#21
|
||||
|
||||
วิชาการสร้างหนุมานที่ดังที่สุดในประเทศไทยของเรา ก็มีหลวงพ่อสุ่น วัดศาลากุน หลวงพ่อดิ่ง วัดบางวัว หลวงพ่อสุ่น วัดศาลากุนท่านแกะเป็นรูปหนุมานเลย มีทั้งทรงเครื่อง ที่เขาเรียกว่าพิมพ์หน้าโขน หรือว่าพิมพ์ปกติไม่ทรงเครื่อง ที่เขาเรียกว่า หน้ากระบี่
อันนั้นท่านให้ช่างแกะจากรากพุดซ้อนที่ท่านปลูก แล้วก็เสกน้ำรดอยู่ทุกวัน เลือกเอาเฉพาะรากที่หันไปทางทิศตะวันออก ถ้าหากว่ารากหันไปทางตะวันออกแล้วโดนขุดขึ้นมา ถ้าเป็นโคนรากก็จะแกะได้ตัวใหญ่หน่อย ถ้าเป็นปลายรากนี่ บางทีตัวเล็กจิ๋วเดียว จนแทบจะลอดง่ามมือ อาตมาเองเล่นเครื่องรางของขลังมาหลายปี เฉพาะหนุมานหลวงพ่อสุ่น ผ่านมือมาเกิน ๒๐ ตัว ขอยืนยันว่ามีตั้งแต่เล็กจิ๋วขึ้นไปจนถึงขนาด ๒ นิ้วมือชิดกัน ขึ้นอยู่กับว่าเป็นโคนรากพุดซ้อนหรือว่าเป็นปลายราก ส่วนของหลวงพ่อดิ่ง วัดบางวัวนั้น เขาเรียกว่าลิงหลวงพ่อดิ่ง บางคนเรียกว่า ลิงจับหลัก ความจริงก็คือหนุมานนั่นเอง แต่ว่าช่างชาวบ้านแกะได้แค่นั้น ถ้าขืนบอกให้แกะหนุมาน ก็อาจจะถอดใจเลิกทำไปเลย
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 28-08-2020 เมื่อ 02:16 |
สมาชิก 138 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#22
|
||||
|
||||
ครูบาอาจารย์ที่สร้างหนุมานหรือลิง โดยอุปเท่ห์หลายประการด้วยกัน
ประการแรก...หนุมานใครฆ่าก็ไม่ตาย ต่อให้ตาย ลมพัดมาก็ฟื้น เพราะว่าเป็นลูกของพระพาย ถึงได้เรียกชื่อว่าวายุบุตร คือลูกของลม ในเมื่อฆ่าไม่ตาย ก็ถือว่าเป็นเคล็ดลับอันหนึ่งที่สุดยอดมาก ประการที่สอง...หนุมานทำงานอะไรสำเร็จหมดทุกอย่าง ไม่เคยพลาด เจ้านายเรียกใช้เมื่อไร งานนั้นต้องเสร็จ แล้วเสร็จในลักษณะที่ออกมาดีด้วย ถ้าหากว่าท่านใดอ่านรามเกียรติ์จะเห็นว่า พระรามของเราถ้าไม่เอ่ยถึงนางสีดา ก็จะเอ่ยถึงหนุมาน แสดงว่าเป็นเจ้านายที่สุดยอดมาก ถ้าไม่ไปคร่ำครวญพร่ำเพ้อหาเมีย ก็จะนึกถึงลูกน้องว่าจะใช้งานอะไรดี ในเรื่องนี้ตอนที่หลวงปู่ปาน วัดบางนมโค สร้างพระพิมพ์ขี่หนุมาน คนก็เลยไปจำกัดว่าหนุมานต้องรับราชการ เพราะว่าพระรามเป็นพระราชา เขากำหนดกันว่า นกทำนา เม่นเดินป่า ปลาค้าขาย ไก่หากิน ครุฑอำนาจ ลิงรับราชการ ท่านอื่นที่สร้างเครื่องรางรูปลิงก็มีหลวงปู่บุญ วัดกลางบางแก้ว หลวงปู่จ้อย วัดบางช้างเหนือ อีกท่านหนึ่งที่สร้าง ท่านไม่ได้ตั้งใจให้อยู่ในชุดเครื่องรางที่ตั้งใจให้เป็นลิง แต่ทำเป็น ๑๒ นักษัตรประจำปีเกิด ก็คือหลวงพ่ออ่ำ วัดหนองกระบอก ตอนหลังมาก็มีหลวงปู่ทิม วัดละหารไร่ ที่สร้างไม่ใช่ลิงที่เป็นวัสดุอย่างไม้แกะหรืองาแกะ แต่ว่าหล่อขึ้นมาจากโลหะเลย แล้วก็มีชื่อเสียงโด่งดังติดลมบนในระยะเวลาอันรวดเร็ว เพราะว่าหลวงปู่ทิมท่านเป็นพระปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ เรียนจริง รู้จริง เก่งจริง โดยเฉพาะวิชาสร้างผงพรายกุมารที่ใคร ๆ ว่าสุดยอดมาก ที่ไหนได้..หลวงปู่ท่านบอกว่า ท่านเสกจนเป็นเทวดาหมดแล้ว คาถาของหลวงปู่ก็คือ สัพพะพุทธานุภาเวนะ สัพพะธัมมานุภาเวนะ สัพพะสังฆานุภาเวนะ อานุภาเวนะ อานุภาเวนะ อานุภาเวนะ จงอยู่ใต้ร่มพุทธบารมี หมดเลย อ้างพระพุทธเจ้าอย่างเดียวเลย
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 29-08-2020 เมื่อ 23:22 |
สมาชิก 146 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#23
|
||||
|
||||
ถึงแม้อาตมาจะศึกษาวิชาการเหล่านี้มา ซึ่งบางอย่างก็ไกลเกินไป คำว่าไกลเกินก็คือห่างพระรัตนตรัยมากไป อาตมาไม่เก่งเหมือนครูบาอาจารย์ ก็อย่าไปทำเลย แทนที่จะนึกถึงพระดันไปนึกถึงลิง ถ้าตายตอนนั้นอาจจะไปเกิดเป็นลูกลิงพอดี..!
แต่คราวนี้ลูกศิษย์ดันคัน ได้ตำราไปก็สร้างเรื่อยเปื่อย เอามาเข้าพิธีด้วย ถ้าโยมสังเกตจะเห็นว่า อาตมาเองแม้ขนาดทำตะกรุดพยัคฆราชเกราะเพชร ก็ยังเอายันต์เกราะเพชรที่เป็นพุทธบารมีใส่เข้าไป ไม่ต้องการให้ไปไกลเกิน ถ้าไกลเกินคุณพระเมื่อไร เดี๋ยวจะกู่กลับยาก..! แล้วอีกส่วนหนึ่งก็คือ การที่เราสร้างวัตถุมงคลเป็นรูปพระ การพุทธาภิเษกก็เป็นไปโดยง่าย เพราะว่าเสกพระเป็นพระไม่ลำบาก สักพักเดียวก็เรียบร้อย แต่วัตถุมงคลรูปอื่น ๆ โดยเฉพาะบรรดาสิงสาราสัตว์ ต้องเสกลิงให้เป็นพระนั้นยากสุด ๆ อันนี้ยังไม่เท่าไร ที่วัดบ้านห้วยน้ำขาวอาตมาต้องเสกควายเป็นพระ..! ฉะนั้น...อะไรก็ตามที่ห่างพระรัตนตรัยมากไป คนเสกจะเหนื่อยมาก ญาติโยมทั้งหลาย ในส่วนนี้พวกเรามีหน้าที่ ถึงเวลาก็นึกถึงบารมีพระท่านให้ช่วยสงเคราะห์ ท่านจะสงเคราะห์ในด้านไหนเราก็รับทั้งหมด ถ้าให้ด้านเดียว ก็ขอรวยไว้ก่อน มีเงินแล้วสบาย ขับรถหรูชนตำรวจตายยังไม่เป็นอะไรเลย..! ดังนั้น...ต้องเอารวยไว้ก่อน
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 28-08-2020 เมื่อ 02:23 |
สมาชิก 135 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#24
|
||||
|
||||
แต่คราวนี้อย่าลืมว่า ในเรื่องของความรวยนั้น โยมจะไปวัดกับเจ้าอาวาสวัดท่าขนุนไม่ได้ เจ้าอาวาสวัดท่าขนุนนั้นสร้างบารมีมาแต่เดิมก็ทานบารมี ชาตินี้มาก็สารพัดทานบารมี ในเมื่อสิ่งที่ท่านทำรองรับกันอยู่แล้ว พอถึงเวลาลาภผลก็ไหลมาเทมา ถ้าท่านทั้งหลายต้องการแบบนี้ ก็ต้องเสริมทานบารมีของเราให้เป็นปกติ
หลายท่านศึกษาพระไตรปิฎกมาก็บอกว่า ในเมื่อของการสร้างบุญสร้างกุศลต้องสร้างชาติที่แล้วถึงมารับชาตินี้ไม่ใช่หรือ ? เกือบใช่..! ต้องบอกว่าสร้างในอดีตมารับในปัจจุบัน ถึงจะถูกต้อง คราวนี้ถ้าญาติโยมทำตอนนี้ ๑ วินาทีผ่านไปก็เป็นอดีตแล้ว ถ้าโยมตั้งหน้าตั้งตาทำให้ต่อเนื่องตามกันไประยะหนึ่ง พอกำลังบุญสั่งสมตัวเพียงพอ คราวนี้สิ่งตอบแทนที่เราต้องการหรือไม่ต้องการก็จะมา บางทีมาจนอาตมารำคาญ จะให้อะไรกันนักหนาวะ ? แต่จะทำอย่างไรได้ ก็ในเมื่อคุณไปสร้างเหตุแบบนั้นไว้ ถึงเวลาผลก็จะเกิดแบบนั้น ฉะนั้น..ถือว่าพวกเราชาตินี้ยังมีหวัง ตั้งหน้าตั้งตาให้ทาน รักษาศีล เจริญภาวนาของเราไป อย่าใจร้อน เรื่องของการสร้างบุญสร้างบารมีต้องทำกันชนิดที่นับกัปไม่ถ้วน ไม่ใช่นับชาติไม่ถ้วน แต่ละกัปเกิดกันเป็นล้าน ๆ ชาติ ในเมื่อต้องสร้างกันมาจนนับกัปไม่ถ้วน เราจะทำเป็นวัยรุ่นใจร้อนไม่ได้ เมื่อถึงเวลาก็ค่อย ๆ ทำไป ทำอย่างสม่ำเสมอ ทำน้อย ๆ ทำบ่อยครั้ง ไม่ใช่ทำมากได้มาก การทำบุญที่สำคัญคือ จิตใจเราได้สละออกเพื่อตัดความโลภ ดังนั้น..ต้องทำบ่อย ๆ ไม่ใช่ทำมาก อาจจะทำครั้งละหนึ่งบาท สองบาท ห้าบาท สิบบาท ยี่สิบบาท ขอให้ได้ทำไปเรื่อย ๆ พอสภาพจิตเคยชินจนกลายเป็นฌาน อะไรก็ตามไม่ว่าเป็นทาน เป็นศีล เป็นภาวนา ถ้าทรงฌานได้ ผลก็จะมีมากกว่าปกติ อย่างอาตมาเอง อดีตชาติก็ทำเอาไว้ ปัจจุบันชาติก็ทำเอาไว้ ฌานสมาบัติก็ฝึกหัดเอาไว้ พอถึงเวลา ผลที่เกิดจึงมีมาก ก็ถือว่าเป็นไปตามเหตุตามปัจจัยที่ได้สร้างไว้ ญาติโยมสามารถที่จะเลียนแบบตามกันได้
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 29-08-2020 เมื่อ 04:24 |
สมาชิก 130 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#25
|
||||
|
||||
เรื่องของพระพุทธศาสนา เป็นเรื่องของเหตุและผล ทางลัดไม่มี พอที่จะช่วยชี้บอกกันได้ แต่ต้องไปเอง แบบเดียวกับเรื่องของพระคาถาเงินล้าน เรารู้อยู่ว่าภาวนาคาถานี้แล้วจะรวย แต่หลายคนก็ไม่ทำกัน ในเมื่อไม่สร้างเหตุ ถึงเวลาจะรอให้ผลเกิด ก็ย่อมเป็นไปไม่ได้
สมัยที่อาตมาเรียนปริญญาตรีอยู่ มีเพื่อนพระ ปัจจุบันนี้คือพระครูใบฎีกาถาวร ถาวโร เจ้าสำนักสงฆ์ธรรมถาวร จังหวัดลพบุรี ท่านถาวรนี่ เดือนสองเดือนก็จะมีซองฎีกามาแจกเพื่อน ให้ช่วยทำบุญอย่างนั้น ทำบุญอย่างนี้ อยู่กันมานาน สนิทสนมกันมาก เพื่อนก็ด่าเอาเลย ขออภัยนะ "ไอ้ห่...ไม่รู้จักไปทำมาหากินที่อื่นหรืออย่างไรวะ ? คอยมาเอาแต่พวกนี่แหละ..!" อย่าคิดนะว่าพ่อเจ้าประคุณจะทรุดหรือว่าจะสลด ท่านด่ากลับเลย ท่านว่า "ก็เป็นเพื่อนเป็นฝูงกัน ถ้าไม่เอาจากเพื่อนแล้วจะเอาจากหมาที่ไหนวะ ? กูไม่ใช่พระครูเล็กนี่..!" อ้าว...แล้วเกี่ยวอะไรกับอาตมาวะ ? ท่านบอก "พระครูเล็กท่านทำมาตั้งแต่ชาติไหนก็ไม่รู้ ? ชาตินี้มาถึงท่านก็เก็บเกี่ยวเอา เก็บเกี่ยวเอา ไอ้ของผมชาตินี้ นายังหาไม่ได้เลย อย่าว่าแต่หว่าน ก็ต้องมาเอาจากพวกเอ็งนั่นแหละ..!" เออ...ดีเหมือนกัน สรุปว่าอาตมาเองไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรก็โดนพาดพิง โดนเพื่อนยกเป็นตัวอย่าง เรื่องพวกนี้ที่ท่านพูดนั่นใช่เลยนะ ก็คือถ้าสร้างไว้ในอดีต แล้วปัจจุบันเรารับผล คนอื่นจะมาอิจฉาก็ไม่มีประโยชน์ คุณต้องสร้างเอง ต้องทำเอง สร้างเหตุให้พอ แล้วผลถึงจะเกิด เพราะฉะนั้น ถ้าอยากจะได้แบบอาตมาก็ โน่น..ไปภาวนาพระคาถาเงินล้านให้ได้เหมือนกับอาตมา
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 29-08-2020 เมื่อ 04:27 |
สมาชิก 130 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#26
|
||||
|
||||
ช่วงภาวนาวันละ ๓๐๐ จบนี่สามปีเต็ม ๆ เกินสามปีด้วย แต่นับตัดเอาเต็ม ๆ แค่สามปี แล้วช่วงวันละประมาณ ๑,๒๐๐ จบนี่เกือบสามเดือน ไม่ต้องทำอะไรเลย ตื่นตี ๓ ก็เริ่มเดินจงกรม ภาวนาไปด้วย สาย ๆ หน่อย ประมาณ ๗ โมงครึ่ง ๘ โมง ฉันหนึ่งมื้อ ไม่เกิน ๑๐ นาที ๑๕ นาที เสร็จแล้วก็เข้าที่เดินจงกรมภาวนาต่อ ไปเลิกเอาตอน ๑ ทุ่ม เริ่มตี ๓ เลิก ๑ ทุ่มทุกวัน เดินจงกรมจนพื้นเป็นร่อง ถ้าโยมอยากได้อย่างอาตมา ก็ต้องทำแบบนั้น
บางคนอาจจะเห็นว่าเมื่อสักครู่นี้ ญาติโยมยกขันใส่ประคำเข้ามา อาตมามีลูกประคำหลายสาย แต่ละสายนับจนเงาวาววับ อยากจะบอกว่า ตอนที่บังคับตัวเองให้ภาวนาคาถาเงินล้าน ที่บอกว่าวันละ ๓๐๐ จบเป็นอย่างน้อยอยู่ประมาณ ๓ ปีเศษนั้น อาตมานับจนประคำสายขาดมานับครั้งไม่ถ้วน..! พอถึงเวลานับไป ๆ สายประคำเปื่อย ทนแรงนับไม่ไหว ก็ขาดร่วงกราว ต้องวิ่งไล่เก็บกลับมาร้อยกันใหม่ เสร็จสรรพเรียบร้อย ภาวนานับต่อ ส่วนใหญ่ก็ได้ประมาณเดือนกว่า ๆ ขาดอีกแล้ว นับจนลูกประคำหวายซึ่งจะมีเปลือกเป็นลอนเล็ก ๆ ลักษณะเป็นวงกลมหมุนรอบตัวเอง นับจนลื่นเป็นแก้วเลย นิ้วมือตัวเองก็ได้หนังด้านขึ้นมาสองเม็ดหนา ๆ ประคำเส้นนั้น โดนโยมขอผาติกรรมไป แบ่งกันอยู่ ๔ - ๕ คน ผลัดกันใช้ บอกไม่เคยเห็นเนื้อหวายที่ใสเป็นแก้วแบบนี้ เหลืองเป็นแก้วเหมือนอย่างกับทำด้วยอำพันเลย
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 30-08-2020 เมื่อ 02:29 |
สมาชิก 119 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#27
|
||||
|
||||
มีคนพยายามเลียนแบบ อ๋อ..เอาเครื่องปั่นขัดเอา แล้ว เอาน้ำมันทา แต่ก็ไม่เป็นแบบนั้น
การที่เรานับประคำด้วยมือนั้น มี ๒ อย่างด้วยกัน อย่างแรกก็คือ มือของเราที่นับ เท่ากับว่าเราใช้มือขัด เป็นการขัดที่ประณีตมาก เครื่องไม่สามารถที่จะทำได้ ประการที่สอง ปราณคือพลังชีวิต หรือพลังจิตที่เราทุ่มเท บรรจุอยู่ในนั้นด้วย ก็จะออกมาสวยงามกว่าปกติ ฉะนั้น...โยมจะเห็นว่าของบางอย่าง ถ้าเราใช้เป็นประจำจะดูดีมาก ช่วงนี้เศรษฐกิจไม่ดี ถ้าหากว่าญาติโยมภาวนาพระคาถาเงินล้านเอาไว้ ที่อาตมาบอกว่าทำวันละ ๑๐๘ จบ แบ่งออกเป็นวันละ ๓ ช่วงก็ได้ หรือจะเอากี่ช่วงก็แล้วแต่เราถนัด อาตมาเองถนัดเป็น ๓ ช่วง ก็คือช่วงเช้า ๓๖ จบ กลางวัน ๓๖ จบ เย็น ๓๖ จบ ตอนช่วงที่ภาวนาวันละ ๓๐๐ จบ ก็เช้า ๑๐๐ จบ กลางวัน ๑๐๐ จบ เย็น ๑๐๐ จบ ต่อมา เพิ่มเป็นเช้า ๑๒๐ จบ กลางวัน ๑๒๐ จบ เย็น ๑๒๐ จบ อยู่ที่เราจะเพิ่ม แล้วอาตมาเองก็ค่อนข้างจะบ้า ก็คือถ้ากำหนดไว้เท่าไรแล้วจะไม่มีน้อยกว่านั้น มีแต่จะมากขึ้นไปเรื่อย ๆ
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 30-08-2020 เมื่อ 02:30 |
สมาชิก 120 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#28
|
||||
|
||||
ในสภาพเศรษฐกิจที่ไม่ไหวแบบนี้ ญาติโยมก็ต้องอาศัยมนต์คาถา ถ้าเป็นพวกนักวิชาการสมัยนี้บอกว่า ไสยศาสตร์คือเวทมนตร์คาถา แต่ความจริงนักวิทยาศาสตร์หรือบรรดานักวิชาการ เขาไม่เข้าใจอย่างแท้จริง ก็แบบเดียวกับที่พวกเรามาเพื่อรอรับวัตถุมงคล ก็จะมีประเภทที่คอยตำหนิว่า เป็นพวกกำลังใจห่วยแตก ใช้การไม่ได้ ยังต้องยึดถืออย่างโน้นอย่างนี้อยู่ ขอให้ทราบไว้เลยว่า คนเราสร้างบารมีมาไม่เท่ากันอย่างหนึ่ง ปัญญาไม่เท่ากันอย่างหนึ่ง
คนเราสร้างบารมีมาไม่เท่ากัน คนที่สร้างบารมีมาน้อย ก็ต้องมีสิ่งจูงใจให้เข้าหาความดี คนที่มีปัญญาไม่ประมาท ก็ต้องอาศัยสิ่งของยึดเกาะในการเดินทาง เพื่อที่จะไม่ให้ตัวเองพลาดล้ม หรือว่าถ้ามีสิ่งช่วยอำนวยความสะดวก ก็อาศัยใช้งานเพื่อความคล่องตัว และโดยเฉพาะว่า ถ้าเราเป็นนักปฏิบัติธรรมที่แท้จริง จะไม่ตำหนิคนอื่น เพราะเห็นชัดว่าธรรมดาของโลกเป็นอย่างนั้น ถ้ายังตำหนิคนอื่นอยู่ แปลว่ายังไม่เห็นธรรมดาของโลก แปลว่าคนตำหนินั้นกำลังใจยังใช้ไม่ได้เอง เรื่องทั้งหลายเหล่านี้อย่าไปเถียงกับเขา เพราะว่าญาติโยมยังไม่ชัดเจนในเหตุผลเลยว่าเรามานั่งรอแบบนี้ทำไม ? ไปนั่งเถียงกับเขา เดี๋ยวโดนนักวิชาการบี้ตาย แต่พวกนักวิชาการนี่ พอเจอเจ้าอาวาสวัดท่าขนุนมักจะโดนบี้ตายแทน เพราะว่าอาตมาชัดเจนว่าสิ่งทั้งหลายเหล่านี้คืออะไร สามารถยกเหตุยกผลขึ้นมาสู้กันได้ แล้วที่แน่ ๆ ก็คือ อย่าไปเถียงกับใครโดยไม่จำเป็น เพราะว่าแสดงถึงทิฐิ คือกำลังใจของเราที่ยังแบกรับอยู่ ไม่ปล่อยวาง ถ้าไม่ใช่เรื่องที่เสียหายถึงส่วนรวม อาตมาไม่เสียเวลาไปเถียงกับใครหรอก ปล่อยเขาไปเถอะ..อยากพูดอะไรก็ให้พูดไป พอเหนื่อยเขาก็หยุดเอง แต่ถ้ามีอะไรเสียหายถึงส่วนรวมนี่อาตมาจะต้องพูด ในเรื่องของการพูด เราต้องตั้งสติด้วย อย่าให้ไหลตามไปกับ รัก โลภ โกรธ หลง ให้เป็นการว่ากันโดยธรรม ภาษาพระเขาเรียกว่า วิวาทะ ที่เราอ่านว่า วิวาท วิวาทนี่ไม่ใช่ทะเลาะกันนะ วิ เป็นอุปสรรคในภาษาบาลี เขาแปลว่า วิเศษ แจ่มแจ้ง หรือแตกต่าง วิวาท มีคำพูดที่แตกต่างกัน ฉะนั้น..วิวาทนี่ไม่ใช่ทะเลาะกัน วิวาท ก็คือ แสดงคำพูดที่ต่างกัน ว่าเหตุผลของใครจะดีกว่ากัน
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 30-08-2020 เมื่อ 02:35 |
สมาชิก 116 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#29
|
||||
|
||||
แจ้งให้ญาติโยมทั้งหลายให้ทราบว่า ที่พวกเรามาร่วมบุญในงานนี้ เท่ากับว่าพวกเราได้สร้างพระ ๒ องค์ ก็คือพระปัจเจกพุทธเจ้าหน้าตัก ๔๐ นิ้ว ๑ องค์ พระปางห้ามสมุทรทรงเครื่อง ความสูง ๑๕๕ เซนติเมตร ๑ องค์
เมื่อวานนี้เพิ่งจะได้รับคำบอกเล่ามาว่า เม็ดเงิน ๗๐๐ กิโลกรัมนั้น ได้แค่องค์พระปัจเจกพุทธเจ้า ต้องมีฐานอีก ๓๐๐ กิโลกรัม ได้ยินแล้ว "น้ำตาจิไหล"..! อะไรช่างมีแต่เจริญขึ้น ไม่มีลงเลย เป็นสัญลักษณ์ที่ดีมาก ว่าทำอะไรมีแต่เจริญโดยส่วนเดียว ลูกคนรวยไม่ต้องกลัวของแพง..! ท่านทั้งหลายที่บริจาคมา ไม่ว่าจะเป็นปัจจัยมาก็ดี เม็ดเงินก็ตาม ก็จะได้อานิสงส์ ๒ ส่วน คือสร้างพระพุทธเจ้ากับสร้างพระปัจเจกพุทธเจ้า ในบาลีเขาว่า พุทโธ อัปปมาโณ คุณของพระพุทธเจ้าประมาณไม่ได้ ทำไมถึงประมาณไม่ได้ ?
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 30-08-2020 เมื่อ 02:37 |
สมาชิก 117 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#30
|
||||
|
||||
อาตมาเปรียบเทียบให้ฟังไปหลายทีแล้วว่า ถ้าเราต้องการจะออกจากโลกนี้ไปสู่ห้วงอวกาศ เราก็ต้องสร้างจรวด ต้องหาเชื้อเพลิงไฮโดรเจนเหลว ก็ไม่รู้ว่ากี่ร้อยกี่พันตัน ราคากี่หมื่นกี่แสนล้าน ส่งตัวเองให้หลุดพ้นแรงดึงดูดของโลก ไปลอยเท้งเต้งอยู่ในห้วงอวกาศของสุริยจักรวาล ไม่ได้ไปไหนเลย อยู่ในจักรวาลนี่แหละ ก็คืออยู่ในระบบของสุริยจักรวาล Solar System
คราวนี้อยากจะไปให้ไกลกว่านั้น ก็ต้องขวนขวายเชื้อเพลิงอีก สิ้นเปลืองอีกไม่รู้เท่าไร ส่งตัวเองให้พ้นสุริยจักรวาล ไปติดอยู่ในดาราจักรทางช้างเผือก ที่ฝรั่งเรียกว่า Milky Way Galaxy เอ้า...สรุปว่าไปยันโน่นแล้วก็ยังไม่ไปไหน ยังติดแหง็กอยู่แค่นั้นอีก ต้องขวนขวายหาเชื้อเพลิงหาต้นทุนใหม่ ไม่รู้เหมือนกันว่าต้องเพิ่มขึ้นอีกเท่าไร กว่าจะดีดตัวเองหลุดพ้นจากดาราจักรทางช้างเผือก ก็ไปติดอยู่ในเอกภพ ก็คือแหล่งรวมดาราจักรและเนบิวลาต่าง ๆ ที่เรียกว่า Universe ในภาษาอังกฤษ ไม่ได้ไปไหนเลย ยังอยู่แค่นั้นแหละ เอ้า...ขวนขวายหาพลังงานเพิ่มเติมอีกประมาณไม่ได้ พาตัวเองหลุดพ้นจากเอกภพไป ก็เพิ่งจะไปติดอยู่แค่ชายขอบของสวรรค์ชั้นจาตุมหาราช โอ้...พระเจ้า สั่งสมกำลังกี่ชาติ หมดงบประมาณไปก็ไม่รู้ ? ไปได้แค่นั้นเอง..! แต่พระพุทธเจ้าของเราสอนให้เราประพฤติใน ทาน ศีล ภาวนา เบื้องต้นก็ไปถึงตรงนั้นแล้ว แล้วพระองค์ยังหลุดพ้นจากกามาวจร หลุดพ้นจากรูปาวจร หลุดพ้นจากอรูปาวจร หลุดพ้นไปยังพระนิพพาน กำลังมหึมามโหฬารขนาดนั้น มีใครประมาณได้บ้าง ? บาลีถึงได้บอกว่า พุทโธ อัปปมาโณ คุณของพระพุทธเจ้าไม่มีใครประมาณได้ เดี๋ยวจะทำบวงสรวง พวกเรากราบขอบารมีพระองค์ท่านสงเคราะห์กันเอง อย่าลืมนะว่า สร้างเหตุให้พอแล้วผลจะเกิด ถ้าสร้างเหตุไม่พอ ไปอธิษฐานขอให้ตาย ก็ไม่ได้อะไร
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 31-08-2020 เมื่อ 13:24 |
สมาชิก 118 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#31
|
||||
|
||||
(หลังบวงสรวง) ถ้าญาติโยมที่ไม่ทันจองเนื้อเงิน หรือเนื้อทองแดงก็จองไม่ทัน ไปจองกับมูลนิธิสามสมเด็จนะ เพราะนั่นคือต้นตำรับพระกริ่งสะท้านไตรภพเลย แต่หน้าตาไม่ค่อยเหมือนกัน ต่างคนต่างทำ เพียงแต่เข้าพิธีเดียวกัน ของวัดท่าขนุนองค์ใหญ่กว่า เพราะว่าอาตมาบ้าเลือด ไม่กลัวเปลืองวัสดุ
ญาติโยมไม่ต้องหนักใจ ถึงไม่มีพระกริ่ง เดี๋ยวก็มีเหรียญรัชกาลที่ ๕ อานุภาพเหมือนกันทุกประการ แล้วเหรียญรัชกาลที่ ๕ นั้นได้เยอะกว่าด้วย เพราะว่าเข้าพิธีมาเป็น ๑๐ รอบแล้ว
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 30-08-2020 เมื่อ 02:42 |
สมาชิก 127 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#32
|
||||
|
||||
อาตมาชอบที่สุด ตอนที่พระท่านสงเคราะห์ลงมา เพราะว่าจิตของเราจะสงบนิ่งมาก กิเลสอะไรที่ฟุ้งซ่านอยู่ ตอนนั้นจะหายหมดเลย
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 30-08-2020 เมื่อ 02:43 |
สมาชิก 127 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#33
|
||||
|
||||
อาตมาพยายามแช่งให้ฝนตกก็ไม่ตก เขาบอกว่างานวัดท่าขนุน ถ้าไม่เลิก ฝนจะไม่ตก จะให้เสียสถิติก็ไม่สำเร็จ คือ อาตมาชอบแกล้งชาวบ้านมาก มีความสุขถ้าแกล้งเขาได้ แต่ปรากฏว่าอะไรที่พระท่านรับปากไว้ หรือเทวดาท่านรับปากแล้ว ต่อให้เราลืม ท่านก็ทำหน้าที่ของท่านเอง
โยมจะเห็นว่าจริง ๆ แล้วช่วงนี้พายุเข้า ฝนตกทั้งวันทั้งคืน แต่พอเราเริ่มบวงสรวงก็หายจ้อยไปเลย แล้ววันนี้ร้อนตับแตกเลย..!
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 30-08-2020 เมื่อ 02:44 |
สมาชิก 117 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#34
|
||||
|
||||
อาตมาไม่อยากจะบอกว่า พระประธานในโบสถ์นั่นแหละ..มหาลาภใหญ่เลย ชื่อ หลวงพ่อหนุนดวง วัดท่าขนุน แต่อาตมาไม่กล้าติดป้าย เพราะว่ากลัวคนมาเยอะ เป็นพระประธานที่สร้างตั้งแต่ปี ๒๔๙๘ โดยท่านนายอำเภอบุญธรรม บุษปะวนิช นายอำเภอคนแรกของทองผาภูมิเลย
ใครจะไปสวดคาถาเงินล้านถวายพระก็ตรงนั้นแหละ แล้วก็อธิษฐานกันเอาเองตามอัธยาศัย
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 30-08-2020 เมื่อ 02:45 |
สมาชิก 126 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#35
|
||||
|
||||
ถาม : อันนี้เขาบอกว่าเป็นพิสมรของหลวงพ่อแก้ว วัดพวงมาลัย ใช่หรือเปล่าครับ ?
ตอบ : ไม่ใช่แน่นอน เป็นของทำเลียนแบบ ของหลวงพ่อแก้ว วัดพวงมาลัย ไม่ว่าจะใหญ่จะเล็ก จะสั้นจะยาว หัวท้ายจะเสมอกัน เท่ากัน ไม่ป่องกลางแบบนี้ จำไว้ว่าของแบบนี้ ถ้าไม่เก่งจริง อย่าไปเล่น เปลืองสตางค์ ถาม : อันนี้เขี้ยวเสือหลวงปู่ปานหรือเปล่าครับ ? ตอบ : เขาทอดน้ำมันมา เกรียมได้ที่เลย..!
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 31-08-2020 เมื่อ 13:22 |
สมาชิก 109 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#36
|
||||
|
||||
ถาม : อันนี้พระขรรค์หลวงพ่อโสกใช่ไหมครับ ?
ตอบ : ใช่..เล่มนี้เป็นส่วนเขาที่ติดเนื้อสด ถึงเวลาจะหดตัวมาก พิจารณาง่าย ไม่อย่างนั้นแล้วถ้าเป็นเครื่องรางที่ใส่กรอบมา อย่าไปแตะ พิจารณายาก เพราะว่าติดกรอบ ส่วนอันนี้ชัดเจนเลยว่าใช่ ถ้าเป็นเนื้อเปลือกเขาจะแข็ง แล้วก็อยู่ตัว พิจารณายากนิดหนึ่ง ต้องดูฝีมือแกะ ต้องดูลายจาร แต่ถ้าเป็นประเภทติดเขาสดเลย ถึงเวลาหดตัวมาก มองดูก็รู้ว่าใช่ อันนี้เขาเรียกว่าแท้ตาเปล่า ขณะเดียวกันก็มีเก๊ตาเปล่าเหมือนกัน
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 06-09-2020 เมื่อ 01:51 |
สมาชิก 110 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#37
|
||||
|
||||
ถ้าใจสงบจะจำอะไรได้ง่าย ส่วนใหญ่พวกเราไม่ค่อยจะเป็นอย่างนั้น ฟุ้งซ่านได้ทั้งวันทั้งคืน ส่วนใหญ่ก็ปรุงไป รัก โลภ โกรธ หลง
พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร. ปกิณกธรรมช่วงงานพุทธาภิเษกพระกริ่งสะท้านไตรภพ วันที่ ๒๑-๒๒ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๖๓ (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย นายกระรอก และเผือกน้อย)
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 31-08-2020 เมื่อ 13:24 |
สมาชิก 125 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 2 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 2 คน ) | |
คำสั่งเพิ่มเติม | |
|
|