กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะพระอาจารย์ > พระครูวิลาศกาญจนธรรม (หลวงพ่อเล็ก สุธมฺมปญฺโญ) > เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน > เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน ปี ๒๕๖๖ > เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน เดือนธันวาคม ๒๕๖๖

Notices

ตอบ
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #1  
เก่า 17-12-2023, 18:08
ตัวเล็ก's Avatar
ตัวเล็ก ตัวเล็ก is offline
กรรมการเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Mar 2009
ข้อความ: 10,659
ได้ให้อนุโมทนา: 216,968
ได้รับอนุโมทนา 748,273 ครั้ง ใน 36,459 โพสต์
ตัวเล็ก is on a distinguished road
Default เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอาทิตย์ที่ ๑๗ ธันวาคม ๒๕๖๖

เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอาทิตย์ที่ ๑๗ ธันวาคม ๒๕๖๖


__________________
มารใช้ คนทุกคน ของทุกชิ้น สัตว์ทุกตัว เป็นเครื่องมือในการขวางเรา โดยเฉพาะคนที่เรารักมากที่สุด
(-/\-) (-/\-) (-/\-)
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 39 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ตัวเล็ก ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #2  
เก่า 18-12-2023, 00:41
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,678
ได้ให้อนุโมทนา: 152,056
ได้รับอนุโมทนา 4,416,999 ครั้ง ใน 34,268 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

วันนี้ตรงกับวันอาทิตย์ที่ ๑๗ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๖๖ กระผม/อาตมภาพได้รับข้อความจากบุคคลผู้หนึ่ง ซึ่งตำหนิมาว่า "การที่ไปสอนให้ญาติโยมภาวนาพระคาถาเงินล้านนั้น เป็นการทำให้ผู้อื่นมัวเมา หวังร่ำหวังรวย มีแต่จะพอกพูนกิเลส" กระผม/อาตมภาพพอได้รับข้อความแล้ว ก็มาพิจารณาดูว่า สิ่งที่ท่านกล่าวมานั้นเกิดจากอะไร ? แต่ก่อนที่จะกล่าวไปถึงตรงนั้น เรามาดูกันก่อนว่า การภาวนาพระคาถาเงินล้านแล้วร่ำรวยนั้นเกิดจากอะไร ?

การที่บุคคลจะเกิดมาร่ำรวยได้นั้น ต้องมีพื้นฐานมาจากทานบารมี คือรู้จักเสียสละแบ่งปันให้กับคนอื่น ไม่ว่าจะเป็นวัตถุสิ่งของ หรือแม้กระทั่งเรื่องของธรรมะ ตลอดจนกระทั่งการให้อภัย แต่ว่าทานส่วนของธรรมะและการให้อภัยนั้น เป็นทานในระดับที่สูงมาก เกินกว่าที่จะก่อเกิดเฉพาะโภคสมบัติ แบบเดียวกับทานที่เป็นวัตถุสิ่งของ

ดังนั้น..ท่านที่ศึกษามาดีแล้ว ก็จะเห็นว่าครูบาอาจารย์ตั้งแต่สมัยหลวงปู่ปาน วัดบางนมโคก็ดี หลวงพ่อฤๅษีฯ วัดท่าซุงก็ตาม จะแนะนำอยู่เสมอว่า ถ้าจะภาวนาพระคาถาพระปัจเจกโพธิโปรดสัตว์ หรือว่าพระคาถาเงินล้าน ต้องมีการใส่บาตรเป็นปกติ นั่นคือการให้ทานกับเนื้อนาบุญโดยตรง เพื่อที่จะได้มีอานิสงส์มาก ก่อให้เกิดผลได้เร็ว

ในขณะเดียวกัน ถ้าบุคคลที่ไม่มีเวลาในการใส่บาตรทุกวัน พระเดชพระคุณหลวงพ่อฤๅษีฯ วัดท่าซุงก็แนะนำว่า ให้ภาวนาพระคาถาเงินล้านอย่างน้อย ๙ จบ แล้วเอาสตางค์สักหนึ่งบาท หยอดกระปุกเอาไว้ ตั้งใจว่าถึงเวลาแล้วจะนำไปถวายเป็นค่าภัตตาหารพระ นั่นก็คือการใส่บาตรเช่นกัน

ดังนั้น..พื้นฐานของความร่ำรวยอันดับแรกนั้น มาจากอำนาจของทานบารมี อันดับที่สองก็คือการภาวนาพระคาถาเงินล้านนั้น ทำให้จิตของเราเป็นสมาธิ ยิ่งมีสมาธิสูงมากเท่าไร ก็สามารถใช้งานได้มากเท่านั้น กำลังจิตที่มุ่งมั่นว่า สิ่งที่ตนเองทำนั้น จะสร้างความร่ำรวยขึ้นมาได้ด้วยวิธีการใดวิธีการหนึ่ง ก็จะทำให้เกิดความสำเร็จขึ้นมา ซึ่งมีภาษาบาลียืนยันว่า "มโนมยา" คือ "การสำเร็จด้วยใจ"

ท่านที่เคยเล่นคาถาอาคมต่าง ๆ มา จะรู้เรื่องนี้ได้ดีที่สุด เพราะว่าจะใช้คาถาอะไรก็ตาม ถ้าจิตของท่านมุ่งมั่นว่าจะให้เกิดผลอะไร ถึงเวลาสมาธิทรงตัวได้ระดับ ก็จะเกิดผลแบบนั้น ดังนั้น..ความร่ำรวยที่เกิดขึ้นจากการภาวนาพระคาถาเงินล้าน จึงเกิดขึ้นในลักษณะแบบนี้
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 18-12-2023 เมื่อ 01:36
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 34 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #3  
เก่า 18-12-2023, 00:55
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,678
ได้ให้อนุโมทนา: 152,056
ได้รับอนุโมทนา 4,416,999 ครั้ง ใน 34,268 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ส่วนที่ท่านผู้นั้นกล่าวว่า ความรวยเป็นการสร้างกิเลสนั้น เราลองมาดูว่า ท่านผู้กล่าวนั้นมีคุณงามความดีในระดับไหน ? ถ้าดูตามพระไตรปิฎก อนาถปิณฑิกเศรษฐีเป็นอริยบุคคลระดับพระโสดาบัน ท่านยังคงทำมาค้าขายตามปกติ สามารถที่จะให้ทานแก่พระภิกษุสงฆ์ทุกวัน ถึงวันละ ๕๐๐ รูป

บุคคลที่เป็นพระอริยเจ้าระดับพระโสดาบัน ยังมีการทำมาค้าขาย มีการกอบโกยปัจจัยเงินทองเข้าสู่ตนเองและครอบครัวตามปกติ แต่ไม่ได้นำเอาความร่ำรวยนั้นไปเบียดเบียนผู้หนึ่งผู้ใด ซ้ำยังช่วยเหลือผู้อื่นเป็นประจำ จนได้ฉายาว่าอนาถปิณฑิกเศรษฐี คือ ผู้มีก้อนข้าวสำหรับบุคคลอนาถา ถ้าหากว่าร่ำรวยแล้วเป็นกิเลส แปลว่าผู้พูดนั้นตั้งกำลังใจไว้ในทางที่ผิด คิดแต่จะใช้ความร่ำรวยไปทางมัวเมาด้วย รัก โลภ โกรธ หลง นั่นเอง..!

หรือจะดูตัวอย่างนางวิสาขามหาอุบาสิกา บุคคลนี้มีประวัติชัดเจนว่าเป็นพระโสดาบันตั้งแต่อายุ ๗ ขวบ นางวิสาขามหาอุบาสิกานั้น แต่งงานตอนอายุ ๑๖ ปี ผู้เป็นบิดาได้มอบสินทรัพย์ให้ ก็คือเงิน ๕๐๐ เล่มเกวียน ทอง ๕๐๐ เล่มเกวียน ภาชนะทองเหลือง ๕๐๐ เล่มเกวียน ภาชนะทองแดง ๕๐๐ เล่มเกวียน เหล่านี้เป็นต้น ตลอดจนกระทั่งฝูงวัวมากมายจนนับไม่ได้

เมื่อไปถึงยังบ้านของฝ่ายสามีแล้ว นางวิสาขามหาอุบาสิกาก็นำทรัพย์สินเหล่านี้ไปแบ่งปันให้กับชาวบ้านทั้งหมด บาลีใช้คำว่า "ยังทุกคนให้มีฐานะเสมอกัน" ก็คือคนที่มีมากก็แบ่งให้น้อย คนที่มีน้อยก็แบ่งให้มาก จนกระทั่งทุกคนมีทรัพย์สินใกล้เคียงกันหมด

นางวิสาขามหาอุบาสิกาที่เป็นพระอริยเจ้าระดับพระโสดาบันก็ไม่ได้ปฏิเสธความร่ำรวย โดยเฉพาะมีเครื่องประดับที่ชื่อมหาลดาปสาธน์ ซึ่งมีมูลค่าถึง ๙๑ โกฏิ ถ้าหากว่าเราตีราคาว่า ๑ โกฏิเท่ากับ ๑๐ ล้าน เครื่องมหาลดาปสาธน์นั้นก็จะมีราคาถึง ๙๐๐ กว่าล้าน ซึ่งในราคาปัจจุบันนี้ย่อมไม่มีทางที่จะเทียบกับราคาในสมัยโบราณได้

ท่านเองก็ไม่ได้เห็นว่าความร่ำรวยนี้เป็นกิเลส ซ้ำยังเอาเงินทองนั้นไปสร้างบุพพารามมหาวิหารถวายไว้ในพระพุทธศาสนา จนกระทั่งมีชื่อเสียงเลื่องลือ ในฐานะของมหาอุบาสิกา ผู้ไปยังวัดวาอารามแล้วไม่เคยไปมือเปล่า เป็นผู้ที่ก่อให้เกิดประเพณีในพระพุทธศาสนาหลายประการ ก็คือการถวายผ้ากฐิน การถวายผ้าคหปติจีวร เป็นต้น
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 18-12-2023 เมื่อ 01:39
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 32 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #4  
เก่า 18-12-2023, 01:01
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,678
ได้ให้อนุโมทนา: 152,056
ได้รับอนุโมทนา 4,416,999 ครั้ง ใน 34,268 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ถ้ายังรู้สึกว่าน้อยไป เราก็ไปดูเจ้ามหานามศากยะ ท่านเป็นกษัตริย์ของศากยวงศ์ เมื่อฟังธรรมจากองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว บรรลุอนาคามิผล บุคคลผู้เป็นพระอนาคามี ถ้าพูดตรง ๆ ก็คือ ผู้ที่สละแล้วซึ่งบ้านเรือนทรัพย์สินทั้งหมด

แต่ว่าเจ้ามหานามศากยะนั้น ต้องบอกว่าท่านน่าสงสารมาก อยากจะสละราชสมบัติ โดยการไปเวนราชสมบัติให้กับอนุรุทธกุมาร แต่พอถามว่า "บุคคลผู้เป็นกษัตริย์ต้องทำอะไรบ้าง ?" อนุรทธกุมารก็บอกว่า "ถ้าลำบากขนาดนั้น พี่ก็เป็นต่อไปเถอะ ผมบวชเองดีกว่า" ว่าแล้วท่านก็ออกบวช จนกระทั่งกลายเป็นพระมหาสาวกผู้เป็นเลิศทางทิพจักขุญาณ

เจ้ามหานามศากยะซึ่งเป็นผู้ที่ไม่ต้องการบ้านเรือนสมบัติอะไรแล้วตามกำลังใจของตน แต่ว่าสำนึกในหน้าที่รับผิดชอบ จึงต้องกัดฟันทนเป็นกษัตริย์ของศากยวงศ์สืบต่อไป ก็ไม่เห็นว่า
พระอริยเจ้าระดับสูงขนาดอนาคามีบุคคล จะปฏิเสธความร่ำรวย หรือว่าทรัพย์สมบัติ เพียงแต่ว่าท่านอยู่โดยที่จิตไม่ได้ยึดเกาะในสิ่งทั้งหลายเหล่านั้นเลย

ดังนั้น..ถ้าหากว่ามากล่าวถึงในลักษณะของการที่ท่านผู้นั้นกล่าวว่า กระผม/อาตมภาพแนะนำให้คนภาวนาพระคาถาเงินล้านเพื่อความร่ำรวย เป็นการพอกพูนกิเลส ท่านทราบหรือไม่ว่าการภาวนานั้นจะสร้างสมาธิให้เกิดขึ้น เมื่อสมาธิทรงตัว ปัญญาก็ย่อมเกิด เมื่อปัญญาเกิด ก็ไปควบคุมศีลให้บริสุทธิ์บริบูรณ์ ทั้งสามอย่างนี้ ถ้าเป็นมัคคสมังคี คือรวมพร้อมเมื่อไรแล้ว ย่อมสามารถที่จะตัดกิเลสระดับใดระดับหนึ่ง เป็นพระอริยเจ้าตั้งแต่โสดาปฏิมรรค ขึ้นไปจนถึงอรหัตผล ตามแต่กำลังหรือวาสนาบารมีที่ท่านผู้นั้นสั่งสมมา ว่ามากน้อยกว่ากันเท่าไร

ในเมื่อเป็นเช่นนั้น พระคาถาเงินล้านก็เป็นแค่อุบายที่ครูบาอาจารย์สั่งสอนให้พวกเรามา โดยหวังเป้าหมายสูงสุด คือพ้นจากกองทุกข์เข้าสู่พระนิพพาน แต่ถ้าหากว่าท่านทำไม่ถึง อย่างน้อยผลทางโลก ๆ ก็ทำให้เรามีฐานะร่ำรวย มีความคล่องตัว จะสร้างเสริมบุญกุศลในส่วนใดก็สามารถทำได้อย่างเต็มที่ จะช่วยเหลือผู้อื่น ก็สามารถทำได้อย่างเต็มที่ ดังนั้น..การภาวนาพระคาถาเงินล้าน จึงมีผลดีตั้งแต่ต้นยันปลาย..!
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 18-12-2023 เมื่อ 01:42
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 33 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #5  
เก่า 18-12-2023, 01:09
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,678
ได้ให้อนุโมทนา: 152,056
ได้รับอนุโมทนา 4,416,999 ครั้ง ใน 34,268 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

อยากจะเรียนถามว่า ท่านผู้ติมานั้น ท่านติเพื่อก่อหรือเปล่า ? หรือเพื่อติให้ตัวเองนั้นดูดี เป็นบุคคลที่มีความดีความงาม มองเห็นความผิดพลาดของผู้อื่น เป็นการติแบบที่หวังประโยชน์ หรือว่าติแบบเหยียบคนอื่นขึ้นไปสู่ที่สูง ? ซึ่งเป็นการติที่สร้างกิเลส แบกความมานะถือตัวถือตน แบกสักกายทิฏฐิ ตัวกูของกูเอาไว้เต็มที่หรือเปล่า ? เป็นการติแบบที่โบราณกล่าวว่า "ติเรือทั้งโกลน ติโขนยังไม่ได้แต่งตัว" หรือเปล่า ?

ถ้าหากว่าเป็นไปในลักษณะนั้น คำติของท่านก็ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์ใด ๆ เลย เพราะว่าไม่ได้ชี้ช่องบ่องทางให้ผู้อื่นเห็นว่า จะทำสิ่งใดถึงจะถูกต้อง นอกจากบอกอย่างเดียวว่าทำแบบนั้นผิด ทำแบบนั้นผิด เราเองเป็นคนดี เห็นความผิดถึงได้ชี้ให้เห็น ถ้าอย่างนั้นท่านก็จะเป็นบุคคลที่น่าสงสารมาก เพราะว่าแบกกิเลสเอาไว้อย่างเต็มที่ มีจิตใจที่ประกอบด้วยวิหิงสาวิตก คือคิดแต่จะเบียดเบียนคนอื่น ไม่เห็นถึงคุณงามความดีของคนอื่น กลายเป็นเอากิเลสของตนเองมาแสดงให้คนอื่นเห็น ว่าเรามีกำลังใจต่ำเตี้ยเรี่ยดินขนาดไหน..!

กระผม/อาตมภาพและคณะศิษย์ทั้งหลาย ที่ร่วมกันภาวนาพระคาถาเงินล้านมาตั้งแต่ต้น ก็ขอเอาใจช่วยให้ท่านสามารถยกจิตของตนให้สูงขึ้นมา จากปุถุชนผู้หนาแน่นด้วยกิเลส อย่างน้อยที่สุดให้เป็นกัลยาณชนที่มีศีลสมบูรณ์ มีสมาธิทรงตัวบ้าง หรือถ้าหากว่าสามารถยกจิตขึ้นเป็นอริยชน ผู้เบาบางด้วยกิเลส หรือว่าผู้ที่ตัดกิเลสส่วนใดส่วนหนึ่งได้ ตลอดจนกระทั่งหมดกิเลส เข้าสู่พระนิพพานได้ ก็จะเป็นสิ่งที่กระผม/อาตมภาพและคณะศิษย์จะอนุโมทนาด้วยความยินดีเป็นอย่างยิ่ง

ได้แต่หวังว่าเราจะได้ไปพบกัน ณ ภพภูมิที่สูงขึ้นไปเบื้องบน ไม่ใช่พบกันในอบายภูมิเบื้องต่ำ ซึ่งกระผม/อาตมภาพและคณะศิษย์คงไม่ยินดีที่จะไปด้วยเป็นแน่..!

สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายแก่พระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้

พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
วันอาทิตย์ที่ ๑๗ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๖๖
(ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 18-12-2023 เมื่อ 01:45
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 44 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
ตอบ


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 
คำสั่งเพิ่มเติม

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 03:13



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว