|
เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี เก็บข้อธรรมจากบ้านวิริยบารมีมาฝาก สำหรับผู้ที่ไม่มีโอกาสเดินทางไป |
|
คำสั่งเพิ่มเติม |
#61
|
||||
|
||||
มีโยมเอาข้าวสารมาถวาย พระอาจารย์จึงกล่าวว่า "ข้าวพันธุ์นี้ชื่อว่าปิ่นเงิน สมัยอาตมาเรียนอยู่ชั้นประถม ๔-๕ ข้าวไทยประกวดชนะเลิศอันดับหนึ่งของโลก ชื่อพันธุ์ปิ่นแก้ว หลังจากนั้นมาข้าวไทยก็ชนะมาตลอด โดยเฉพาะช่วงที่พัฒนามาเป็นข้าวหอมมะลิ เพิ่งจะมีปีที่ผ่านมานี้เสียตำแหน่งให้กับพม่า ข้าวพม่ากลายเป็นข้าวที่ดีที่สุดในโลกแทนไทยไปแล้ว
ความจริงประเทศพม่าแทบจะไม่มีอะไรสู้เราได้เลยในเรื่องของการเกษตร เพราะส่วนใหญ่เป็นการเกษตรแบบตามบุญตามกรรม ตามสภาพดินฟ้าอากาศ รัฐบาลเขาไม่ได้สนับสนุน แต่ว่าเขาสามารถที่จะสร้างผลผลิตออกมาให้เป็นข้าวที่ดีที่สุดแทนของไทยได้ น่าอับอายขายหน้าเป็นอย่างยิ่ง..!"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 16-01-2012 เมื่อ 09:30 |
สมาชิก 203 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#62
|
||||
|
||||
พระอาจารย์กล่าวว่า "วันนี้มีญาติโยมถวายทองคำเพื่อบูชาพระบรมธาตุเขี้ยวแก้วมาหลายรายแล้ว อาตมาเองยังต้องเปลี่ยนแผน จากที่เคยนำเจดีย์บรรจุพระบรมธาตุเขี้ยวแก้วที่มีทองคำหนักหลายร้อยบาทระโยงระยางเต็มไปหมด มาไว้ที่บ้านวิริยบารมี ก็เปลี่ยนไปเป็นซื้อเจดีย์ใหม่ ถึงเวลาก็อัญเชิญมาแต่พระบรมธาตุเขี้ยวแก้ว เจดีย์เก่าพร้อมกับทองคำก็เอาไว้ที่วัด
อาตมาจะอัญเชิญพระบรมธาตุเขี้ยวแก้วมาที่บ้านวิริยบารมีนี้ทุกต้นปีที่รับสังฆทาน แค่ ๓ วันเท่านั้น ก็แปลว่าจะได้เห็นกันอย่างใกล้ชิดที่นี่ อยู่ที่วัดก็ไม่ได้เห็นหรอก เพราะทองคำบังพระบรมธาตุเขี้ยวแก้วจนมิดไปหมด การถวายทองเป็นพุทธบูชาท่านบอกว่า ถ้าหากว่าเผลอเกิดใหม่ จะรวยไม่รู้จบจริง ๆ หลังตรุษจีนราคาทองคงจะลดลงนิดหนึ่ง ช่วงที่ผ่านมาประเทศอินโดนิเซียกับประเทศอินเดียมีการใช้ทองคำมาก เพราะช่วงเทศกาลคนนิยมให้ทองคำเป็นของขวัญ ส่วนบ้านเรานิยมให้ในเทศกาลตรุษจีน ช่วงที่ผ่านมาทองขึ้นราคาต่อเนื่องมาเรื่อย ๆ พอหลังตรุษจีนหมดงานแล้วราคาก็จะหล่นลงไปหน่อย ตอนนี้รออยู่ก็คือว่าบรรดาประเทศในสหภาพยุโรปที่เกิดภาวะเศรษฐกิจตกสะเก็ด เมื่อไรจะทุ่มขายทองออกมาในตลาด ถ้าขายออกมาทีหนึ่งราคาก็คงจะตกฮวบไปเลย เพราะว่าเขาต้องเอาเงินกลับไปหมุนเวียนเพื่อค้ำจุนเศรษฐกิจของเขา ที่ผ่านมาการแก้ปัญหาเศรษฐกิจของเขาผิดทางเพราะไปตัดค่าใช้จ่าย ในเมื่อไปตัดค่าใช้จ่าย ทำให้การหมุนเวียนในท้องตลาดน้อยลง สภาพเศรษฐกิจก็ยิ่งฝืดหนักเข้าไปอีก จริง ๆ แล้วต้องลดดอกเบี้ย เพื่อกระตุ้นให้เกิดการใช้จ่ายขึ้นมา ถ้าดอกเบี้ยเงินฝากสูง คนก็เก็บเงินกันหมด อันนี้ปล่อยให้นักเศรษฐศาสตร์ระดับโลกเขาว่ากันเถอะ เราคงไปยุ่งเกี่ยวอะไรกับเขาไม่ได้หรอก"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 16-01-2012 เมื่อ 10:42 |
สมาชิก 203 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#63
|
||||
|
||||
ถาม : ภาพนี้หมายความว่าอย่างไรคะ ? ตอบ : เขาแสดงภาพที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรินิพพานแล้ว มีการถวายพระเพลิงพระบรมศพ แต่ไม่สามารถจะจุดไฟติดได้ พระอนุรุทธเถระอยู่ในสถานที่นั้นก็แจ้งว่า พรหมเทวดาทั้งหลายยังไม่ประสงค์ให้พระราชทานเพลิงพระบรมศพในช่วงนี้ เพราะพระพุทธองค์ยังรอพระมหากัสสปะอยู่ เมื่อพระมหากัสสปะเดินทางมาถึง น้อมเศียรถวายบังคม พระบาทขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ทะลุรางโลหะออกมาเพื่อให้พระมหากัสสปะสามารถที่จะถวายบังคมพระบรมศพครั้งสุดท้ายได้ หลังจากนั้นไฟก็ติดขึ้นเอง เพราะเทวดาจุด อันนี้มาจากภาพพุทธประวัติตอนช่วงปรินิพพาน ในบาลีเขาใช้ภาษาว่า ถวายบังคมแทบพระบรมบาทด้วยเศียรเกล้า พระพุทธองค์ก็เลยยื่นพระบาทมาให้จริง ๆ ถ้าเป็นสมัยนี้อยู่ ๆ ถ้ามีใครยื่นเท้าโผล่มาแบบนี้ คาดว่าคงตกใจวิ่งหนีกันเป็นแน่..!
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 16-01-2012 เมื่อ 09:38 |
สมาชิก 215 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#64
|
||||
|
||||
พระอาจารย์กล่าวเมื่อเห็นญาติโยมที่อายุมาก ต้องยันพื้นเพื่อช่วยในการลุกขึ้นว่า "คนแก่พออายุมาก จะลุกจะนั่งสองขาเริ่มไม่ไหว ต้องใช้สี่ขาช่วย เหมือนที่พระเจ้าปเสนทิโกศลอยากจะรู้จักนางวิสาขามหาอุบาสิกา
คุณยายวิสาขาอายุ ๑๒๐ ปี มีลูกชาย ๑๐ คน ลูกหญิง ๑๐ คน มีลูกเขยอีก ๑๐ คน ลูกสะใภ้อีก ๑๐ คน แล้วบรรดาลูก ๆ ลูกเขยและสะใภ้ก็มีหลานให้อีกคนละ ๒๐ รวมแล้วคุณยายวิสาขามีลูก ๒๐ คน หลาน ๔๐๐ คน พระเจ้าปเสนทิโกศลอยากจะรู้จัก จึงไปดักดูเวลาท่านไปทำบุญ แต่หาไม่เจอว่าคนไหนเป็นคุณยายวิสาขา เพราะคุณยายเป็นเบญจกัลยาณี วัยงามของเบญจกัลยาณีเขาบอกว่า มีลูกคนแรกอายุเท่าไร หน้าตาจะอยู่อย่างนั้นไปตลอดชีวิต คุณยายวิสาขาแต่งงานตอนอายุ ๑๖ ปี ก็ตีว่ามีลูกตอนอายุ ๑๗ แล้วกัน อายุเป็นร้อยแล้วก็ยังสาวพริ้งอยู่อย่างนั้น พระเจ้าปเสนทิโกศลเป็นพระเจ้าแผ่นดิน ท่านมีความฉลาดจึงใช้วิธีสังเกตเอา พอพระพุทธเจ้าเลิกเทศน์ ญาติโยมลุกเตรียมกลับ มีสาวสะพรั่งนางหนึ่งยักแย่ยักยัน เอามือท้าวพื้นแล้วค่อยลุกขึ้น แสดงว่าคนนี้ใช่เลย เพราะต่อให้ร่างกายจะดูสาวแค่ไหนก็ตาม คนแก่อย่างไรก็กำลังตก จะลุกแบบสาว ๆ ทั่วไปไม่ได้ แต่พระเจ้าปเสนทิโกศลยังไม่แน่พระทัยอีก จึงบอกให้ควาญช้างปล่อยช้างลุยไปกลางวง คุณยายกับบรรดาหลาน ๆ กำลังเดินทางกลับ เห็นช้างวิ่งสวนมา หลาน ๆ ก็ตกอกตกใจ ร้องวี้ดว้ายเตรียมจะหนี คุณยายหันมา เจอช้างมาถึงตัวแล้ว บาลีเขาบอกว่า นางวิสาขาเห็นว่าถ้าใช้มือจับงวงช้างดึง กลัวอันตรายจะเกิดแก่ช้างได้ ไม่ใช่อันตรายจะเกิดแก่ตัวเองนะ เพราะคุณยายมีกำลังเท่ากับ ๗ ช้างสาร ก็เลยใช้มือยันช้างไว้เฉย ๆ ลองนึกถึงว่าช้าง ๑ ตัววิ่งชนช้าง ๗ ตัวจะเกิดอะไรขึ้น ก็เหมือนกับวิ่งชนภูเขาดี ๆ นี่เอง พระเจ้าปเสนทิโกศลก็เลยมั่นใจว่าใช่แน่ เพราะว่าเขาลือกันว่าคุณยายมีกำลังเท่ากับ ๗ ช้างสาร"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 16-01-2012 เมื่อ 11:33 |
สมาชิก 206 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#65
|
||||
|
||||
"ถามว่ากำลังนี้เกิดจากอะไร ? เกิดจากกำลังบุญ ร่างกายคนแก่ก็แก่ตามสภาพ กำลังที่ไม่พอจะทรงตัวของคุณยายวิสาขานั้น ยังแข็งแรงกว่าช้างเสียอีก
เรื่องของกำลังบุญที่อาตมาเห็นชัด ๆ ก็หลวงพ่อวัดท่าซุง ญาติโยมเอาเครื่องออกกำลังไปถวายให้ท่าน ลักษณะคล้ายกรรเชียงเรือ ได้ทั้งกำลังแขนกำลังขากำลังเอว เพราะโยกไปทั้งตัว ๒ ข้างมีสปริงขนาดใหญ่ประมาณท่อนแขนของอาตมา วันนั้นพอ ๗ โมงครึ่ง หลวงพ่อเดินทางจากวิหารร้อยเมตรมาถึงหน้าตึกริมน้ำเพื่อมาทำงานที่นั่น ท่านจะมาเซ็นหนังสือ มาตอบจดหมาย บันทึกเทปตรงนั้น ท่านขึ้นมาถึงก็บอกว่า "เฮ้ย..เล็กเว้ย..วันนี้รู้สึกร่างกายแข็งแรง ลองเอาเครื่องนั่นมาทีซิ..!" อาตมาก็ต้องแบกเครื่องออกกำลังมาวางไว้กลางห้อง หลวงพ่อท่านก็ขึ้นไปโยกสองที สปริงขาดผึง..! อาตมาก็ได้แต่นั่งเซ็งในอารมณ์ ท่านก็หัวเราะหึ ๆ "ไอ้ของอย่างนี้ทำมาได้" สปริงตัวเท่าแขนหลวงพ่อดึง ๒ ทีขาดเลย กำลังขนาดนั้นแต่เวลาท่านไปไหนเดินเซ แสดงว่ากำลังที่ใช้ประคองร่างกายไม่พอ เพราะสภาพร่างกายคือคนแก่ แต่กำลังที่ใช้งานทั่ว ๆ ไปของท่านมากกว่าคนปกติ อย่างเวลาที่ท่านรับสังฆทานที่ศาลานวราชบพิตรเสร็จ เวลาท่านเดินลง คนจะนั่งเรียงเป็นแถว ๒ ข้างให้หลวงพ่อเคาะหัว ท่านใช้ไม้เท้าอะลูมิเนียมที่ปรับระดับได้ แล้วมียางหุ้มอยู่ที่ปลายเคาะ ๆ หัวโยม มีอยู่รายหนึ่งเอาทิชชู่แปะหัว ถามว่าเป็นอะไร "หัวแตก..!" ขนาดมียางหุ้มแล้ว หลวงพ่อเคาะเบา ๆ หัวยังแตกเลย ส่วนอีกรายหนึ่งคือหลวงพี่มหาดำ ปัจจุบันคือท่านเจ้าคุณโสภณธรรมเมธี หลวงพี่ดำท่านเคารพหลวงพ่อมาก เจอหน้าหลวงพ่อก็วิ่งเข้าไปกราบที่อก หลวงพ่อก็ใช้มือตบหัว "เป็นอย่างไรวะ..ไอ้ดำ ?" หลวงพี่ดำก็ลงไปกราบที่เท้า อาตมาเห็นก็คิดว่าพี่เราเคารพหลวงพ่อมาก กราบที่อกแล้วยังลงไปกราบที่เท้าท่านอีก พอหลวงพ่อเดินผ่านไป หลวงพี่ดำลุกขึ้นมาบอกว่า "โอ้โห..เกือบสลบเลยกู" อาตมาถามว่าทำไม ? "ป๋าสิ..มือหนักเป็นบ้าเลย ตบหัวเล่น ๆ เหมือนกับโดนตะลุมพุกฟาดเลย..!" อ๋อ..ที่ลงไปกองกับพื้นไม่ได้กราบเท้าหรอก ร่วงลงไปเอง..! นั่นนะเพิ่งจะรู้ว่ากำลังคนแก่ เผลอเมื่อไรกำลังบุญของท่านออกมาเราก็แย่"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 16-01-2012 เมื่อ 11:36 |
สมาชิก 216 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#66
|
||||
|
||||
ถาม : เหมือนจะขัดแย้งกันนะคะ
ตอบ : ไม่ขัดแย้ง..เพราะสภาพร่างกายที่แข็งแรงขนาดนั้นก็เหมือนกับรถ ลองเอารถเบนซ์ไปเทียบกับรถเก๋งญี่ปุ่นดูสิ ว่าน้ำหนักต่างกันขนาดไหน รถเบนซ์ที่วิ่งดีเพราะรถหนักมาก รถหนักการทรงตัวถึงจะดี คนที่กำลังมากร่างกายก็หนัก กำลังตัวเองที่จะแบกร่างกายไม่มีหรอก แต่พอถึงเวลาไปปะทะกับรถคันอื่น แล้วรถคันอื่นจะไหวไหม ก็คงยุบไปสักครึ่งคัน ถาม : (ไม่ได้ยิน) ตอบ : กำลังบุญเป็นธรรมชาติอย่างนั้นเลย เกิดจากบุญที่สร้างมา พระอานนท์ก็มีกำลังอย่างนั้น นางปุณณทาสีก็มีกำลังอย่างนั้น ถ้าไม่มีกำลังขนาดนั้นใครจะไปใส่เครื่องมหาลดาปสาธน์ได้ มีหวังโดนทับคอหักตาย เครื่องมหาลดาปสาธน์สร้างจากทองคำ ๑,๐๐๐ แท่ง เงิน ๑,๐๐๐ แท่ง ไม่รู้ว่าแท่งหนึ่งหนักกี่กิโลกรัม แก้วมณี ๓๓ ทะนาน แก้วประพาฬ ๒๐ ทะนาน แก้วมุกดา ๑๑ ทะนาน ร้อยกันเป็นเสื้อคลุมขึ้นมาตัวหนึ่ง แล้วมีมงกุฏเป็นรูปนกยูงลำแพน มีขนปีกทองคำข้างละ ๕๐๐ เส้น ไม่รู้ว่าหนักเท่าไร แต่ตอนเอาไปขายต้องใส่เกวียนไป ท้ายสุดไม่มีใครซื้อเพราะราคาตั้ง ๙๑ โกฏิ นางวิสาขาก็เลยต้องควักเงินตัวเองซื้อคืนมา ตอนใส่คุณยายใส่ได้หน้าตาเฉย แต่พอตอนขายคนอื่นต้องเอาใส่เกวียนไป ถ้าเป็นสมัยนี้คงต้องบรรทุกรถกระบะไป
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 16-01-2012 เมื่อ 11:44 |
สมาชิก 203 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#67
|
||||
|
||||
พระอาจารย์กล่าวว่า "ปิดทองพระชำระหนี้สงฆ์ ๓๖ องค์ ก็ตกประมาณ ๗,๒๐๐,๐๐๐ บาท เดี๋ยวจะมีวัตถุมงคลมาให้บูชา เพื่อเอาเงินไปปิดทอง ถึงแม้เราไม่ได้เป็นเจ้าภาพสร้างพระชำระหนี้สงฆ์ แต่เราปิดทองหมดทุกองค์ เท่ากับว่าเราได้เป็นเจ้าภาพหมดทุกองค์เลย เพราะถ้าปิดทองพระชำระหนี้สงฆ์จะคุ้มกันได้เป็นคณะ จะกี่หมื่นกี่แสนคนก็ได้ รวม ๆ กันไปก็มีอานิสงส์ชำระหนี้สงฆ์ทั้งหมดได้เหมือนกับเป็นเจ้าภาพเอง
เดี๋ยวจะให้เขาไปออกประกาศในเว็บวัดท่าขนุน เป็นพระปิดตามหาเศรษฐีเงินล้านชุดกรรมการ ๓๐๐ ชุด ชุดละ ๗,๕๐๐ บาทเอง จะมีพระองค์หนึ่งที่ไม่เคยออกมาก่อนเลยคือเนื้อชินตะกั่ว พระชุดนี้ถ้าคิดตามราคาแต่ละองค์จะแพง แต่อาตมาไม่คิดตามราคา คิดเป็นชุด ชุดหนึ่งมี ๗-๘ องค์ จะมีเนื้อเงิน เนื้อนวโลหะ เนื้อเมฆสิทธิ์ เนื้อเมฆพัตร เนื้อผง เนื้อชุบทองพ่นทราย เนื้อชินตะกั่ว เนื้อนวโลหะที่ราคาแพงมากเพราะว่ารุ่นนั้นอาตมาใส่ทองคำไป ๑๐๐ บาท ทองคำ ๑๐๐ บาทตอนนี้เข้าไปเท่าไรแล้ว ก็ตก ๒ ล้านกว่าบาทแล้ว บางคนได้พระปิดตาฯ เหลืองเป็นทองเลย เพราะว่าเป็นองค์อยู่ก้นช่อพอดี ทองคำมีน้ำหนักมาก พอเทลงไปทองคำจะวิ่งลงก่อน แต่เนื้อนวโลหะจะมีธรรมชาติ ก็คือ สีจะเข้มขึ้นเรื่อย ๆ ภาษานักเล่นพระจะเรียกว่า กลับดำ ถ้ามีส่วนผสมเงินมากก็จะกลับดำเร็วขึ้น ถ้าผสมตามสูตรก็นานหน่อยกว่าที่จะดำ อาตมามีพระนวโลหะที่เก็บมานานอยู่องค์หนึ่ง ตอนแรกเนื้อแดงอร่ามเหมือนนากเลย ปัจจุบันนี้ปลายพระนาสิกกับพระชานุ(หัวเข่า)เริ่มจะดำแล้ว ของโบราณสูตรเขาทนนานมาก ถ้าเราเช็ดอยู่เรื่อยจะแดงอร่ามอยู่ตลอดเวลา แต่พอเก็บไปนาน ๆ ก็จะเริ่มกลับดำ"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 16-01-2012 เมื่อ 11:47 |
สมาชิก 213 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#68
|
||||
|
||||
"แบบเดียวกับครอบน้ำมนต์ของหลวงปู่มหาอำพัน คนไม่รู้เรื่องเห็นว่าครอบน้ำมนต์ดำปี๋เลย ดำหนา ๆ ด้วย คนก็ไม่ได้ใส่ใจเพียงแต่เคยเห็นหลวงปู่พรมน้ำมนต์ ก็รับ ๆ ไป กว่าจะรู้ว่าเป็นครอบน้ำมนต์ปทุมโลหิตของสมเด็จพระสังฆราชฯ วัดสุทัศน์ก็สายไปเสียแล้ว ใครคว้าเอาไปแล้วก็ไม่รู้
พอหลวงปู่มหาอำพันมรณภาพแล้ว เขาขนทรัพย์สมบัติของท่านกันใหญ่ ไม่ได้กลัวเลยว่าจะติดหนี้สงฆ์ หลวงพี่มนตรีท่านอยู่กับหลวงปู่ เฝ้ากุฏิอยู่ โทรมาบอกว่า "พี่เล็ก..ทำอย่างไรดี พระองค์เท่าคนเขายังแบกไปกันเลย" อาตมาบอกว่า "เขาอยากเอาไฟเผาบ้านก็ให้เขาแบกไป..!" ถาม : สมมติหนูขโมยหยิบไปโดยไม่ได้รับอนุญาต แล้วเอาไปให้อีกคนเช่าบูชา โดยที่เขาไม่รู้เรื่อง คนที่มาเช่าต่อมีผลไหมคะ ? ตอบ : มีผลเหมือนกัน แต่ว่าจริง ๆ แล้วให้ทำอย่างที่อาตมาเคยแนะนำพระน้องชายไป พระน้องชายเขาชอบเล่นพระเครื่อง ส่วนใหญ่พระเครื่องเก่า ๆ บางทีก็ออกจากกรุมาโดยไม่ถูกต้อง คือขโมยขุดกันมา เขาถามว่าจะแก้ไขอย่างไรไม่ให้เป็นหนี้สงฆ์ อาตมาบอกว่า ให้สร้างพระพุทธรูปหน้าตักอย่างน้อย ๕ นิ้ว ถวายคืนสงฆ์ไปองค์ต่อองค์ เราเอาพระเครื่องมา ๑๐ องค์ก็ให้เอาพระพุทธรูปหน้าตักอย่างน้อย ๕ นิ้วไปคืน ๑๐ องค์ เพราะว่าเรื่องของธรรมะเขาตรงไปตรงมา ไม่ได้ดูมูลค่าปัจจุบัน เพราะพระพุทธเจ้าเป็นอัปปมาโณ ประมาณราคาไม่ได้อยู่แล้ว ดังนั้น..ให้สร้างพระหน้าตักอย่างน้อย ๕ นิ้วไปถวายคืน ถ้าได้ ๙ นิ้วไปเลยยิ่งดี ถาม : ทำแล้วไปถวายที่ไหนคะ ? ตอบ : วัดไหนก็ได้ ให้เราตั้งใจถวายเพื่อชำระหนี้สงฆ์
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 16-01-2012 เมื่อ 12:29 |
สมาชิก 209 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#69
|
||||
|
||||
พระอาจารย์กล่าวว่า "ตราประจำตระกูลของเสด็จในกรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ เป็นตราพระอาทิตย์ทรงรถ เพราะท่านชื่ออาภากร อาภากร ผู้กระทำซึ่งแสงสว่าง หมายถึงพระอาทิตย์ นอกจากพระอาทิตย์ทรงรถแล้วยังมีบาลีว่า กยิราเจ กยิราเถนัง แปลว่า ทำอะไรต้องทำให้จริง ถ้าหากว่าเราทำจริง จะสำเร็จทุกอย่าง ส่วนใหญ่แล้วของพวกเรายังทำไม่จริง ถ้าหากว่าทำจริง เขาต้องแลกกันด้วยชีวิต..!"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 16-01-2012 เมื่อ 12:52 |
สมาชิก 204 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#70
|
||||
|
||||
ถาม : แค่ตั้งใจทำบุญก็ได้บุญนั้นแล้ว แต่ถ้ายังไม่ทันได้ทำ ก็ตัดใจเลิกทำบุญนั้นแล้ว ?
ตอบ : ก็หมดบุญ..! ถาม : ไม่ใช่ว่าได้บุญไปแล้วหรือครับ ? ตอบ : อย่าลืมว่าบุญอยู่ที่ความตั้งใจ พอความตั้งใจหมด บุญก็หมดไปด้วย ถาม : ถ้าตั้งใจใหม่ก็ได้ใหม่ ? ตอบ : ได้ใหม่..ถ้าอยากได้บุญฟรี ต้องรีบตายก่อนที่จะเปลี่ยนใจ ไม่อย่างนั้นผลบุญนั้นยังไม่สำเร็จ..!
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 16-01-2012 เมื่อ 12:54 |
สมาชิก 206 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#71
|
||||
|
||||
ถาม : สมมติว่ามีผู้หญิงกับผู้ชายหนีไปด้วยกัน โดยที่พ่อแม่ไม่ได้ยอมรับ แล้วอยู่ ๆ ผู้หญิงก็ไปมีสามีใหม่โดยที่ไม่ได้เลิกกับสามีที่หนีตามกันไป แต่พ่อแม่ยอมรับผู้ชายคนใหม่ อย่างนี้ผู้หญิงจะผิดศีลข้อ ๓ ไหมครับ ?
ตอบ : ผิดตั้งแต่แรกแล้ว ถาม : แล้วผู้ชายคนใหม่ผิดศีลหรือเปล่าครับ ? ตอบ : ถ้าพ่อแม่ยกให้ก็ไม่ผิด แต่ต้องดูด้วยว่าผู้ชายคนแรกเขายึดถือว่าเป็นเจ้าของหรือเปล่า ? ถ้าเขาหวงขึ้นมาก็โทษถึงตาย..! ถาม : แต่พ่อแม่เขายกให้แล้วนี่ครับ ? ตอบ : พ่อแม่ไม่ได้ยกให้ผู้ชายคนแรก แต่คุณยอมไปกับเขา ถือว่าคุณเป็นสมบัติของผู้ชายคนแรกไปแล้ว เพราะฉะนั้น..ผู้หญิงผิด ๒ ครั้ง อย่างแรกคือพ่อแม่ไม่ได้ยกให้ อย่างที่ ๒ คือสามีคนแรกไม่ได้ยกให้ ถาม : ทำไมผู้หญิงจึงผิดสองอย่าง ก็พ่อแม่ผู้หญิงยกให้ผู้ชายคนใหม่แล้วนี่ครับ ? ตอบ : ก็เพราะผู้ชายคนแรกเขาไม่ได้ยอม ส่วนผู้ชายคนที่สอง ไม่มีโทษเพราะพ่อแม่ยกให้แล้ว แต่ผู้หญิงผิดทั้งสองรอบ ถาม : ถ้าเกิดพ่อแม่ผู้หญิงตายไป ผู้ชายคนแรกไปขอขมาศพ เพื่อยกโทษให้จะได้ไหมครับ ? ตอบ : ไม่ได้..การขอขมาต้องอยู่ต่อหน้าโจทก์และจำเลย เอ่ยปากแล้วยินยอมกัน ถ้าไปขอขมาศพแล้วพ้นโทษได้ ป่านนี้ก็สบายกันไปหมดแล้ว
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 16-01-2012 เมื่อ 15:33 |
สมาชิก 196 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#72
|
||||
|
||||
ถาม : ทำไมเวลาสมาธิทรงตัวดี ๆ เราถึงคิดเลวได้ ?
ตอบ : เพราะเราสู้กิเลสไม่ทัน กิเลสเข้ามาเร็ว กว่าเราจะรู้ตัวกิเลสก็พาไปไกลแล้ว ถ้าหากว่าสติปัญญาไม่แหลมคม ไม่ว่องไวพอ ก็หยุดกิเลสไม่ทัน ถ้าหยุดไม่ทันก็ไม่ต้องไปหวังว่าจะฆ่ากิเลสได้ ถาม : เรามีหน้าที่หยุดกิเลสอย่างเดียวหรือครับ ? ตอบ : ตอนแรกคือหยุดก่อน หลังจากนั้นค่อยทำลายกิเลสทีหลัง ถาม : ผมรู้ตัวเมื่อไรก็เสร็จไปแล้วทุกที ตอบ : เห็นหรือยังว่ากิเลสเร็วแค่ไหน ? ต้องรอให้เกิดอุบัติเหตุฉุกเฉินขึ้นมา เราจะรู้สึกเหมือนกับว่าเป็นภาพช้า เพราะว่าสภาพจิตของเราเร็วมาก ทุกอย่างจะช้าไปหมด เมื่อเป็นอย่างนั้นกิเลสที่เข้ามาก็จะช้าไปด้วย จิตถึงสกัดกั้นกิเลสได้ทันและสามารถทำลายทิ้งได้ ถาม : อย่างนี้ถ้าเราเฉียดตายบ่อย ๆ ก็ดีสิครับ ? ตอบ : ดี..! ถาม : ถ้าอย่างนั้นผมอาราธนาท่านนั่งรถไปกับผมอีกนะครับ ? ตอบ : อาตมาไม่เสี่ยงตายด้วย ไม่มีความจำเป็นต้องทำอย่างนั้นแล้ว ถาม : ถ้าเราไม่เจอเหตุการณ์อย่างนี้ เราจะคิดเองเป็นไหมครับ ? ตอบ : อีกนาน ต้องค่อย ๆ สั่งสมกำลังสติ สมาธิ ปัญญาให้เพียงพอ มีใครเคยเจออย่างนี้บ้างไหม ? ขับรถมาด้วยความเร็ว ๑๖๐ กิโลเมตรต่อชั่วโมง อยู่ ๆ รถบรรทุกสิบแปดล้อตบออกมาเต็มช่องทางของเรา ถ้าชนเข้าไปรถก็เหลือแค่เมตรเดียว..! แต่ครั้งนั้นถนนขยายใหญ่ได้ รถก็เลยผ่านไปได้ (หัวเราะ)
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 16-01-2012 เมื่อ 15:36 |
สมาชิก 189 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#73
|
||||
|
||||
ถาม : .............เป็นโลภะหรือเป็นโมหะ ?
ตอบ : เป็นโลภะและเป็นโมหะทั้งคู่เลย แต่จริง ๆ แล้วโมหะมาก่อน ถาม : เห็นสิ่งนั้นเป็นของเรา ? ตอบ : เห็นว่าเป็นของเรา แล้วยังไปยึดมั่นถือมั่นว่าเป็นของเรา ทั้ง ๆ ที่ไม่มีอะไรเป็นของเรา เพียงแต่อยู่ในลักษณะที่ว่าอยู่กับร่างกายนี้อย่างมีสติ และรู้เสมอว่าเราจะต้องจากไป ถาม : ถ้าเราเห็นว่าจิตเป็นสีขาว ๆ ขุ่น ๆ แปลว่า จิตของเรา...? ตอบ : ต้องดูว่าสภาพจิตตอนนั้นเรารับอารมณ์อะไร เพราะว่าจริง ๆ มีกิเลสครบทุกตัว แต่ที่เด่นออกมาตอนนั้นคืออารมณ์ที่จิตรับในตอนนั้น เป็นรัก โลภ โกรธ หรือหลง ? ขอให้รู้ว่ายังมีอยู่เต็มที่ก็แล้วกัน ถาม : ถ้าจิตเป็นโมหะ เราจะเห็นเป็นจิตดำหรือครับ ? ตอบ : ส่วนใหญ่จะเป็นสีดำ ถาม : ถ้าจิตเป็นอีกแบบ เป็นแบบเม็ดเล็ก ๆ ? ตอบ : อยู่ที่เราเอง ความเป็นทิพย์มีใช่ไหม ? ให้นึกถามตอนนั้นเลยว่านั่นคืออะไร
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 16-01-2012 เมื่อ 15:37 |
สมาชิก 181 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#74
|
||||
|
||||
ถาม : การพิจารณากสิณ คือการพิจารณาโดยเห็นภาพ เห็นสี ในกรณีที่จิตของเราไปสัมผัสตัวเปลวไฟ กระแสลม ที่ใช้ความรู้สึกไปจับ จะเรียกว่าเป็นกสิณ หรือเรียกเป็นมหาสติ ?
ตอบ : อย่างหนึ่งเป็นมังสะจักษุ ตาเนื้อเห็น อีกอย่างหนึ่งเป็นปัญญาจักษุ เห็นด้วยปัญญา ถ้าจิตเราจดจ่อเพ่งอยู่ตรงนั้นก็เป็นกสิณ แต่ถ้าหากว่าเราเอาสติสมาธิทั้งหมดไว้ตรงนั้นจะเป็นมหาสติ คือถ้าเราเพ่งอยู่ที่ภาพจะเป็นกสิณ ส่วนช่วงที่เราประคับประคองอยู่จะเป็นมหาสติ แต่ถ้าทำอย่างที่ว่ามาจัดเป็น "กสิณโทษ" เพราะไปสนใจสิ่งอื่นนอกเหลือดวงกสิณ จะทำให้สำเร็จกสิณกองนั้น ๆ ยาก ถาม : ถ้าตามหลักการกสิณ สีจะเปลี่ยน แล้วถ้าเป็นในกรณีปัญญาจักษุ แตกต่างกันไหมครับ ? ตอบ : ปัญญาจักษุสามารถเห็นได้ในทุกที่ แต่ถ้ามังสะจักษุการเห็นจะจำกัด เสียดายเราไม่มีสมันตจักษุเหมือนพระพุทธเจ้า สมันตจักษุเป็นการเห็นรอบ รู้รอบ ไม่มีอะไรปิดบังพระองค์ท่านได้ เราเองถ้าหากว่าใช้ปัญญาพิจารณาไม่ละเอียดจริง ก็จะมองข้ามจุดที่ละเอียดไป พระพุทธเจ้าท่านเห็นครบหมดทุกอย่าง ไม่มีอะไรปิดบังท่านได้เลย อย่างเวลาเราสวดทำนองสรภัญญะ พร้อมเบญจพิธจัก- ษุจรัสวิมลใส เบญจพิธจักษุ คือ ดวงตาทั้ง ๕ ได้แก่ มังสจักษุ ทิพยจักษุ สมันตจักษุ ปัญญาจักษุ ธัมมจักษุ เพราะฉะนั้น..ภาษาไทยความหมายลึก พวกเราเองส่วนมากก็แปลไม่ออก ธรรมะคือคุณากร คุณากร คุณากะโร แปลว่า ผู้กระทำซึ่งคุณ ธรรมะมีคุณโดยส่วนเดียว ส่วนชอบสาธร ดุจดวงประทีปชัชวาล เป็นความดีที่มั่นคง เปรียบเหมือนแสงไฟที่สว่างไสว แห่งองค์พระศาสดาจารย์ ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ส่องสัตว์สันดาน สว่างกระจ่างใจมล ส่องเข้าไปในใจของสรรพสัตว์ที่มืดมิดให้สว่างไสวขึ้นมา ธรรมใดนับโดยมรรคผล เป็นแปดพึงยล และเก้ากับทั้งนฤพาน พระธรรมของพระพุทธเจ้ามีองค์ ๘ คือมรรค ๔ ผล ๔ บวกนิพพานอีก ๑ ก็เป็น ๙ สมญาโลกอุดรพิสดาร เรียกว่าโลกุตรธรรมอันพิสดาร โลกอุดรคือโลกุตระ อันลึกโอฬาร พิสุทธิ์พิเศษสุกใส เพราะฉะนั้น..ต้องไปเรียนภาษาไทยใหม่ถึงจะแปลได้ ไม่อย่างนั้นแปลไม่ออก สวดกันอยู่ประจำแต่แปลกันไม่ได้
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 17-01-2012 เมื่อ 02:47 |
สมาชิก 169 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#75
|
||||
|
||||
ถาม : กรรมบถ ๑๐ มีอยู่สองข้อที่ผมไม่เข้าใจ ที่กล่าวว่าไม่มีความโลภจนเกินไป กับไม่เป็นมิจฉาทิฐิครับ ?
ตอบ : ไม่มีความโลภจนเกินไป ก็คือต้องการอะไรให้หามาอย่างถูกต้องตามศีลตามธรรม ถ้าอยู่ในลักษณะนี้จะเป็นอารมณ์พระโสดาบัน ยังต้องการอยู่ แต่ผิดศีลไม่เอา ไม่ลักขโมย ไม่หยิบฉวย ไม่ช่วงชิง ไม่คดโกง ไม่หลอกลวงใคร จริง ๆ แล้วในเรื่องกรรมบถ ๑๐ นี่อย่างต่ำ ๆ ต้องเป็นพระโสดาบันขึ้นไป ถาม : แม้แต่ความอยากมากจนเกินไป แต่ไม่ได้ทำผิดศีล ถือว่าผิดกรรมบถไหมครับ ? ตอบ : ถ้าหากว่าไม่ผิดศีลก็ยังไม่ถือว่าอยากมากไป แต่ในขณะเดียวกันเริ่มอยากก็เริ่มทุกข์แล้ว การมีความเห็นเป็นสัมมาทิฐินั้น คือเห็นว่าทุกสิ่งที่พระพุทธเจ้าสอนนั้นเป็นของดี เราควรจะปฏิบัติตามนั้น ถาม : แต่ถ้าพูดถึงในเรื่องของพระโสดาบัน ที่พยายามจะเป็นพระสกิทาคามี โดยเนื้อแล้ว ท่านก็ปฏิบัติตามที่พระพุทธเจ้าท่านสอนหรือครับ ? ตอบ : แล้วจะให้ปฏิบัติตามใครวะ ? ท่านลดในเรื่องของราคะ โลภะ โทสะ โมหะ ลงมากกว่าพระโสดาบัน ลักษณะของการลดลงก็ไม่ต้องเสียเวลาไปพยายาม ถ้าสมาธิถึงปัญญาถึงก็จะลดลงไปเอง
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 17-01-2012 เมื่อ 02:49 |
สมาชิก 168 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#76
|
||||
|
||||
ถาม : โลกุตรฌาน มีความหมายว่าอย่างไรครับ?
ตอบ : จริง ๆ แล้วเราก็สักแต่ว่าเรียกไป ต้องเป็นพระอริยเจ้าตั้งแต่พระโสดาบันขึ้นไป ถ้าทรงฌานได้ก็เป็นโลกุตระฌาน ถาม : แสดงว่าปุถุชนทรงอารมณ์นี้ไม่ได้ ? ตอบ : ปุถุชนเป็นโลกียฌาน ทรงฌานเท่ากัน แต่ความสะอาดจากกิเลสของจิตไม่เท่ากัน
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 17-01-2012 เมื่อ 02:50 |
สมาชิก 182 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#77
|
||||
|
||||
พระอาจารย์กล่าวว่า "ดนตรีไทยทำให้คนใจเย็น เพราะเป็นการสร้างสมาธิโดยตรง เด็กรุ่นใหม่ ๆ รับไม่ได้หรอก เพราะรู้สึกว่าช้าเกินไปสำหรับเขา
ถ้าเด็กรุ่นใหม่จะฟังดนตรีไทยเดิมต้องเพลงค้างคาวกินกล้วย หรือ ลาวแพน จังหวะจะเร็วหน่อย ถ้าเพลงเถา ๓ ชั้น ๕ ชั้น ต้องเอื้อนลูกคอ บางทีนอนหลับไป ๓ ตื่นจึงจะจบ แบบนั้นเขาไม่ฟังกันหรอก"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 20-10-2014 เมื่อ 02:28 |
สมาชิก 163 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#78
|
||||
|
||||
ถาม : เวลาภาวนาหรือทรงสมาธิ ปกติจิตผมจะติดอยู่กับร่างกายมาก พอภาวนาไปรู้สึกว่าเกิดความเครียด ก็ปล่อยสภาวะให้สบายขึ้น อารมณ์ก็จะไปอยู่ในลักษณะไม่รู้สึก แต่รู้ตัวอยู่ แต่ไม่สามารถประคองได้นาน สักพักก็จะกลับมาเกาะอยู่กับร่างกายอีก อันนี้ถูกทางหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : ถ้าหากว่าตอนนั้นสภาพจิตไม่มี รัก โลภ โกรธ หลง ก็ถือว่าถูกทางอยู่ ถาม : ถ้าถูกทาง ทำอย่างไรจึงจะทรงอารมณ์นั้นได้อยู่ ? ตอบ : พอรู้ตัวก็กลับไปทำใหม่ อยู่ในลักษณะการซักซ้อมเข้าออกสมาธิให้ชำนาญ ถ้ามีความชำนาญแล้ว เราจะสามารถกำหนดเวลาได้ ว่าต้องการเข้าสมาธิมากน้อยเท่าไร ไม่ใช่ว่าพอถึงเวลาอารมณ์สมาธิหล่นลงมาแล้วเราก็เลิก พอหล่นลงมาก็ต้องตะกายขึ้นไปใหม่ ต้องตื๊อกันไปเรื่อย ๆ แรก ๆ ยังต้องใช้ความพยายามอยู่ พอนานไปความเคยชินเกิดขึ้น แค่นึกก็เป็นแล้ว เขาเรียกสมาปัชชนวสี ความชำนาญในการเข้าสมาธิ ถ้าเป็นวุฏฐานวสี ความชำนาญในการออกจากสมาธิ บางคนเข้าได้แล้วออกไม่ได้ ต้องดิ้นรนอึกอัก ๆ เหนื่อยแทบตาย ก็เลยเข็ด..ไม่กล้าเข้าอีก ความจริงแค่ยังขาดความชำนาญเท่านั้น ถ้าหากว่าซักซ้อมบ่อย ๆ ได้ก็จะดี ต้องบอกว่าโดนกิเลสหลอก หลอกให้กลัว อย่างที่เคยพูดว่า ความกลัวทุกชนิดมีผลมากจากความกลัวตาย เข้าสมาธิแล้วออกไม่ได้เดี๋ยวจะตาย ในเมื่อโดนกิเลสหลอกก็ทำให้ไม่กล้าเข้าสู่สมาธิระดับนั้นอีก พอเราไม่หลบเข้าไปอยู่กับสมาธิลึก ๆ เขาก็ทำอันตรายเราได้ง่าย ในเรื่องของการปฏิบัติ กิเลสเขาหลอกลวงเราสารพัด เขาสามารถใช้คนทุกคน ของทุกชิ้น สัตว์ทุกตัว เป็นเครื่องมือในการขัดขวางไม่ให้เราก้าวสู่ความดี โดยเฉพาะคนที่เรารักและเกรงใจอย่างพ่อแม่และญาติผู้ใหญ่ พอถึงเวลาขออนุญาตไปวัด "จะไปทำไมยังอายุน้อยอยู่ รอให้แก่ ๆ ก่อน" "ลูกยังเล็กเจ้าค่ะ" พอลูกโต "โอ๊ย..หลานยังเด็กอยู่เลยเจ้าค่ะ" คราวนี้ก็รอตอนหามเข้าไป ถ้าหามเข้าไปก็พอดีเผาทุกที ไม่มีเวลาทำอย่างอื่นแล้ว
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 17-01-2012 เมื่อ 10:15 |
สมาชิก 177 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#79
|
||||
|
||||
ถาม : บางคนเขาคุยว่านั่งสมาธิเห็นภาพต่าง ๆ ถ้าเราจับภาพพระที่เรานึกถึง พร้อมกับดวงจิตของเรานึกถึงพระด้วย อันนั้นถือว่าอนุสติหรือว่าโดนหลอกคะ ?
ตอบ : ระลึกถึงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า หรือว่าความดีส่วนใดส่วนหนึ่งก็เป็นอนุสติ ต่อให้เป็นการหลอกก็ไม่เป็นไร ยิ่งหลอกให้เรายึดความดีได้มากเท่าไรก็ยิ่งดีเท่านั้น แล้วค่อยไปว่ากันตอนสุดท้ายที่ต้องการหลุดพ้นค่อยไปปล่อย ตอนนั้นถ้าปัญญาถึงก็จะปล่อยเอง ไม่ต้องไปเสียเวลาปฏิบัติให้มากมาย แต่ตอนแรกต้องยึดความดีก่อน ถ้าไม่มีอะไรให้ยึดก็จะไม่มีอะไรให้ปล่อย อย่างที่เคยเปรียบให้ฟังบ่อย ๆ ว่า เราเดินขึ้นบันไดก็ต้องเกาะราวบันไดก่อน พอไปถึงห้องก็ไม่มีใครแบกราวบันไดไปด้วย หรืออย่างในพระบาลีท่านว่า พายเรือข้ามฝั่ง พอขึ้นฝั่งก็ไม่มีใครแบกเรือไปด้วย
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 17-01-2012 เมื่อ 10:16 |
สมาชิก 186 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#80
|
||||
|
||||
ถาม : คำว่า สัพเพ ธัมมา อนัตตา นอกจากความงามหรือรูป แล้ว รวมถึงจิตด้วยหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : สพฺเพ ธมฺมา อนตฺตา รวมจิตด้วย ถาม : แสดงว่าจิตก็ไม่ใช่เรา นิพพานก็ไม่ใช่เรา ? ตอบ : เอาอย่างนี้ ไปทำให้ถึงจะได้ไม่ต้องเสียเวลาไปเถียงใคร ถ้ายังทำไม่ถึงก็เสียเวลาไปถกเรื่องที่เราไม่รู้เรื่อง เรียนอยู่ ป.๔ แล้วดันไปวิพากษ์วิจารณ์ว่าด็อกเตอร์เขาเรียนอะไรกัน บ้าเสียเปล่า ๆ..! สภาพจิตมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ทุกขณะ ทุกวินาที ตามอารมณ์ที่มาเสวยอยู่ในขณะนั้น แล้วจะยึดเป็นตัวตนได้หรือไม่เล่า ? เพราะเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ถาม : อย่างนี้จะกล่าวได้ไหมครับว่า จิตเป็นเหตุให้เกิดทุกข์ ? ตอบ : การที่จิตไปรับอารมณ์ภายนอกเข้ามาทำให้เกิดทุกข์ พูดง่าย ๆ ว่าไม่มีของให้แบกแล้วดันไปเอามาแบก ถาม : จริง ๆ จิตก็ไม่มีใช่ไหมครับ ? ตอบ : บอกแล้วว่าเสียเวลาไปวิพากษ์ ถ้าคุณจะเอาให้มี คุณก็ตั้งเป้าจะให้มีให้ได้ ถ้าคุณไม่ต้องการให้ไม่มี คุณก็ตั้งเป้าจะให้ไม่มีให้ได้ สรุปแล้วก็เป็นทิฐิมานะทั้งคู่..!
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 17-01-2012 เมื่อ 10:29 |
สมาชิก 180 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน ) | |
คำสั่งเพิ่มเติม | |
|
|