กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะพระอาจารย์ > พระครูวิลาศกาญจนธรรม (หลวงพ่อเล็ก สุธมฺมปญฺโญ) > เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน > เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน ปี ๒๕๖๖ > เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน เดือนมิถุนายน ๒๕๖๖

Notices

ตอบ
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #1  
เก่า 23-06-2023, 19:57
พิชวัฒน์'s Avatar
พิชวัฒน์ พิชวัฒน์ is offline
สมาชิก - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Aug 2014
ข้อความ: 346
ได้ให้อนุโมทนา: 3,307
ได้รับอนุโมทนา 18,901 ครั้ง ใน 824 โพสต์
พิชวัฒน์ is on a distinguished road
Default เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันศุกร์ที่ ๒๓ มิถุนายน ๒๕๖๖

เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันศุกร์ที่ ๒๓ มิถุนายน ๒๕๖๖


ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 38 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ พิชวัฒน์ ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #2  
เก่า 24-06-2023, 00:31
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,667
ได้ให้อนุโมทนา: 152,012
ได้รับอนุโมทนา 4,416,497 ครั้ง ใน 34,257 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

วันนี้ตรงกับวันศุกร์ที่ ๒๓ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๖๖ บ้านเราทั้งเชื้อไวรัสโควิด ๑๙ และไข้เลือดออกระบาดหนัก จะนั่งนอนอะไรก็ระมัดระวังเอาไว้หน่อย โดยเฉพาะพวกยุง ถ้าหากว่ากินตามเวลาแปลว่ามีเชื้อโรคทั้งนั้น สรุปเอาง่าย ๆ อย่างนี้ได้เลย ถ้าหากว่ากินพร่ำเพรื่อทั้งวัน โอกาสติดเชื้อก็น้อยหน่อย โดยเฉพาะยุงมาลาเรีย มักจะกินช่วงเช้า ๆ เย็น ๆ ประมาณครึ่งชั่วโมงแล้วก็หายไปเลย

เรื่องของการเจ็บไข้ได้ป่วย แม้ว่าจะเกิดจากเศษกรรมปาณาติบาตก็ตาม แต่ของบางอย่าง ถ้าหากว่าเราระมัดระวังก็พอที่จะหลีกเลี่ยงกันได้ ไม่ใช่อะไรก็ปล่อยไปตามกฎของกรรมอย่างเดียว คือบางคนก็ตีความการใช้ธรรมะผิดไป สมัยที่กระผม/อาตมภาพยังอยู่ที่วัดท่าซุง มีโยมคนหนึ่งเลี้ยงหมาเอาไว้หลายตัว เนื่องจากว่าเขาพักอยู่ที่ห้องกรรมฐานซึ่งตนเองเป็นเจ้าภาพสร้าง บรรดาหมาทั้งหลายก็อาศัยนอนตรงระเบียง

คราวนี้เส้นทางนั้นเป็นทางที่พระจะต้องเดินไปเจริญพระกรรมฐานหลังทำวัตรเย็นที่ตึกธัมมวิโมกข์ ซึ่งเป็นช่วงก่อนที่จะมีการสร้างวิหารแก้ว ๑๐๐ เมตร พอเดินผ่านก็มักจะโดนหมากัด ถ้าหากว่าหมากัดทั่วไปก็ไม่มีปัญหา แต่ปรากฏว่าไปเจอหมาติดเชื้อพิษสุนัขบ้าเข้า ก็คือหมาเป็นโรคกลัวน้ำ ซึ่งก็เป็นเรื่องที่แปลก ปกติถ้าหากว่า
หมาข้ามถิ่น เจ้าของถิ่นก็จะรุมกัด แต่เจ้าตัวนั้นพอเดินไป เจ้าของถิ่นวิ่งหนีกันหมด กระผม/อาตมภาพก็ยังสงสัยว่าพวกหมารู้ได้อย่างไรว่าไอ้ตัวนั้นบ้า..! หรือว่าเหมือนกับคนเรา มองดูก็รู้ว่าใครดีใครบ้า พระเจ้าก็ต้องช่วยกันจับเพื่อที่จะขังเอาไว้ ไม่ให้ไปกัดคนกัดหมาอื่น จนกระทั่งจะติดเชื้อบ้าตามไปด้วย

พอเอาไปขัง เจ้าของก็ร้องห่มร้องไห้จะเป็นจะตาย จะเปิดกรงปล่อยหมาให้ได้
กระผม/อาตมภาพก็ยังถามว่า "แล้วถ้าหมาไปกัดคนเขาเล่า ?" เขาบอกว่า "ก็เป็นกฎของกรรม" ถ้าหากว่ากระผม/อาตมภาพเป็นเจ้าอาวาส มีหวังโดนตบร่วงคามือเลย..! เสียดายว่าเจ้าอาวาสก็คือหลวงพ่อวัดท่าซุง ก็คือของที่ป้องกันได้ แก้ไขได้ แต่ไม่ทำ ปล่อยให้เป็นกฎของกรรม นั่นไร้ปัญญาชัด ๆ เลย..!

เพราะฉะนั้น..พวกเราเองถ้ารู้จักป้องกันโรคภัยก็รอดนานหน่อย ทุกวันนี้เวลาไปงานไปอะไร
กระผม/อาตมภาพใส่หน้ากากไป เกือบจะเป็นตัวประหลาดไปแล้ว..! เพราะว่าคนอื่นเขาไม่ใส่กัน แต่พอเขาติดเชื้อ คนโน้นป่วย ๔ วัน คนนี้ป่วย ๕ วัน แล้วกระผม/อาตมภาพไม่เป็นอะไร เขาออกจากโรงพยาบาลมา เขาก็ยังคงไม่ใส่ต่ออยู่ดี..! เออ..เรื่องของท่านเถอะ เพราะว่าของแบบนี้ป้องกันได้ แต่คราวนี้เขาไม่ป้องกันเลย

ไม่ทราบเหมือนกันว่ามั่นใจว่ามีวัตถุมงคลดีหรืออย่างไร ? แล้วก็เลยติดเชื้อกันได้บ่อย ส่วนกระผม/อาตมภาพเองรอดมา ๙ ระลอกแล้ว ยังไม่ติดกับใคร แต่ก็ยังไม่รู้ว่าจะไปโดนเข้าตอนไหน..!
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 24-06-2023 เมื่อ 00:53
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 31 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #3  
เก่า 24-06-2023, 00:36
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,667
ได้ให้อนุโมทนา: 152,012
ได้รับอนุโมทนา 4,416,497 ครั้ง ใน 34,257 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

เพราะว่าเพื่อนพระสังฆาธิการหลายรูปก็บ่นกันว่า "ตอนเชื้อแรง ๆ ก็ไม่ติดสักที พอตอนเชื้อเริ่มเบาลงดันมาติด..!" ก็ต้องบอกว่า ปมาโท มจฺจุโน ปทํ ความประมาทเป็นหนทางแห่งความตาย อปฺปมาโท อมตํ ปทํ ความไม่ประมาทเป็นหนทางแห่งความไม่ตาย พระพุทธเจ้าตรัสเอาไว้ชัดเจนแล้ว ถ้าไม่รู้จักระมัดระวังก็ไม่ทราบเหมือนกันว่าจะช่วยเหลือได้อย่างไร เพราะว่าเวลาเราเจ็บไข้ได้ป่วย ก็เดือดร้อนถึงหมอ ถึงพยาบาล ประเทศชาติก็ต้องมาเสียงบประมาณในการรักษาพวกเรา

จึงเป็นเรื่องที่พวกเราพึงจะสังวรระวังเอาไว้ว่า ในเรื่องของการปฏิบัติธรรมนั้น เป็นเรื่องของบุคคลที่มีปัญญา คนผู้มีปัญญาจะไม่เลี้ยวผิดง่าย ๆ เพราะว่าจะพิจารณาแล้วพิจารณาอีก
แต่ไม่เลี้ยวผิด ไม่ใช่แปลว่าจะเร็ว..!

เราไปดูในเถรประวัติจะเห็นว่า พระมหาโมคัลลานะบรรลุอรหัตผลใน ๗ วัน พระสารีบุตรเถระบรรลุอรหัตผลใน ๑๕ วัน ทั้ง ๆ ที่เป็นผู้มีปัญญามากที่สุด ถึงขนาดที่พระพุทธเจ้าตั้งให้เป็นเอตทัคคะทางเป็นผู้เลิศด้วยปัญญา
ก็เพราะว่าบุคคลที่มีปัญญามาก ก็ต้องเสียเวลาคิดอะไรให้รอบคอบ ตรองแล้วตรองอีก จนกระทั่งมั่นใจแน่นอนแล้วถึงจะปลงใจเชื่อ ขณะที่คนทั่ว ๆ ไป บางเรื่องก็ตัดสินใจตามอารมณ์ก็ได้ ชอบก็คือชอบ ไม่ชอบก็คือไม่ชอบ ทำก็คือทำ ไม่ทำก็ไม่ทำไปเลย

ฉะนั้น..เราจะเห็นว่าสาวกภูมิทั่ว ๆ ไป สร้างบารมี ๑ อสงไขยกัปก็บรรลุได้แล้ว แต่อัครสาวกต้อง ๒ อสงไขยกัป มากกว่าเป็นเท่าตัว ถ้าเปรียบง่าย ๆ ก็คือพวกเราสักแต่ว่าสร้างบ้าน มีหลังคา มีข้างฝา มีพื้นก็เข้าอยู่ได้แล้ว แต่บรรดาท่านผู้มีปัญญานี่ต้องค่อย ๆ ตรวจสอบวัสดุ กว้างยาวสูงเท่าไร ? สร้างด้วยวิธีไหน ? ก็เลยทำให้ช้ากว่าปกติ

แต่คราวนี้พวกเราต้องเข้าใจว่า
หลายคนไม่ใช่ช้าเพราะมีปัญญา แต่ช้าเพราะโง่ พวกนี้จะเป็นประเภทวิตกจริต ตัดสินใจอะไรไม่เด็ดขาด จด ๆ จ้อง ๆ อยู่นั่นแหละ จนกระทั่งบางคนสรุปว่า มีสติมากกว่าปัญญา ก็ทำให้ตัดสินอะไรไม่ได้ กลัวผิดกลัวพลาด มีปัญญามากกว่าสติ ก็บุ่มบ่าม ผิดพลาดได้ง่าย สติกับปัญญาจึงต้องไปเท่า ๆ กัน เราจะเห็นว่าในอินทรีย์ ๕ พละ ๕ เขาจะมีศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญา ทั้ง ๕ อย่างต้องเสมอกัน ไปด้วยกัน ยกเว้นเรื่องสติเรื่องเดียวที่ท่านใช้คำว่า ยิ่งมีมากยิ่งดี แต่คราวนี้ถ้าหากว่ามีมาก บางทีก็ทำให้ช้าลงได้

มีการปฏิบัติอยู่สายหนึ่ง ซึ่งท่านใช้คำว่า "ปฏิบัติแค่ขณิกสมาธิ
หรืออุปจารสมาธิก็พอ เหมือนกับเราค่อย ๆ เก็บงาทีละเมล็ด นานไปก็ได้มากพอที่จะคั้นเอาน้ำมันมาใช้การได้" ดังนั้น..การปฏิบัติตามสายนี้จึงยากลำบากมาก เพราะว่าถ้าสมาธิให้แค่ขณิกสมาธิหรือว่าอุปจารสมาธิ จะไม่เพียงพอในการกดกิเลส โอกาสที่กิเลสตีกลับจะมีอยู่ตลอดเวลา เราก็จะโดน รัก โลภ โกรธ หลง รุมกระหน่ำอยู่ทั้งวัน แต่ท่านก็บอกว่าให้กำหนดรู้ตามความเป็นจริง โดยที่บอกว่านั่นคือวิปัสสนาญาณ บ้าชัด ๆ..!
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 24-06-2023 เมื่อ 00:57
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 30 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #4  
เก่า 24-06-2023, 00:39
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,667
ได้ให้อนุโมทนา: 152,012
ได้รับอนุโมทนา 4,416,497 ครั้ง ใน 34,257 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

วิปัสสนาญาณไม่ใช่รู้เท่าทันปัจจุบันว่ามีอะไรเกิดขึ้น หากแต่รู้ตามความเป็นจริงแล้วยอมรับได้ว่าธรรมดาเป็นอย่างนั้น คนละเรื่องเดียวกัน โดยเฉพาะในเมื่อตนเองใช้แค่ขณิกสมาธิหรืออุปจารสมาธิ แล้วก็จะให้ไปลดศรัทธา วิริยะ สติ ปัญญา ให้ลงไปเท่ากับสมาธิอันน้อยนิดของตนเอง เพราะตำราระบุเอาไว้ชัด ว่าถ้าอินทรีย์ ๕ และพละ ๕ ไม่เสมอกัน โอกาสบรรลุมรรคผลจะไม่มี

กระผม/อาตมภาพก็ยังถามไปเลยว่า "ก็ในเมื่อผมมีเม็ดงาอยู่เป็นเกวียนแล้ว ทำไมไม่ให้ผมใช้ ?" ถ้าหากว่าคุณทรงฌาน ๔ สมาบัติ ๘ ได้ แล้วทำไมไม่ดึงเอาศรัทธา วิริยะ สติ ปัญญา ให้ขึ้นมาเสมอกัน ทำไมเราต้องลดลงไปอย่างเดียว ? เป็นการโง่เกินไปหรือเปล่า ? ที่เราไปประเภทถอดเกราะ วางอาวุธ แล้วก็ขึ้นไปชกกับไมค์ ไทสันด้วยมือเปล่า ก็หาที่ตายชัด ๆ เลย..!

แต่ก็เสียเวลาที่จะไปนั่งเถียงกัน เพราะท่านเชื่ออย่างนั้นไปแล้ว ก็เป็นอันว่าถ้าหากว่าใครเจอกรรมฐานสายนี้ เราเองก็เออ ๆ คะ ๆ ไปตามเรื่อง ส่วนตัวเองรู้ว่าอะไรดีก็ทำตามแบบของเราไป แบบโน้นก็ทำแค่พอเป็นอุปนิสัย ถึงเวลาจะได้มีความรู้ไปส่งอารมณ์ได้ก็จบแล้ว

เรื่องพวกนี้ก็คือการใช้ปัญญาอย่างหนึ่ง หลายคนใช้คำว่า "อยู่เป็น" เราจะเห็นว่ามีพรรคการเมืองบางพรรคอยู่ไม่เป็น เดินหน้าหาศัตรูทั่วประเทศไทย ถึงเวลาจ้องจะไปปิดสวิตช์เขา แต่พอจะโหวตนายกฯ ก็ต้องไปอาศัยเขา สรุปแล้วก็คือยกหินทุ่มใส่ขาตัวเอง แล้วก็ไปบ่นว่าคนอื่นเอาหินมาขวางทาง
กระผม/อาตมภาพฟังแล้วก็เครียดเหมือนกัน ปล่อยให้การเมืองเป็นเรื่องของการเมืองไปก็แล้วกัน เรายืนดูอยู่ห่าง ๆ อย่างห่วง ๆ ก็พอ..

สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้

พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
วันศุกร์ที่ ๒๓ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๖๖
(ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 24-06-2023 เมื่อ 01:00
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 38 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
ตอบ


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 
คำสั่งเพิ่มเติม

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 03:04



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว