กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะพระอาจารย์ > เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี

Notices

เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี เก็บข้อธรรมจากบ้านวิริยบารมีมาฝาก สำหรับผู้ที่ไม่มีโอกาสเดินทางไป

ตอบ
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #61  
เก่า 21-06-2011, 16:12
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,727
ได้ให้อนุโมทนา: 152,085
ได้รับอนุโมทนา 4,419,196 ครั้ง ใน 34,317 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์กล่าวว่า "ครอบครัวคนจีนที่นับถือเจ้าแม่กวนอิมเขาจะไม่กินสัตว์ใหญ่ ต้องบอกว่าเป็นคุณูปการของเจ้าแม่กวนอิมที่ช่วยชีวิตสัตว์ได้อย่างมหาศาล ถ้าไม่อย่างนั้นสัตว์คงต้องตายกันอีกนับไม่ถ้วน"

ถาม : อิสลามเขาสอนลูกสอนหลาน ไม่ให้กินหมูตั้งแต่เด็ก ๆ
ตอบ : ทางตะวันออกกลางสมัยนั้นสภาพภูมิประเทศไม่เหมาะที่จะเลี้ยงหมู เพราะว่าอากาศร้อน และหมูสกปรก จะเกิดโรคระบาดได้ง่าย ก็เลยเปลี่ยนไปกินอย่างอื่นแทน จนกลายเป็นข้อห้ามไป

ตอนอาตมาวัยรุ่น อยู่แถว ๆ ประเวศ มีเพื่อนเป็นอิสลามเยอะแยะ เอาหมูให้เขากินมาเยอะแล้ว เราก็ถามว่าเป็นอิสลามทำไมกินหมูได้ เพื่อนเขาบอกว่าถ้าไม่พูดถึงก็กินได้ แต่ถ้าพูดเขาต้องไปล้วงคอทิ้ง
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 21-06-2011 เมื่อ 19:09
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 205 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #62  
เก่า 21-06-2011, 16:18
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,727
ได้ให้อนุโมทนา: 152,085
ได้รับอนุโมทนา 4,419,196 ครั้ง ใน 34,317 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : อิทธิบาทสี่ ฉันทะ วิริยะ จิตตะ วิมังสา บุคคลใดบุคคลหนึ่งจะมีครบทั้งสี่ข้อหรือเปล่า ?
ตอบ : ถ้ามีอย่างใดอย่างหนึ่งขึ้นมา คือมีฉันทะ วิริยะถึงจะพากเพียรตามมา แต่ถ้าปัญญาไม่เพียงพอจิตตะกับวิมังสาจะไม่มี

เพราะฉะนั้น..คนที่มีอิทธิบาท ๔ ต้องมีปัญญาประกอบด้วย พอใจที่จะทำก็พากเพียรทำไป แต่ถ้าปัญญาไม่พอ จิตใจอาจจะไม่จดจ่อแน่วแน่อยู่กับงานนั้น ขณะเดียวกันก็ไม่รู้จักทบทวนว่าทำไปถึงไหนแล้ว ที่อาฬวกยักษ์ท่านถามว่าอะไรเป็นเครื่องนำไปสู่ความหลุดพ้น? พระพุทธเจ้าตอบว่า ปัญญานำไปสู่ทางพ้นทุกข์ ไม่มีปัญญาก็ทำผิด ถ้าพยายามผิด พากเพียรผิดนี่ผลก็จะผิดไปด้วย

ถาม : ผู้ที่อธิษฐานให้มีอายุอยู่ต่อนี่ท่านอธิษฐานอย่างไร ?
ตอบ : ไม่ใช่อธิษฐาน ท่านปรับธาตุร่างกายตัวเองให้เสมอกัน คือให้สมบูรณ์อยู่เสมอ ถ้าธาตุในร่างกายเราสมบูรณ์บริบูรณ์ก็สามารถที่จะใช้งานไปได้เรื่อย ๆ
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 21-06-2011 เมื่อ 19:10
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 201 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #63  
เก่า 21-06-2011, 16:30
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,727
ได้ให้อนุโมทนา: 152,085
ได้รับอนุโมทนา 4,419,196 ครั้ง ใน 34,317 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ทางด้านพม่า จะมีหลวงปู่โกวิทะ พม่าเขาออกเสียงว่า "โกวิด๊ะ" ท่านอายุ ๙๐๐ กว่าปีแล้ว จะออกมาเจอประชาชนปีละครั้งเดียว ช่วงประมาณวันเกิดครบรอบปีของท่าน

เขาจะสร้างเหมือนถ้ำหรือเหมือนกับเตาเผาถ่าน แล้วใส่ของหอมเยอะแยะไปหมด ท่านก็จะเข้าไป จุดไฟแล้วก็ปิดประตู ไฟไหม้ลุกท่วม พอเสร็จสรรพท่านก็เดินยิ้มออกมา เกิดใหม่อีกทีหนึ่ง จะทำอย่างนั้นปีละครั้งหนึ่ง

คนไปงานนี้เป็นแสน ๆ คน เขาถ่ายวิดีโอเอาไว้ เวลาดูนี่เหมือนอย่างกับจัดฉากเลย เพราะว่าคนเป็นแสน ทางด้านที่อยู่ห่างก็เรียก "หลวงปู่..ทางนี้หน่อย" ท่านก็แวบไปตรงนั้น กล้องถ่ายรูปจะจ่อทางนั้น พอเรียก "หลวงปู่ทางนี้หน่อย" ท่านก็แวบมาทางนี้ แต่ขอโทษ..มีปีละครั้งเดียว นอกนั้นท่านไปหลบอยู่ที่ไหนก็ไม่รู้ ?

ถาม : สังขารท่านหนุ่มหรือแก่ ?
ตอบ : แก่..แต่กี่ปี ๆ ก็แก่แค่นั้น ไม่ได้แก่ไปกว่านั้น

ถาม : ปกติเลย ?
ตอบ : ปกติเลย เดินเหินคล่องตัวเหมือนหนุ่ม ๆ เดิน พอถึงเวลาปรับธาตุเสมอกันก็เหมือนกับหนุ่ม ๆ นั่นแหละ
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย วสันต์วิษุวัต : 22-06-2011 เมื่อ 04:07
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 204 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #64  
เก่า 21-06-2011, 16:33
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,727
ได้ให้อนุโมทนา: 152,085
ได้รับอนุโมทนา 4,419,196 ครั้ง ใน 34,317 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : อิทธิบาทสี่ต้องเดินปรับธาตุ ?
ตอบ : ทำอย่างนั้นแหละ ถ้าอิทธิบาทไม่พอก็ทำไปไม่ถึง ทางบ้านเราก็มีหลวงปู่โลกอุดร

ถาม : ต้องใช้กำลังของอะไรครับ ?
ตอบ : อย่างน้อย ๆ กสิณ ๑๐ ต้องคล่องตัว ถ้ากสิณ ๑๐ ไม่คล่อง ทำไม่ได้อยู่แล้ว

ถาม : ถ้าทำได้แล้ว อธิษฐานให้คนอื่นมีอายุต่อได้ไหมครับ ?
ตอบ : ตัวเองจะอยู่ก็ยังคิดหนัก แล้วจะให้ไปช่วยแมวที่ไหนเล่า ? ทำได้ขนาดนั้นส่วนใหญ่ก็ยอมรับกฎของกรรม ที่ต้องทนอยู่ต่อไปเพราะงานยังไม่หมด
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 21-06-2011 เมื่อ 19:12
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 205 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #65  
เก่า 22-06-2011, 00:58
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,727
ได้ให้อนุโมทนา: 152,085
ได้รับอนุโมทนา 4,419,196 ครั้ง ใน 34,317 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

มีแม่ชีมาขอคำปรึกษาเกี่ยวกับเรื่องวิทยานิพนธ์ พระอาจารย์กล่าวให้ฟังว่า "แม่ชีท่านจะทำวิทยานิพนธ์เกี่ยวกับพระพุทธเจ้า หัวข้อวิชชาจรณสัมปันโน จึงถามว่าวิชชาจารณสัมปันโนนี่ครอบคลุมแค่ไหน ? เพราะประโยคนี้หมายความว่า ถึงพร้อมด้วยความรู้และความประพฤติทั้งปวง

วิชชาในที่นี้ต้องเน้นเอาอย่างเดียวก็คือว่า ความรู้ที่ปฏิบัติเพื่อความหลุดพ้น คือ ต้องเน้นความรู้ในมรรค ๘ สรุปลงเป็นไตรสิกขา คือ ศีล สมาธิ ปัญญา ส่วนจรณะคือความประพฤตินั้น ต้องอยู่ในลักษณะที่ว่า ยถาวาที ตถาการี คือพูดอย่างไรก็ต้องทำอย่างนั้น ถึงจะเป็นแบบอย่างแก่คนอื่นได้ แต่สมัยนี้มีเยอะที่เขาบอกว่า "จงทำอย่างที่ผมพูด แต่อย่าทำอย่างที่ผมทำ" เพราะผมเป็นตัวอย่างที่ดีไม่ได้

ความจริงต้องถามอาจารย์ที่ปรึกษา เพราะว่าอาจารย์ที่ปรึกษาอาจจะมีแนวความคิดเพิ่มเติมขึ้นมา ที่มาถามอาตมาก็คงได้แนวความคิดกว้าง ๆ แล้วก็ไปค้นเอกสารไว้ก่อน แม่ชีบอกว่าจะส่งโครงร่างวิทยานิพนธ์ภายในอาทิตย์นี้ ถ้าโครงร่างเสร็จก็เท่ากับวิทยานิพนธ์เสร็จ เพราะโครงร่างนั้นมีถึง ๑๐ หัวข้อ มาแยกใส่บทที่ ๒ และ บทที่ ๓ ได้ ส่วนที่เหลือไปสรุปเนื้อหาให้ตรงกับสภาพปัญหาที่ทำวิจัยก็ใช้ได้แล้ว"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 13-02-2019 เมื่อ 06:24
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 196 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #66  
เก่า 22-06-2011, 01:35
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,727
ได้ให้อนุโมทนา: 152,085
ได้รับอนุโมทนา 4,419,196 ครั้ง ใน 34,317 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์กล่าวว่า "พระปิดตามหาเศรษฐีเงินล้านยังมีอีก ๒ เนื้อที่ยังไม่ได้ออก เนื้อแรกคือเนื้อเมฆสิทธิ์ เนื้อที่สองเป็นเนื้อชิน แต่เนื้อชินสร้างแค่ ๓๐๐ องค์ จัดเข้าเป็นชุดกรรมการ เพราะฉะนั้นอย่าหวังว่าจะได้..! ยกเว้นว่าเป็นกรรมการ

แต่ว่าเนื้อเมฆสิทธิ์นี้กำลังรออยู่ว่า ถ้าพระอาจารย์วันชาติบอกว่าพร้อมเมื่อไร อาตมาจะออกเนื้อเมฆสิทธิ์ทันที เพราะว่าอาจารย์วันชาติจะสร้างสมเด็จองค์ปฐมหน้าตัก ๕๐ ศอก ใหญ่กว่าสมเด็จองค์ปฐมวัดหนองหญ้าปล้องถึง ๑๐ ศอก ท่านขอทุนเริ่มต้นไว้ที่ ๑ ล้านบาท

สมเด็จองค์ปฐมองค์นี้ฐานจะทำเป็นโบสถ์ แปลว่าสร้างพระองค์หนึ่งได้โบสถ์อีกหลังหนึ่ง ท่านขอทุนเริ่มต้นที่ ๑ ล้านบาท เพราะฉะนั้นพระปิดตาเนื้อเมฆสิทธิ์กำลังรอท่านอยู่ ถ้าท่านยกมือว่าผมพร้อมแล้วก็ออกให้ทันที อาตมาหาให้ท่านก่อน ๑ ล้านบาท หลังจากนั้นก็ทยอยไป แบบเดียวกับของวัดหนองหญ้าปล้อง ถึงเวลาก็ให้ทุนไปเริ่มแรก ๑ ล้านบาท แล้วก็ให้ไปเรื่อย ๆ กว่าจะปิดงบได้ อาตมาหมดไป ๘ ล้านกว่าบาท"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย วสันต์วิษุวัต : 18-01-2019 เมื่อ 16:41
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 214 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #67  
เก่า 22-06-2011, 01:38
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,727
ได้ให้อนุโมทนา: 152,085
ได้รับอนุโมทนา 4,419,196 ครั้ง ใน 34,317 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

"เงิน ๘ ล้านกว่าบาทนี่ถือว่าจ่ายน้อยแล้วนะ เพราะว่ารอบแรกตกลงกันว่า เจ้าภาพ ๑๘ รูป รูปละ ๑ ล้านบาท แต่ไป ๆ มา ๆ มีแต่อาตมาจ่าย ๑ ล้านบาทอยู่คนเดียว คนอื่นเขาจ่ายแสนหนึ่งบ้าง สองแสนบ้าง รวม ๆ แล้วได้เงินมาแค่ ๒ ล้านกว่าบาท และ ๒ ล้านกว่าบาทนั้นจมอยู่ใต้ดินหมด มองอะไรไม่เห็น

ส่วนอาตมาก็ไม่รู้จะไปไหน เขายันขึ้นหน้าไปเป็นประธานแล้วก็ทำเรื่อยไป ท่านอาจารย์โนรีเองก็วิ่งเหนือวิ่งใต้ เพื่อหาเงินมาเพื่อไม่ให้งานสะดุด ท้ายสุดอาตมาก็ยกกฐินไปปลดหนี้ให้ท่านถึงจบ คราวนี้สร้าง ๕๐ ศอกไม่รู้ว่าจะต่อเนื่องอีกนานเท่าไร แต่บอกท่านวันชาติแล้วว่าเริ่มต้นให้ล้านหนึ่ง ที่เหลือไปจัดการเองแล้วกัน ถ้ามีจะช่วย ถ้าไม่มีก็จะเอาใจช่วย..!"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 22-06-2011 เมื่อ 02:40
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 210 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #68  
เก่า 22-06-2011, 01:49
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,727
ได้ให้อนุโมทนา: 152,085
ได้รับอนุโมทนา 4,419,196 ครั้ง ใน 34,317 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์กล่าวถึงเรื่องน้ำปานะว่า "ที่วัดท่าขนุนหลังจากทำวัตรค่ำแล้วจะมีการถวายน้ำปานะ คือถวายครั้งเดียวในรอบวัน ใครอยากได้มากกว่านั้นให้ไปหามาฉันเอง งดกาแฟ ชา โอเลี้ยง เป๊บซี่ โค้ก และเครื่องดื่มชูกำลังทุกประเภท

แรก ๆ เขาถวายกันเป็นปกติ ปรากฏว่ากว่าพระจะหลับได้ก็ ๕ ทุ่มเที่ยงคืนไปแล้ว และจะไปง่วงจัดอีกทีตอนนั่งกรรมฐานทำวัตรเช้า ตอนแรก ๆ อาตมาก็ได้แต่นั่งมอง อย่างไรตรงจุดนี้ต้องแก้ไข

พอเป็นเจ้าอาวาสจึงสั่งเลิกของพวกนี้เลย ถวายน้ำปานะอะไรก็ได้ยกเว้นพวกนี้ โดยเฉพาะชา กระตุ้นหนักกว่ากาแฟอีก แต่ชาจะกระตุ้นแบบนิ่ม ๆ กว่าจะรู้ตัวก็ดีดเราลอยไปกลางฟ้าแล้ว ไม่เหมือนกาแฟที่กระตุ้นพรวดพราดเลย จึงทำให้พระท่านนอนไม่หลับ แล้วก็จับกลุ่มคุยกันจนดึก พอถึงเวลาตี ๔ จะนั่งกรรมฐานก็คอพับไปตาม ๆ กัน

ถ้าหากว่าเราเห็นจุดบกพร่องตรงไหนก็ต้องรีบแก้ไข อย่าปล่อยให้เนิ่นนาน แต่การที่จะแก้ไขก็ต้องดูว่ามีอำนาจหรือเปล่า ? ถ้าหากว่ามีอำนาจก็สั่งการไปได้เลย ถ้าหากว่าไม่มีก็ต้องรอวาระที่เหมาะสมไปก่อน

ถ้าเห็นว่าผู้มีอำนาจท่านให้ความใส่ใจ เราก็เสนอแนะไป การเสนอแนะที่มีศิลปะก็คือบอกแนวคิดให้ท่านฟัง แล้วให้ท่านนำไปปฏิบัติเองเหมือนกับว่าเป็นผลงานของท่าน แต่ถ้าบอกท่านว่าต้องอย่างนี้ ๆ บางคนไม่ทำหรอก"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 22-06-2011 เมื่อ 02:43
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 202 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #69  
เก่า 22-06-2011, 01:53
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,727
ได้ให้อนุโมทนา: 152,085
ได้รับอนุโมทนา 4,419,196 ครั้ง ใน 34,317 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

"ดังนั้น..ที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ในมงคลสูตรว่า สิปฺปญฺจ เอตมฺมํคลมุตฺตมํ การมีศิลปะจัดเป็นมงคลสูงสุดอย่างหนึ่ง ศิลปะในที่นี้ นอกจากหมายเอาความรู้ความสามารถต่าง ๆ แล้ว ยังมีศิลปะในการดำเนินชีวิตด้วย เพราะถ้าไม่มีศิลปะในการดำเนินชีวิต บางทีก็ไม่ประสบความสำเร็จ

สมัยก่อนตอนที่อาตมาไปกราบหลวงพ่อที่บ้านสายลม ไม่สนใจเรื่องงานเหมือนกัน บอกกับเจ้านายว่า ถ้าเห็นว่าผมผิดก็ไล่ออกไปเลย จนท้ายสุดเจ้านายเห็นว่าไม่ยอมลงให้จริง ๆ ก็ต้องใช้วิธีปรับงาน กลายเป็นว่าเจ้านายรู้กำหนดการงานของหลวงพ่อมากกว่าอาตมาเสียอีก เพราะเขาจะต้องจ่ายงานให้คุ้มกับที่อาตมาไม่อยู่ เขาจะรู้ว่าตอนนี้หลวงพ่อจะไปไหน ที่วัดมีงานอะไร ช่วงว่างเอ็งก็รับงานอ้วกไปแล้วกัน..!

แต่อาตมาก็เต็มใจรับ เพราะว่าถึงเวลาจะไปก็ไปได้โดยสะดวก ความจริงสะดวกตั้งแต่แรกแล้ว เพราะถึงท่านห้ามอาตมาก็ไม่ฟัง แปลว่าจะต้องยอมรับชะตากรรม ถ้าอะไรจะเกิดขึ้น เขาหมั่นไส้ไล่ออกก็คือต้องออก ต้องไปแบบไม่ตัดพ้อต่อว่า เพราะว่าเราผิดจริง ๆ แต่ตอนอยู่ก็ทำงานให้คุ้ม

เพื่อน ๆ เขาถึงบอกว่า "มึงเก่งจริงกูไม่เถียง คนอื่นทำงาน ๔-๕ คนเท่ากับมึงคนเดียว แต่ทำไมมึงรู้อะไรแล้วต้องพูดด้วยวะ ?" ก็จริงของเขา นิสัยนี้ไม่ค่อยดี คนเขาจะเกลียดปาก พวกเราอย่าไปรุนแรงกับเจ้านายขนาดนั้นนะ เดี๋ยวเขาจะชอกช้ำเสียก่อน"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 22-06-2011 เมื่อ 02:46
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 199 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #70  
เก่า 22-06-2011, 11:34
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,727
ได้ให้อนุโมทนา: 152,085
ได้รับอนุโมทนา 4,419,196 ครั้ง ใน 34,317 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : พระสายป่าท่านไม่เน้นการสร้าง?
ตอบ : ท่านพยายามอยู่กับธรรมชาติ แต่คนมักจะศรัทธาไปสร้างให้ สร้างหรูเสียด้วย เรื่องพวกนี้ต้องเด็ดขาดแบบหลวงตาบัว ถ้าไม่เด็ดขาดแบบหลวงตาบัว ในที่สุดก็ทนเสียงอ้อนวอนของญาติโยมไม่ได้ ต้องยอมให้สร้าง

ดูอย่างวัดอนาลโยที่พะเยา ถ้าเราไม่ดูข้าง ๆ จะไม่รู้เลยว่า เขาต่อเสาขึ้นมาสูง ๓๐-๔๐ เมตร เพราะพื้นที่เป็นภูเขาสูง ๆ ต่ำ ๆ เขาต้องปรับพื้นให้เท่ากัน เขาเทเสาขึ้นมามองข้าง ๆ แล้วใจหาย สูงกว่ายอดตาลอีก เพราะฉะนั้น..ถ้าไม่เด็ดขาดอย่างหลวงตาบัว ในที่สุดก็ต้องสร้างจนได้เพราะโยมเขาศรัทธากันมาก
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 22-06-2011 เมื่อ 20:05
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 203 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #71  
เก่า 22-06-2011, 11:37
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,727
ได้ให้อนุโมทนา: 152,085
ได้รับอนุโมทนา 4,419,196 ครั้ง ใน 34,317 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์กล่าวว่า "โบราณเวลาเขาชมลูกสาวลูกชายบ้านใคร เขาใช้ประโยคว่า มีลูกสาวคนเดียว หุงข้าวเหนียวเหมือนนึ่ง มีลูกชายคนหนึ่ง ถากไม้เหมือนหมาเลีย

"มีลูกสาวคนเดียว หุงข้าวเหนียวเหมือนนึ่ง" ส่วนใหญ่ข้าวเหนียวเขาใช้นึ่งเอา คนที่สามารถหุงข้าวเหนียวได้สวยเหมือนนึ่งต้องสุดยอดฝีมือเลย

"มีลูกชายคนหนึ่ง ถากไม้เหมือนหมาเลีย" รุ่นหลัง ๆ ไม่ค่อยเห็นคนถากไม้ ถากไม้เหมือนหมาเลีย ก็คือ ถากได้เรียบกริบ ถากไม้เขามีผึ่งกับขวานเท่านั้น ไม่น่าเชื่อว่าจะถากได้เรียบขนาดนั้น

"ผึ่ง" เป็นลักษณะขวาน แต่เป็นขวานที่มีทรงเหมือนจอบ เขาก็เลยถากสองมือได้ ขวานนี่เอาไว้เก็บรายละเอียด หลัง ๆ เขามีกบเพิ่มขึ้นมา ก็ทำได้ดีขึ้น แต่ถ้าคนโบราณกล่อมเสาได้เหมือนหมาเลียก็ต้องสุดยอดฝีมือ พวกนี้ส่วนใหญ่นิยมไปทำเสาศาลา ทำเสาโบสถ์"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 22-06-2011 เมื่อ 20:05
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 199 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #72  
เก่า 22-06-2011, 14:08
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,727
ได้ให้อนุโมทนา: 152,085
ได้รับอนุโมทนา 4,419,196 ครั้ง ใน 34,317 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

"ที่บ้านอาตมาสมัยก่อนเป็นเสาไม้ หลังคามุงแฝกมุงจากนั่นแหละ อยู่ไป ๆ มีคนมาขอซื้อเสาไปหมด จึงต้องเปลี่ยนจากไม้มาเป็นตึก ไม้ชุดที่ซื้อไปนั้นเป็นไม้มะเกลือกับไม้ประดู่เลือด ประดู่เลือดบางคนเรียก "ประดู่ส้ม"

คนที่ไม่รู้จักไม้ประดู่เลือด พอเข้าป่าแล้วไปฟันเข้า จะขวัญหนีดีฝ่อเลย เพราะยางไม้ลักษณะเหมือนเลือด พลอยจะไปคิดว่านางไม้แสดงปาฏิหาริย์ให้ดู แก่นประดู่เลือดที่ดี ๆ แกร่งขนาดขวานสับไม่ค่อยจะเข้า

ส่วนมะเกลือเป็นไม้ที่มวลรวมหนักกว่าน้ำ ไม้มะเกลือจะจมน้ำ โยมพ่อเอามาทำเก้าอี้ทำโต๊ะ แม้แต่โต๊ะเก้าอี้เขาก็ขอซื้อไปหมด โต๊ะไม้มะเกลือหนักจนกระทั่งต้องใช้คน ๔ คนยก ทั้ง ๆ ที่เป็นโต๊ะกินข้าวตัวเดียว เพราะมะเกลือมวลรวมหนักมาก

รุ่นหลัง ๆ เขาเอาไม้มะเกลือมาหลอกว่าเป็นพญางิ้วดำกันเยอะ ต้องรู้จักสังเกต ประการแรก คือไม้มะเกลือหนักแต่พญางิ้วดำจะเบา เพราะอย่าลืมว่างิ้วก็คือต้นนุ่น ต้นนุ่นเนื้อจะเบา

ประการที่สองคือ ลายไม้ไม่เหมือนกัน ถ้าเขาบอกงิ้วดำแต่มีลายเหลือง ๆ แทรกอยู่ให้รู้ว่าเป็นมะเกลือ มะเกลือดำก็จริง แต่ดำแล้วก็จะมีลาย ๆ อยู่หน่อย"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 22-06-2011 เมื่อ 20:07
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 187 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #73  
เก่า 22-06-2011, 14:22
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,727
ได้ให้อนุโมทนา: 152,085
ได้รับอนุโมทนา 4,419,196 ครั้ง ใน 34,317 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์กล่าวว่า "มีพระรูปหนึ่งที่วัด ตอนท่านบวชที่อื่นนั้นติดอาบัติสังฆาทิเสสอยู่ ๗ เดือน

ปัจจุบันนี้เขาเข้าใจสุทธันตปริวาสผิดกัน สุทธันตปริวาส คือ บุคคลที่จำไม่ได้ว่าต้องสังฆาทิเสสมานานเท่าไร ให้คณะสงฆ์เป็นผู้กำหนดวันเข้าปริวาสให้

ในปัจจุบันนี้เขาจะกำหนดให้ ๙ วัน แต่ว่าจริง ๆ แล้วใช้ไม่ได้ เพราะแม้คณะสงฆ์เป็นผู้กำหนดวันให้ แต่ท่านให้กำหนดมากกว่าไว้เสมอ แปลว่า เราบวชปีหนึ่ง ถ้าโดนสังฆาทิเสสอย่างน้อย ๆ ก็ต้องเข้าปริวาส ๑ ปีกับอีก ๖ วัน

คราวนี้พระรูปนั้นขอไปอยู่วัดชากสมอ อยู่ ๗-๘ วันก็กลับมาแล้ว อาตมาก็ถามว่า “เฮ้ย..กลับมาอย่างไรวะ ?” เขาบอกว่า “ผมสบายใจแล้วครับ”

อาตมาบอกว่า “โคตรเตี่ยมึงแน่ะ..! ถ้าศาลตัดสินสั่งจำคุกมึง ๗ เดือน มึงอยู่ ๗-๘ วัน บอกว่าผมสบายใจแล้วขอออกจากคุก เขาจะยอมมึงไหม ?” เขาก็เลยไปใหม่ อยู่จนครบ ๗ เดือนแล้วถึงกลับมา เพราะว่าถ้าอยู่ปริวาสไม่ครบ ก็ไม่ใช่มานัตตารหบุคคล คือ บุคคลที่สมควรแก่มานัตต์ เก็บมานัตต์ไม่ได้ ถ้าเก็บนี่เสียเลย กลายเป็นว่าที่ทำมานั้นเป็นศูนย์ ต้องมาเริ่มต้นนับหนึ่งใหม่

เพราะฉะนั้น..ถ้าอยู่ไม่ครบ อย่าไปเก็บมานัตต์ ไปอยู่ต่อที่อื่นจนกว่าจะอยู่ครบตามเวลา แล้วค่อยไปเก็บเอาที่สุดท้าย"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 16-02-2019 เมื่อ 02:17
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 194 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #74  
เก่า 23-06-2011, 09:52
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,727
ได้ให้อนุโมทนา: 152,085
ได้รับอนุโมทนา 4,419,196 ครั้ง ใน 34,317 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์กล่าวถึงหนังสือเรื่อง The Tibetan Code รหัสลับหลังคาโลก ว่า"เป็นเรื่องของนักธุรกิจจีนเชื้อสายทิเบตคนหนึ่ง มีอาชีพเพาะเลี้ยงหมาไว้ขาย แต่เขาเป็นคนที่รักหมามาก จะขายให้เฉพาะคนที่รักหมาจริง ๆ เท่านั้น และเลือกเอาเฉพาะระดับสุดยอดของหมามาให้ลูกค้า

วันนั้นกำลังประมูลกันว่าจะให้ราคาเท่าไร สำหรับสุดยอดหมามาสตีฟตัวนี้ ปรากฏว่าอยู่ ๆ ก็มีคนมาสะกิดแล้วก็ส่งรูปให้ใบหนึ่ง เป็นรูปเบลอ ๆ ตอนแรกเขาก็ไม่สนใจ แต่พอมองไปที่รูปเท่านั้น ก็วิ่งตามเขาไปเลย ไม่สนใจงานประมูลแล้ว ประธานใหญ่ไม่อยู่ วิ่งตามเขาไปเฉยเลย หลังจากนั้นเป็นต้นมาก็มีคำสั่งให้รองประธานบริหารงานแทน ตัวเองตามล่าสุดขอบฟ้าเพื่อที่จะหาเจ้าหมาตัวนั้นให้เจอ

จากการคำนวณของเขา คนถ่ายรูปเป็นสุดยอดฝีมือในการถ่ายรูป ขนาดซุ่มอยู่แล้วลั่นชัตเตอร์ ยังได้แค่รูปเบลอ ๆ เขาคิดว่าหมาตัวนั้นต้องเคลื่อนที่ด้วยความเร็วประมาณ ๒๐๐ กิโลเมตรต่อชั่วโมง..!

แล้วโยงเข้าหาประวัติศาสตร์ทิเบตโบราณที่เขาเคยศึกษามาตอนเด็ก ๆ ว่า มีสัตว์ชนิดหนึ่งที่เรียกว่า "กิเลนม่วง" ท่านประธานเห็นรูปแล้วสรุปว่า กิเลนม่วงก็คือหมาทิเบตมาสตีฟนี่แหละ ด้วยความที่เป็นหมาสงคราม ฝึกมาเพื่อรบโดยเฉพาะ ทำให้หมาชนิดนี้ไม่เห่า ภักดีต่อเจ้านายชนิดตัวตาย สั่งให้ลงมือกับใคร ก็คือ ตายกันไปข้างหนึ่งถึงจะเลิก ถ้าตัวเองไม่ตายก็เป้าหมายตาย ท่านประธานในเรื่องนี้เขาตามหมามา ๔ เล่มแล้ว ยังไปได้ไม่ถึงครึ่งทางเลย..!"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 23-06-2011 เมื่อ 10:27
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 181 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #75  
เก่า 23-06-2011, 10:02
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,727
ได้ให้อนุโมทนา: 152,085
ได้รับอนุโมทนา 4,419,196 ครั้ง ใน 34,317 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

"เรื่องนี้โยงกับประวัติศาสตร์ทิเบตโบราณ เกี่ยวกับวิหารพาลาปา ที่เชื่อกันว่าในสมัยปฏิวัติวัฒนธรรม บรรดาลามะชุดดำขนเอาทรัพย์สมบัติไปซ่อนไว้ที่นั่น แล้วให้กิเลนม่วงเฝ้าไว้ ต้องสืบไปทีละเปลาะ ๆ แล้วก็ไปเจอเป้าหมายน่าสงสัยทีละนิดทีละหน่อย ขยับใกล้เข้าไปเรื่อย แล้วก็มีคู่แข่งจากสารพัดประเทศ จ่อมาที่เป้าหมายเดียวกัน

คราวนี้ก็ต้องมาดวลกันว่า ใครฝีมือดีกว่า ใครปัญญาดีกว่า เพราะว่าจะเข้าไปแต่ละที่มีแต่สารพัดกับดัก กับดักบางอย่างก็คำนวณจากจิตใจคน คำนวณความโลภ ความโกรธ ความหลงของคนไว้ก่อนแล้วถึงทำ เขาบอกว่าหนังสือเล่มนี้ทำลายสถิติด้วยยอดจำหน่ายเกินกว่า ๓ ล้านเล่ม อาตมาอ่านเล่มนี้แล้วการสอนวิชาพระพุทธศาสนากับสถานการณ์ปัจจุบัน โดยเฉพาะพระพุทธศาสนาในทิเบต มีรสชาติขึ้นอีกเยอะ เพราะมีรายละเอียดบางส่วนที่ก่อนนี้รู้ไม่ชัดเจน แล้วชัดเจนขึ้นมาตอนนี้

อย่างเช่น ทำไมพระทิเบตถึงมีการเต้นรำ การเต้นรำของทิเบตเป็นการเต้นรำในลักษณะขับไล่สิ่งชั่วร้าย แล้วก็อัญเชิญสิ่งที่เป็นมงคลเข้ามา พระพุทธศาสนาในทิเบตรุ่งเรืองขึ้นมาโดยท่านปัทมสัมภวะ ภาษาทิเบตเขาเรียก คุรุรินโปเช่ ก็คืออยู่ในลักษณะของท่านอาจารย์ใหญ่

ท่านปัทมสัมภวะเข้าไปตอนที่ทิเบตยังนับถือผีอยู่ ก็คือลัทธิบอน ก็เลยมีการต่อสู้กันระหว่างพระพุทธศาสนากับลัทธิบอน ท่านปัทมสัมภวะชนะทุกยก จึงทำให้คนทิเบตส่วนหนึ่งหันมานับถือพุทธศาสนา พอดีพระเจ้าซองซันกัมโปเสด็จขึ้นครองราชย์ แล้วได้รับการสนับสนุนจากทั้งจีนและเนปาล

จีนก็ตรงกับสมัยพระเจ้าถังไท่จงฮ่องเต้ ก็ส่งเจ้าหญิงเหวินเฉิงให้ไปแต่งงานด้วย ทางด้านเนปาลก็ส่งเจ้าหญิงภริคุติเทวีไปแต่งงานด้วย เจ้าหญิงทั้งสองพระองค์นับถือศาสนาพุทธ ก็เลยขนพระพุทธรูปและทรัพย์สมบัติสารพัดที่เป็นพุทธบูชาเข้าไปด้วย พระเจ้าซองซันกัมโปก็เลยถามว่า จะให้สร้างสถานบูชาหรือว่าวัดที่ไหนบ้าง

เจ้าหญิงเหวินเฉิงปรึกษากับท่านปัทมสัมภวะแล้วว่า รูปทรงของประเทศทิเบตเป็นรูปยักษ์ เพราะฉะนั้น..จะต้องทำการสร้างสิ่งศักดิ์สิทธิ์สะกดยักษ์ตัวนี้ไว้ ทิเบตถึงจะเจริญ ก็เลยสร้างวิหาร ๕ แห่ง เป็นการตรึงมือเท้าและร่างกายของยักษ์เอาไว้ อย่างวัดโจคัง วัดเดรปุง เป็นต้น แล้วเจ้าหญิงทั้งสองพระองค์ก็ช่วยกันผลักดันจนพระพุทธศาสนาเจริญรุ่งเรืองในทิเบต"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 23-06-2011 เมื่อ 10:29
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 180 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #76  
เก่า 23-06-2011, 10:04
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,727
ได้ให้อนุโมทนา: 152,085
ได้รับอนุโมทนา 4,419,196 ครั้ง ใน 34,317 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

"พอมาถึงสมัยพระเจ้าลางทรมา ท่านนับถือลัทธิบอนแบบฝังหัวไม่ยอมเปลี่ยน จึงฆ่าล้างผลาญศาสนาพุทธ ฆ่าจริง ๆ จนกระทั่งบรรดาภิกษุต้องทิ้งวัดหนีเข้าป่า แล้วก็เกิดอัศวินม้าดำขึ้นมา ก็คือมีพระภิกษุนุ่งห่มจีวรสีดำ สวมหมวกดำ ขี่ม้าดำ บุกเข้าไปตอนที่พระเจ้าลางทรมากำลังล่าสัตว์ สามารถประหารพระเจ้าลางทรมาลงได้ ดังนั้น..การแต่งตัวชุดดำแล้วมีการเต้นรำ ก็จะมีส่วนหนึ่งที่แสดงออกถึงประวัติศาสตร์ช่วงนี้

เราจะเห็นได้ว่าสายทิเบตเขามาสายพระโพธิสัตว์แท้ เพื่อความสุขของคนส่วนมาก ตัวเองตกนรกก็ไม่ว่า จับอาวุธขึ้นมาฆ่าเลย ปัจจุบันนี้ ศาสนาพุทธในทิเบตที่ตกต่ำไปมาก เพราะจีนเข้าไปยึดครองโดยอ้างว่าทิเบตเป็นส่วนหนึ่งของเขตปกครองของจีน

ตอนที่จีนส่งทหารเข้าไป มีเรื่องที่น่าสนใจอยู่คือว่า ลามะผู้ใหญ่หลายท่านเห็นว่าไม่สามารถที่จะยับยั้งวาระกรรมนี้ได้แล้ว หลายท่านก็เข้ากรรมฐานทิ้งไปเฉย ๆ ให้ลูกศิษย์เอาร่างโยนน้ำไป ทหารจีนเก็บศพที่นั่งกรรมฐานตายได้หลายศพ ไม่เน่าเปื่อยด้วย เพราะว่าท่านเข้าสมาธิทิ้งร่างไปเฉย ๆ"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 23-06-2011 เมื่อ 10:31
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 180 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #77  
เก่า 23-06-2011, 10:07
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,727
ได้ให้อนุโมทนา: 152,085
ได้รับอนุโมทนา 4,419,196 ครั้ง ใน 34,317 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

"ส่วนที่รัสเซีย แถว ๆ เมืองคามึยเคีย มีวัดทิเบตที่ใหญ่มาก พระสังฆราชในสมัยนั้น(ก่อนคอมมิวนิสต์จะปกครอง) พยายามบอกใบ้สุดชีวิต บอกว่าสิ่งชั่วร้ายสีแดงกำลังมา แต่ไม่มีใครตีความได้ จนกระทั่งคอมมิวนิสต์ปกครองถึงได้รู้ แล้วท่านก็บอกด้วยว่า ท่านจะตายวันนั้น เดือนนั้น ปีนั้น แต่ว่าเขาจะฝังท่าน ๒ ครั้ง ท่านบอกล่วงหน้า ๔๐-๕๐ ปี

ระยะหลัง พอคอมมิวนิสต์ปกครองรัสเซียเสร็จ ได้ข่าวว่าคนยึดศาสนามาก จึงตั้งใจจะทำลายศาสนาให้หมด ได้ยินว่าที่ฝังสังขารของท่านลามะรูปนี้เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ เป็นศูนย์รวมจิตใจของชาวพุทธในรัสเซีย รัฐบาลคอมมิวนิสต์ก็สั่งขุดเลย พอขุดขึ้นมา เจอศพท่านนั่งกรรมฐาน ตายแล้วไม่เน่า จึงไม่กล้าแตะต้อง ต้องทำการฝังใหม่ ก็ตรงกับคำที่ท่านพยากรณ์ไว้ทุกอย่าง ว่าถ้าท่านตายแล้วต้องฝัง ๒ ครั้ง

ปัจจุบันนี้รัสเซียฟื้นศาสนาพุทธขึ้นมาเยอะมาก พออนุญาตให้นับถือศาสนา พวกบรรดาชาวพุทธเดิม ๆ ที่หลบ ๆ ซ่อน ๆ ทำพิธีกรรมก็แสดงออกอย่างชัดเจน รัฐบาลก็สนับสนุนงบประมาณบางส่วนให้ซ่อมแซมวัดวาอารามขึ้นมาใหม่ ถึงได้รู้ว่าวัดพุทธที่ใหญ่ที่สุดในยุโรปอยู่ที่รัสเซีย เป็นวัดลามะนี่แหละ

ตอนนี้มีพระไทยเผยแผ่พุทธศาสนาในรัสเซีย ท่านไปอยู่ที่นั่นมาเป็น ๑๐ ปีแล้ว ท่านบอกว่า ๗ ปีแรกนี่ศึกษาภาษารัสเซียอย่างเดียวจริง ๆ เลย ใครมาสอบถามนี่ต้องตีใบ้อย่างเดียว พูดภาษาเขาได้ไม่กี่คำ ไม่สามารถที่จะอธิบายหลักธรรมที่เป็นภาษาลึกซึ้งได้ ก็เลยต้องศึกษาภาษารัสเซียก่อน"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 23-06-2011 เมื่อ 10:32
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 176 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #78  
เก่า 23-06-2011, 10:12
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,727
ได้ให้อนุโมทนา: 152,085
ได้รับอนุโมทนา 4,419,196 ครั้ง ใน 34,317 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

"แต่จากการใบ้และทำตัวให้ดูว่าต้องปฏิบัติอย่างไรบ้าง เช่น สวดมนต์ นั่งกรรมฐาน บรรดาชาวพุทธรัสเซียก็พยายามทำตาม และเขาฉลาด เขาไม่รอพระสอน เขาไปค้นหาข้อมูลในอินเตอร์เน็ตว่าศาสนาพุทธมีหลักการปฏิบัติอย่างไร แล้วลุยกันเองเลยโดยอาศัยวัดเป็นศูนย์กลาง เพราะฉะนั้น..ในยุโรปนี่ยอดผู้นับถือศาสนาพุทธเพิ่มขึ้นจนน่ากลัว ถ้าไม่ใช่ศาสนาแห่งความสงบอย่างที่ทุกคนรู้แล้ว มีสิทธิ์โดนสกัดแน่นอน

อย่างศาสนาอิสลาม หลายประเทศก็จะมีการประกาศห้ามนับถือ ไปนึกถึงที่พระพุทธเจ้าตรัสเอาไว้ว่า ให้พระจาริกไปเพื่อประโยชน์สุขของชนหมู่มาก เพื่ออนุเคราะห์แก่โลก ปรากฏว่าตอนนี้เห็นชัดแล้ว ท่านที่ทุ่มเทขนาดนั้นมีอยู่จริง ๆ โดยเฉพาะท่านที่อยู่ในรัสเซีย

ตอนแรกจะยุมหาเค (พระมหาธีราวุธ ธีรปญฺโญ)ให้ไปรัสเซีย แต่ปรากฏว่ามหาเคไปอเมริกา มหาเคจบปริญญาวิศวกรรมจากรัสเซีย ไปใหม่ ๆ อย่าว่าแต่คุยรู้เรื่องเลย ฟังยังไม่รู้เรื่อง จบปริญญาวิศวกรรมมาจากรัสเซีย แต่ไม่ได้ใช้งานอะไรเลย เพราะจบแล้วก็มาบวช พ่อแม่มีกิจการร้านอาหารใหญ่ ๆ โต ๆ ยกให้ ลูกก็ไม่ได้ทำอะไร ปิดไปเฉย ๆ จนกระทั่งต้องให้พี่สาวไปทำแทน

ตอนแรกมหาเคขอบวชแต่พ่อแม่ไม่ให้บวช ลูกก็ไม่ว่าอะไร นอนเฉย ๆ ประท้วงน้อยกว่าพระรัฐบาลหน่อย พระรัฐบาลท่านนอนแล้วไม่กินด้วย พ่อแม่กลัวลูกคนเดียวจะตายเลยให้บวช แต่มหาเคนี่นอนเฉย ๆ ไม่ทำงาน กินอย่างเดียว ท้ายสุดพ่อแม่เห็นว่าเอาจริงก็เลยต้องปล่อยให้บวช

ตอนนี้ที่วัดท่าขนุนมีพระที่เป็นบุคลากรดี ๆ ในวัดเยอะมาก แต่ว่าส่วนใหญ่แล้วท่านไม่กล้าเสี่ยง ที่ไม่กล้าเสี่ยงก็คือว่า ไม่กล้าริเริ่มทำอะไร เพราะกลัวว่าจะทำผิด นี่แสดงว่าเขาไม่เคยดูอาจารย์ อาตมาทำทุกเรื่อง เรื่องไหนหลวงพ่อวัดท่าซุงท่านด่า จะเลิกทำตลอดชีวิต เรื่องไหนไม่ด่าก็ทำไปเรื่อย"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย วสันต์วิษุวัต : 18-01-2019 เมื่อ 17:14
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 177 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #79  
เก่า 24-06-2011, 11:47
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,727
ได้ให้อนุโมทนา: 152,085
ได้รับอนุโมทนา 4,419,196 ครั้ง ใน 34,317 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ในขณะที่เถรีกำลังนั่งพับเหรียญโปรยทานที่บ้านวิริยบารมี พระอาจารย์จึงกล่าวว่า "กำลังใจของคนทำบุญจริง ๆ จะประณีตและเยือกเย็น คนโบราณเขาจึงค่อย ๆ ถัก ค่อย ๆ ห่อ กว่าจะได้เหรียญแล้วไปโปรยทาน ก็ต้องใช้ระยะเวลาที่นานมาก

สมัยก่อนตอนไปอยู่ที่เกาะพระฤๅษีใหม่ ๆ พรรษาแรก พวกมอญเขาจัดผ้าป่ามาถวาย ผ้าป่าทั้งต้นมีเหรียญห้อยโตงเตงเต็มไปหมด นับแล้วได้ ๑๗๓ บาท แต่อาตมาแจกวัตถุมงคลหมดไปหลายพัน เพราะเขามากันทั้งหมู่บ้าน

ลักษณะอย่างนั้นเราจะไปดูที่จำนวนเงินไม่ได้ ต้องดูกำลังใจที่เขาจะทำบุญจริง ๆ อุตส่าห์จัดมาเสียอย่างดี ตัดกระดาษพับมาอย่างดี ห่อเหรียญห้อยด้ายมา รับปัจจัยในลักษณะอย่างนั้น อาตมาดีใจกว่าคนถวายเงินเป็นล้าน เพราะว่าบางคนถวายเงินมาเป็นล้านแต่กำลังใจยังสู้พวกเขาไม่ได้

เรื่องของงานบุญสำคัญที่กำลังใจในการสละออก เขามีเงินร้อยหนึ่ง สละออกบาทหนึ่ง เท่ากับ ๑ % แล้วนะ ถ้าคนมีเงินพันล้านสละออกล้านหนึ่ง ก็ไม่ถึง ๑% อย่างพวกเขา"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 24-06-2011 เมื่อ 12:40
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 180 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #80  
เก่า 24-06-2011, 11:52
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,727
ได้ให้อนุโมทนา: 152,085
ได้รับอนุโมทนา 4,419,196 ครั้ง ใน 34,317 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์กล่าวถึงโรคเก๊าท์ว่า "โรคเก๊าท์มีวิธีแก้ที่ง่ายมาก ก็คือ ให้ดื่มน้ำอุ่นเยอะ ๆ โรคเก๊าท์เกิดจากกรดยูริกของโปรตีนไปตกผลึกอยู่ตามข้อ ผลึกเป็นรูปแหลม ๆ เหมือนกับเข็มอยู่ตามข้อทำให้ปวด เวลาดื่มน้ำเข้าไปมาก ๆ จะละลายผลึกพวกนี้ออกมา เราก็จะหาย

ดังนั้น..ถ้าเป็นโรคเก๊าท์ไม่ต้องไปหาหมอหรอก เสียเวลา ดื่มน้ำมาก ๆ ขยันเข้าห้องน้ำหน่อย จะหายภายใน ๒ วัน แต่ถ้าไปกินพวกสัตว์ปีก เครื่องใน อาหารทะเล ยอดผัก เดี๋ยวก็เป็นอีก เราก็ดื่มน้ำใหม่ ที่ต้องใช้น้ำอุ่นเพราะว่าถ้าใช้น้ำเย็นมาก ๆ เดี๋ยวจะเป็นไข้"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 24-06-2011 เมื่อ 12:41
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 185 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
ตอบ


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 
คำสั่งเพิ่มเติม

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 05:29



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว