กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะพระอาจารย์ > เก็บตกจากบ้านอนุสาวรีย์

Notices

เก็บตกจากบ้านอนุสาวรีย์ เก็บข้อธรรมจากบ้านอนุสาวรีย์มาฝาก สำหรับผู้ที่ไม่มีโอกาสเดินทางไป

ตอบ
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #61  
เก่า 16-12-2010, 17:09
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,720
ได้ให้อนุโมทนา: 152,086
ได้รับอนุโมทนา 4,418,949 ครั้ง ใน 34,310 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ตอนแรกอาตมายังไม่มีความรู้เรื่องพวกนี้ เพราะเพิ่งจะบวชได้ไม่นาน จึงได้กราบเรียนถามหลวงพ่อวัดท่าซุงว่า "ทำไมหลวงพ่อไม่จัดปริวาสบ้างครับ ?" ท่านถามว่า "พวกแกมีใครโดนอาบัติสังฆาทิเสสหรือ ?"

อาตมากราบเรียนว่า "ไม่มีครับ"
"ไม่มีแล้วจะจัดไปทำไม ?"
"เห็นที่อื่นเขาจัดกันครับ"
"แกรู้หรือเปล่าว่าทุกเช้าเขาจะต้องมาประกาศตนว่า ตนเองโดนอาบัติอะไร ถ้าแกไม่โดนแล้วไปประกาศว่าตัวเองโดน ก็เท่ากับโกหกเขาอยู่ทุกวัน..!"

พอได้ไปศึกษาเองจริง ๆ จึงได้รู้ว่าปริวาสแต่ละแห่งจัดเพราะมุ่งหมายเรื่องเงิน มีน้อยแห่งมากที่ตั้งใจจัดปริวาสเพื่อสงเคราะห์เพื่อนพระที่โดนอาบัติสังฆาทิเสส

สุทธันตปริวาสในปัจจุบัน จึงเป็นแบบหลับหูหลับตากำหนดเอา ส่วนใหญ่ก็คือ ๗ วันหรือ ๙ วัน

สุทธันตปริวาส หมายความว่า การอยู่ปริวาสของบุคคลที่โดนอาบัติ จนตัวเองจำไม่ได้ว่าตัวเองโดนมานานเท่าไร เขาให้กำหนดว่าจะต้องอยู่ปริวาสจนถึงความบริสุทธิ์ได้ในระยะเวลาเท่าไร แล้วให้คณะสงฆ์กำหนดลงไป แต่พระพุทธเจ้าตรัสเอาไว้ว่า ให้กำหนดเป็นเวลามากกว่าที่โดนอาบัติเอาไว้เสมอ เพื่อความปลอดภัย

อย่างเช่น เราโดนมาภายใน ๓ เดือน ก็ให้กำหนดอย่างน้อย ๓ เดือนกับ ๑ วัน แต่ปัจจุบันนี้ สุทธันตปริวาสที่เจอ เขากำหนด ๙ วันตลอด โดนมากี่ปีก็ ๙ วัน แล้วจะพ้นได้อย่างไร ? เหมือนกับคนที่ต้องโดนจำคุก ๒๐ ปี แล้วไปตัดสินว่าจำคุก ๙ วันก็พอ อย่างนี้จะยุติธรรมหรือ ? กลายเป็นว่าสิ่งที่ทำไปก็ไม่ถูกต้องตามพระธรรมวินัย

บุคคลที่ยังอยู่ปริวาสไม่ครบตามจำนวนที่ตนเองโดน แล้วไปเก็บมานัตต์ ก็ไม่ใช่มานัตตารหบุคคล คือ ไม่ใช่บุคคลที่สมควรแก่มานัตต์ ในเมื่อเป็นอย่างนั้นก็ไม่พ้นจากอาบัติสังฆาทิเสสที่ตัวเองโดนอยู่

เรื่องพวกนี้เขาไม่ค่อยจะบอกกัน เพราะหลายต่อหลายอย่างสร้างประโยชน์ให้ เขาจึงหลับหูหลับตาจัดกันไป เป็นอะไรที่น่าหนักใจมาก

สรุปง่าย ๆ ว่า ปริวาสในปัจจุบันเกิน ๙๐ เปอร์เซ็นต์ มักเจอพวกเขี้ยวลากดินอยู่ข้างใน ประเภทที่อยู่รวมกับคนอื่นได้ยาก จะไปสุมหัวรวมกันอยู่ในป่าปริวาส..!
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 17-12-2010 เมื่อ 03:31
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 159 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #62  
เก่า 16-12-2010, 17:29
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,720
ได้ให้อนุโมทนา: 152,086
ได้รับอนุโมทนา 4,418,949 ครั้ง ใน 34,310 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : เวลาเราจัดงานศพให้ผู้ตาย ผู้ตายได้บุญตอนไหน ตอนที่เราอุทิศ ?
ตอบ : ถ้าบุคคลนั้นสามารถรับอนุโมทนาได้ คือ รับส่วนกุศลแล้วอนุโมทนาได้ ก็จะได้ตอนที่เราประกาศอุทิศส่วนกุศล ดังนั้น..ตอนที่เราอุทิศส่วนกุศล เมื่อพระยถาสัพพี เราควรจะออกชื่อ-นามสกุล ว่ากุศลที่สร้างในครั้งนี้ขอให้แก่ใคร ขอให้เขามาโมทนา เราจะได้รับประโยชน์ความสุขเท่าไร ขอให้เขาได้รับด้วย

ถาม : แล้วที่พระสวด สวดให้ใคร ?
ตอบ : สวดให้คนเป็นฟัง คือให้รู้ว่าสิ่งที่ทำ อะไรดีอะไรชั่วแล้วให้เลือกทำ แต่สมัยนี้เขาฟังบาลีกันไม่ออก มีหลายวัดที่พยายามปรับปรุงด้วยการสวดมนต์แปล ในเมื่อสวดมนต์แปล เราฟังออก จะได้เก็บเอาหลักธรรมนั้นไปใช้ในการดำเนินชีวิต แต่เท่าที่อาตมาเจอก็มักจะพนมมือเฉย ๆ บางคนก็หันไปคุยกันอีกต่างหาก ก็เลยกลายเป็นไม่ได้ประโยชน์อะไร

ความจริงถ้าเราตั้งใจน้อมจิตฟังด้วยความเคารพ จะเป็นกุศลใหญ่อีกส่วนหนึ่งที่อุทิศให้แก่ผู้ตายได้ เพราะเท่ากับว่าเรากำลังปฏิบัติในธัมมานุสติ ถ้าเราระลึกว่าสิ่งที่พระสวดอยู่เป็นพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าก็ได้ทั้งพุทธานุสติ ธัมมานุสติ เห็นผู้สวดที่เป็นพระสงฆ์อยู่ก็ได้สังฆานุสติด้วย กลายเป็นเราปฏิบัติกรรมฐานใหญ่ซึ่งได้บุญมากที่จะอุทิศให้แก่ผู้ตายได้

แต่ปัจจุบันเป็นแค่รูปแบบพิธีกรรม การกระทำมักจะผิดไปจากเจตนาดั้งเดิมของบรรพบุรุษของเรา
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 17-12-2010 เมื่อ 03:35
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 159 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #63  
เก่า 16-12-2010, 20:00
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,720
ได้ให้อนุโมทนา: 152,086
ได้รับอนุโมทนา 4,418,949 ครั้ง ใน 34,310 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

แม้กระทั่งทุกวันนี้เวลาที่วัดมีงานศพ อาตมาต้องประกาศก่อนเคลื่อนศพเสมอว่า ญาติโยมทั้งหลายมาส่งศพ ให้เดินตามโลงศพ ไม่ใช่ทะลึ่งไปจูงสายสิญจน์..! การจูงสายสิญจน์เป็นหน้าที่ของพระ คนที่จะเดินข้างหน้า ก็คือ บุคคลที่ถือกระถางธูปกับรูปผู้ตายเท่านั้น แล้วโยมเห็นไหม ? บางที่เขาแย่งกันจูงสายสิญจน์จนพระไม่มีที่จะจูง การจูงศพขึ้นเมรุเป็นหน้าที่พระเณร ส่วนญาติโยมตามไปส่งเท่านั้น

แต่ที่อื่นเขาไม่ค่อยกล้าว่า ไม่ค่อยกล้าบอกเพราะกลัวโยม อาตมาเองไม่ค่อยจะเกรงใจโยมหรอก ต่อให้ใหญ่มาแค่ไหน ผิดท่าผิดทางอาตมาด่ากระจาย เพราะถ้าเราไม่บอกในสิ่งที่ถูกต้อง เขาก็จะผิดต่อกันไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งภายหลังจะกลายเป็นถูกไปเอง เพราะเขาทำต่อ ๆ กันมา รุ่นแล้วรุ่นเล่า
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 17-12-2010 เมื่อ 03:37
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 166 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #64  
เก่า 17-12-2010, 01:34
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,720
ได้ให้อนุโมทนา: 152,086
ได้รับอนุโมทนา 4,418,949 ครั้ง ใน 34,310 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ปัจจุบันนี้มีธรรมเนียมหนึ่งที่ผิดจนกลายเป็นถูกไปแล้ว ก็คือ แต่งชุดดำไปงานศพ สมัยโบราณถ้าคนตายอาวุโสกว่า มากด้วยวัยวุฒิ คุณวุฒิ เราจะต้องแต่งชุดขาวไป ถ้าคนตายเด็กกว่า เราจึงแต่งชุดดำไป

ปัจจุบันนี้ ขนาดงานสมเด็จย่าเขายังแต่งชุดดำไป แสดงว่าใหญ่กว่าสมเด็จย่าทั้งนั้น..! แต่บางคนที่อายุน้อยกว่าแล้วมากด้วยคุณความดี หรือท่านที่สูงด้วยยศศักดิ์อย่างเจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดิน เราแต่งชุดขาวให้ได้ แม้ว่าเราจะอายุมากกว่า

ถาม : กรณีที่หลานอายุน้อยกว่าเรา เราไปกราบไหว้ศพ ?
ตอบ : ไม่เป็นไร ถือว่าเราไหว้ธรรมะของพระพุทธเจ้า สัพเพ สัตตา มะรันติ จะ มะระณันตัง หิ ชีวิตัง สัตว์ทั้งหลายต้องถึงแก่ความตายแน่นอน ไม่มีใครล่วงพ้นความตายไปได้

ไหว้ไปเถิด ไหว้ให้ถูกก็แล้วกัน ไม่ใช่ไปไหว้ศพ เราไปไหว้พระธรรม

อะไรที่รู้ พยายามปรับให้ถูกไว้บ้าง ถ้าเขาสงสัยแล้วถาม ก็อธิบายให้เขาฟัง

ถาม : แล้วกระดูกพ่อแม่ควรไว้วัดหรือไว้ที่บ้าน ?
ตอบ : โบราณเขาจะเก็บไว้ที่บ้าน พอถึงเวลาสงกรานต์ก็จะทำบุญกระดูกกัน ปัจจุบันนี้เขากลัวผีกันมาก จึงเอากระดูกไปทิ้งไว้วัดกันหมด

ตามธรรมเนียมแล้ว พอถึงเวลาสงกรานต์เขาจะนำอัฐิพ่อแม่มาสรงน้ำอบน้ำหอม นิมนต์พระมาบังสุกุล อุทิศส่วนกุศลให้แก่ผู้ที่ล่วงลับไปแล้ว
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย วสันต์วิษุวัต : 15-02-2016 เมื่อ 13:42
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 157 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #65  
เก่า 17-12-2010, 12:57
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,720
ได้ให้อนุโมทนา: 152,086
ได้รับอนุโมทนา 4,418,949 ครั้ง ใน 34,310 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : ถ้าเรานับถือศาสนาพุทธนิกายมหายานแบบญี่ปุ่น จะมีผลให้เราถึงนิพพานหรือไม่ครับ ?
ตอบ : อยู่ที่การปฏิบัติของเรา แม้ว่าเราจะนับถือมหายานแบบญี่ปุ่นก็ดี ถ้าคำสอนของท่านถึงนิพพาน เราตั้งใจปฏิบัติตามจริง ๆ ก็ไปถึงได้เช่นกัน เพียงแต่ว่าเราอาจจะไปติดอยู่กับรูปแบบพิธีกรรมต่าง ๆ มากมายมหาศาล ก็เลยกลายเป็นว่าเอาเปลือกมาบังแก่นเสียหมด

ถาม : เขาค่อนข้างบิดเบือนหรือผิดเพี้ยนไปเยอะ
ตอบ : อยากจะบอกว่าทางมหายาน ถ้าเป็นนิกายมูลสรวาสติวาทสมัยก่อน หลักการพอ ๆ กับเถรวาทเลย ตอนหลังมาแยกออกไปเป็นนิกายโยคาจารย์ ของท่านวสุพันธุ พอกระจายออกมาเนื้อหาก็เริ่มอ่อนลง

แม้กระทั่งศาสนาชินโตที่พระญี่ปุ่นมีเมียได้ ถ้าเราไม่เข้าใจจริง ๆ เราก็จะไปตำหนิเขา อาตมาเคยคุยกับพระของชินโต เขาพูดภาษาไทยได้ แต่เราต้องเอาล่ามแปลภาษาไทยอีกที สรุปได้ความว่า นิกายชินโตเกิดขึ้นมาในช่วงที่เป็นสงครามระหว่างเจ้าครองนครต่าง ๆ รบราฆ่าฟันกันทั้งปีทั้งชาติ

พระไม่รู้จะไปเผยแผ่ศาสนาอย่างไร ถ้าปล่อยให้อยู่ในสถานการณ์อย่างนั้นนาน ๆ ไป ศาสนาอาจจะสูญไปเลย เขาก็เลยตัดสินใจมีครอบครัว เพราะอย่างน้อย ๆ ก็สอนคนในครอบครัวตัวเองได้ มีเมีย ๑ คนสอนได้ ๑ คน มีลูกอีก ๑ คน สอนเพิ่มได้เป็น ๒ คน สอนพ่อตาแม่ยายได้อีกก็รวมเป็น ๔ คน เท่ากับว่าเขาลงทุนทุ่มเทด้วยชีวิตของเขาเลย เพื่อเผยแผ่ศาสนา

ถ้าเรารู้จุดมุ่งหมายของเขาแล้ว ก็จะไม่เสียเวลาไปตำหนิ แต่ถ้าไม่รู้จุดมุ่งหมายแล้ว บางทีก็ด่าเลย พระอะไรวะมีเมียได้ด้วย..!
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 17-12-2010 เมื่อ 13:10
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 153 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #66  
เก่า 17-12-2010, 12:59
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,720
ได้ให้อนุโมทนา: 152,086
ได้รับอนุโมทนา 4,418,949 ครั้ง ใน 34,310 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : แต่ในเรื่องหลักการ ?
ตอบ : หลักการเขาดี แต่ในเรื่องข้อธรรมกลายเป็นว่า โอกาสที่จะเข้าถึงธรรมมีน้อยแล้ว เพราะมีครอบครัวมาลากถ่วง พระพุทธเจ้าตรัสเอาไว้ชัดในมหาสติปัฏฐานสูตรว่า เอกายโน หนทางของคนคนเดียว เพราะถ้าเป็นคนเดียวจะไม่มีความกังวลมาก แต่ถ้ามีหลายคนจิตใจจะมีห่วงกังวลมาก โอกาสที่จะปฏิบัติให้ผ่องใสเพื่อเข้าถึงธรรมก็น้อยลง

แต่ไม่ใช่ว่าไม่มีโอกาส ถ้าเราสามารถทรงฌานได้คล่องตัวจริง ๆ อย่างที่เมื่อคืนได้กล่าวถึงความคล่องตัวที่เป็นวสีของระดับต่าง ๆ ถ้าทำอย่างนั้นได้ เราอยู่ที่ไหนก็สามารถที่จะทรงฌานได้ จิตใจของเราสามารถที่จะผ่องใสได้ตลอด เราก็จะใช้ปัญญาพิจารณาได้ถึงความทุกข์ของการมีครอบครัว

ถ้าถึงระดับนั้นกลับเป็นประโยชน์ เพราะเราจะเห็นทุกข์กว่าคนที่ไม่มีครอบครัว ถ้าเราเห็นทุกข์มากกว่าคนที่ไม่มีครอบครัวแล้ว จิตใจเบื่อหน่าย ปล่อยวางออกมา จะได้เร็วกว่านี้ แต่โอกาสที่จะทำให้คล่องตัวระดับนั้นจริง ๆ ก็มีน้อย

ถาม : แต่ในคราบของความเป็นภิกษุ ไม่ถือว่าปาราชิกหรือครับ ?
ตอบ : ถ้านับอย่างนั้นก็ใช่ บอกแล้วว่าหลักการถูกต้อง แต่วิธีการที่ปฏิบัตินั้นผิด
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 17-12-2010 เมื่อ 13:12
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 148 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #67  
เก่า 17-12-2010, 13:05
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,720
ได้ให้อนุโมทนา: 152,086
ได้รับอนุโมทนา 4,418,949 ครั้ง ใน 34,310 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : ถ้าเราไปพบพระภิกษุท่านละสังขาร แล้วสังขารท่านไม่เน่าเปื่อย ถือว่าท่านเป็นพระอริยเจ้าได้ไหม ?
ตอบ : ถือไม่ได้ สังขารไม่เน่าเกิดจากหลายสาเหตุด้วยกัน
สาเหตุแรก อาจจะเกิดจากการกินว่านยาบางอย่าง ทำให้สังขารไม่เน่า
สาเหตุที่สอง มีคาถาบางบทถ้าเสกข้าวกินประจำ ทำให้ไม่เน่าได้
สาเหตุที่สาม ท่านเองอธิษฐานทิ้งร่างเอาไว้ ถ้าถึงระดับนั้นส่วนใหญ่มักจะดี

ฉะนั้น..ตายแล้วศพไม่เน่า ไม่แน่ว่าจะต้องเป็นพระอริยเจ้า
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 17-12-2010 เมื่อ 13:13
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 158 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #68  
เก่า 17-12-2010, 13:29
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,720
ได้ให้อนุโมทนา: 152,086
ได้รับอนุโมทนา 4,418,949 ครั้ง ใน 34,310 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

มีโยมมาขอความเมตตาให้พระอาจารย์ท่านสวดบังสุกุลให้ ท่านกล่าวว่า "การบังสุกุลตาย บังสุกุลเป็น ถ้าไม่รู้เรื่องอะไรก็ได้ไปแค่เปลือก ถ้ารู้ว่าเขาให้ระลึกถึงมรณานุสติ คือ ความตาย ให้เอาใจเกาะพระ หรือเกาะพระนิพพาน ให้เป็นพุทธานุสติหรืออุปสมานุสติก็จะได้กำไร"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย นายกระรอก : 20-12-2019 เมื่อ 14:20
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 160 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #69  
เก่า 17-12-2010, 15:49
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,720
ได้ให้อนุโมทนา: 152,086
ได้รับอนุโมทนา 4,418,949 ครั้ง ใน 34,310 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : คนที่เขาอยู่ต่างประเทศ เขาจะรู้ได้อย่างไรว่าปฏิบัติได้ถูกต้องแล้ว ?
ตอบ : ให้เอาศีลเป็นกรอบ ถ้าไม่หลุดออกจากกรอบของศีลก็ยังถูกอยู่
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 18-12-2010 เมื่อ 02:31
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 156 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #70  
เก่า 17-12-2010, 18:18
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,720
ได้ให้อนุโมทนา: 152,086
ได้รับอนุโมทนา 4,418,949 ครั้ง ใน 34,310 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : จะขายที่เจ้าค่ะ
ตอบ : ไปจุดธูปบอกกล่าวเจ้าที่ตรงนั้น ว่าขออนุญาตขายที่ ถ้าขายได้แล้วจะถวายสังฆทานไปให้
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 18-12-2010 เมื่อ 02:32
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 153 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #71  
เก่า 17-12-2010, 18:56
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,720
ได้ให้อนุโมทนา: 152,086
ได้รับอนุโมทนา 4,418,949 ครั้ง ใน 34,310 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

วันเสาร์ พระอาจารย์เล่าให้ฟังว่า "เมื่อคืนประมาณตีสาม อาตมานิมิตว่าไปเฝ้าในหลวงที่โรงพยาบาลศิริราช พระองค์ทรงขอบใจที่นำพระเณรและญาติโยมสวดโพชฌังคปริตรถวายท่านทุกวัน พระองค์ตรัสว่าโรคภัยไข้เจ็บหายหมดแล้ว เหลือแต่โรคคนแก่ ถ้าหายก็แปลว่าไม่อยู่แล้ว

เป็นครั้งแรกที่นิมิตเห็นพระองค์ท่านแล้วอาตมาเป็นพระอยู่ ปกติแล้วถ้านิมิตเห็น จะเป็นข้าราชบริพารรับใช้พระองค์ท่าน อาตมาจึงฉวยโอกาสที่ไม่มีใครอยู่ จับ ๆ คลำ ๆ พระองค์ท่านไปหลายที ไปแล้วต้องเอาให้คุ้ม..!

วันนี้ก็เลยตื่นสาย..เพลินไปหน่อย เข้าเฝ้าแล้วไม่อยากกลับ มีความสุข เหมือนกับได้อยู่ใกล้พ่อแม่ที่มีความรักเรา เป็นความรักชนิดบริสุทธิ์จริง ๆ ไม่ได้หวังผลตอบแทนอะไรจากลูกเลย ลูกทำความดีให้พระองค์ท่านก็ชื่นใจ บอกให้รู้ว่ารับรู้"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 18-12-2010 เมื่อ 02:34
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 165 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #72  
เก่า 17-12-2010, 23:54
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,720
ได้ให้อนุโมทนา: 152,086
ได้รับอนุโมทนา 4,418,949 ครั้ง ใน 34,310 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : ผมบวชแล้ว เพิ่งสึกมาไม่นาน สึกแล้วก็ยังพยายามถือศีลแปดทุกวันพระ การรักษาศีลแปดบางทีก็พร่องไปบ้าง ขอคำแนะนำครับ ?
ตอบ : ค่อย ๆ ใส่สติเพิ่มเข้าไป ถึงเวลาบอกกับตัวเองว่า "ไม่" ก็ต้องไม่จริง ๆ อย่าไปผ่อนผันให้กับตัวเอง ถ้าผ่อนผันให้กับตัวเองก็ต้องผ่อนเรื่อยไป ถ้าทำให้จริงจังเด็ดขาดแล้วจะสำเร็จทุกอย่าง

ถาม : เวลานั่งสมาธิ สมาธิระดับไหนจึงพอที่จะเจริญปัญญาขึ้นไปได้ ?
ตอบ : อย่างน้อยต้องปฐมฌานขึ้นไป

ถาม : การพิจารณาในขั้นของปัญญา ต้องพิจารณาอย่างไร ?
ตอบ : พยายามให้เห็นว่าทุกอย่างไม่เที่ยง ทุกอย่างเป็นทุกข์ ไม่มีอะไรยึดถือมั่นหมายได้

ถาม : คิดเอาหรือครับ ?
ตอบ : ไม่ใช่คิดเอา แต่มองให้เห็นจริง แรก ๆ ก็อาจจะคิด พอทำบ่อย ๆ จะเริ่มเห็นและใจยอมรับ ตราบใดที่ใจยังไม่ยอมรับ ก็ยังใช้ไม่ได้

ถาม : ในเรื่องการปฏิบัติ ท่านมีอะไรแนะนำไหมครับ ?
ตอบ : ทำให้จริงเท่านั้นก็พอ
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 18-12-2010 เมื่อ 02:36
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 150 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #73  
เก่า 17-12-2010, 23:55
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,720
ได้ให้อนุโมทนา: 152,086
ได้รับอนุโมทนา 4,418,949 ครั้ง ใน 34,310 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : อยากขอคำแนะนำ แผ่เมตตาให้จิตเราปราศจากโทสะได้เร็ว ๆ
ตอบ : ภาวนาให้กำลังใจทรงตัวเป็นฌานระดับใดระดับหนึ่ง แล้วค่อยแผ่เมตตา หลังจากนั้นก็มาใช้ปัญญาคิดว่า การที่เราโกรธเขาใครเป็นผู้ทุกข์กันแน่ ? ถ้าเราทุกข์เองแล้วเราจะไปโกรธเขาเพื่อซ้ำเติมตนเองไปทำไม ? ตายตอนนั้นก็ลงนรกอีกต่างหาก..! ถ้าใช้ปัญญาคิดเป็นจะหมดโทสะเร็ว
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 18-12-2010 เมื่อ 02:39
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 146 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #74  
เก่า 17-12-2010, 23:58
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,720
ได้ให้อนุโมทนา: 152,086
ได้รับอนุโมทนา 4,418,949 ครั้ง ใน 34,310 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : ถ้าเราไม่อยากอยู่แล้ว แต่เรายังไม่หมดอายุขัย เราจะทำอย่างไรดีครับ ?
ตอบ : ถ้าหากว่าอยากตาย แปลว่ายังใช้ไม่ได้ เราต้องทำกำลังใจของเราว่า อยู่เราก็ได้ทำความดี ถ้าตายเราก็ได้ไปนิพพาน เพราะฉะนั้น..อยู่ก็ได้ ตายก็ดี ธรรมดาของมันเป็นอย่างนี้ เราอยู่ชาติเดียวก็จบ ชาติต่อไปจากนี้จะไม่มีอีกแล้ว

ถาม : ท่านทำกำลังใจอย่างไร ถึงไม่เบื่อสังขารร่างกาย ?
ตอบ : เราจะพ้นไปอยู่แล้ว วันพรุ่งนี้ไม่มีสำหรับเรา เราอยู่กับร่างกายแค่วันนี้เท่านั้น
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 18-12-2010 เมื่อ 02:41
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 147 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #75  
เก่า 18-12-2010, 01:53
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,720
ได้ให้อนุโมทนา: 152,086
ได้รับอนุโมทนา 4,418,949 ครั้ง ใน 34,310 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : ช่วงนี้รู้สึกว่าไม่ค่อยก้าวหน้าในเรื่องการงาน รู้สึกว่าฝืดเคือง
ตอบ : ภาวนาคาถาเงินล้านของหลวงพ่อวัดท่าซุงให้มากไว้ ใช้เป็นคำภาวนาไปเลย

ถาม : เวลาว่างก็ภาวนาตลอด ?
ตอบ : เอาให้ได้วันละอย่างน้อย ๑๐๘ จบ แบ่งเป็นเช้า กลางวัน เย็น เป็นชุด ๆ ไป ให้ได้ครบ ๑๐๘ ทำให้จริง ๆ สักสองเดือนก็จะเห็นผล
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 18-12-2010 เมื่อ 12:44
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 151 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #76  
เก่า 18-12-2010, 12:04
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,720
ได้ให้อนุโมทนา: 152,086
ได้รับอนุโมทนา 4,418,949 ครั้ง ใน 34,310 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : ถ้าเราภาวนาคาถาเงินล้าน แล้วจะควบกับการเดินจงกรม อย่างขวาพุท-ซ้ายโธด้วย จะทำอย่างไร ?
ตอบ : เอากำลังใจเกือบทั้งหมดไว้ที่ตัวคาถา ความรู้สึกสัก ๑๐-๒๐ เปอร์เซ็นต์อยู่ที่อาการเคลื่อนไหวของร่างกาย ไม่จำเป็นจะต้องไปว่าคาถาให้ตรงกับการเดิน แค่ให้รู้ว่าตอนนี้กำลังเดินอยู่ก็พอ

กำหนดรู้แค่อาการเคลื่อนไหว แต่กำลังใจส่วนใหญ่ให้อยู่ที่ตัวคาถา

ถาม : แล้วลมหายใจต้องรู้ไหมครับ ?
ตอบ : ถ้ารู้ได้ด้วยก็ดี แต่ถ้ารู้ลมหายใจครบฐานมักจะเดินไม่ออก

ถาม : ยุบหนอพองหนอกับลมหายใจสามฐาน ชุดเดียวกันหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : จริง ๆ แล้วก็คือชุดเดียวกัน แต่จับคนละอย่างกัน ลมหายใจสามฐานเราจับลมเป็นหลัก พองหนอยุบหนอเราจับอาการเคลื่อนไหวของท้องเป็นหลัก

ถาม : ผมเดินจงกรม ทีนี้พระคาถายาว ?
ตอบ : ไม่ต้องใส่ใจ ให้ว่าไปเรื่อย ก้าวละคำก็ยังได้ ไปช้า ๆ เอาให้มีคุณภาพ

ถาม : แล้วเวลาเดินไปแล้ว ต้องมีหยุดหรือเปล่าครับ หรือเดินแล้ววนกลับ ?
ตอบ : แล้วแต่เราถนัด ขอให้ได้ทำเถอะ
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 18-12-2010 เมื่อ 12:15
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 141 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #77  
เก่า 18-12-2010, 12:05
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,720
ได้ให้อนุโมทนา: 152,086
ได้รับอนุโมทนา 4,418,949 ครั้ง ใน 34,310 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : ตอนที่เราจับลมหายใจ ตอนแรกจับสามฐาน พอทำไปสักพักทุกฐานรู้พร้อมกัน ก็คือต้องรู้พร้อมกันใช่ไหมครับ ?
ตอบ : ใช่..รู้เท่าไรให้กำหนดแค่นั้น จะรู้ตลอดสายตั้งแต่บนยันล่างเลยก็ได้

ถาม : ถ้าเราจับภาพพระ ควรจะแบ่งความรู้สึกไว้ที่ตรงไหนมากกว่ากัน ระหว่างภาพพระกับลมหายใจ ?
ตอบ : ให้ภาพพระไหลตามลมหายใจเข้าไปเลย จะได้ไม่ต้องเสียเวลาไปแบ่ง ถึงเวลาก็ให้ภาพพระไหลเข้าไหลออกตามลมหายใจ
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 18-12-2010 เมื่อ 12:17
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 143 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #78  
เก่า 18-12-2010, 12:10
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,720
ได้ให้อนุโมทนา: 152,086
ได้รับอนุโมทนา 4,418,949 ครั้ง ใน 34,310 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : เวลานั่งสมาธิไป บางทีหลับตาไปแล้ว..?
ตอบ : ความจริงก็คือถ้าเราไปสนใจ สมาธิก็จะเคลื่อน บอกแล้วว่าแม้แต่จะตายก็ไม่ต้องไปใส่ใจ คิดอยู่อย่างเดียวว่า เราทำความดีอยู่ ถ้าจะตายลงไปก็ยอม

ฉะนั้น..ถ้าเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ เรายังปล่อยให้กวนเราได้อยู่ สมาธิก็จะไม่ทรงตัว

ถาม : ตอนที่เรามากำหนดลมหายใจ บางทีเราไปกลัว มีวิธีที่ไม่ให้กลัวไหมครับ ?
ตอบ : ตัดสินใจว่าตายเป็นตาย ถ้าตัดสินใจได้..ก็ได้ ถ้าตัดสินใจไม่ได้..ก็เป็นอย่างนั้นต่อไป

ถาม : เวลาภาวนาจะมีกลิ่นเข้ามาทำให้สงสัย ถ้าเป็นตอนนั้นเราควรจะทำอย่างไร ?
ตอบ : กำหนดใจว่า สิ่งที่เราทำตอนนั้นเป็นบุญกุศลอย่างไร ขอให้ท่านเจ้าของกลิ่นจงโมทนา เราจะได้รับประโยชน์ความสุขเท่าไร ขอให้เธอจงได้รับด้วย แล้วเราก็ภาวนาของเราไป
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 05-02-2019 เมื่อ 19:31
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 138 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #79  
เก่า 18-12-2010, 18:37
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,720
ได้ให้อนุโมทนา: 152,086
ได้รับอนุโมทนา 4,418,949 ครั้ง ใน 34,310 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : หนูสงสัยว่า อย่างอารมณ์ที่ถอนออกจากความยินดี ก็คือ การที่เราเห็นความพอใจในสิ่งใดสิ่งหนึ่ง แล้วถอยออกมาจากสิ่งนั้น ใช่หรือเปล่าคะ ?
ตอบ : ยินดีตรงนี้ของเรานั้นเป็นส่วนของราคะ เป็นรติ ไม่ใช่ยินดีที่เป็นฉันทะในสิ่งที่จะทำความดี เป็นคนละอย่างกัน

ในเมื่อคนละอย่างกัน บางทีภาษาไทยไปเรียกเหมือนกัน จะกลายเป็นว่าเราไปถอนของดีทิ้ง ก็จะยุ่ง

ดังนั้น..ตัวที่เราว่าเป็น รติ คือ ความยินดีที่เนื่องด้วยราคะ พอเราเห็นทุกข์เห็นโทษ จิตก็จะเบื่อหน่าย คลายออกมา เพราะฉะนั้น...ตอนนี้เราต้องพิจารณาให้เห็นโทษของความยินดีที่เนื่องด้วยราคะไปก่อน พอเห็นโทษแล้วสภาพจิตยอมรับว่าไม่ดีจริง ๆ ก็จะหมดอยากเอง พอหมดอยาก ความเบื่อหน่ายคลายกำหนัดก็จะเกิดขึ้น ถ้าปัญญาเพียงพอ ก็จะถอนจิตออกมาเอง

ถาม : บางทีหนูก็แค่ออกจากตรงนั้น ก็จบแล้ว
ตอบ : บางทีอาจเป็นกำลังของสมาธิ เป็นกำลังของฌาน ไม่ใช่ตัวปัญญา อย่าเพิ่งเชื่อ

ถาม : ค่ะ เชื่อมาหลายยกแล้ว
ตอบ : เชื่อมาหลายยก ก็แปลว่าเจ๊งมาหลายยกแล้ว..!

ถาม : บางทีทำไป เหมือนกับอารมณ์ล้น พอล้น เราก็อยากที่จะเอาออก ไม่ว่าจะเอาออกด้วยการเสียสละสิ่งของ หรือแผ่กระแสสมาธิออกจากตัวเอง
ตอบ : พอเจอลักษณะนี้ให้เปลี่ยนสถานที่หรือเปลี่ยนอิริยาบถ ไม่อย่างนั้นจะไปต่อไม่ได้

ถาม : หนูไม่รู้ว่าเป็นสิ่งที่เกิดจากสมาธิหรือเป็นตัวที่เกิดจากปัญญากันแน่ บางทีสิ่งที่เราทำไป แต่ก็เหมือนกับไม่ได้ทำ ผ่านแล้วก็ผ่านไปเลย เมื่อเรามาคิดว่า เมื่อครู่เราทำหรือ ? เราทำก็เหมือนไม่ได้ทำ เพราะว่างเปล่าไปแล้ว
ตอบ : ในสภาพของกิเลสบางตัว อำนาจฉุดดึงร้อยรัดนั้นใกล้เคียงกัน คล้ายคลึงกัน ถ้าเราก้าวล่วงตัวหนึ่ง ตัวอื่น ๆ เราก็จะพลอยก้าวผ่านไปด้วย
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 19-12-2010 เมื่อ 02:27
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 128 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #80  
เก่า 18-12-2010, 18:41
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,720
ได้ให้อนุโมทนา: 152,086
ได้รับอนุโมทนา 4,418,949 ครั้ง ใน 34,310 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : หลวงพ่อฤๅษีบอกไว้ในปฏิปทาท่านผู้เฒ่า อย่างอสุภะให้พิจารณาคนเหมือนถุงอุจจาระ จะได้เกิดความรู้สึกเบื่อหน่าย หรือรังเกียจขยะแขยง แต่หนูเอง ทำไมไม่ผ่านอารมณ์ขยะแขยง แต่กลับไปลงที่ตัวสังขารุเปกขาญาณ ไปลงที่ตัวอนัตตา หรือเห็นเป็นรูปเป็นนามไปเลย
ตอบ : ใช้ได้เหมือนกัน

ถาม : ได้ใช่ไหมคะ ?
ตอบ : อาตมาเองตั้งใจจะไปเอาเมตตาบารมีก็ไม่ได้ เพราะจิตกระโดดไปที่สังขารุเปกขาญาณเลย ขณะเดียวกันตั้งใจจะใช้ตัวอสุภกรรมฐานกับกายคตาสติมาตัดราคะ ก็ตัดไม่สำเร็จ แต่กลับไปตัดได้ด้วยตัวพรหมวิหารสี่แทน

ดังนั้น..บางมุมของกรรมฐานก็ไม่ได้เหมาะสำหรับเรา หรือไม่ได้เหมาะสำหรับคนทั่วไป เพราะแต่ละคนสร้างบารมีเก่ามาไม่เหมือนกัน ในเมื่ออยู่ในแง่มุมอื่น เราสามารถที่จะก้าวผ่านตรงจุดนั้นได้เหมือนกันก็ทำไปเถอะ

ถาม : หนูอยากรู้ว่า แท้ที่จริงแล้วจะต้องผ่านตัวขยะแขยงก่อน แล้วค่อยไปลงที่อนัตตาหรือเปล่า ?
ตอบ : บางทีก็ข้ามไปได้เลย ไม่จำเป็นจะต้อง หนึ่ง สอง สาม อาจจะ สี่ ห้า หก ไปเลย

ถาม : อย่างหลวงพ่อฤๅษีบอกให้รังเกียจขยะแขยง อันนี้ไม่ถือว่าเป็นตัวยินร้ายหรือคะ ?
ตอบ : จะยินดีหรือยินร้ายก็ตาม ภายหลังก็จะต้องปล่อยออกหมดเหมือนกัน แต่ตัวที่ขยะแขยงตรงจุดนั้น จริง ๆ แล้วเพราะเราเห็นว่าสิ่งนั้นไม่ใช่สิ่งที่ดีจริง ๆ เป็นส่วนยินร้ายที่มีปัญญาประกอบเพราะรู้เห็นว่าไม่ดีจริง ๆ ไม่ใช่ส่วนที่ยินร้ายที่เป็นโทสะจริต
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 19-12-2010 เมื่อ 02:31
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 125 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
ตอบ


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 
คำสั่งเพิ่มเติม

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 08:05



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว