กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะพระอาจารย์ > เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี

Notices

เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี เก็บข้อธรรมจากบ้านวิริยบารมีมาฝาก สำหรับผู้ที่ไม่มีโอกาสเดินทางไป

ตอบ
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #61  
เก่า 19-04-2012, 17:04
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,734
ได้ให้อนุโมทนา: 152,120
ได้รับอนุโมทนา 4,419,774 ครั้ง ใน 34,324 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์กล่าวว่า "ตอนนี้ที่วัดท่าขนุนก็ปิดทองพระชำระหนี้สงฆ์ไปเรื่อย ๆ ป้ายชื่อเจ้าภาพเสร็จสรรพเรียบร้อยแล้ว พระชำระหนี้สงฆ์ ๓๖ องค์ ญาติโยมจ่ายครบแล้ว ๓๕ องค์ ยังขาดอีก ๑ องค์ ความจริงไม่ได้ขาดหรอก แต่อาตมาขี้เกียจโทรไปทวง เจอหน้ากันครั้งหนึ่งโยมก็นึกถึงครั้งหนึ่ง อาตมาไม่มีนิสัยโทรไปทวงใคร ปล่อยเขาตามสบาย..นึกได้เมื่อไรเดี๋ยวก็เอามาให้เอง

ส่วนสมเด็จองค์ปฐมหน้าตัก ๒๑ ศอก ฐานกำลังขึ้นชั้น ๒ อยู่ จริง ๆ คำว่าชั้น ๒ ก็คือ ชั้นแรกนั่นแหละ แต่ว่าเป็นดาดฟ้าข้างบนที่จะไว้ตั้งพระ ข้างล่างที่ยกขึ้นมา ๔ เมตรนั้นจะเอาไว้ทำเป็นห้องประชุม เพราะว่าฐานพระกว้าง ๓๐ เมตร ยาว ๓๐ เมตร ก็ประมาณห้องโถงนี้เลย (บ้านวิริยบารมี) นึกเอาแล้วกันว่าองค์พระหน้าตัก ๒๑ ศอก จะใหญ่แค่ไหน

จะเทองค์พระวันที่ ๗ – ๑๕ กรกฎาคม ประมาณ ๑ อาทิตย์ ฉะนั้น..ถ้าหากว่าใครต้องการอานิสงส์ไปช่วยกันลุยได้ เดี๋ยวจะสั่งซื้อกระป๋องปูนมาสัก ๓๐๐ ใบ แต่เห็นช่างปูนเขาบอกว่าเสียเวลา เขาเองมีอุปกรณ์อะไรก็ไม่รู้ ลักษณะเหมือนอย่างกับกรวยใหญ่ ๆ สามารถเทปูนใส่ยกขึ้นไปปล่อยพรวดเดียวได้เลย ไม่ต้องเสียเวลาหิ้วกันนาน"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย วสันต์วิษุวัต : 23-04-2020 เมื่อ 15:29
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 202 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #62  
เก่า 19-04-2012, 17:07
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,734
ได้ให้อนุโมทนา: 152,120
ได้รับอนุโมทนา 4,419,774 ครั้ง ใน 34,324 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์ถามโยมท่านหนึ่งว่า "คุณแม่อยู่คนเดียว คุณพ่อเสียไปแล้วใช่ไหมจ๊ะ ? (โยมตอบว่าใช่) อาตมามั่นใจร้อยเปอร์เซ็นต์ว่าใช่ เพราะว่าโหงวเฮ้งคุณแม่เขาเป็นแม่หม้ายแล้ว ตำราโหงวเฮ้งของอาตมาแม่นมาก ดูได้ทุกคน จริง ๆ แล้วอยากจะถ่ายทอดให้สาว ๆ เอาไว้ จะได้รู้ว่าคนไหนมีลูกมีเมียแล้วมาหลอกเราหรือเปล่า

แต่คราวนี้ตอนที่เรียนรู้ อาตมาไปสัญญากับอาเจ็กที่สอนให้ว่าจะไม่ถ่ายทอดต่อ เพราะว่าสมัยก่อนเรื่องพวกนี้จะเป็นเรื่องที่เอาไปข่มขู่คุกคามกันได้ อย่างสมัยอาตมาเรียนมัธยม มีรุ่นพี่คนหนึ่งท้องตอนที่เรียนอยู่ ต้องย้ายหนีไปจังหวัดอื่นเลย เพราะโดนเขาด่ากันทั้งตำบล สมัยก่อนเรื่องชู้สาวเป็นเรื่องที่รับกันไม่ได้เลย

เวลาอาตมาไปขอเรียนโหงวเฮ้ง ท่านก็เลยต้องบังคับ ให้สาบานเอาไว้ว่าจะไม่ถ่ายทอดต่อ เพราะกลัวคนที่ไม่มีศีลไม่มีธรรมจะเอาไปหักหลังคนอื่น ไปข่มขู่เขา ว่าฉันรู้ความลับแกนะ ถ้าไม่จ่ายเงินมาฉันจะเปิดเผยให้หมดเลย อะไรอย่างนี้

เวลาที่บอกโยมบางคนว่าดูออกว่าผู้หญิงหรือผู้ชายคนนั้นมีสามีหรือภรรยามาแล้วหรือยัง ? กำลังมีอยู่หรือไม่ ? บางคนไม่เชื่อ แต่นี่ยืนยันได้ว่าอาตมาดูแม่น แค่มองหน้าก็รู้แล้ว ไม่ใช่ทิพจักขุญาณหรอก เป็นเพราะโหงวเฮ้งจริง ๆ เพราะฉะนั้น..ใครมีสามีภรรยาแล้วจะมาทำเนียนหลอกอาตมาไม่ได้หรอก หลอกได้แต่คนอื่นเท่านั้น"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 19-04-2012 เมื่อ 18:10
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 202 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #63  
เก่า 19-04-2012, 17:26
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,734
ได้ให้อนุโมทนา: 152,120
ได้รับอนุโมทนา 4,419,774 ครั้ง ใน 34,324 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์เล่าเรื่องพระศรีอาริยเมตไตรยว่า "สมเด็จพระศรีอาริยเมตไตรยจะมาตรัสรู้อีกประมาณล้านปีข้างหน้า พวกเราจะอยู่กันถึงหรือเปล่า ? พระองค์ทรงมีพระวรกายสูง ๘๘ ศอก เป็นศอกของพระองค์ท่านด้วยนะ ไม่ใช่ศอกของเรา พระองค์ท่านมีภารกิจอย่างหนึ่งก็คือ ต้องเอาสังขารของพระมหากัสสปะมาเผาในพระหัตถ์ของพระองค์ท่าน เนื่องจากเวรกรรมที่เนื่องกันมาในอดีต

ในอดีตพระศรีอาริยเมตไตรยเป็นควาญช้าง พระมหากัสสปะเป็นช้างทรงของพระเจ้าแผ่นดิน วันนั้นพระเจ้าแผ่นดินเสด็จประพาสอุทยาน อุทยานสมัยก่อนมีลักษณะเหมือนกับอุทยานแห่งชาติสมัยนี้ คือเป็นป่าส่วนพระองค์ของพระราชา ปรากฏว่าช้างทรงอยู่ ๆ ก็วิ่งเตลิด พระราชาหลบกิ่งไม้ใบหญ้าแทบไม่ทัน ท้ายสุดเห็นว่าอันตรายมาก ก็เลยคว้ากิ่งไม้ใหญ่ที่อยู่เตี้ย โหนพระวรกายขึ้นไปอยู่ข้างบน จึงรอดไปได้

พอกลับมาพระองค์พิโรธมาก ว่าควาญช้างฝึกช้างประสาอะไร ถึงได้เตลิดขนาดนั้น ตั้งใจจะลอบปลงพระชนม์หรืออย่างไร จะสั่งประหารชีวิต ควาญช้างกราบทูลว่า ช้างทรงน่าจะได้กลิ่นช้างตัวเมีย ก็เลยเตลิดหายไป ไม่อย่างนั้นแล้วช้างทรงเชือกนี้สามารถบังคับได้ทุกอย่าง พระราชาไม่เชื่อ บอกว่าให้ทดสอบดู ถ้าบังคับไม่ได้อย่างที่ว่าก็จะประหารเสีย

ควาญช้างก็เลยต้องไปตามช้างทรงกลับมา ตอนนั้นช้างทรงเจอช้างตัวเมียพอใจแล้วก็ยอมกลับ กลับมาถึงพระเจ้าแผ่นดินก็สั่งว่า ไหนลองบังคับช้างให้ได้อย่างที่ปากพูดสิ ควาญช้างก็เลยเอาแท่งเหล็กเผาจนแดง แล้วบังคับให้ช้างเอางวงจับแท่งเหล็กนั้นขึ้นมา ช้างก็ยอมเอางวงจับแท่งเหล็กขึ้นมา แต่คราวนี้ด้วยความที่แท่งเหล็กร้อนจัด ช้างทนไม่ไหวก็เลยตาย

พระราชาเห็นก็สลดพระทัยว่า โอหนอ...ไฟราคะรุนแรงขนาดนี้เลยหรือ ? ขนาดช้างทรงที่เชื่องเชื่อขนาดนี้ ควาญช้างบังคับให้หยิบแท่งเหล็กแดง ๆ ยังกล้าหยิบได้ แต่ถึงเวลาแล้วกลับไม่ฟังการบังคับเลย เตลิดไปหาช้างตัวเมียด้วยอำนาจของไฟราคะ เพราะเหตุนี้เมื่อช้างมาเกิดใหม่เป็นพระมหากัสสปะ พอพระมหากัสสปะมรณภาพก็ยังไม่สามารถที่จะเผาสังขารของตนเองได้ ลูกศิษย์ลูกหาจัดการไม่ได้ ต้องเก็บสังขารเอาไว้ก่อน รอพระศรีอาริยเมตไตรยที่เป็นควาญช้างมาเกิดใหม่ แล้วเผาด้วยเตโชธาตุในฝ่าพระหัตถ์

เรานึกดูว่าพระมหากัสสปะสูง ๘ ศอกของสมัยพุทธกาล กับ ๘๘ ศอกของพระศรีอาริยเมตไตรย เทียบแล้วพระมหากัสสปะก็น่าจะประมาณถั่วสักเมล็ดในฝ่ามือเท่านั้น แล้วเผาด้วยเตโชธาตุ เตโชธาตุนี้อธิษฐานให้เผาแค่ไหนก็เผาแค่นั้น ถ้าตั้งใจจะเผาแต่เสื้อผ้า แม้แต่ขนเส้นเดียวก็ไม่ไหม้ ท่านเองก็ไม่ร้อนอะไรหรอก แต่ว่ากรรมเนื่องกันมาจึงต้องทำอย่างนั้น"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย ป้านุช : 19-04-2012 เมื่อ 17:57
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 209 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #64  
เก่า 20-04-2012, 09:30
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,734
ได้ให้อนุโมทนา: 152,120
ได้รับอนุโมทนา 4,419,774 ครั้ง ใน 34,324 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

"ถ้าใครต้องการจะไปเกิดในสมัยพระศรีอาริยเมตไตรย พระองค์ท่านสั่งเอาไว้ว่า ให้ปฏิบัติในกรรมบถสิบเป็นปกติ แล้วตั้งใจไปเกิดในยุคของท่าน ในยุคของพระศรีอาริยเมตไตรย พระองค์ท่านเทศน์ทีเดียวก็ยกคณะไปพระนิพพานเลย แต่ว่ารอนานนะ เพราะว่าพระพุทธเจ้าแบบปัญญาธิกะสร้างบารมีมา ๔ อสงไขยกับแสนมหากัป บริวารมีดี มีเลว มีสวยงาม มีอัปลักษณ์ มีรวย มีจน ปะปนกันไป

ถ้าหากว่าเป็น พระพุทธเจ้าแบบศรัทธาธิกะ สร้างบารมี ๘ อสงไขยกับแสนมหากัป บริวารจะดีสวยรวยเสมอกันหมด เขตที่พระองค์ท่านประกาศศาสนา คนชั่วเข้าไม่ได้ แต่ถ้าหากว่าเป็นพระพุทธเจ้าแบบวิริยาธิกะแบบพระศรีอาริยเมตไตรย บริวารนอกจากดี สวย รวยเสมอกันหมดแล้ว โลกยุคนั้นคนชั่วเกิดไม่ได้เลย สรุปว่าที่สร้างบารมีแทบเป็นแทบตายก็คือทำเพื่อบริวาร ยอมเหนื่อยกว่าท่านอื่นเป็นเท่า ๆ ตัว

อาตมานึกว่าแค่คนชั่วเข้ามาในเขตไม่ได้ก็ดีใจจะแย่แล้ว..ใช่ไหม ? นี่โลกยุคนั้นคนชั่วเกิดไม่ได้ เกิดเฉพาะคนดีที่เป็นบริวารท่าน แล้วเทศน์กันทีก็ยกคณะไปเลย ไม่ต้องเสียเวลามาฟังกันนาน

สมัยอาตมาเด็ก ๆ ผู้ใหญ่เขาสอนให้ทำบุญแล้วอธิษฐานว่า ขอให้เกิดมาสวย ๆ ขอให้เกิดมารวย ๆ ขอให้เกิดมาพบพระศรีอาริยเมตไตรย อาตมาก็ว่าตามเขามาตลอด กว่าจะรู้จักคำว่าพระนิพพาน ก็ตอนอายุ ๑๖ ปีแล้วได้มาเจอหลวงพ่อฤๅษี พอเวลาท่านนำอธิษฐานจึงได้ขอให้ถึงพระนิพพานในชาติปัจจุบันนี้

อาตมาก็คิดว่า เอ..ลุงมัคคนายกแกอธิษฐานทีไร ก็ขอให้ถึงซึ่งพระนิพพานในอนาคตกาลเบื้องหน้าโน้นเทอญ ส่วนหลวงพ่อท่านเอาชาติปัจจุบันนี้ แค่คิดดูเท่านั้น หลวงพ่อท่านก็อธิบายให้ฟังว่า ถ้าต้องการก็ชาตินี้ มัวแต่ไปรออนาคตกาลเบื้องหน้าโน้น ชาติไหนไม่รู้ ลำบากอีกนาน มีใครเคยเจออนาคตกาลแบบอาตมามาบ้าง ? "ขอผลบุญนี้จงเป็นปัจจัยให้ข้าพเจ้าทั้งหลายได้เข้าถึงซึ่งพระนิพพานในอนาคตกาลเบื้องหน้าโน้นเทอญ" ทำบุญเมื่อไรมัคคนายกก็นำอธิษฐานแบบนี้ทุกที"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 20-04-2012 เมื่อ 09:48
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 200 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #65  
เก่า 20-04-2012, 09:36
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,734
ได้ให้อนุโมทนา: 152,120
ได้รับอนุโมทนา 4,419,774 ครั้ง ใน 34,324 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

"จริง ๆ แล้วคำว่ามัคคทายกเรียกว่าทายกไม่ได้นะ ต้องเรียกนายก เพราะว่าคำเต็ม ๆ คือ มัคคนายก นายกแปลว่าผู้นำ มัคคะแปลว่าหนทาง มัคคนายก คือ ผู้นำทางในการทำความดี

ถ้ามัคคทายก ทายกแปลว่า ผู้ให้ ผู้ให้ทาน (การสงเคราะห์แก่พระภิกษุสงฆ์) เขาเอามาปนกันระหว่างคำว่า มัคคนายกที่เป็นคำถูกต้อง + คำว่าทายก กลายเป็นมัคคทายก เป็นคำผิด ฉะนั้น..ที่ถูกต้อง คือ มัคคนายก"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 20-04-2012 เมื่อ 09:49
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 190 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #66  
เก่า 20-04-2012, 09:46
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,734
ได้ให้อนุโมทนา: 152,120
ได้รับอนุโมทนา 4,419,774 ครั้ง ใน 34,324 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์เล่าถึงชื่อเก่าของแต่ละจังหวัดว่า "สมัยแรก ๆ ที่อาตมาไปวัดท่าซุง ที่พักของโยม คือ ศาลาธรรมสถิตย์ โยมเข้ามาพักกันเป็นคณะ ห้องหนึ่ง ๒๕ – ๓๐ คน หลวงพ่อท่านร่างกายยังแข็งแรงอยู่ เย็น ๆ จึงลงไปเยี่ยมญาติโยมที่มาทำบุญ ชวนโยมคุย

โยมเขามาคณะเดียวกัน หลวงพ่อถามโยมคนแรกว่า "มาจากไหน ?" "มาจากโคราชเจ้าค่ะ" "แล้วของโยมล่ะ ?" "มาจากนครราชสีมา" "มาคนละจังหวัดได้ ไหนบอกคณะเดียวกัน" บางทีเพราะความเคยชิน เขาไปเรียกชื่อเก่าเมืองเก่า อย่างสระบุรีสมัยก่อนเรียกปากเพรียว ปทุมธานีเรียกสามโคก นครปฐมยังเป็นนครชัยศรีอยู่ สมุทรปราการก็เป็นพระประแดง

เวลาไปเรียกชื่อเก่าเข้า คนรุ่นหลัง ๆ บางทีไม่รู้จัก อย่างที่เขาว่า "..พระพุทธเจ้าหลวงบำรุงซึ่งกรุงศรี ประทานนามสามโคกเป็นเมืองตรี ชื่อปทุมธานีเพราะมีบัว.." เปลี่ยนจากสามโคกเป็นปทุมธานี สมัยก่อนที่ชื่อสามโคกเพราะว่าพวกบรรดามอญที่เข้ามาพึ่งพระบรมโพธิสมภาร ในหลวงรัชกาลที่ ๑ ให้ไปอยู่ในบริเวณที่เรียกว่าสามโคก ก่อนหน้านั้นก็ไม่ได้ชื่อสามโคกหรอก ตรงนั้นเป็นทุ่งนากับป่าละเมาะ เหมาะที่จะทำไร่ทำนา

แต่พวกมอญมีฝีมือในการเผาอิฐแล้วก็ทำภาชนะด้วยดินเผา เขาก็เลยก่อเตาเผาขึ้นมา ทำไปทำมาขายดี เพราะว่าคนไทยทำได้ไม่ดีเหมือนของคนมอญ ในเมื่อขายดีก็ขยายใหญ่ขึ้น มีเตาที่ ๒ เตาที่ ๓ คราวนี้เตาใหญ่ขึ้น เวลาทิ้งร้าง ต้นไม้ใบหญ้าขึ้นคลุมก็กลายเป็นเนินใหญ่ เขาเลยเรียกโคก จะผ่านไปตรงนั้นพอคนเขาถามว่าไปไหน ? "ไปทางสามโคก" ไป ๆ มา ๆ ชื่อก็เลยกลายเป็นเมืองสามโคก ชื่อบ้านนามเมืองเขามีที่มา แต่ส่วนใหญ่แล้วเราจะไม่รู้จักชื่อเก่ากัน"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 20-04-2012 เมื่อ 10:38
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 182 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #67  
เก่า 20-04-2012, 09:53
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,734
ได้ให้อนุโมทนา: 152,120
ได้รับอนุโมทนา 4,419,774 ครั้ง ใน 34,324 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

"นครปฐมมีศาลายาทุกคนรู้จัก แล้วศาลาธรรมสพน์รู้จักไหม ? ศาลาธรรมสพน์ตัวนี้เป็นภาษาสันสกฤต จริง ๆ แล้วสมัยโบราณตรงนั้นเป็นที่เผาศพ เขาเรียกศาลาทำศพ ก็คือเอาศพไปทำกันตรงนั้น รักษาที่ศาลายาไม่หาย ก็ยกไปเผากันที่ศาลาทำศพ

แต่ทีนี้พอคนได้ยินชื่อแล้วรู้สึกหวาดเสียว ทางราชการก็เลยเปลี่ยนเป็น ศาลาธรรมสพน์ แต่กลายเป็นธรรมสวนะ คือศาลาฟังธรรม ทีนี้ภาษาบาลีเป็น ว.แหวน พอไปเป็นสันสกฤต เขาเปลี่ยนเป็น พ.พาน จากธรรมสวนะจึงกลายเป็นธรรมสพน์ ไปรักษาที่ศาลายา รักษาไม่หายก็แปลว่าอีกไม่นานก็ต้องมาที่ศาลาทำศพ

ไม่มีใครเขาสงสัยบ้างหรือว่า ตลิ่งชันอยู่กรุงเทพฯ คือกรุงธนบุรีเก่า แล้วทำไมท่าแฉลบไปอยู่นครปฐม ? เขาเรียกตามลักษณะแม่น้ำลำคลองสมัยก่อน ท่าน้ำที่มีลาดขึ้นยาวมากเขาเรียกท่าแฉลบ บางคนเรียกง่าย ๆ ท่าน้ำตื้น แต่ทางธนบุรีดินถล่มอยู่เรื่อย ตลิ่งเกือบจะตั้งฉากเลย เขาจึงเรียกตลิ่งชัน ตรงส่วนที่ก่อนจะถึงเขาเรียกว่างิ้วราย เพราะว่ามีต้นงิ้วริมคลองเรียงเป็นตับ

คำว่ารายในที่นี้คือเรียงราย มีศาลายา มีสถานีรถไฟต้นสำโรง สำหรับต้นสำโรงนี่เป็นต้นไม้เนื้ออ่อน ลักษณะเดียวกับตระกูลต้นนุ่น ชอบขึ้นใกล้น้ำ เพราะฉะนั้น..นครปฐมจะเป็นต้นสำโรง ถ้าลพบุรีจะเป็นโคกสำโรง"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 20-04-2012 เมื่อ 09:58
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 180 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #68  
เก่า 20-04-2012, 10:57
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,734
ได้ให้อนุโมทนา: 152,120
ได้รับอนุโมทนา 4,419,774 ครั้ง ใน 34,324 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์เล่าว่า "มีอยู่เที่ยวหนึ่งหลวงพ่อสมปองเอาผ้าป่าไปถวายที่เกาะพระฤๅษี เฉพาะเหรียญสลึง ๑ ถังสังฆทานพอดี..! คนถวายคงปลื้มใจมากเลย อุตส่าห์ไปแลกเหรียญสลึงมาถวายโดยเฉพาะ เหรียญใหม่เอี่ยมเลยนะ อาตมานับแทบตายได้มา ๗ พันบาทถ้วน..!

ต่อไปคนประเภทนี้เวลาได้อะไร เขาจะต้องได้ของประเภทแกะออกสัก ๕๐ ชั้น แล้วเหลือของข้างในนิดหนึ่ง เขาตั้งใจแลกมาถวายด้วยความปลื้มใจมาก ถวายเหรียญใหม่ ๆ แต่เล่นเอานับกันแทบตาย"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 20-04-2012 เมื่อ 15:13
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 189 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #69  
เก่า 20-04-2012, 11:04
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,734
ได้ให้อนุโมทนา: 152,120
ได้รับอนุโมทนา 4,419,774 ครั้ง ใน 34,324 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์กล่าวสอนโยมว่า "ถ้าใจอยู่กับตัว มีเหตุการณ์ฉุกเฉินอะไร เราก็จะไม่ตกใจ แต่ถ้าใจไม่อยู่กับตัว ออกนอกแล้ววิ่งกลับเข้ามารับรู้เร็ว ๆ เขาเรียกว่าตกใจ เพราะฉะนั้น..อย่าส่งใจออกนอก"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 20-04-2012 เมื่อ 15:14
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 194 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #70  
เก่า 20-04-2012, 11:48
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,734
ได้ให้อนุโมทนา: 152,120
ได้รับอนุโมทนา 4,419,774 ครั้ง ใน 34,324 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์เล่าว่า "ช่วงนี้ทองผาภูมิของที่ออกมากเป็นของป่า มีดอกดินเต็มตลาดเลย นอกจากนี้ก็มีผักกูด บุก อีลอก อีลอกก็คือบุกชนิดหนึ่ง พอฝนลงมาของป่าก็ออกกันเต็มไปหมด


อีลอก

ตอนนี้ในเว็บวัดท่าขนุนกำลังสอนการยังชีพในป่ากันอยู่ ในป่าของที่กลัวว่าจะกินผิดจริง ๆ ก็คือหนามขี้แรด หน้าตาเหมือนกับชะอมทุกประการเลย คนที่ไม่เคยชินจะคิดว่าเป็นชะอม แต่อย่าเอามากินเป็นอันขาด ถ่ายท้องถึงตาย..! ถ้าหากว่ารอบคอบสักหน่อย เด็ดสักยอดสองยอดก็จะรู้แล้วว่าไม่ใช่ชะอม เพราะไม่มีกลิ่น ชะอมจะมีกลิ่นฉุน ส่วนหนามขี้แรดไม่มีกลิ่น ของที่จะกินผิดก็คือของที่เราไม่คุ้นเคย แต่มีหน้าตาไปคล้ายของที่เราเคยกิน


หนามขี้แรด


การหาของกินในป่า บางทีก็ขึ้นอยู่กับดวง เจออะไรก็ต้องกินอย่างนั้น บางอย่างไม่ใช่ว่าเราเดินไปแล้วจะเจอเต็มไปหมดนะ บางทีเดินเป็นวันก็ยังไม่เจออะไรเลย อย่างอาตมาที่ไปกับท่านโมเช่ เดินอยู่ ๓ วันเจอแต่ดงต้นชะอม ตกลง ๓ วันนั้นกินแต่ชะอมทุกวัน กินจนแยกเขี้ยวยิงฟัน เข็ดไปตาม ๆ กัน เพราะเดินไม่พ้นเขตชะอมเสียที

ด้วยความที่ว่าเป็นเด็กบ้านนอกอยู่กับต้นชะอมมา ก็คิดว่าชะอมเป็นไม้ยืนต้น ความจริงแล้วชะอมเป็นไม้เลื้อยกึ่งยืนต้น แต่ชะอมที่บ้านเราเป็นไม้ยืนต้นเพราะเขาทำในลักษณะปลูกเป็นรั้ว จึงไม่มีโอกาสที่จะเลื้อย เพราะยาวขึ้นมาก็โดนเด็ด ไปเจอในป่าเลื้อยเถาหนึ่งนี่เต็มภูเขาไปเลย เดินมุดเดินลอดกันไป เก็บไปเรื่อย ๆ ท่านโมเช่ท่านเป็นตาฤๅษี ท่านก็เก็บใส่ย่ามไปเรื่อย ๆ พอได้เวลามื้ออาหารก็เอามาทำกิน

จะไปหวังชะอมทอดไข่ก็ไม่ได้ เพราะอยู่ในป่า อย่างเก่งก็ต้มจิ้มน้ำพริก บางเที่ยวเดินไปตลอดทางก็เจอแต่ผักกูด ผักกูดจะว่าไปก็อร่อย แต่ว่าเจอเข้าไปหลาย ๆ วันก็เริ่มเบื่อเหมือนกัน"
รูป
ชนิดของไฟล์: jpg 161_1.jpg (77.7 KB, 1068 views)
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 20-04-2012 เมื่อ 15:19
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 168 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #71  
เก่า 20-04-2012, 12:03
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,734
ได้ให้อนุโมทนา: 152,120
ได้รับอนุโมทนา 4,419,774 ครั้ง ใน 34,324 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : ชาวบ้านเขาบอกว่าสร้างโบสถ์เสร็จเจ้าอาวาสจะตาย ?
ตอบ : เขาถือกันอย่างนั้น ความจริงสมัยก่อนเขาสร้างโบสถ์กันทีหลายสิบปีกว่าจะเสร็จ แล้วเจ้าอาวาสมักจะแก่ตายพอดี เพราะใจมุ่งอยู่กับการสร้างโบสถ์ก็อยู่ได้ พอโบสถ์เสร็จกำลังใจคลายตัวก็ตายพอดี คราวนี้พอเจอตายเข้า ๒ – ๓ ราย ติด ๆ กันเขาก็เลยถือ เพราะฉะนั้น..ช่วงที่เขาผูกพัทธสีมาจะให้เจ้าอาวาสไปอยู่ที่อื่น เข้าใจว่าจะได้รอดพ้นจากเคราะห์กรรมนั้นไป

ความจริงเป็นความเชื่อเฉย ๆ ถามว่าต้องไปไหม ? ชาวบ้านเขาเชื่อ คุณไปเสียหน่อยแล้วกัน ไม่อย่างนั้นแล้วถึงเวลาเจ็บไข้ได้ป่วยอะไรขึ้นมา ชาวบ้านเขาเครียดตายเลย อย่างน้อย ๆ ให้โยมเขาได้ทำตามความเชื่อหน่อย กำลังใจเขาจะได้ดีขึ้น

ถาม : ลูกนิมิตลูกที่เก้า..?
ตอบ : เขามีเอาไว้ให้ครบเก้า แล้วดันเป็นนิมิตลูกที่แพงที่สุดด้วย จริง ๆ แล้วลูกนิมิตเขาต้องการแค่ ๘ ลูกเท่านั้น ลูกตรงกลางไม่ต้องมีก็ได้ แต่ว่ากลายเป็นว่าเขาต้องการเลข ๙ ซึ่งเป็นเลขที่เรานิยมว่าเป็นมงคล

ความเชื่อของชาวบ้าน เราไม่ทำตามก็อยู่ยาก เพราะว่าขนบธรรมเนียมประเพณี ระเบียบวินัยและกฎหมายบ้านเมืองเป็นสิ่งที่บังคับคนในสังคม อย่างสังคมพระก็เป็นระเบียบวินัย หากเป็นสังคมชาวบ้านก็เป็นกฎหมายบ้านเมือง ยังมีขนบธรรมเนียมประเพณีที่เป็นความเชื่อซ้อนอยู่อีกชั้น ในเมื่อเขาเชื่อว่า ถ้าหากว่าผูกพัทธสีมาแล้วเจ้าอาวาสจะตาย คุณก็ต้องเชื่อตามเขา ถึงเวลาเขาก็ไล่เจ้าอาวาสไปไกล ๆ วัด ให้ไปอยู่ที่อื่น ผูกพัทธสีมาเสร็จแล้วค่อยกลับวัด
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 20-04-2012 เมื่อ 15:22
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 173 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #72  
เก่า 20-04-2012, 17:19
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,734
ได้ให้อนุโมทนา: 152,120
ได้รับอนุโมทนา 4,419,774 ครั้ง ใน 34,324 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์เล่าว่า "เมื่อวานนี้ญาติโยมมาบ้านวิริยบารมีมาก แต่บ่นว่ารถติดเพราะขบวนธุดงค์ อาตมาเองก็นึกว่าธุดงค์น่าจะอยู่ในป่า ท้ายสุดก็สรุปได้ว่าเขาธุดงค์กันในป่าคอนกรีต เขาทำถูกแล้ว อาตมาคิดผิดเอง

การธุดงค์ในป่าคอนกรีตก็มีอันตรายจากรถยนต์ เหมือนอย่างกับเดินอยู่กลางโขลงช้าง จะโดนเหยียบแบนเมื่อไรไม่รู้ แต่ว่าธุดงค์แบบนี้ก็ดีนะ ช่วยให้เจ้าของสวนกุหลาบได้เงินเยอะขึ้น เพราะเขาเอากลีบกุหลาบมาโรยให้เดิน แต่ความจริงถ้าหากว่าต้องการให้รู้สัจธรรมชีวิตจริง ๆ ก็ควรจะเอาหนามกุหลาบโรยไปด้วย..!

เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์ บอกว่า "..ฯลฯ..การเกิดต้องเจ็บปวด ต้องร้าวรวดทรมา ในสายฝนมีสายฟ้า ในผาทึบมีถ้ำทอง..ฯลฯ" อยากรู้สัจธรรมจริง ๆ ก็ต้องพบกับความเจ็บปวดและความยากลำบากบ้าง

ป.ล. ห้ามคัดลอกข้อความนี้ออกไปเผยแพร่นอกเว็บค่ะ
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 20-04-2012 เมื่อ 17:45
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 188 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #73  
เก่า 21-04-2012, 15:49
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,734
ได้ให้อนุโมทนา: 152,120
ได้รับอนุโมทนา 4,419,774 ครั้ง ใน 34,324 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์กล่าวว่า "นางมณีเมขลาเป็นผู้ควบคุมบรรยากาศ อาตมาสงสัยเหมือนกันว่า ช่วงนี้มีการสั่งการผิดพลาดหรืออย่างไร อากาศก็เลยมั่วไปหมด เรื่องพวกนี้เป็นไปตามความประพฤติของมนุษย์ ในเมื่อมนุษย์ไม่อยู่กับร่องกับรอย ดินฟ้าอากาศก็ไม่อยู่กับร่องกับรอยเหมือนกัน

การทำฝนเป็นเรื่องยาก แม้ว่าเราผลิตฝนเทียมได้ แต่ฝนธรรมชาติก็ยังเป็นเรื่องยาก ต้องใช้เทวดามาก เทวดาที่เกี่ยวข้องกับฝนก็มีวายุเทพบุตร
ปชุนนเทพบุตร วลาหกเทพบุตร สีตลาเทพบุตร
มีวรุณเทพบุตรเป็นหัวหน้าทีม กว่าจะผลิตฝนได้แต่ละทีไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะว่าวรุณเทพบุตรอยู่ในตำแหน่งของเทวราชา ถือว่าเป็นผู้ยิ่งใหญ่ระดับปลัดกระทรวงหรืออธิบดี ฟังชื่อแล้วคุ้นหูบ้างไหม ? วรุณเทพบุตรก็คือพระพิรุณ ถ้าจะคุ้นหูก็คุ้นหูท่านนี้"


ถาม : การแห่นางแมวเพื่อให้ฝนตก ?
ตอบ : อันนั้นเป็นความเชื่อ แต่ถ้าตั้งใจทำด้วยความเคารพก็ได้ผลเหมือนกัน การแห่นางแมวแล้วฝนตก เทวดาเขาคงสงสารแมว เพราะโดนน้ำรดเอา ๆ แล้วแมวเกลียดน้ำที่สุด สัตว์ตระกูลเสือตระกูลแมวจะไม่ชอบน้ำ ต่อให้ร้อนแค่ไหน ลงน้ำตูมเดียวขึ้นมาก็รีบสะบัดเกลี้ยง ถึงเวลาเอาแมวมาทรมาน เทวดาทนดูไม่ได้ก็ต้องให้ฝน สรุปแล้วเทวดาดีเหมือนเดิม แต่คนไม่ได้เรื่อง เพราะเอาสัตว์มาทรมาน

ถ้าจะห้ามฝนเดี๋ยวให้ไปปักตะไคร้ ไม่ใช่ยิ่งปักยิ่งตก ความเชื่อถือในตอนแรกเขาให้สาวพรหมจารีย์เป็นคนไปปักตะไคร้ ไป ๆ มา ๆ เขาเปลี่ยนเป็นแม่ม่ายไปปักตะไคร้ สงสัยจะหาง่ายกว่า การปักตะไคร้ต้องเอาโคนขึ้นเอาปลายลง

ถ้าหากว่าเราสังเกตดู แม้กระทั่งคำว่า "นางแมว" ก็แปลว่าเป็นเพศหญิง หรือจะเป็นสาวพรหมจารีย์หรือว่าแม่หม้ายที่ไปปักตะไคร้ก็เป็นเพศหญิง แสดงว่าในสังคมของเรายกย่องผู้หญิงเป็นใหญ่มาแต่ไหนแต่ไรแล้ว ในเมื่อยกย่องผู้หญิงให้เป็นใหญ่บ้าน เราก็เลยไม่มีการเรียกร้องสิทธิสตรี จะเรียกร้องไปทำไมเพราะมีอยู่แล้ว
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 21-04-2012 เมื่อ 19:53
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 172 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #74  
เก่า 21-04-2012, 15:58
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,734
ได้ให้อนุโมทนา: 152,120
ได้รับอนุโมทนา 4,419,774 ครั้ง ใน 34,324 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : เกาะแก้วพิสดารที่ภูเก็ตอยู่ตรงไหนครับ ?
ตอบ : ลงเรือที่หาดราไวย ถามเรือแถวนั้นแล้วเช่าเรือไป แต่ว่าเลือกฤดูให้ถูก เพราะว่าบางจังหวะคลื่นแรง เทียบข้างหน้าเกาะไม่ได้ ต้องไปหลังเกาะ

ตอนที่อาตมาไปเป็นฤดูที่คลื่นแรง แต่ว่าเจ้าที่ท่านช่วย วันนั้นก็เลยวิ่งเรือด้วยสองแรงพญานาค สิบกว่านาทีถึง ไม่มีใครเขาเชื่อ เพราะปกติวิ่งเรือกันครึ่งชั่วโมง แต่คณะของเราไปด้วยสองแรงพญานาค วิ่งพักเดียวก็ถึง คลื่นแรงขนาดไหนไม่รู้ แต่เรือเทียบหน้าเกาะให้เฉยเลย ไปกับเจ้าถิ่นก็สบายหน่อย

ถาม : ควรจะไปช่วงเดือนประมาณไหนครับ ?
ตอบ : เดือนมกราคมคลื่นลมจะเบา แต่ถ้าไปแล้วเจอสึนามิพอดี รับรองจะประทับใจไปตลอดชีวิต..!
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 21-04-2012 เมื่อ 16:14
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 169 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #75  
เก่า 21-04-2012, 16:04
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,734
ได้ให้อนุโมทนา: 152,120
ได้รับอนุโมทนา 4,419,774 ครั้ง ใน 34,324 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

แต่สึนามิทำเอาหลี่เหลียนเจี๋ย (เจ็ทลี) ตั้งมูลนิธิหนึ่งหยวนขึ้นมาเพื่อช่วยเหลือสังคม ตอนนั้นหลี่เหลียนเจี๋ยไปเที่ยวเกาะมัลดีฟแล้วเจอสึนามิ คว้ามือภรรยากับลูกข้างละคนวิ่งหนี มารู้ตัวอีกทีไม่รู้ลูกและภรรยาหลุดมือไปไหนแล้ว ส่วนตัวเองโดนคลื่นซัดกระแทกไปติดอยู่บนยอดไม้ พอลงมาได้ก็นั่งร้องไห้ รอบข้างมีแต่ซากศพเกลื่อนกลาดไปหมด

สำนึกตัวเองได้ว่าความเป็นซูเปอร์สตาร์ในจอไม่มีประโยชน์เลย เพราะช่วยลูกและภรรยาตัวเองไม่ได้ กำลังนั่งร้องไห้อยู่ ชาวบ้านจูงลูกและภรรยามาคืนให้ ชาวบ้านจำได้เพราะพวกเขาไปเที่ยวอยู่หลายวัน จำได้ว่าเป็นครอบครัวเดียวกัน หลี่เหลียนเจี๋ยมัวแต่ร้องไห้ดีใจที่ได้เจอภรรยากับลูก หันมาอีกทีชาวบ้านหายไปแล้ว ไม่ได้ถามเขาด้วยว่าเขาชื่ออะไร จำหน้าไม่ได้ด้วยเป็นใคร ชาวบ้านเขาก็ไม่ได้ทวงบุญทวงคุณหรือต้องการค่าตอบแทนอะไรเลย พามาส่งเฉย ๆ แล้วก็ไป

เขาก็เลยสรุปฟันธงว่า มัวแต่เป็นพระเอกอยู่ในจอไม่ได้เรื่อง ต้องเป็นพระเอกนอกจอด้วย กลับบ้านไปก็เลยไปตั้งมูลนิธิหนึ่งหยวนขึ้นมา เพื่อช่วยเหลือคนลำบาก ชาวบ้านที่ยากจน เพราะว่าตัวเองรอดมาได้ก็เพราะชาวบ้านช่วยลูกช่วยเมียเอาไว้

หลี่เหลียนเจี๋ยนั้น ประเทศจีนขึ้นทะเบียนไว้เป็นโบราณวัตถุที่มีชีวิต ไม่ใช่คนแก่นะ เพราะตอนที่ขึ้นทะเบียนเขาอายุไม่มากหรอก เล่นหนังเรื่องเสี้ยวลิ้มยี่ แสดงวิทยายุทธที่แท้จริง เพราะว่าเขาศึกษาวิทยายุทธจนกระทั่งรู้จริง สามารถแสดงได้จริง ใช้ในการต่อสู้ได้จริง ก็เลยได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นโบราณวัตถุที่มีชีวิต
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 21-04-2012 เมื่อ 16:15
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 178 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #76  
เก่า 21-04-2012, 16:10
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,734
ได้ให้อนุโมทนา: 152,120
ได้รับอนุโมทนา 4,419,774 ครั้ง ใน 34,324 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์เล่าว่า "เมื่อสักสองอาทิตย์ที่ผ่านมาอาตมาฝันแปลก ๆ ฝันว่าได้ลูกแรดมาตัวหนึ่ง มีนอขึ้นมานิดหนึ่งแล้ว คราวนี้ก็วุ่นวายสิ..เพราะว่าต้องหานมมาเลี้ยง ปรากฏว่าขวดนมใหญ่ ๆ ก็ไม่มี มีแต่ขวดนมเด็ก แล้วจะไปเลี้ยงได้อย่างไร ? ขวดหนึ่งแรดดูดสามทีก็หมดแล้ว..!

ท้ายสุดแรดต้องบริการตัวเอง ด้วยการเดินไปกินใบไม้หน้าตาเฉย เพราะเห็นว่า ถ้าขืนรออาตมาชงนมให้กินคงหิวตายก่อนแน่ ๆ ดูแล้วก็ขำ ๆ ตัวเองว่า เออ..ร้อยวันพันปีจะฝันสักที ดันฝันเรื่องแบบนี้ แล้วบ้านเราจะไปหาแรดได้ที่ไหน ?"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย วสันต์วิษุวัต : 22-04-2012 เมื่อ 11:44
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 175 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #77  
เก่า 21-04-2012, 16:15
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,734
ได้ให้อนุโมทนา: 152,120
ได้รับอนุโมทนา 4,419,774 ครั้ง ใน 34,324 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : (ไม่ได้ยิน)
ตอบ : เอาขี้แมลงสาบเผาไฟ แล้วตำป่นผสมน้ำผึ้ง กวาดคอให้เด็กแล้วจะไม่เป็นซาง ไปหาแมลงสาบมาใส่ลังไว้สัก ๗ - ๘ วันเดี๋ยวก็ขี้ออกมาเอง

ถาม : จะเอาอะไรให้แมลงสาบกินครับ?
ตอบ : ไม่มีอะไรเดี๋ยวเขาก็แทะลังกินเอาเอง ไม่ต้องไปห่วงแมลงสาบหรอก แมลงสาบเอาตัวรอดมาตั้งแต่ยุคดึกดำบรรพ์แล้ว เป็นซากดึกดำบรรพ์ที่ยังมีชีวิตอยู่ แทบจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงเลย เพียงแต่ลดขนาดตัวให้เล็กลงเท่านั้น ฉะนั้น..แมลงสาบเอาตัวรอดได้ทุกสถานการณ์ ต่อให้คนตายหมดทั้งโลกก็เชื่อว่าแมลงสาบยังอยู่
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย ป้านุช : 21-04-2012 เมื่อ 21:17
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 168 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #78  
เก่า 21-04-2012, 16:41
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,734
ได้ให้อนุโมทนา: 152,120
ได้รับอนุโมทนา 4,419,774 ครั้ง ใน 34,324 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : ไปแจกยันต์เกราะเพชรทางใต้ ถ้าเอายันต์เกราะเพชรมาติดเสื้อเกราะ ?
ตอบ : ยันต์เกราะเพชรไม่ได้ทำให้หนังเหนียว เขาเอาไว้ป้องกันไสยศาสตร์

ถาม : ถ้าเอายันต์ไปติดข้างในเสื้อจะได้ไหมครับ ?
ตอบ : ไม่ได้ว่าอะไร แล้วแต่เรา แต่ยืนยันว่ายันต์เกราะเพชรไม่ได้ช่วยให้เหนียว เขาเอาไว้ป้องกันไสยศาสตร์ ไม่ได้เอาไว้ป้องกันลูกปืน

หน่วยจู่โจมจะได้รับการสอนมาว่าให้ยิงหัว เพราะตรงหัวไม่มีอะไรกันได้ แต่ที่ยิงตัวนั้นเพื่อประกันความเสี่ยงไว้ก่อนว่าต้องโดน เพราะว่าตัวเป็นเป้าที่ใหญ่กว่าหัว แต่ว่าเขามักจะใส่เสื้อเกราะ แล้วเขายังสอนเอาไว้อีกว่า ถึงเวลาแล้วให้ยิงซ้ำทุกศพ ป้องกันพวกแกล้งตาย เพราะฉะนั้น..ไม่มีประโยชน์หรอก ถึงเขาไม่ตายจริง ๆ ก็โดนยิงซ้ำจนตาย..!
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 21-04-2012 เมื่อ 17:08
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 168 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #79  
เก่า 21-04-2012, 16:53
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,734
ได้ให้อนุโมทนา: 152,120
ได้รับอนุโมทนา 4,419,774 ครั้ง ใน 34,324 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : ขายอาวุธปืนบาปหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : อาวุธทุกชนิดเป็นมิจฉาวณิชา ไม่ใช่บาปโดยตรง เพราะเราไม่ได้บังคับให้เขาเอาไปฆ่าใคร คนที่เอาไปใช้ฆ่าต่างหากที่บาป พระพุทธเจ้าตรัสเอาไว้ว่า พุทธมามะกะไม่ควรทำเพราะว่าคนที่ไม่เข้าใจจะตำหนิเอาได้

เดี๋ยวนี้เห็นคนไทยเขาพัฒนา เอาผ้าไหมมาทำเป็นเสื้อเกราะกันกระสุน ป้องกันได้แต่ปืนสั้น พวกปืนไรเฟิลจู่โจมจะกันไม่ได้ ปืนที่มีความเร็วไม่เกิน ๑,๕๐๐ ฟุตต่อวินาทีกันได้ แต่พวกไรเฟิลจู่โจมความเร็วเกิน ๒,๐๐๐ ฟุตต่อวินาทีทั้งนั้น อำนาจทะลุทะลวงสูงกว่ามาก ต่อให้กันได้จริง ๆ พอไปเจอ .๓๕๗ หรือ ๑๑ ม.ม. ก็เรียบร้อยเหมือนกัน ยิงไม่เข้าแต่กระดูกหัก..!
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 21-04-2012 เมื่อ 17:09
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 172 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #80  
เก่า 21-04-2012, 17:06
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,734
ได้ให้อนุโมทนา: 152,120
ได้รับอนุโมทนา 4,419,774 ครั้ง ใน 34,324 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

สมัยที่อาตมาอยู่ชายแดน เบิกเสื้อเกราะกันกระสุนไปไม่ได้ใช้หรอก โยนทิ้งไว้บนเตียงเฉย ๆ เพราะทำให้เคลื่อนไหวไม่คล่องตัว เหมือนอย่างกับว่าตัวเราไม่สามารถที่จะบิดหมุนไปตามทิศทางที่ต้องการได้ แข็งทื่อเป็นผีดิบ ตอนสมัยอาตมาอยู่ชายแดนมี ๒ อย่างที่ไม่เอาเลย คือระเบิดขว้างกับเสื้อเกราะกันกระสุน

สำหรับระเบิดขว้าง เพื่อนอาตมาชอบพกเท่ ๆ เกี่ยวไว้บนล่างรอบเอวไปหมด อาตมาเลยแถมให้ "มึงเอาของกูไปด้วย" ลองนึกดูว่าถ้าเราพกระเบิดอยู่แล้วเราหมอบ ข้าศึกยิงเราไม่ถูก แต่ไปถูกระเบิดแล้วจะเกิดอะไรขึ้น ? เพราะฉะนั้น..อาตมาไม่เอาด้วยหรอก ส่งให้เพื่อนไปเลย แหม..ทำเท่พกซะรอบตัว..!

ถาม : ถ้าใส่เสื้อเกราะรุ่นนี้จะหนักไหมคะ ?
ตอบ :หนักมาก..เพราะว่าพอร่างกายล้า ๆ น้ำหนักครึ่งกิโลกรัมก็แย่แล้ว นี่ตั้ง ๘ กิโลกรัม ต้องสำหรับฝรั่งไม่ใช่คนไทย อย่าลืมว่าเครื่องหลังเต็มอัตราของทหารแค่ ๑๓ กิโลกรัม เสื้อเกราะตัวเดียว ๘ กิโลกรัม แล้วใครจะไปอยากได้

ที่อาตมาไม่ได้สนใจ โยนเสื้อเกราะคืนคลังไปก็เพราะว่าเคยทดลองมาแล้ว เอาเสื้อเกราะ ๓ ตัวเรียงกัน ยิงด้วย เอ็ม.๑๖ ทะลุฉุยเลย แล้วอาตมาจะใส่ไปทำไม ? อย่างดีก็เลือดออกน้อยหน่อยเท่านั้น สมัยก่อนเทคโนโลยียังไม่ดีพอ ยิงทะลุได้จริง ๆ อาจจะกันพวกสะเก็ดระเบิดเล็ก ๆ น้อย ๆ ได้ หรือกันปืนสั้นได้ แต่ว่าปืนสงครามกันไม่ได้

ที่เขาทดสอบให้เราดูว่ากันกระสุนได้เพราะว่าเขาไปจ่อยิง นึกออกไหม ? เขาจ่อยิงก็เลยไม่เข้า กระสุนปืนต้องมีระยะหมุนจนได้ระดับ ถึงจะแสดงพลังงานได้อย่างเต็มที่ อย่างเช่นว่า ยิงห่างไปสัก ๑๕ ฟุต ๒๐ ฟุต ประเภทไปทิ่มใส่แล้วยิงเลย กระสุนปืนยังไม่ทันที่จะเริ่มออกแรงก็ติดแหง็กอยู่ตรงนั้น เขาทดสอบมาแล้ว ขนาดกระจกการ์เดียนที่เขาว่าแน่ ๆ พอไปถึงจ่อ เอ็ม.๑๖ กราดพรืด มีแต่รอยจุด จุด จุด แต่พออาตมาถอยออกมา ๕ เมตร ยิงเปรี้ยงเดียวทะลุฉุย ฝรั่งยังงง

ก็เลยบอกว่ากระจกกันกระสุนของคุณมีประโยชน์ตรงที่เจ้านายของคุณตายเงียบกว่าเดิมเท่านั้น มือปืนซุ่มยิงพวกสไนเปอร์ ไม่มีใครเขายิงใกล้ ๆ เพราะฉะนั้น..กระสุนไปเต็มขีปนวิถีแล้ว ไม่ใช่มือปืนบ้านเราที่ไปประกบแล้วก็เอา เอ็ม.๑๖ กราดยิงกันติด ๆ เลย ถ้าอย่างนั้นก็มีโอกาสกันกระสุนได้

มีอยู่ช่วงหนึ่งไทยสั่งเสื้อเกราะเคฟราเข้ามา แล้วก็ให้เขาเพิ่มแผ่นติดหน้าอกเข้ามาแผ่นหนึ่ง ในลักษณะที่ว่าทำเหมือนอย่างกับเป็นกระเป๋าแล้วก็สอดลงไป ถ้าใครไม่ต้องการก็ชักขึ้นมาจะได้ไม่หนักมาก ก็ช่วยให้ปลอดภัยขึ้นมานิดหนึ่ง
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 21-04-2012 เมื่อ 19:49
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 167 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
ตอบ


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 
คำสั่งเพิ่มเติม

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 22:11



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว