กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะพระอาจารย์ > พระครูวิลาศกาญจนธรรม (หลวงพ่อเล็ก สุธมฺมปญฺโญ) > เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน > เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน ปี ๒๕๖๗ > เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน เดือนมีนาคม ๒๕๖๗

Notices

ตอบ
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #1  
เก่า 06-03-2024, 19:52
ตัวเล็ก's Avatar
ตัวเล็ก ตัวเล็ก is offline
กรรมการเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Mar 2009
ข้อความ: 10,642
ได้ให้อนุโมทนา: 216,883
ได้รับอนุโมทนา 747,478 ครั้ง ใน 36,409 โพสต์
ตัวเล็ก is on a distinguished road
Default เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพุธที่ ๖ มีนาคม ๒๕๖๗

เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพุธที่ ๖ มีนาคม ๒๕๖๗


__________________
มารใช้ คนทุกคน ของทุกชิ้น สัตว์ทุกตัว เป็นเครื่องมือในการขวางเรา โดยเฉพาะคนที่เรารักมากที่สุด
(-/\-) (-/\-) (-/\-)
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 45 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ตัวเล็ก ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #2  
เก่า 07-03-2024, 00:40
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,653
ได้ให้อนุโมทนา: 151,944
ได้รับอนุโมทนา 4,416,023 ครั้ง ใน 34,243 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

วันนี้ตรงกับวันพุธที่ ๖ มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๖๗ ท่านทั้งหลายก็เห็นว่ากระผม/อาตมภาพงานมากแค่ไหน แต่ว่าเรื่องงานส่วนเรื่องงาน เรื่องที่อยากจะพูดถึงในวันนี้ก็คือ มีผู้ส่งคลิปมาให้ ที่มีพระมหารูปหนึ่งตอบคำถามที่ว่า "ถ้าพระอุปัชฌาย์ต้องอาบัติปาราชิกแล้วไปบวชพระ ผู้ที่ได้รับการบวชนั้นจะสำเร็จเป็นพระหรือไม่ ?"

ท่านตอบว่า "มีทั้งที่สำเร็จเป็นพระและไม่สำเร็จเป็นพระ" โดยอธิบายว่า ถ้าหากว่าบวชด้วยคณะสงฆ์ปัญจวรรคในปัจจันตประเทศ ก็คืออย่างต่ำ ๕ รูป หรือว่าบวชด้วยคณะสงฆ์ทสวรรค ในมัชฌิมประเทศ คืออย่างต่ำ ๑๐ รูป ถ้ามีจำนวนเกิน อย่างเช่นว่าบวชในปัจจันตประเทศ คือพวกชายขอบ แล้วมีพระสงฆ์อยู่ในคณะปูรกะเกินกว่าจำนวน ๕ รูป ถือว่าบวชได้สำเร็จ

หรือว่าถ้าบวชในมัชฌิมประเทศ คือส่วนกลางที่มีความเจริญ แล้วมีพระสงฆ์เข้าร่วมบวชเกิน ๑๐ รูป ถือว่าบวชแล้วสำเร็จเป็นสงฆ์ได้ แต่ถ้าหากว่าไม่เกินนั้น ตัดพระอุปัชฌาย์ออกไปแล้ว เหลือ ๙ รูปบ้าง ๔ รูปบ้าง ก็คือไม่ครบจำนวนตามที่พระพุทธเจ้ากำหนดเอาไว้ ก็ถือว่าบวชแล้วไม่เป็นพระ ฟังดูแล้วก็มีหลักการดี แต่กระผม/อาตมภาพเห็นว่าไม่ใช่อย่างนั้นแน่นอน

ท่านอ้างว่าการบวชนั้นจะสำเร็จด้วยวัตถุสมบัติ ก็คือตัวผู้บวชนั้น เกิดเป็นมนุษย์ เป็นบุรุษ อายุได้อย่างน้อย ๒๐ ปี มีอวัยวะครบ ๓๒ เหล่านี้เป็นต้น ปริสสมบัติ คณะสงฆ์ครบถ้วนตามที่พระพุทธเจ้ากำหนดเอาไว้

สีมาสมบัติ บวชอยู่ในเขตสีมา ที่มีกำหนดอย่างชัดเจน เป็นต้น ซึ่งหลักการพวกนี้พระสงฆ์ของเรารู้อยู่แล้ว ส่วนในเรื่องของกรรมวาจาสมบัตินั้นเป็นเรื่องของคู่สวด ท่านบอกว่าถ้าสมบัติทั้งหมดนี้ครบถ้วน ก็สำเร็จเป็นพระได้ แต่ท่านลืมไปหรือเปล่าว่า อันดับแรก ถ้าหากว่าพระอุปัชฌาย์ขาดความเป็นพระไปแล้ว พูดง่าย ๆ ว่าแม่พิมพ์เสีย แล้วจะพิมพ์วัตถุออกมาให้ได้ดีนั้น เป็นไปไม่ได้

ประการต่อไปก็คือการบวชนั้น บวชโดยญัตติจตุตถกรรม คือสงฆ์สวดประกาศ ๑ ครั้ง สวดอนุสาวนาอีก ๓ ครั้ง รวมเป็น ๔ ครั้ง ในท่ามกลางสงฆ์นั้น บุคคลที่อยู่ในสังฆกรรมนั้นต้องเป็นอุปสัมบันเท่านั้น ยกเว้นผู้เข้าบวช เพราะว่าเขาไปขอให้คณะสงฆ์ยกตนเองขึ้นเป็นอุปสัมบัน คือผู้มีศีลเสมอกัน แต่พระอุปัชฌาย์ต้องอาบัติปาราชิก ขาดความเป็นพระ ถือว่าเป็นอนุปสัมบัน ไปอยู่ท่ามกลางคณะสงฆ์ ก็ทำให้สังฆกรรมนั้นวิบัติหมด สังฆกรรมย่อมไม่อาจสำเร็จประโยชน์ได้

ประการต่อไปก็คือ ทำไมไม่ยกเอามหาปเทส ๔ ขึ้นมา เพราะว่าเป็นเครื่องตัดสินพระธรรมวินัยที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามอบให้ไว้ ในเมื่อ
เรื่องที่ไม่สมควร พิจารณาแล้วว่าไม่สมควร เรื่องนั้นย่อมไม่สมควร โดยเฉพาะพระอุปัชฌาย์ตามรากศัพท์แปลว่า "ผู้เพ่งดู" ก็คือดูให้สังฆกรรมนั้นเป็นไปโดยถูกต้องสมบูรณ์ตามพระธรรมวินัย ไม่ผิดพลาด แล้วตนเองเป็นผู้บกพร่องเสียเอง ยังจะไปทำหน้าที่พระอุปัชฌาย์ได้อย่างไร ?
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 07-03-2024 เมื่อ 03:53
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 36 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #3  
เก่า 07-03-2024, 00:45
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,653
ได้ให้อนุโมทนา: 151,944
ได้รับอนุโมทนา 4,416,023 ครั้ง ใน 34,243 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

แล้วในปัจจุบันนี้ มีผู้วินิจฉัยในลักษณะนี้อย่างมาก อย่างเช่นว่าสังฆกรรมทุกอย่าง ถ้าหากว่ามีสงฆ์เกิน ๔ รูป ต่อให้มีผู้ต้องปาราชิกหรือสังฆาทิเสสอยู่ภายในนั้น ถือว่าสังฆกรรมนั้นสมบูรณ์ กระผม/อาตมภาพก็ยังสงสัยว่า "ตีความเข้าข้างตัวเองหรือเปล่า ?" เพราะว่าอนุปสัมบัน คือบุคคลที่มีศีลน้อยกว่า ไปอยู่ในท่ามกลางอุปสัมบัน ผู้ที่มีศีลมากกว่า ก็ย่อมทำให้เกิดข้อบกพร่องขึ้นมา เหมือนอย่างกับผ้าขาดเป็นรูอยู่ตรงกลาง แล้วจะบอกว่าผ้าผืนนั้นสมบูรณ์บริบูรณ์ย่อมเป็นไปไม่ได้

ส่วนในเรื่องของการอุปสมบท ยิ่งเป็นเรื่องที่สำคัญมาก พระพุทธเจ้าทรงวางหลักเกณฑ์ไว้หลายต่อหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นวัตถุสมบัติ สีมาสมบัติ กรรมวาจาสมบัติ ปริสสมบัติ เหล่านี้เป็นต้น โดยที่พระอุปัชฌาย์เป็นผู้ตรวจสอบและควบคุม เมื่อเห็นว่าเหมาะสมก็ให้คู่สวด สวดประกาศขึ้นในท่ามกลางสงฆ์ ถ้าหากว่าคณะปูรกะ คือสงฆ์ทั้งหลายที่ร่วมนั่งอันดับอยู่นั้น เห็นว่ามีข้อบกพร่องอะไรก็ต้องคัดค้านขึ้นมาในตอนนั้น ไม่ใช่ว่าเห็นว่ามีข้อบกพร่อง แล้วก็ปล่อยผ่านไป เพราะว่าคณะสงฆ์ส่วนอื่นมีมากกว่า

เรื่องพวกนี้จะว่าไปแล้ว กลายเป็นการตีความเข้าข้างตนเอง โดยเฉพาะไม่มั่นใจว่าพระอุปัชฌาย์อาจารย์ คู่สวด หรือว่าผู้ที่เป็นพระอันดับ มีผู้ต้องอาบัติปาราชิก หรือสังฆาทิเสสขาดจากการเป็นพระหรือไม่

อาบัติปาราชิกก็คือขาดจากความเป็นพระไปเลย สังฆาทิเสสขาดจากความเป็นพระชั่วคราว จนกว่าจะได้รับการลงโทษ ครบถ้วนแล้ว คณะสงฆ์สวดประกาศคืนความเป็นพระ ถึงจะเป็นพระได้อีกครั้งหนึ่ง


เรื่องพวกนี้ท่านทั้งหลายต้องระมัดระวังเป็นอย่างสูง โดยเฉพาะบรรดาพระนักวิชาการต่าง ๆ ซึ่งการที่เราจะตีความหลักการ หรือข้อกฎหมายอะไร นั่นเป็นเรื่องของทางโลก คณะสงฆ์ของเรามีพระธรรมวินัยเป็นข้อปฏิบัติที่สมบูรณ์บริบูรณ์อยู่แล้ว ตัดออกก็ขาด เติมเข้าก็เกิน แล้วถ้าเรายังไปรั้นทำอยู่ ท่านทั้งหลายอาจจะต้องอนันตริยกรรมอีกประเภทหนึ่ง ก็คืออัญญสัตถุทเทส ที่เขาแปลว่าถือศาสดาอื่นเป็นศาสดาของตน ก็เพราะว่าไม่เชื่อในองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วไปตีความจนพระธรรมวินัยผิดเพี้ยนไป

ไม่ว่าท่านจะไปเอาหลักการมาจากครูบาอาจารย์ท่านใดก็ตาม แปลว่าท่านถือครูบาอาจารย์ผู้นั้นสำคัญกว่าพระธรรมวินัยของพระพุทธเจ้า ดังนั้น..การที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า อัญญสัตถุทเทส คือการถือศาสดาอื่นเป็นศาสดาของตนนั้น มีโทษเหมือนดั่งอนันตริยกรรม ก็แปลว่าเตรียมมีอเวจีมหานรกเป็นที่ไป..!
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 07-03-2024 เมื่อ 03:56
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 35 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #4  
เก่า 07-03-2024, 00:53
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,653
ได้ให้อนุโมทนา: 151,944
ได้รับอนุโมทนา 4,416,023 ครั้ง ใน 34,243 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

เรื่องพวกนี้ถ้าหากว่าเราไปถกเถียงกัน ก็ต้องแม่นในเรื่องพระธรรมวินัยให้มากพอ ไม่อย่างนั้นแล้วอีกฝ่ายหนึ่งยกขึ้นมา อย่างเช่นสมบัติ ๔ ที่ได้กล่าวมาว่า พระพุทธเจ้ากำหนดว่า ถ้าหากว่าอุปสมบทกรรม ประกอบไปด้วยสมบัติทั้ง ๔ นี้ ถือว่าสมบูรณ์ ไม่ใช่นะครับ สมบัติทั้ง ๔ คือสิ่งที่ต้องมีเพื่อให้สังฆกรรมนั้นไปได้ถูกต้อง เหมือนกับรถต้องมีล้อ ถ้าไม่มีล้อ รถไปไม่ได้ แต่ว่าคนขับรถคือพระอุปัชฌาย์ครับ ไม่ใช่คุณไปตั้ง "ออโตไพล็อต" แล้วปล่อยให้รถคันนั้นวิ่งไป โดยที่บอกว่าไม่จำเป็นต้องมีคนขับก็ได้ ชนฉิบหายมาเท่าไรแล้วก็ไม่รู้..!!?

กระผม/อาตมภาพเสียดายมาก เพราะว่าหลายท่านก็เรียนจบประโยคบาลีสูง ๆ หรือเรียนทางโลกจบปริญญาเอกบ้าง แต่ว่าท่านทั้งหลายเหล่านั้นขาดตถาคตโพธิสัทธา คือการเชื่อมั่นในสิ่งที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ แล้วก็มักจะไปตีความพระธรรมวินัยเข้าข้างตนเอง ถ้าสิ่งทั้งหลายเหล่านี้มีมากขึ้น ๆ ก็จะเป็นสนิมเหล็กที่เกิดในเนื้อของตนเอง แล้วก็กัดกินเหล็กนั้นจนผุกร่อน ท้ายที่สุดก็พังทลายลงไป

พระพุทธเจ้าถึงได้ตรัสว่า
ไม่มีใครที่สามารถทำลายพระพุทธศาสนานี้ได้ นอกจากพุทธบริษัท ๔ ของพระองค์ท่านเอง เนื่องเพราะว่าศาสนาพุทธเป็นของจริง เป็นของแท้ ใครต้องการพิสูจน์ เมื่อเข้ามาปฏิบัติแล้ว ก็จักเป็นไปตามที่พระองค์ท่านตรัสเอาไว้ทุกประการ

เพียงแต่ว่าผู้ที่เป็นพุทธบริษัทนั้น ย่อหย่อนในการปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ไม่มีสุปฏิปันโน คือปฏิบัติดี ไม่มีอุชุปฏิปันโน คือปฏิบัติตรง ไม่มีญายปฏิปันโน คือปฏิบัติถูกต้องตามหลักธรรม ไม่มีสามีจิปฏิปันโน คือปฏิบัติชอบแล้วตามที่พระองค์ท่านตรัสเอาไว้ ถ้าอย่างนี้ พระพุทธศาสนาของเราก็พังด้วยมือของคนกันเอง พอได้ยินได้ฟังแล้ว กระผม/อาตมภาพก็รู้สึกว่า เรื่องพวกนี้จะมีมากขึ้นไปเรื่อย ๆ เพราะว่าบุคคลที่มักง่ายอย่างหนึ่ง บุคคลที่ถือตามครูบาอาจารย์ ในลักษณะของอาจริยวาทอย่างหนึ่ง ก็คือ "ครูกูว่ามา ต้องถูกตามนี้"

อย่างที่เมื่อคืนกระผม/อาตมภาพบอกกับคณะนิสิตวิปัสสนาจารย์ว่า ที่ท่านทั้งหลายปฏิบัติมานั้น หลงทางไปมากแล้ว โดยเฉพาะปฏิบัติในญาณ ๑๖ พอลูกศิษย์มาส่งอารมณ์ เฉียดเข้าไปไม่ถึง ๑ เปอร์เซ็นต์ คุณก็ไปฟันธงว่าเขาได้ญาณนั้นแล้ว เริ่มตั้งแต่ญาณที่ ๑ นามรูปปริจเฉทญาณ ญาณที่แยกรูปนามออกจากกันอย่างเด็ดขาด ก็คือเห็นว่าร่างกายนี้ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา ท่านทั้งหลายคิดว่าเป็นเรื่องง่าย ๆ หรือที่คนจะเข้าถึงได้ ?

ไม่ใช่พอถึงเวลา เขาจับพองยุบได้ชัดเจน ไม่สนใจอาการอื่น เอ้า..นี่คือนามรูปปริจเฉทญาณ มึงบ้า..! ไอ้นั่นมันเป็นแค่อาการของสมาธิที่เริ่มทรงตัวเท่านั้น ไม่ใช่สภาพปัญญาที่มองเห็นชัดเจนว่าสิ่งใดเป็นรูปสิ่งใดเป็นนาม พอมองเห็นชัดเจนแล้ว ตระหนักรู้ว่านี่ไม่มีอะไรเป็นเรา เป็นของเราอย่างแท้จริง ถึงจะเป็นนามรูปปริจเฉทญาณ ไม่ใช่ญาณ ๑๖ ที่ราคาเป็นหมื่นล้านเป็นแสนล้าน คุณเจอเข้าไปบาทเดียว แล้วเขาก็บอกว่าคุณได้เป็นมหาเศรษฐีแล้ว..!
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 07-03-2024 เมื่อ 04:01
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 35 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #5  
เก่า 07-03-2024, 00:59
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,653
ได้ให้อนุโมทนา: 151,944
ได้รับอนุโมทนา 4,416,023 ครั้ง ใน 34,243 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

แต่เชื่อเถอะ..นอกจากกระผม/อาตมภาพแล้ว ไม่มีใครเขาพูดหรอก เขาก็จะสอนกันต่อ ๆ มา แล้วผู้เป็นวิปัสสนาจารย์ ก็คือผู้ที่ต้องไปสั่งสอนคนอื่นต่อ ก็จะทำให้คนเขาเข้าใจผิดตาม ๆ กันไปอีก สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ถ้าหากว่าไม่กระตุกเอาไว้ ไม่ตักเตือนเอาไว้ ท่านจะเห็นว่าวิปัสสนาจารย์ที่มาตามหลักสูตรนี้ ก็คือ ๘๐ รูป บวกกับครูบาอาจารย์ที่มาควบคุมอีก ก็ประมาณ ๑๐๐ รูป ๑๐๐ คนนี่ ถ้าบอกต่อได้คนละ ๕ ก็กลายเป็นไอ้ห้าร้อย..! ฉิบหายกันพอดี

ดังนั้น..ท่านทั้งหลายจึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องศึกษาพระพุทธศาสนาให้เข้าถึงอย่างแท้จริง ไม่อย่างนั้นแล้วเราไม่สามารถที่จะเป็นทนายแก้ต่างให้พระพุทธศาสนาได้ แล้วก็จะโดนบรรดา "ทุมมังกุ" ที่แปลตรงตัวว่า "ผู้เก้อยาก" แต่กระผม/อาตมภาพเรียกว่า "ไอ้หน้าด้าน" ให้เขาตีกินไปเรื่อย จนท้ายที่สุดศาสนาของเราก็อยู่ไม่ได้ เพราะว่าญาติโยมไม่เลื่อมใส บุคคลที่ตั้งใจจะปฏิบัติจริงก็โดนชักจูงจนผิดทาง กลายเป็นสอนคนให้เป็นมิจฉาทิฏฐิแทน จึงฝากเอาไว้ให้ท่านทั้งหลายได้ตระหนักเอาไว้ว่า ปัจจุบันนี้ของเราเรื่องพระพุทธศาสนาไปไกลเกินแล้ว..!

แม้กระทั่งเรื่องของการต้องอาบัติ คือศีลขาด สมมติว่าอาบัติปาราชิก คุณเอาสิ่งของไป ราคาเกิน ๕ มาสก ขาดจากความเป็นพระ ก็แปลว่าจบแล้ว ไม่ใช่ว่าเอาไปคืนเขาแล้วก็เป็นอันว่าหายกัน ไอ้คนที่โดนตัดหัวขาดไปเรียบร้อยแล้ว บอกว่าเอาหัวไปต่อคืนได้ เป็นไปได้ไหม ? หรือไม่ก็ไปฆ่าคนตายเข้า แล้วบอกว่า "ศาลยังไม่ได้ตัดสิน ผมเป็นแค่ผู้ต้องหา ผมยังไม่ได้เป็นนักโทษ..!"

เรื่องของพระธรรมวินัย เราทำปุ๊บก็ต้องอาบัติปั๊บ ไม่ใช่ต้องรอสามศาลตัดสิน ศาลชั้นต้นตัดสินแล้ว กูก็ยังอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ตัดสินแล้ว กูก็ยังฏีกา ศาลฏีกาตัดสินแล้ว กูยังขอฟ้องศาลปกครอง..! นั่นเป็นเรื่องทางโลก ไม่ใช่เรื่องทางธรรม เราต้องแยกแยะให้ออก

กระผม/อาตมภาพเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่า จะมีเรี่ยวมีแรงมาคอยแก้ต่าง หรือว่าบอกกล่าวในเรื่องที่ถูกต้องให้พวกเราฟังได้อีกสักเท่าไร แต่ว่าเรื่องพวกนี้จะมีมากขึ้นไปเรื่อย ๆ ตามเวลา เพราะว่าบุคคลที่เข้าใจผิด ก็จะไปกระจายเรื่องออกไปเรื่อย แบบที่อยู่ ๆ ก็มีคนส่งคลิปนี้มาถึงกระผม/อาตมภาพ แล้วคนที่ถ้าเชื่อตามนั้น ก็บรรลัยกันหมดพอดี คุณจะให้แม่พิมพ์พัง ๆ ปั๊มเอาสินค้าเกรดเอออกมา ย่อมเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว

สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายแก่พระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้

พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
วันพุธที่ ๖ มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๖๗
(ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 07-03-2024 เมื่อ 04:05
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 38 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
ตอบ


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 
คำสั่งเพิ่มเติม

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 15:43



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว