กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะพระอาจารย์ > เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี

Notices

เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี เก็บข้อธรรมจากบ้านวิริยบารมีมาฝาก สำหรับผู้ที่ไม่มีโอกาสเดินทางไป

ตอบ
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #81  
เก่า 26-10-2011, 12:52
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,678
ได้ให้อนุโมทนา: 152,056
ได้รับอนุโมทนา 4,417,092 ครั้ง ใน 34,268 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : เหล็กพวกนี้หล่อร้อนแล้วตี หรือใช้เทคโนโลยี ?
ตอบ : ส่วนใหญ่สมัยก่อนเป็นเหล็กร้อน อย่างเหล็กดามัสกัส เขาเผาแล้วก็ตีทบไปเรื่อย ๆ เป็นร้อย ๆ ชั้น ต้องมีความอดทนสูงจริง ๆ บางทีทั้งชีวิตสร้างดาบดี ๆ ได้แค่เล่มเดียว

ไม่รู้ว่าตอนนี้ซามูไรของท่านมูซาชิยังอยู่หรือเปล่า ? ตอนวาระสุดท้ายปรมาจารย์มูซาชิใช้ไม้พายเล่มเดียวสู้กับซามูไรนางแอ่นเหิน ท่านพายเรือไปตามที่นัด ก่อนจะถึงที่หมายท่านมูซาชิเอาพายมาตัดด้ามแล้วก็เหลาเป็นอาวุธ

ส่วนอีกฝ่ายเขาถือว่าความเร็วของเขาสุดยอดแล้ว สามารถใช้ซามูไรฟันนกนางแอ่นที่บินอยู่กลางอากาศได้ เขาถึงกล้าไปท้าดวลกับท่านมูซาชิ

พอถึงวันนัด คนดูก็ไปรอกัน แต่เงียบ.. สองคนไม่โผล่มาสักที เพราะต่างคนต่างปฏิบัติการทางจิตวิทยาต่อกัน ท่านมูซาชิไปลอยเรืออยู่ใกล้ ๆ นอนอยู่ในเรือ อีกฝ่ายหนึ่งก็รอ จนเวลากระชั้นชิดเต็มทีแล้วถึงเดินทาง พอสู้กันปรากฏว่าท่านมูซาชิชนะ

อีกฝ่ายถามว่า กลั่นแกล้งขนาดนั้นแล้วทำไมท่านมูซาชิไม่ร้อนรนเลย ท่านมูซาชิบอกว่า ท่านแกล้งเราก็เท่ากับว่าท่านแกล้งตัวเอง เพราะท่านเองก็ต้องรอเหมือนกัน จบเลย.. แกล้งให้คนอื่นรอ ตัวเองก็ต้องรอ เครียดพอกัน เขาเรียกว่าใช้ความสงบสยบความเคลื่อนไหว ใช้ความสบายนิ่งเฉยแทนการตรากตรำ

ลองไปดูประวัติท่านมูซาชิหรือไม่ก็ซานชิโร่ ซานชิโร่พอถอดเสื้อออก คนเขาเห็นแผลที่หลัง ก็พากันดูถูกซานชิโร่ คิดว่าเป็นซามูไรที่ขี้ขลาดเพราะหันหลังให้ศัตรู ก็เลยโดนฟัน แต่ความจริงไม่ใช่ เขาป้องกันคนอื่นโดยเอาตัวเองไปขวาง จึงโดนฟันที่หลัง คนที่ประมาณการซานชิโร่ผิดนี่ตายทุกราย..!
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 10-05-2013 เมื่อ 12:01
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 172 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #82  
เก่า 26-10-2011, 16:02
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,678
ได้ให้อนุโมทนา: 152,056
ได้รับอนุโมทนา 4,417,092 ครั้ง ใน 34,268 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์กล่าวว่า "หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านเล่าให้ฟังว่า สมัยที่ท่านเป็นนักเทศน์ เขาจะมีการเทศน์ประลองปฏิภาณไหวพริบกัน อย่างเช่นเมื่อก่อนเขาทอดกฐินกันทางน้ำ จะมีการแห่กฐินกันเสียงดังอีโล้งโช้งเช้งทางลำน้ำ ใครได้ยินเสียงอยากจะทำบุญกฐินก็มาดัก โบกผ้าขาวม้าไปมา แล้วทำบุญด้วยข้าวสารอาหารแห้งบ้าง หรือเงินบ้าง

มีโยมคนหนึ่งเป็นชาวประมงน้ำจืด กำลังหาปลาอยู่ ปรากฏว่าปลากะโห้ติดเบ็ด ปกติปลากะโห้จะมีขนาดใหญ่มาก น้ำหนักประมาณ ๑๐๐-๒๐๐ กิโลกรัมเป็นเรื่องปกติ ปลากะโห้ก็ลากเบ็ดไป เรือก็วิ่งตามปลาที่ลากไปทั้งลำ โยมเขาก็เอาสองมือยื้อเบ็ดไว้ ผ้าขาวม้าก็ลื่นหลุด ไม่มีเวลาผูกจะมัดผ้าขาวม้าให้ดี ผ้าขาวม้าจึงสะบัดลมพั่บ ๆ ไปเหมือนธง แกลลอนหรือกระป๋องน้ำที่เตรียมเอาไว้วิดน้ำในเรือ พอโดนเรือลากก็กลิ้งกระทบซ้ายขวา ดังโคล้งเคล้ง ๆ ไปตลอดทาง ผ่านบ้านคุณยายคนหนึ่ง คุณยายเห็นก็นึกว่าขบวนกฐิน จึงยกมือขึ้นสาธุ..!

นักเทศน์ถามว่า คุณยายท่านนั้นได้บุญหรือได้บาป ? คือเขากำลังทำบาปแล้วไปโมทนา จะได้บุญหรือบาปกันแน่ ? นักเทศน์สมัยก่อนเขาเล่นกันอย่างนี้เลยนะ ถ้าไม่แม่นประเด็นจริง ๆ ตายคาธรรมาสน์แน่นอน..! สรุปว่าโยมที่ตั้งใจโมทนาได้บุญกฐินไปเต็ม ๆ เพราะไม่รู้ว่าเขาตกปลา คิดว่าเป็นขบวนเรือกฐิน เป็นการตั้งใจโมทนาความดี ไม่ใช่โมทนาความชั่ว"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 26-10-2011 เมื่อ 17:43
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 186 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #83  
เก่า 26-10-2011, 16:10
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,678
ได้ให้อนุโมทนา: 152,056
ได้รับอนุโมทนา 4,417,092 ครั้ง ใน 34,268 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : ช่วงนี้รู้สึกเบื่อเรื่องโลก ๆ ค่ะ รู้สึกทุกข์ใจมาก ถ้าหากว่านั่งสมาธิธรรมดายังไม่หาย เลยนั่งสมาธิแบบปล่อยให้ว่าง ๆ คิดว่าอะไรก็ไม่มี จนจิตดิ่งไปเรื่อย ๆ จนจิตไปเกาะนิพพาน พอเกาะไปรู้สึกว่าดับ ๆ นิ่ง ๆ และเราก็รู้ตัว รู้สึกว่าถ้าเราอยู่อย่างนี้ ทรงอย่างนี้ไปเรื่อย ๆ ก็ดี แต่ถ้ามีคนมาคุยด้วย เหมือนกับต้องปล่อยมือที่เกาะออกมามือหนึ่ง เพื่อมาคุยกับเขาพักหนึ่ง บางทีก็เหนี่ยวกลับเข้ามาได้ บางทีก็เหนี่ยวเข้าไปไม่ได้ค่ะ
ตอบ : ซ้อมให้คล่องตัวจ้ะ แต่วิธีที่เราทำนี้อันตรายอยู่นิดหนึ่งตรงที่ว่า ถ้าสมาธิเราเคลื่อน รัก โลภ โกรธ หลง จะตีเราตายเลย เพราะฉะนั้น..ใช้วิธีพิจารณาจะดีกว่า ต่อให้ไม่ชำนาญอย่างไรก็ต้องทำให้ได้จ้ะ

เพราะการพิจารณา ถ้าตัดได้ก็จะตัดไปเลย สิ่งที่เราทำอยู่คือกดกิเลสไว้ชั่วคราว ถ้าระยะเวลาไม่นานพอ กิเลสก็ยังเจริญงอกงามเป็นปกติ จะพาเราทุกข์ทีหลัง ถ้าต้องการที่จะหนีกิเลสในลักษณะนั้น จะต้องซ้อมเข้าออกให้ชำนาญจริง ๆ
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 26-10-2011 เมื่อ 16:39
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 170 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #84  
เก่า 26-10-2011, 16:14
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,678
ได้ให้อนุโมทนา: 152,056
ได้รับอนุโมทนา 4,417,092 ครั้ง ใน 34,268 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : เรื่องดวงชะตา ถ้าคนที่มีดาวพุธเป็นมรณะก็คือเป็นคนปากเสีย แต่ถ้าดวงการงานตกมรณะ นี่แปลว่า จะได้ทำงานเกี่ยวกับความตาย หรืออยู่ใกล้เมรุหรือเปล่าคะ ?
ตอบ : ไม่ใช่..เขาแปลว่า ทำงานอยู่ที่ไหนหัวหน้าหรือเจ้านายตายหมด..! เพราะฉะนั้น..ถ้าไม่ชอบพรรคไหนให้ไปสมัครพรรคนั้น..! (หัวเราะ)
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 26-10-2011 เมื่อ 16:40
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 175 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #85  
เก่า 26-10-2011, 16:25
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,678
ได้ให้อนุโมทนา: 152,056
ได้รับอนุโมทนา 4,417,092 ครั้ง ใน 34,268 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : เวลาภาวนาแล้วตกภวังค์ สะดุ้งทุกที เป็นเพราะอะไรครับ ?
ตอบ : สติขาด..จริง ๆ แล้วกำลังสมาธิตอนนั้นกำลังจะเป็นปฐมฌานหยาบอยู่แล้ว แต่สติขาด ตามไม่ทัน พอรู้ตัวจะรู้สึกเหมือนจะตกจากที่สูง สะดุ้งเฮือก ให้เราเอาความรู้สึกทั้งหมดจ่อติด ๆ กับลมหายใจไปเลย แล้วจะไม่เป็นอย่างนั้น
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 26-10-2011 เมื่อ 16:41
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 176 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #86  
เก่า 26-10-2011, 17:38
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,678
ได้ให้อนุโมทนา: 152,056
ได้รับอนุโมทนา 4,417,092 ครั้ง ใน 34,268 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : เวลาหนูมาทำบุญ เขาไม่ค่อยอยากให้หนูมา หนูจะวางกำลังใจอย่างไรดีคะ ?
ตอบ : ก็ไม่มีอะไร ถ้าเราจะทำ อะไรก็ขวางไม่ได้ ภูเขาจะกั้นขวางหน้า แดดกล้าจะร้อนเพียงใด ก็จะไปทำบุญให้ได้ เป็นตายก็จะไปทำบุญ..! ถือว่าเป็นอุปสรรคที่ทดสอบบารมีจ้ะ
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 26-10-2011 เมื่อ 17:44
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 179 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #87  
เก่า 26-10-2011, 17:40
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,678
ได้ให้อนุโมทนา: 152,056
ได้รับอนุโมทนา 4,417,092 ครั้ง ใน 34,268 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : หนูเอาพระขรรค์พกติดตัวไว้ มีคนบอกว่าไม่ควรพกพระขรรค์ติดตัวไว้ ควรจะบูชาไว้บนหิ้ง แต่จริง ๆ แล้วหนูพกได้ใช่ไหมคะ ?
ตอบ : ได้จ้ะ

ถาม : อย่างในห้องนอน มีผู้ใหญ่บางท่านบอกว่า ห้ามเอาพระไว้ในห้องนอน ?
ตอบ : เขากลัวเราจะไปทำไม่ดีไม่งาม เช่น เผลอนอนหันเท้าไปทางพระ ควรเอาไว้ทางหัวนอนได้จ้ะ ก่อนนอนจะกราบพระก่อน
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 26-10-2011 เมื่อ 17:45
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 179 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #88  
เก่า 27-10-2011, 08:48
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,678
ได้ให้อนุโมทนา: 152,056
ได้รับอนุโมทนา 4,417,092 ครั้ง ใน 34,268 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์เล่าว่า "หนังสือชุดบ้านเล็กในป่าใหญ่ ผู้เขียนคือ ลอร่า อิงกัลส์ ไวล์เดอร์ ลูกสาวของคุณลอร่าที่ชื่อโรส เขียนเรื่องนี้ต่อจากแม่ โดยใช้ชื่อตอนว่า "ไม่ระย่อมรสุม"

ที่โรสเขียนจริง ๆ ก็คือเนื้อหาในสี่ปีแรกและตามทางสู่เหย้าที่ลอร่าวางพล็อตเรื่องคร่าว ๆ ไว้แล้ว แต่ยังไม่ได้เขียนเพราะสิ้นชีวิตเสียก่อน อย่าคิดว่าคุณลอร่าอายุสั้นนะ คุณยายลอร่าเสียชีวิตตอนอายุ ๙๐ กว่าปี

คุณยายเขียนหนังสือชุดนี้ไว้ ๘ เล่ม มี บ้านเล็กในป่าใหญ่ บ้านเล็กในทุ่งกว้าง เด็กชายชาวนา บ้านเล็กริมห้วย ริมทะเลสาบสีเงิน ฤดูหนาวอันแสนนาน เมืองเล็กในทุ่งกว้าง ปีทองอันแสนสุข

ส่วนสี่ปีแรกกับตามทางสู่เหย้าเหมือนบันทึกย่อ ยังไม่ได้ขยายความ ตอนหลังเขาพิมพ์ออกมาเป็นชุดเดียวกัน แต่ว่าโรสที่เป็นลูกสาวนั้นเอาพล็อตเรื่องนี้มาจินตนาการแต่งเติมเพิ่มเข้าไป แล้วก็ดึงเอาเรื่องที่แม่เล่ามาใส่ กลายเป็นตอนไม่ระย่อมรสุม ใครที่รู้สึกท้อแท้กับชีวิต ลองไปอ่านดูบ้าง จะได้รู้ว่าที่เราว่าลำบากนั้นยังไม่ได้ครึ่งหนึ่งของเขาเลย

ครอบครัวอิงกัลส์มีลูก ๔ คน คือ แมรี่ ลอร่า แครี่ และเกรซ เขาบรรยายว่าแมรี่พี่สาวคนโตสวยเหมือนนางฟ้า ส่วนลอร่าไม่สวย ที่พี่สาวสวยเพราะว่าผมของพี่สาวเป็นสีทองอร่าม ส่วนลอร่าผมเป็นสีน้ำตาล พระเอกในเรื่องเป็นลูกชาวนา แต่งงานกับลอร่าก็อพยพไปหาที่ทำกินใหม่ ลำบากยากแค้นเพราะว่ากำลังเพาะปลูกดี ๆ อยู่ก็มีอันเป็นไป

อย่างเช่นว่าพรุ่งนี้จะเกี่ยวข้าวได้แล้ว พายุหิมะก็ถล่มเสียคืนนั้น กำลังจะได้ผลิตผลแล้วต้องมาสูญเสียไปในพริบตา โหดร้ายเกินไปไหมนั่น ? หรือกำลังปลูกข้าวงามอร่ามเลย คิดว่าปีนี้รวยแน่ เป็นหนี้อยู่ก็ไม่ต้องกลัว คาดว่าได้ใช้หนี้หมดแน่ แต่ที่ไหนได้อยู่ ๆ เมฆมาฟ้ามืดไปหมด แล้วก็เหมือนมีอะไรตกลงมา ไม่ใช่เมฆแต่เป็นตั๊กแตน กินผลผลิตเกลี้ยงเลย กินจนราบไม่มีอะไรเหลือ

แล้วก็วางไข่ เจาะดินเสียจนพรุนเป็นรูเล็ก ๆ ไปหมด ปีถัดไปตั๊กแตนที่ออกจากไข่ก็ยิ่งหนักไปกว่าเดิมอีก เพราะว่าตั๊กแตนเพิ่งเกิดยิ่งกินหนักกว่าพ่อแม่ สรุปว่า ๒ ปีไม่มีอะไรเหลือเลย เราแค่น้ำท่วมนิดเดียวเท่านั้น ลองไปอ่านไม่ระย่อมรสุมดู จะรู้ว่ามรสุมชีวิตของคนอื่นนั้นดุเดือดขนาดไหน"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 27-10-2011 เมื่อ 12:08
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 160 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #89  
เก่า 27-10-2011, 08:57
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,678
ได้ให้อนุโมทนา: 152,056
ได้รับอนุโมทนา 4,417,092 ครั้ง ใน 34,268 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : หนูรู้สึกว่าเล่มแรก ๆ สนุกกว่าเล่มหลัง ๆ ค่ะ
ตอบ : ความจริงเนื้อหาสนุกใกล้เคียงกัน แต่ว่าเล่มแรกมีสิ่งที่บรรยายมาก ในเมื่อมีสิ่งที่บรรยายมาก ใส่รายละเอียดมากก็น่าติดตาม โดยเฉพาะบรรยากาศของท้องทุ่งป่าเขา การทำมาหากินของคนในสมัยนั้น ที่หันไปทางไหนก็ยังเป็นที่ดินว่างเปล่า ไม่มีคนจับจอง

ในชีวิตอาตมา ถ้าบอกว่าตอนที่ยากลำบากก็ยังไม่หนักอย่างที่เขาบรรยายมา รุ่นพ่อรุ่นแม่เวลาเกิดทุพภิกขภัยขึ้นมา ถึงขนาดต้องกินขุยไผ่เป็นเดือน ๆ ก็มีมาแล้ว ต้องกินกลอยก็มีมาแล้ว คนที่กินกลอยเป็นประจำ นาน ๆ เข้ายังเป็นโรคประหลาด คือจะพุงป่องแต่ผอมลีบ แต่ถ้าทำกลอยไม่เป็นก็จะเมาหัวทิ่ม อาเจียนเป็นถังเลย
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 27-10-2011 เมื่อ 09:59
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 158 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #90  
เก่า 27-10-2011, 12:28
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,678
ได้ให้อนุโมทนา: 152,056
ได้รับอนุโมทนา 4,417,092 ครั้ง ใน 34,268 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

"ตอนอาตมายังเด็ก ๆ ต้องบอกว่าการทำมาหากินพึ่งเทวดาอย่างเดียว ถ้าฝนฟ้าไม่ตกตามฤดูกาลก็มีโอกาสเกิดทุพภิกขภัยได้

ทุพภิกขภัย ก็คือ ความอดอยาก ตอนเด็ก ๆ ที่ลำบาก เช่น เวลาหุงข้าวจะไม่ใช่ข้าวอย่างเดียว จะต้องปนด้วยมันเทศบ้าง ปนด้วยข้าวโพดบ้าง เพื่อให้ได้ปริมาณมากขึ้น จนกระทั่งท้ายสุดข้าวขาวไม่มี ต้องกินข้าวกล้อง เป็นข้าวกล้องประเภทที่ชาวบ้านตำเอง สีเอง กลืนไม่ค่อยลงหรอก ฝืดคอมากเลย เพราะบางทีมีเปลือกข้าว (แกลบ) ติดมาด้วย

ถัดจากนั้นเมื่อกินจนไม่มีข้าวกล้องแล้ว ก็ต้องเอาข้าวโพดที่เก็บไว้ทำพันธุ์มากิน ลองคิดดูว่าข้าวโพดแห้ง ๆ ต่อให้ต้มขนาดไหนก็ยังแห้งแข็งอยู่อย่างนั้น แต่ก็ต้องกินเข้าไป กินในลักษณะกันตายไปก่อน

ช่วงนั้นถ้าจำไม่ผิดก็คือ แม้กระทั่งเสื้อผ้าอาภรณ์ก็อย่าหวังว่าจะมีของใหม่ จำได้ว่าต้องเอากระสอบข้าวมาห่มแทนผ้าห่ม คันอย่าบอกใครเลย แต่ก็ดีตรงที่ว่า ถ้าชีวิตของเราผ่านความลำบากมาแล้ว ก็จะไม่มีอะไรลำบากสำหรับเราอีก ต่อไปถ้าลำบากไม่ถึงขนาดนั้น ก็ถือว่าเป็นเรื่องเล็กสำหรับเรา ที่เขาบอกว่าลำบากก่อนแล้วสบายเมื่อปลายมือ ที่สบายเพราะว่าที่ลำบากที่สุดเราผ่านไปแล้ว ที่เหลือก็สบายทั้งนั้นแหละ.."
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 27-10-2011 เมื่อ 12:35
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 163 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #91  
เก่า 27-10-2011, 12:40
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,678
ได้ให้อนุโมทนา: 152,056
ได้รับอนุโมทนา 4,417,092 ครั้ง ใน 34,268 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

รุ่นพวกเราแม้น้ำมันจะแพง เราก็ยังมีข้าวกิน ทองจะแพงก็ช่างหัวมัน เราไม่ได้กินทองนี่..! แต่ให้นึกถึงที่หลวงพ่อฤๅษีท่านบอกไว้ด้วยนะ ท่านบอกว่าใครมีที่มีทางให้เก็บไว้บ้าง ปลูกผักปลูกหญ้าเอาไว้ ระยะหลังอาตมาเห็นเขาทำพวกไร่ปาล์มน้ำมัน ไร่ยางพารากันมาก ถ้าหากว่าเดือดร้อนขึ้นมาเรากินของพวกนี้ไม่ได้ ถ้าทำระบบเกษตรแบบผสมผสาน มีกินแน่เพราะว่าทุกอย่างกินได้หมด ถ้ากินไม่ได้ก็ใช้เป็นสมุนไพรใบยา

ส่วนบุคคลที่ทำเกษตรเชิงเดี่ยวต้องลงทุนมาก ถ้าพลาดทีเดียวก็อาจจะล้มละลายไปเลย ตอนนี้ยางพาราก็ไม่ใช่ว่าจะราคาดีเหมือนก่อน ใครที่ทำอะไรแล้วได้ดี นอกจากบุญเก่าหนุนเสริมแล้วสายตายังต้องยาวไกล

ที่ทองผาภูมิ บุคคลแรกที่นำยางพารามาปลูกคือผู้ใหญ่เกลี้ยง ใคร ๆ ก็ว่า "ไอ้เกลี้ยงบ้า..ปลูกของกินไม่ได้.." พอผ่านไป ๑๐ ปี ถึงยุครัฐบาลทักษิณพอดี ยางขึ้นจากกิโลกรัมละ ๑๒ บาท เป็นกิโลกรัมละเกือบ ๑๐๐ บาท ผู้ใหญ่เกลี้ยงกลายเป็นคหบดีแทบจะเลี่ยมทองตัวเองได้เลย เพราะผู้ใหญ่ปลูกเอาไว้หลายร้อยไร่ แล้วแกก็ขยายไร่ของแกไปเรื่อย แกไม่สนใจว่าใครจะว่าบ้า

ตอนนี้ผู้ใหญ่เกลี้ยงเป็นเจ้าพ่อรับซื้อยางทั้งหมด เพราะแกเป็นคนวิ่งขายวิ่งส่ง จนกระทั่งรู้เส้นรู้สาย รู้หนทางดี แต่แกก็ยังไม่เลิกทำอาชีพนี้ แกปลูกสวนยางไว้ไม่รู้กี่พันไร่ เอาพวกมอญพวกพม่าเข้าไปอยู่เป็นจุด ๆ แต่ละจุดอยู่กันเป็นหมู่บ้านเพื่อให้ดูแลยางในบริเวณนั้น ถึงเวลาก็วิ่งเข้าไปส่งเสบียง พวกนั้นก็มีหน้าที่ตัดยาง รีดยาง ตากแห้งเก็บสะสมไว้ ถึงเวลาเจ้านายก็เอารถไปทยอยขนออกมา

ส่วนคนที่ทำรุ่นหลัง เจอตอนที่ยางพาราราคาตกพอดี ก็ไม่คุ้มแล้ว ผู้ใหญ่เกลี้ยงเขาลงทุนตอนยางราคาไม่เท่าไร ตอนนี้เขาเก็บอย่างเดียวเลย ก็แปลว่าโกยเงินเข้ากระเป๋าอย่างเดียว ในขณะที่คนอื่นเพิ่งจะเริ่มต้น ที่ดินราคาก็แพง พอเขารู้ว่าที่จะซื้อที่ไปทำสวนยาง ที่ก็ขึ้นราคาไปหลายหมื่น ต้นกล้ายางก็ขึ้นราคาจากต้นละ ๑ บาท ๒ บาท ก็กลายเป็น ๖ บาท ๑๐ บาท

เพราะฉะนั้น..เรื่องของเกษตรเชิงเดี่ยว ถ้าจะทำก็ต้องทำเป็นคนแรก ๆ พอ ๆ กับการขายตรงเลย การขายตรงคนแรกจะรวย เราจะเห็นว่าสินค้าขายตรงทุกอย่างดีหมดเลย แต่ดังในตลาดไม่นานก็ซา หายเงียบไป เดี๋ยวของใหม่มาอีกแล้ว แล้วมาทีไรพระอย่างอาตมาก็ต้องเป็นหนูลองยาทุกที เขาจะต้องเอามาถวายพระก่อน ยังดีที่เขาไม่เอาพระเป็นพรีเซ็นเตอร์..!
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 27-10-2011 เมื่อ 13:08
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 160 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #92  
เก่า 27-10-2011, 16:15
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,678
ได้ให้อนุโมทนา: 152,056
ได้รับอนุโมทนา 4,417,092 ครั้ง ใน 34,268 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์เล่าว่า "บุคคลที่เป็นเจ้าอาวาสใหม่ อย่างไรเสียก็ต้องบวงสรวงบอกกล่าวเจ้าที่ท่านให้ดี จะให้ท่านช่วยเหลือในเรื่องอะไรบ้างบอกไปให้ชัดเจน สมัยหลวงพ่อวัดท่าซุงท่านขอกับเจ้าที่ไว้ว่า ถ้างานกฐินยังไม่เสร็จ ขอน้ำอย่าได้ท่วมวัด ไม่เช่นนั้นชาวบ้านจะเดือดร้อนเพราะมาทำบุญไม่ได้ แล้วก็เป็นอย่างนั้นจริง ๆ

ตอนปีพ.ศ. ๒๕๒๖ อาตมาก็ไปช่วยงานหลวงพ่ออยู่ เป็นงานกฐินนี่แหละ พอถึงเวลางานกฐินเสร็จเรียบร้อยก็กลับมานอนแผ่ เพราะตอนนั้นศาลา ๒ ไร่ ยังสร้างไม่ทันจะเสร็จดี หลวงพ่อท่านพยายามช่วยโยมโดยการปูเสื่อ แต่ช่วยอะไรไม่ได้เลยเพราะว่าพื้นปูนเพิ่งจะเทเสร็จใหม่ ๆ แล้วช่างเอาฝุ่นปูนซัดเพื่อให้แห้งเร็ว ทำให้มีฝุ่นปูนทั้งศาลา พอปูเสื่อไป เสื่อก็ดูดเอาฝุ่นปูนขึ้นมาหมด กว่าจะทำความสะอาดเสร็จก็นอนแผ่หมดแรง

อาตมาไปนอนอยู่ที่ศาลาธรรมสถิตย์ สักพักได้ยินเสียงหลวงพ่อเอาไม้เท้าฟาดประตูปัง ๆ ตะโกนว่า "เฮ้ย ๆ ลุกเร็ว รีบเก็บเสื่อ เดี๋ยวไม่ทัน" อาตมาก็อะไรหว่า ? ยังงัวเงียอยู่ แต่หลวงพ่อสั่งก็รีบม้วนเสื่อที่นอนอยู่ แล้วคว้าเป้ขึ้นไหล่ พอหันออกมา น้ำมาถึงข้อเท้าแล้ว..!

ตอนช่วงเช้าที่มีงานกฐิน อาตมาก็เห็นว่าน้ำล้นผ่านถนนแล้วนะ แต่ไม่เข้าประตูวัดเพราะว่าท่านตกลงกับเทวดาไว้อย่างนั้น ว่าก่อนกฐินอย่างไรก็ห้ามท่วม ญาติโยมทำบุญเสร็จสรรพแล้วค่อยท่วม เห็นคาตาเลยว่าทั้งที่น้ำไหลข้ามถนนหน้าวัดซึ่งสูงกว่าประตูวัดมาก แต่ไม่เข้าวัด..! ขณะเดียวกัน พอกฐินเสร็จ คนพ้นวัด เพิ่งจะเก็บข้าวของเสร็จ ไม่ทันจะชำระสะสางส่วนอื่นเลย หลวงพ่อบอกให้ม้วนเสื่อ เดี๋ยวไม่ทัน พอคว้าเป้ขึ้นไหล่ได้ ก็เห็นว่าน้ำมาครึ่งแข้งแล้ว..!

อาตมาติดนิสัยทหารมา นิสัยทหารนี่อยู่ที่ไหนต้องเก็บข้าวของให้เรียบร้อย เพราะว่าถ้าข้าศึกโจมตีกะทันหันจะได้เผ่นทัน ข้าวของจะได้ไม่ลืม ก็เลยเก็บของเข้ากระเป๋าเดียวอยู่ตลอด"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 27-10-2011 เมื่อ 16:40
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 172 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #93  
เก่า 27-10-2011, 16:22
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,678
ได้ให้อนุโมทนา: 152,056
ได้รับอนุโมทนา 4,417,092 ครั้ง ใน 34,268 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

"ตอนไปอยู่วัดหนองบัวที่พม่า ตื่นเช้าขึ้นมาก็เก็บของลงย่ามเรียบร้อยทุกวัน ครูบาน้อยเห็นเข้าก็สงสัย ถามว่า “อาจารย์ทำไมต้องเก็บด้วย เดี๋ยวก็ต้องเอาออกมาอีก ?” ก็ตอบไปว่า “หลวงพ่อสอนไว้ ” ว่าต้องพร้อมอยู่เสมอที่จะเดินทาง ไม่อย่างนั้นไปกับหลวงพ่อเฉพาะย่ามมาเยอะแล้ว..!

ที่ขำที่สุดคือหลวงพี่ฐิติ งานรองของหลวงพี่ฐิติก็คือเข้าครัว พี่เขาชอบทำกับข้าว ถ้าวันไหนมีเมนูขาหมูนี่เชิญพี่ฐิติเข้าครัวเลย ฝีมือสุดยอด วันนั้นหลวงพ่อท่านจะไปจันทบุรี เวรที่จะไปกับหลวงพ่อถ้าจำไม่ผิดก็จะมีหลวงพี่วิรัช หลวงพี่บัญชา หลวงพี่ฐิติแล้วก็ท่านน้อย (อภิชัย) ทั้งหมด ๔ รูป เขาจะจัดเป็นเวรผลัดกันไปที่ละ ๔ รูป

ปกติหลวงพ่อท่านจะออกตอน ๗ โมงทุกครั้ง ตอนนั้น ๐๖.๔๕ น.แล้ว หลวงพี่ฐิติยังนั่งโซ้ยข้าวต้มกับพวกเราเลย อาตมาก็บอกว่า “พี่..ไปเถอะ เดี๋ยวไม่ทันป๋า” ท่านก็บอกว่า "ทันอยู่แล้ว หลวงพ่อท่านนัดไว้ ๗ โมง"

สรุปว่าครั้งนั้นมีท่านน้อยไปทันคนเดียว หลวงพี่บัญชากับหลวงพี่วิรัชก็ตกรถด้วย เพราะเชื่อหลวงพี่ฐิติ สำหรับหลวงพ่อถ้าท่านลงมาแล้วขึ้นรถ แปลว่าออกเลย เพราะฉะนั้น..เรื่องเวลามีแต่ก่อน ไม่มีหลัง อาตมาก็ชักจะติดนิสัยนี้

วันก่อนที่วัดถ้ำป่าอาชาทองเกือบจะทิ้งหลวงพี่นิลไปแล้ว ไปด้วยกันแท้ ๆ อาตมาลุกแล้ว ลงไปลาพระผู้ใหญ่แล้ว ลาครูบาเหนือชัยแล้ว เดินลงมาถึงรถมีแต่โยมตามมา หลวงพี่นิลยังไม่มา เลยบอกให้คนวิ่งไปตามหน่อย ท่านคงไม่รู้ว่าอาตมาลงมาแล้ว

โยมที่เดินทางไปด้วยกันนี่เขาจะคอยเล็งอยู่เสมอ ถ้าเขาเห็นอาตมาขยับ เขาก็วิ่งตามเลย เพราะรู้ว่าไม่มีการรีรอ โยมรุ่นเก่า ๆ โดนทิ้งมาเยอะแล้ว ไกลขนาดเชียงใหม่ลำพูนก็ทิ้ง ให้นั่งรถกลับเองสักครั้งสองครั้งเดี๋ยวก็เข็ดไปเอง แล้วก็ยังมีหน้ากลับมาหัวเราะคิกคัก ๆ กันอีกว่าใครโดนทิ้งบ้าง นอกจากจะไม่โกรธแล้วยังสนุกมากเลยที่โดนทิ้ง..!"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 27-10-2011 เมื่อ 16:46
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 177 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #94  
เก่า 28-10-2011, 12:42
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,678
ได้ให้อนุโมทนา: 152,056
ได้รับอนุโมทนา 4,417,092 ครั้ง ใน 34,268 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : พระโสดาบันต้องมีปฐมฌานเป็นปกติเลยหรือครับ ?
ตอบ : ต้องได้เป็นปกติเลย ถ้าไม่ได้กำลังก็จะไม่พอตัดกิเลส ตอนอาตมาฝึกกรรมฐานใหม่ ๆ เฉพาะปฐมฌานฝึกอยู่ ๓ ปี เพราะเป้าหมายอยู่ที่พระโสดาบัน

ถาม : ถ้าเป็นพระโสดาบันแล้ว คำว่าคิดไม่ดีต่อพระรัตนตรัยจะไม่มีเลยใช่ไหมครับ ?
ตอบ : อะไรก็ตามที่จะล่วงเกินต่อพระรัตนตรัยจะด้วยกาย วาจา ใจ จะไม่ทำอย่างเด็ดขาด

ถาม : นิดเดียวก็ไม่มีเลยใช่ไหมครับ ?
ตอบ : ถ้านิดเดียวยังมีก็แสดงว่ายังไม่บริสุทธิ์จริงสิวะ..! มีเป้าหมายก็ตะเกียกตะกายไปให้ถึง ไม่ใช่มาเสียเวลานั่งถาม..!
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 28-10-2011 เมื่อ 14:05
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 161 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #95  
เก่า 28-10-2011, 15:12
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,678
ได้ให้อนุโมทนา: 152,056
ได้รับอนุโมทนา 4,417,092 ครั้ง ใน 34,268 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์เล่าว่า "มีวัดดังอยู่วัดหนึ่ง มีแม่ชีที่สวยสุดยอด รูปร่างก็ดี หน้าตาก็ดี มนุษยสัมพันธ์ก็ดี เวลาแขกไปใครมา แม่ชีจะต้องพาเที่ยวในวัด โดยเฉพาะปีนหน้าผาขึ้นข้างบน อาตมามองดูแล้วคิดว่า ถ้ามีแม่ชีแบบนี้ พระเดือดร้อนแน่ และเป็นอย่างนั้นจริง ๆ ด้วย ผ่านไปปีกว่าปรากฏว่าพระในวัดสึก พาไปด้วยกัน

ผู้หญิงบางคนเขามีเสน่ห์โดยธรรมชาติ สะดุดตาผู้ชาย พวกจริตกริยาต่าง ๆ คล้าย ๆ กับว่ายั่วหน่อย ๆ แต่เป็นธรรมชาติของเขาเอง บางคนหูตานี่ไปหมดเลย คนประเภทนี้ถ้ามาอยู่วัดอาตมาก็คงถอนใจเฮือก หนักใจแทนพระรูปอื่นว่าจะรอดไหม ?"

ถาม : เกิดจากอะไรครับ?
ตอบ : การสั่งสมมาข้ามชาติข้ามภพ กลายเป็นจริตกริยาติดตัว

ถาม : เคยถามพี่ผู้หญิงคนหนึ่งว่าทำไมไม่บวชที่วัดท่าขนุน พี่เขาบอกว่ากลัวทำพระที่วัดปั่นป่วน ต้องรอให้ตัวเองอ้วนเผละกว่านี้ก่อน
ตอบ : คงต้องรอให้เหี่ยวกว่านี้ก่อน เรื่องพวกนี้สำคัญตรงที่เราไปคิด.. ถ้าไม่คิดก็จบ คนเราถ้าสติสมาธิไม่ดีพอ หยุดไม่ทัน คือสติตัวยั้งคิดไม่มี สมาธิตัวหยุดตัวรั้งก็ไม่มี หรือถ้ามีก็มีไม่พอ ก็จะโดนกิเลสดึงให้ไปยาวเลย ยิ่งปรุงแต่งก็ยิ่งสนุกสนานกันยกใหญ่
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 28-10-2011 เมื่อ 15:39
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 165 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #96  
เก่า 28-10-2011, 15:55
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,678
ได้ให้อนุโมทนา: 152,056
ได้รับอนุโมทนา 4,417,092 ครั้ง ใน 34,268 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์เล่าว่า "ตอนเย็น ๆ พอขึ้นที่พักก็หมดสภาพ ร่างกายไม่ไหว โดยเฉพาะรู้สึกปวดหลังมาก เวลาไข้มาเลเรียขึ้นนี่จะปวดหลัง ก็ได้แต่นั่งเหี่ยว จะรอดวันนี้ไหมหนอ ? ตอนอยู่ต่อหน้าคนอื่นก็ทำเป็นยืดเข้าไว้

ลักษณะอย่างนี้แหละที่หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านป่วยแล้วคนดูไม่ออก อาตมานี่ยังมีทีท่าให้คนเขาเห็นบ้าง หลวงพ่อวัดท่าซุงนี่ไม่มีเลย ดูไม่ออกว่าท่านป่วยหรือไม่ป่วย จนกว่าจะเลิกงานนั่นแหละ เวลาท่านป่วยหนัก ๆ อาตมารับท่านลงจากตึกมาขึ้นรถ เพื่อที่จะไปรับญาติโยมที่ตึกรับแขก แรก ๆ ก็จับแขนท่านลักษณะช่วยประคอง ท่านก็สะบัดออก แต่พอเห็นว่าท่านไม่ไหวจริง ๆ อาตมาก็ต้องทำ

พอถึงเวลาจับพอท่านตั้งท่าจะสะบัด อาตมาก็ล็อกแขนท่านไว้เลย ถ้าอาตมาตั้งใจล็อกนี่หลุดยาก..! แล้วก็พาท่านเดินขึ้นรถ หลวงพ่อท่านก็หัวเราะแล้วก็บอกว่า “ถ้ามันเป็นระเบียบบังคับก็เอา” ไม่อย่างนั้นใหม่ ๆ นี่ทำไม่ได้หรอก ท่านสะบัดมือออกทุกที

ถึงได้เข้าใจว่า "ทิฐิพระ มานะกษัตริย์" นั้นเป็นอย่างไร? คนที่เคยเกิดเป็นผู้นำมานับชาติไม่ถ้วนแล้ว ถึงเวลาจะแสดงความอ่อนแอต่อหน้าคนอื่นไม่ได้ พอใช้ประโยคนี้ หลวงลุงสุนทร บอกว่า "หลวงพี่..พระมีทิฐิได้หรือ ?" อาตมาตอบว่า"มีสิ..ถ้าไม่มีสัมมาทิฐิบรรลุมรรคผลไม่ได้หรอก" เถียงหน้าด้าน ๆ เลย..!

ขัตติยมานะตัวนี้แหละทำให้พระมหาอุปราช รู้ว่าสู้พระนเรศวรไม่ได้ก็ต้องสู้ ต่อหน้าคนตั้งเท่าไรที่ล้วนแต่เป็นลูกเจ้าเมือง ว่าที่เจ้าที่เจ้าเมืองทั้งนั้น ถ้าหากว่าไปแสดงความขี้ขลาดต่อหน้าเขา ต่อไปตัวเองขึ้นเป็นกษัตริย์ เมืองบริวารเหล่านั้นจะมีใครเชื่อถือ ทั้ง ๆ ที่ท่านรู้ว่า ถ้าให้คนรุมพระนเรศวรนี่ชนะแน่ แต่ก็ไม่เอา ยอมสู้แบบเดี่ยว ๆ ดีกว่า

เรื่องการศึกการสงคราม ถ้าเป็นภาพยนตร์มาอาตมาจะดูไม่ได้เลย พอดูแล้วจะมีภาพซ้อนขึ้นมา มีอยู่เที่ยวหนึ่งตอนนั้นตามหลวงพ่อไปวัดศรีรัตนารามที่ลพบุรี คุณปรีชา พึ่งแสงเอาหนังเรื่องสงคราม ๙ ทัพมาเปิด ถ้าจำไม่ผิดคุณสมบัติ เมทนี รับบทเป็นรัชกาลที่ ๑

อาตมาดูไม่รู้เรื่องเลย มองดูนี่ภาพซ้อนเกิดขึ้นเต็มไปหมด ท้ายสุดก็เลยหลับตาดูของตัวเองดีกว่า อะไรที่เป็นสิ่งที่ทำจนชินมาชาติแล้วชาติเล่า ถึงเวลาก็จะโผล่ขึ้นมาเองโดยอัตโนมัติ"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 28-10-2011 เมื่อ 17:51
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 164 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #97  
เก่า 29-10-2011, 09:07
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,678
ได้ให้อนุโมทนา: 152,056
ได้รับอนุโมทนา 4,417,092 ครั้ง ใน 34,268 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : วันก่อนหนูกินข้าวก่อนนอน แล้วทีนี้กรดไหลย้อนขึ้นมา พอตื่นเช้ามามีความรู้สึกว่าร่างกายเราเองเป็นแค่ท่อ ๆ หนึ่ง แล้วก็มีเศษอาหารอยู่ข้างใน ทีนี้ก็เห็นว่าเราไม่อยากจะมีมันต่อ แต่จากนั้นก็ไม่ค่อยได้พิจารณาต่อค่ะ ต้องคิดต่ออย่างไรบ้างคะ ?
ตอบ : ความจริงเห็นอย่างนั้นแล้ว ก็อยู่ที่ว่าเรายังต้องการร่างกายนี้อีกหรือไม่ ? ถ้าไม่ต้องการแล้วเราจะไปไหน ? เราก็เกาะเป้าหมายสุดท้ายของเราไว้เท่านั้นเอง ในเมื่อเราเห็นว่าไม่ใช่ของเรา เราไม่เอาแล้ว ที่หมายสุดท้ายของเราคือที่ไหนเราก็เกาะที่นั่นเอาไว้

ถาม : วันก่อนมีปัญหากับผู้ใหญ่ รู้สึกโมโหมาก พอหลังจากนั้นมา เราเริ่มเห็นว่าอารมณ์นั้นน่ารังเกียจมาก รู้สึกเจ็บใจตัวเองว่าทำไมต้องไปโกรธด้วย
ตอบ : นี่โกรธ ๒ ชั้นเลย โกรธเขาด้วย ท้ายสุดโกรธตัวเองด้วย แสดงว่ากิเลสสุดยอดมาก หลอกให้เราเสียสองต่อ

ถาม : เราจะคลายจากตรงนั้นให้ไวที่สุดได้อย่างไรคะ ?
ตอบ : อันดับแรก ถ้ากำลังไม่พอ ให้หลบออกจากเหตุการณ์นั้นก่อน เพื่อที่จะไม่ต้องมาคิดปรุงแต่งให้กำเริบขึ้นมาใหม่ แล้วหลังจากนั้นเราก็มาพิจารณาให้เห็นว่า สิ่งเหล่านี้เป็นปกติธรรมดาที่อยู่ในโลก โดยเฉพาะถ้าเราไปยึดมั่นถือมั่นในตัวกูของกู คำว่า "กูถูก" ก็จะมีอยู่ แล้วก็จะไปค้านกับความคิดของคนอื่นเขา ถ้าเขาไม่ยอมรับโทสะก็จะเกิด

กิเลสหลอกเราได้ยอกย้อนกันหลายชั้น เมื่อเราพิจารณาเห็นแล้ว ก็มาตัดตรงตัวกูของกูให้ได้ ถ้าหมดเมื่อไรก็ไม่ต้องกลัวว่าจะแพ้แบบนั้นอีก
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 29-10-2011 เมื่อ 15:26
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 152 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #98  
เก่า 29-10-2011, 09:11
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,678
ได้ให้อนุโมทนา: 152,056
ได้รับอนุโมทนา 4,417,092 ครั้ง ใน 34,268 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : บางทีมีอารมณ์เบื่อ ท้อแท้ เบื่อที่จะดูแลขันธ์ ๕ นี้อีก เราไม่อยากจะมีอีก จากนั้นหนูมากลับมาที่อานาปานสติก็ไม่ไหว
ตอบ : แสดงว่าใช้ผิด แทนที่จะเป็นนิพพิทาญาณ กลายเป็นเบื่อทิ้งไปเฉย ๆ เพราะฉะนั้น..จะต้องเห็นให้ได้ว่าการเกิดมามีความน่าเบื่อเช่นนี้เป็นเรื่องปกติ ขึ้นชื่อว่าการเกิดเช่นนี้จะไม่มีสำหรับเราอีก การที่เราตายชาตินี้เราขอไปพระนิพพานที่เดียว การไปพระนิพพานคือจบการเวียนว่ายตายเกิดทั้งหลายทั้งปวงลงแต่เพียงแค่นี้

การเวียนว่ายตายเกิดที่จะมีขึ้นนับชาติไม่ถ้วน ถ้าจบลงแค่ชาตินี้ ระยะเวลาก็สั้นนิดเดียว เหมือนกับการหลับตาลงแล้วลืมตาขึ้นแค่นั้นเอง ระยะเวลาสั้นนิดเดียวแค่นี้ทำไมเราจะอยู่กับร่างกายนี้ด้วยดีไม่ได้

พอพิจารณาอย่างนี้จะเห็นว่าทน ๆ อยู่ไป อยู่ก็ได้ตายก็ดี อยู่ก็ได้สร้างบุญสร้างบารมี ตายเราก็ไปนิพพาน จะได้จบ แต่ถ้าคิดไม่เป็นแล้วก็จะหมอง ตายตอนนั้นขาดทุนยับเยิน อะไรไม่ดีมีเท่าไรนี่เขาทวงหมดทีเดียวเลย..!
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 29-10-2011 เมื่อ 15:28
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 149 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #99  
เก่า 29-10-2011, 13:42
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,678
ได้ให้อนุโมทนา: 152,056
ได้รับอนุโมทนา 4,417,092 ครั้ง ใน 34,268 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : ผมมีอาการแบบมึน ๆ เบลอ ๆ อยู่ตลอด จำอะไรไม่ค่อยได้ ?
ตอบ : เคยใช้ยาอะไรอยู่หรือเปล่า ?

ถาม : ไม่มีครับ
ตอบ : ถ้าไม่เกี่ยวกับยา การฝึกกรรมฐานจะช่วยได้ดีที่สุด เพราะว่าพอสติสมาธิทรงตัวอาการแบบนี้ก็จะหมดไป ถ้าเป็นเพราะยานี่อาตมาก็เคย มีอยู่บางช่วงที่ต้องใช้ยาบางตัวเป็นประจำ พอถึงเวลาจะเบลอ ต้องตั้งสติอยู่ตลอด ไม่อย่างนั้นแล้วไม่รู้จะไปเดินตกหลุมตกร่องเอาตอนไหน แต่นั่นเป็นเพราะอำนาจของยา

สำหรับโยมนี่อาจจะเป็นการบกพร่องของระบบประสาทร่างกาย ถ้าหากว่าฝึกกรรมฐาน พอสติสมาธิทรงตัวทุกอย่างจะแก้ได้ เอาแค่ปฐมฌานละเอียดก็พอ ไม่ต้องมากหรอก กลับบ้านไปดูลมหายใจตัวเองเป็นหลัก เรื่องอย่างนี้ง่ายมากเลย อารมณ์ใจทรงตัวเมื่อไรจะบังคับร่างกายนี้เอง

ถาม : ไม่ใช่ผลพวงมาจากการปฏิบัติใช่ไหมครับ ?
ตอบ : ไม่ใช่..การปฏิบัติมีแต่ดียิ่ง ๆ ขึ้นไป ถ้าหากว่าปฏิบัติแล้วเป็นอย่างนั้นแสดงว่าทำผิดวิธี
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 29-10-2011 เมื่อ 15:30
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 146 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #100  
เก่า 30-10-2011, 08:25
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,678
ได้ให้อนุโมทนา: 152,056
ได้รับอนุโมทนา 4,417,092 ครั้ง ใน 34,268 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : เรื่องกรรมบถ ถ้าเราพูดเรื่องวิพากษ์วิจารณ์ไปทั่ว ?
ตอบ : ไม่ควรทำ..ถ้าจะทำให้ทำอย่างมีสติ อะไรที่จะก่อให้เกิดวจีกรรมเราก็หยุด ต่อให้เรื่องนั้นเป็นเรื่องจริงก็ไม่ควรพูด เพราะพูดไปแล้วคนอื่นเสียหาย

ถาม : เราก็ไม่ได้พูดอะไร
ตอบ : แค่คิดก็แย่พอแล้ว เพราะว่าเป็นมโนกรรม แต่ถ้าออกมาเป็นวจีกรรมหรือกายกรรม เราจะพาคนอื่นเดือดร้อนด้วย
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 30-10-2011 เมื่อ 10:57
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 145 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
ตอบ


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 
คำสั่งเพิ่มเติม

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 15:30



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว