดีเพราะไฟฟ้า แต่ถ้าเผลอไปโดนสายเปลือย ๆ เข้าก็คาที่เลย..!


ถาม : ใครเป็นผู้ตัดให้ท่านตายคะ ?
ตอบ : ต้องบอกว่าวาระบุญวาระกรรมตัด ร่างกายไม่สามารถรองรับความบริสุทธิ์ขนาดนั้น ได้ก็เลยต้องตาย
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 18-05-2013 เมื่อ 02:40
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 170 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #136  
เก่า 17-05-2013, 22:00
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,720
ได้ให้อนุโมทนา: 152,086
ได้รับอนุโมทนา 4,418,916 ครั้ง ใน 34,310 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : บางท่านทราบว่าจะอยู่ได้ไม่นาน แต่ก็รั้งอยู่ได้ไหมคะ ?
ตอบ : ได้...แต่ถ้าทำถึงขนาดนั้นแล้วไม่มีใครอยากอยู่หรอก มีท่านแม่จันทนา วีระผล ท่านพิจารณาไปเรื่อย ๆ กำลังใจถึงระดับเกิดความเป็นทิพย์ รู้ว่าก้าวเลยตรงนี้ไปเราก็อยู่ได้ไม่เกิน ๗ วัน แต่ถ้ารั้งเอาไว้แต่เพียงนี้จะอยู่ได้อีก ๑๒ ปี ท่านเห็นว่า ๑๒ ปีมีแต่ความทุกข์ แล้วงานที่ตัวเองจะต้องรับผิดชอบก็ไม่มี ท่านก็ตัดใจไปวันนั้นเลย

ต้องบอกว่าอย่างพวกเราทนลำบากไปอีกเป็นร้อยปีแล้วได้พระโสดาบันก็เหลือที่จะคุ้ม เพราะฉะนั้น..บุคคลที่เข้าถึงความเป็นพระอรหัตมรรคจนถึงพระอรหัตผลนี่ เอาอะไรไปแลกท่านก็ไม่ยอมหรอก ไปได้ไปก่อน ประกันความเสี่ยงไว้ดีกว่า


ถาม : แล้วอย่างแม่ชีที่ปฏิบัติจนได้ จะอยู่ต่อไหมครับ ?
ตอบ : ไม่เหลือจ้ะ เพราะแม่ชีก็ถือว่าเป็นฆราวาส ถือศีล ๘ เท่ากัน
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 18-05-2013 เมื่อ 02:42
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 176 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #137  
เก่า 18-05-2013, 09:04
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,720
ได้ให้อนุโมทนา: 152,086
ได้รับอนุโมทนา 4,418,916 ครั้ง ใน 34,310 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : เด็กน้อยอายุ ๗ ขวบที่ได้ญาณ ๘ ตั้งแต่เกิด เป็นเพราะอะไรเขาถึงได้มา เทียบกับคนอื่น ฝึกมาตั้งนานแต่ก็ยังไม่ได้ ?
ตอบ : ของเก่ามี เหมือนอย่างกับเราจะซื้อของชิ้นหนึ่ง จำนวนเงินต้องเพียงพอ เด็กคนนั้นต้นทุนพอมาตั้งแต่ชาติที่แล้ว เกิดมาชาติใหม่สามารถใช้ต้นทุนตัวเองได้เลย แต่คนอื่นสะสมมายังไม่พอก็ต้องตะเกียกตะกายหาเพิ่มไปก่อน

ถาม : เด็กโตขึ้นแล้วญาณนั้นจะเสื่อมไหมครับ ?
ตอบ : ส่วนใหญ่แล้วจะเสื่อม ที่เสื่อมเพราะว่าเผลอไปรับเอารัก โลภ โกรธ หลงเข้ามา ยิ่งอายุมากขึ้น ความอยากได้ใคร่มีก็มากขึ้นตามไปด้วย สภาพความผ่องใสของจิตก็ลดน้อยลงไปเรื่อย แต่จริง ๆ ถ้าตั้งใจปฏิบัติขัดถูพักเดียวก็คืนมา แต่ส่วนใหญ่ไปเข้าใจว่าเสื่อมแล้ว ก็เลยตามเลยปล่อยทิ้งไปเฉย ๆ
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 18-05-2013 เมื่อ 10:05
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 154 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #138  
เก่า 18-05-2013, 09:13
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,720
ได้ให้อนุโมทนา: 152,086
ได้รับอนุโมทนา 4,418,916 ครั้ง ใน 34,310 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : ครูบาอาจารย์ที่ไปพระนิพพานแล้ว ท่านยังมาช่วยเหลือบริวารได้ไหมคะ ?
ตอบ : ในความเป็นจริงแล้วได้ แต่ส่วนใหญ่คนทั่ว ๆ ไปเขาไม่เชื่อ เขาถือว่าไปพระนิพพานแล้วก็จบกัน ไม่มีอะไรเหลือ มีหลายคนเคยบอกกับอาตมาว่า “ไปพระนิพพานแล้วไม่มีอะไรทำก็เบื่อแย่สิ” คนไม่เคยไปนี่ก็เดาไปเรื่อย

ถาม : ส่วนใหญ่เขาสอนกันมาแบบนั้น ว่าเข้าพระนิพพานก็จะไม่ยุ่งเกี่ยวกับเรื่องของโลกมนุษย์แล้ว
ตอบ : ในอรรถกถาจารย์เขาบอกไว้ชัดว่า บุคคลที่พ้นคุกไปแล้วสามารถกลับมาเยี่ยมคนในคุกเมื่อไรก็ได้ แต่บุคคลในคุกต่างหากที่ออกไปไหนไม่ได้จนกว่าจะหลุดพ้น ก็เลยกลายเป็นว่าความเชื่อกับความจริงเป็นคนละอย่างกัน

ส่วนใหญ่ก็เข้าใจว่าพระนิพพานสูญ ตายแล้วไม่มีอะไร วันก่อนโยมก็ไปถามว่าพระนิพพานมีจริงหรือ ? อาตมาก็บอกกับโยมว่า “เสียเวลาที่จะคุยเรื่องอย่างนี้ ตราบใดที่โยมยังเป็นปลา แล้วอาตมาเป็นเต่า คุยกันไม่รู้เรื่องหรอก เพราะคนหนึ่งอยู่ในน้ำ คนหนึ่งอยู่บนบก จนกว่าโยมจะยอมเป็นเต่าอย่างอาตมา หรืออาตมากลับไปเป็นปลาอย่างโยมจึงจะคุยภาษาเดียวกันได้” ของอย่างนี้ต้องทำเอง ถึงเอง ถึงจะรู้เห็นเอง เราไปยืนยันอย่างไรก็ตาม เขาก็ยังสงสัยอยู่นั่นแหละ เสียเวลาไปคุยด้วย


ถาม : แสดงว่าครูบาอาจารย์ที่ไปพระนิพพาน ท่านก็ยังสงเคราะห์บริวารได้ใช่ไหมคะ ?
ตอบ : ท่านจะคอยดูอยู่ด้วยความเมตตากรุณาที่มีประจำใจ ถ้าสามารถที่จะช่วยเหลือให้เราเดินตรงทางได้ก็พยายามช่วยขนาบ แต่ว่าสิ่งทั้งหลายเหล่านั้นก็ต้องขึ้นอยู่กับความพยายามของเราเองด้วย ไม่ใช่ว่าท่านช่วยดึงเราไปพระนิพพานได้ ท่านแค่พยายามตะล่อมเราตรงทางเท่านั้น ถ้าไปไกลมากก็ต้องพยายามดึงหน่อย ออกไปโน่นแล้วจะทำอย่างไรให้โค้งกลับมาเส้นทางเดิมได้
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 18-05-2013 เมื่อ 10:08
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 161 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #139  
เก่า 18-05-2013, 09:42
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,720
ได้ให้อนุโมทนา: 152,086
ได้รับอนุโมทนา 4,418,916 ครั้ง ใน 34,310 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : ปัญญาวิมุตติกับเจโตวิมุตติต่างกันอย่างไรคะ ?
ตอบ : ปัญญาวิมุตติใช้การพิจารณาจนสภาพจิตยอมรับ ระหว่างการพิจารณาสมาธิจะค่อย ๆ ดิ่งลึกทรงตัวไปตามลำดับ พอถึงระดับที่ใช้งานได้ก็จะตัดกิเลสตรงส่วนนั้นไปเลย ส่วนเจโตวิมุตติเป็นการใช้กำลังใจข่มกิเลส ถ้าข่มอยู่ในระยะที่ยาวนานพอ กิเลสไม่สามารถจะเกิดได้ ก็ดับลงไปได้เหมือนกัน เหมือนเราเอาหินทับหญ้าไว้นาน ๆ หญ้าก็ตายไปเอง

แต่ทั้งสองอย่างนี้ถ้าทำอย่างใดอย่างหนึ่งก็จะช้า ปัญญาวิมุตติเหมือนอย่างกับคนมีอาวุธคมกล้าอยู่ในมือแต่กำลังน้อย จะยกอาวุธขึ้นตัดฟันอะไรก็ลำบาก ส่วนคนที่เป็นเจโตวิมุตติเป็นคนที่กำลังมากแต่ไม่มีอาวุธอยู่ในมือ ดังนั้น..ทั้งสองอย่างควรจะทำร่วมกัน ก็คือภาวนาให้อารมณ์ใจทรงตัว แล้วก็คลายออกมาพิจารณา ถ้าพิจารณาจนกระทั่งอารมณ์ใจทรงตัวแล้ว จะย้อนกลับไปภาวนาโดยอัตโนมัติ ทำสลับไปสลับมาอย่างนี้จะได้เร็วกว่า


ถาม : เหมือนกับสมถะกับวิปัสสนา ?
ตอบ : เจโตวิมุตตินั่นสมถะเต็ม ๆ เลย ปัญญาวิมุตตินั่นแหละวิปัสสนา

ถาม : เพื่อนบางคนรู้ว่าเรานิ่ง เขาก็ดูถูกว่าอยู่แต่สมถะแล้วไม่ไปไหนต่อ
ตอบ : บอกเขาว่า “ไม่ถึงไหนก็ช่างมัน ขอให้ฉันไม่โกรธเวลาแกปากเสียก็พอ” เรื่องอย่างนี้ถ้าเพื่อนไม่สนิทนี่โกรธกันเลยนะ
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 20-05-2013 เมื่อ 03:01
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 145 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #140  
เก่า 18-05-2013, 09:51
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,720
ได้ให้อนุโมทนา: 152,086
ได้รับอนุโมทนา 4,418,916 ครั้ง ใน 34,310 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : ปฏิสัมภิทาญาณเป็นอย่างไรคะ ?
ตอบ : ปฏิสัมภิทาญาณเป็นกำลังที่ครอบคลุมได้ทั้งอภิญญา ๖ วิชชา ๓ และสุกขวิปัสสโก บุคคลอย่างน้อยต้องปฏิบัติจนถึงระดับพระอนาคามีขึ้นไป กำลังของปฏิสัมภิทาญาณ ๔ ถึงจะปรากฏขึ้น

ปฏิสัมภิทาญาณนอกจากความสามารถแบบเดียวกับอภิญญา ๖ แล้ว ยังมีความสามารถพิเศษ ๔ อย่าง คือ อรรถปฏิสัมภิทา ธัมมาปฏิสัมภิทา คือเป็นผู้รู้ทั้งเหตุและผล รู้ว่าผลที่เกิดขึ้นตรงนี้ สาวไปแล้วมาจากเหตุอะไร รู้ว่าเหตุนี้ถ้าเราทำแล้วจะเกิดผลอะไร แล้วก็ละในเหตุที่ไม่ดี ทำแต่ในเหตุที่ดีเท่านั้น ก็จะได้แต่ผลที่ดี

ปฏิภาณปฏิสัมภิทา เป็นผู้เฉลียวฉลาด สามารถที่จะแก้ไขปัญหาทุกอย่างไปโดยสะดวกง่ายดาย นิรุกติปฏิสัมภิทา มีความชำนาญในภาษาคน ภาษาสัตว์ ภาษากาย ภาษาใจทุกอย่าง ก็เลยกลายเป็นความสามารถพิเศษที่ครอบคลุมอภิญญา ๖ ไปอีกชั้นหนึ่ง พูดง่าย ๆ ว่ามีมากกว่าอภิญญา ๖ อีก ๔ อย่าง


ถาม : ในปัจจุบันนี้ยังมีท่านที่เป็นปฏิสัมภิทาอยู่ไหมคะ ?
ตอบ : มี..แต่ส่วนใหญ่อยู่ในป่า ท่านทั้งหลายเหล่านี้อยู่เมืองเมื่อไรเขาก็แตกตื่นกันหมด

ถาม : ที่ป่าทองผาภูมิมีเยอะไหมคะ ?
ตอบ : ป่าทองผาภูมิตอนนี้ไฟไหม้ ถึงมีอยู่ก็คงย้ายหนีไฟไปแล้ว..! ต้องบอกว่าเป็นเรื่องที่น่าเสียดาย เพราะว่าบ้านเราเมืองเราตอนนี้จะหาป่าที่พระปฏิบัติอยู่จริง ๆ หาได้น้อยมากแล้ว ส่วนใหญ่ก็เหลืออยู่บริเวณวัด ตอนนี้ถ้าขึ้นเขาวัดท่าขนุน มองไปรอบ ๆ บริเวณที่มีต้นไม้ก็คือบริเวณวัดเท่านั้นแหละ นอกเขตวัดไปก็ราบเป็นหน้ากลอง
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 20-05-2013 เมื่อ 03:01
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 157 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
ตอบ


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 
คำสั่งเพิ่มเติม

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 04:12



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว