กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะพระอาจารย์ > พระครูวิลาศกาญจนธรรม (หลวงพ่อเล็ก สุธมฺมปญฺโญ) > เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน > เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน ปี ๒๕๖๖ > เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน เดือนมีนาคม ๒๕๖๖

Notices

ตอบ
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #1  
เก่า 31-03-2023, 18:11
พิชวัฒน์'s Avatar
พิชวัฒน์ พิชวัฒน์ is offline
สมาชิก - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Aug 2014
ข้อความ: 351
ได้ให้อนุโมทนา: 3,307
ได้รับอนุโมทนา 19,095 ครั้ง ใน 829 โพสต์
พิชวัฒน์ is on a distinguished road
Default เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันศุกร์ที่ ๓๑ มีนาคม ๒๕๖๖

เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันศุกร์ที่ ๓๑ มีนาคม ๒๕๖๖


ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 42 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ พิชวัฒน์ ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #2  
เก่า 01-04-2023, 01:02
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,700
ได้ให้อนุโมทนา: 152,038
ได้รับอนุโมทนา 4,418,316 ครั้ง ใน 34,290 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

วันนี้ตรงกับวันศุกร์ที่ ๓๑ มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๖๖ สิ้นเดือนอีกแล้ว กระผม/อาตมภาพมีภารกิจตั้งแต่เช้า หลังจากบิณฑบาตและฉันเช้าเรียบร้อยแล้ว ก็มาดูการรับสมัครผู้ที่จะบรรพชาสามเณรภาคฤดูร้อน จากนั้นก็ต้องเดินทางไปยังวัดวังปะโท่ เพื่อทำการอุปสมบทนาค ๒ รูปด้วยกัน เสร็จจากนั้นแล้ว ถึงได้วิ่งกลับมาวัดท่าขนุนอีกครั้งหนึ่ง

ช่วงนี้ทีมงานวัดท่าขนุนนั้นเหลืออยู่น้อยมาก เพราะว่าส่วนหนึ่งสิบกว่ารูป ต้องไปอบรมบาลีก่อนสอบเพื่อรอการสอบรอบสอง จึงต้องมีการแบ่งงาน อย่างเช่นว่าฝ่ายหนึ่งรับสมัคร หลังจากนั้นก็ส่งไปให้อีกฝ่ายหนึ่งโกนหัว มารับผ้าไตร แล้วเข้านั่งรอประจำจุด เพื่อให้กระผม/อาตมภาพมาถึงแล้วจะได้ทำหน้าที่พระอุปัชฌาย์ ให้การบรรพชาต่อไป

ส่วนทุกคนที่จะมาบวชครั้งนี้นั้น จะต้องผ่านการตรวจ ATK ที่หน้างานเสียก่อน เพื่อความปลอดภัย เพราะว่าปีที่แล้วก็ยังมีผู้ที่จะมาบวชติดเชื้อไวรัสโควิด ๑๙ จนต้องส่งเข้าโรงพยาบาลไปดำเนินการตามขั้นตอนทางการแพทย์
จึงต้องตรวจกันก่อนเพื่อความสบายใจของทุกฝ่าย ปีนี้มีจำนวนผู้สมัครใกล้เคียงกับปีที่แล้ว ก็คือได้มาที่ ๖๕ รูป

เหตุที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่า กระผม/อาตมภาพจะต้องเดินทางไปยังงานต่อไปอีก จึงขอเลื่อนการบวชที่ปกติแล้วจะเป็นตอน ๕ โมงเย็น มาเป็นในตอน ๑๐ โมงครึ่งช่วงเช้าแทน จึงทำให้การรับสมัครนั้นต้องปิดลงตั้งแต่ประมาณ ๑๐ โมงตรง ทำให้บรรดาท่านทั้งหลายที่วางใจว่า กำหนดการทุกปีก็เหมือนกัน คือเวลา ๕ โมงเย็นถึงจะเป็นการบรรพชาหมู่ ทำให้ต้องพลาดการบวชไปอย่างน่าเสียดาย

หลังจากที่กระผม/อาตมภาพทำการบรรพชาหมู่ให้เรียบร้อยแล้ว จึงบอกกล่าวกับสามเณรทั้งหลายว่า เณรทั้งหลายนั้นรับเอาศีล ๑๐ ไปแล้ว คุณงามความดีในตอนนี้เปรียบเสมือนแสงสว่าง พวกเราก็สว่างเจิดจ้าเต็มที่เต็มทางกันทุกคน ส่วนฝ่ายที่ไม่ดี บางทีพวกเราเรียกว่า "ผี" นั้น เป็นฝ่ายมืด ถ้าหากว่าแสงสว่างของเรายังสว่างอยู่ ความมืดก็ไม่สามารถที่จะเข้าใกล้มาได้

สามเณรทั้งหลายจึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องระมัดระวังรักษาศีลให้สมบูรณ์บริบูรณ์ทั้ง ๑๐ ข้อ ไม่เช่นนั้นแล้วถ้าข้อใดข้อหนึ่งขาดไป ก็เหมือนอยู่กับเรามีไฟอยู่ ๑๐ ดวง แล้วดับไปทีละดวง...ทีละดวง ถ้ายิ่งดับไปมากเท่าไร แสงสว่างของเราก็ยิ่งเหลือน้อย ความมืดก็จะใกล้ชิดติดตัวของเราเข้ามาทุกที ถ้าหากว่าถึงขนาดดับหมดเลย ก็เป็นอันว่าตัวใครตัวมัน แม้แต่หลวงพ่อก็ไม่สามารถที่จะช่วยได้..!
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 01-04-2023 เมื่อ 02:18
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 36 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #3  
เก่า 01-04-2023, 01:09
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,700
ได้ให้อนุโมทนา: 152,038
ได้รับอนุโมทนา 4,418,316 ครั้ง ใน 34,290 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

บรรดาสามเณรทั้งหลายฟังแล้วก็คงจะเข้าใจได้ง่ายขึ้น เพราะว่าส่วนใหญ่แล้วบรรดาวิทยากรต่าง ๆ ในงานบรรพชาสามเณรภาคฤดูร้อนนั้น มักจะใช้ภาษาที่เป็นทางการบ้าง ปนภาษาบาลีเป็นจำนวนมากบ้าง ทำให้บรรดาสามเณรภาคฤดูร้อน โดยเฉพาะในส่วนของอำเภอทองผาภูมิ ที่ประกอบไปด้วยคนต่างด้าวเป็นจำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็นชาวมอญ พม่า กะเหรี่ยง ซึ่งท่านทั้งหลายเหล่านี้ไม่ได้มีความคล่องตัวในภาษาไทยมากนัก

โดยเฉพาะเด็กรุ่นหลัง ๆ ต่อให้เป็นคนไทย ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ ก็สามารถที่จะตกภาษาไทยได้เช่นกัน เนื่องเพราะว่าขาดการศึกษาอย่างจริงจัง จึงทำให้บรรดาวิทยากรพูดไปแล้ว ก็เหมือนกับลมผ่านหูไปเฉย ๆ เพราะว่าสามเณรทั้งหลายซึมซับเข้าไปได้น้อยมาก

กระผม/อาตมภาพจึงต้องใช้คำพูดและการเปรียบเทียบง่าย ๆ ให้สามเณรรู้ว่า จำเป็นอย่างไรถึงต้องรักษาศีลเอาไว้ ถ้าหากว่าทำได้บริสุทธิ์บริบูรณ์เท่าไร ตัวเราเองได้บุญได้กุศลมากเท่านั้น พ่อแม่ของเราก็ได้มากพอกัน บรรดาญาติพี่น้องที่มาร่วมอนุโมทนาก็จะได้อานิสงส์ในผลบุญเหล่านั้นไปด้วย

หลังจากนั้นแล้วกระผม/อาตมภาพก็มอบหมายให้พี่เลี้ยง นำสามเณรทั้งหลายไปตักอาหารเพลรอเอาไว้ เมื่อพร้อมแล้วทำการพิจารณาอาหารและเริ่มฉัน ซึ่ง
โดยปกติแล้วการฉันของพระภิกษุสงฆ์นั้น ทางวัดท่าขนุนถืออาสนะเดียวเป็นปกติ ก็คือถ้าลุกขึ้นก็แปลว่าเลิกกันไปเลย

แต่เนื่องจากว่าสามเณรนั้นเป็นเด็ก ถ้าหากว่าไม่ปล่อยให้ฉันอย่างเต็มที่ ก็อาจจะมีปัญหาเหมือนอย่างปีก่อน ๆ คือสามเณรหลายรูปก็ต้องตื่นขึ้นมากระซิบกระซาบคุยกันกลางดึก เพราะว่าท้องว่างแล้วนอนไม่หลับ เมื่อนอนไม่หลับก็ต้องหาเพื่อนคุย จึงทำให้พรรคพวกเพื่อนฝูงพลอยไม่ได้หลับไม่ได้นอนไปด้วย เมื่อเป็นเช่นนี้กระผม/อาตมภาพจึงอนุญาตให้สามเณรทั้งหลาย ถ้าหากว่าฉันแล้วไม่อิ่ม สามารถลุกขึ้นไปตักอาหารเพิ่มเติมได้

โดยเฉพาะวันนี้ บรรดาเจ้าภาพต่างนำเอาภัตตาหารอย่างชนิดดีเลิศมา เพื่อที่จะถวายแก่พระภิกษุและสามเณร ไม่ว่าจะเป็นต้มแซ่บซี่โครงอ่อน หรือว่าไก่ทอดก็ตาม สิ่งทั้งหลายเหล่านี้เป็นสิ่งที่เด็ก ๆ ชอบเป็นอย่างยิ่ง แต่ว่าบรรดาผู้ที่ชราแล้วอย่างกระผม/อาตมภาพนั้น ถ้าไม่ใช่เป็นผู้ที่รู้จักประมาณในการกิน เผลอฉันมากเกินไปเมื่อไร ก็อาจจะก่อให้เกิดโรคภัยไข้เจ็บได้ง่าย

โดยเฉพาะส่วนที่ต้องกำชับพระพี่เลี้ยงทั้งหลายก็คือ ถ้ามีสามเณรที่เจ็บไข้ได้ป่วย ต้องให้รีบแจ้งแก่พระพี่เลี้ยง เพื่อที่จะได้ช่วยเหลือแก้ไข จ่ายยากันให้ทันท่วงที ไม่เช่นนั้นแล้วอาจจะมีการติดหวัด หรือว่าติดเชื้อไวรัสโควิด ๑๙ พาให้เดือดร้อนกันไปทั้ง ๖๐ กว่ารูป
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 01-04-2023 เมื่อ 02:21
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 32 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #4  
เก่า 01-04-2023, 01:17
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,700
ได้ให้อนุโมทนา: 152,038
ได้รับอนุโมทนา 4,418,316 ครั้ง ใน 34,290 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

อีกส่วนหนึ่งก็คือเราต้องไม่ลืมว่าสามเณรนั้นก็คือเด็ก ย่อมมีการดื้อการซนกันเป็นธรรมดา จึงอย่าทำกิจกรรมที่ต้องนั่งนิ่ง ๆ เป็นระยะเวลานาน ซึ่งนโยบายเหล่านี้ในปีที่ผ่านมา บรรดาสามเณรภาคฤดูร้อนชอบใจมาก เพราะว่ามีการเดินจงกรมรอบวัดบ้าง เดินขึ้นยอดเข้าพระพุทธเจติยคีรีบ้าง เดินขึ้นยอดเขารอยพระพุทธบาทวัดท่าขนุนบ้าง ตลอดจนกระทั่งไปเดินสกายวอล์คที่เขื่อนวชิราลงกรณ ทำให้เณรทั้งหลายไม่เครียด อยู่ตามโครงการได้ครบทั้ง ๑๐ วัน แล้วก็ยังมีบุคคลอีกเป็นจำนวนมากที่ขออยู่ต่อยาวไปจนกระทั่งหลังสงกรานต์เลยก็มี

เหตุที่ต้องกำชับเอาไว้ก็เพราะว่าสามเณรนั้นคือเชื้อสายของสมณะ เป็นบุคคลที่ชาวบ้านให้การเคารพบูชา ถึงเวลาก็อนุเคราะห์สงเคราะห์ด้วยข้าวปลาอาหารและปัจจัย ๔ อื่น ๆ ก็แปลว่าสามเณรนั้นเป็นที่เคารพของคนอื่น อย่างน้อยก็ต้องทำตัวให้อยู่ในสถานภาพที่น่าเคารพ

เนื่องเพราะว่าการบวชสามเณรนั้น ถ้าเปรียบเป็นการลงทุนแล้ว สามเณรลงทุนในกิจการไปเป็นเงิน ๑๐ ล้านบาท ญาติโยมทั่วไปลงทุนในกิจการด้วยศีล ๕ เปรียบเหมือนกับลงทุนไป ๕ ล้านบาท ถ้าหากว่ากิจการมีกำไรเหมือน ๆ กัน สามเณรย่อมได้กำไรมากกว่าเป็นเท่าตัว แต่ขณะเดียวกัน ถ้ากิจการนั้นเจ๊งขาดทุน สามเณรก็จะขาดทุนมากกว่าหลายเท่า ดังนั้น..พี่เลี้ยงตลอดจนกระทั่งตัวสามเณรเอง จึงต้องช่วยกันระมัดระวัง อย่าให้มีการบกพร่องในศีล ตลอดจนกระทั่งวัตรปฏิบัติต่าง ๆ เป็นอันขาด

โดยเฉพาะที่วัดท่าขนุนจะปลุกสามเณรตั้งแต่ตี ๓ ครึ่ง แต่งตัวให้เรียบร้อยแล้วลงมาเจริญกรรมฐานพร้อมกันตอนตี ๔ ต่อด้วยการทำวัตรเช้า เสร็จสรรพเรียบร้อยแล้ว พี่เลี้ยงก็จะจัดสามเณรที่รูปร่างค่อนข้างจะใหญ่ อายุค่อนข้างจะมาก อย่างเช่นว่าเรียนในระดับ ม.ต้น หรือว่า ม.ปลายแล้ว ออกบิณฑบาตร่วมกับพระ เพราะว่าถ้าให้สามเณรเล็ก ๆ ที่อยู่แค่ชั้น ป.๔ ป.๕ ป.๖ ไปเดินตามพระ ด้วยความที่เป็นเด็กเล็ก ขาสั้น ก็จะเดินตามพระไม่ทัน

เมื่อคัดเอาบรรดาสามเณรที่มีรูปร่างสูงใหญ่ออกมาบิณฑบาต ในส่วนที่เหลือก็ให้พระพี่เลี้ยงนำไปช่วยกันทำความสะอาดวัด รดน้ำต้นไม้ ถูศาลา ขัดห้องน้ำ เหล่านี้เป็นต้น

กิจกรรมเหล่านี้จะทำให้สามเณรทั้งหลายรู้จักรับผิดชอบตัวเอง อย่างที่เคยเล่าให้ฟังไปแล้วว่า เมื่อมาอยู่วัด สามเณรสามารถที่จะอาบน้ำ ซักผ้า ตลอดจนกระทั่งรับประทานอาหารด้วยตนเอง แต่พอกลับบ้านไป พ่อแม่ก็คอยดูแลเป็นอย่างดี แทบจะป้อนข้าวให้ทีละคำ จึงทำให้สามเณรนั้นกลับไปสู่ความเคยชินของตน ทางบ้านไม่สามารถที่จะต่อยอดในสิ่งที่ทางวัดดำเนินการไปแล้ว จนทำให้การอบรมจากทางวัดสูญเปล่าไปอย่างน่าเสียดาย..!
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 01-04-2023 เมื่อ 02:24
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 33 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #5  
เก่า 01-04-2023, 01:21
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,700
ได้ให้อนุโมทนา: 152,038
ได้รับอนุโมทนา 4,418,316 ครั้ง ใน 34,290 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ตรงจุดนี้จึงเป็นเรื่องที่พ่อแม่ควรที่จะตระหนักว่า เรานั้นเป็นบุคคลที่อายุมากกว่า ถ้าคิดกันแบบคนประมาทก็คือ อย่างไรเสียก็ต้องตายก่อนลูกหลานของตนเองแน่นอน ถ้าหากว่าไม่ให้ลูกหลานของตนเองสามารถทำอะไร ๆ ด้วยตนเองไว้ตั้งแต่แรก ถ้าปุบปับเราเป็นลมแดด หรือที่ภาษาอังกฤษเรียกว่า Heat Stroke ถึงแก่ชีวิตไปอย่างฉับพลันทันที ลูกของเราก็ไม่สามารถที่จะอยู่ได้ เพราะว่าทำอะไรไม่เป็นเลย

ก็จะไปตกที่ภาษิตจีนกล่าวว่า เป็นอาการแบบ "พ่อแม่รังแกฉัน" ก็คือช่วยเหลือดูแลจนกระทั่งแทบจะทำแทนทุกอย่าง เมื่อถึงเวลาทำอะไรไม่เป็น สิ้นพ่อสิ้นแม่ไป ก็ไม่สามารถที่จะรักษาทรัพย์สมบัติมรดกเอาไว้ได้ จนกระทั่งต้องหมดเนื้อหมดตัว กลับกลายเป็นขอทาน เมื่อมีผู้มาถามว่า "เป็นลูกเศรษฐีไม่ใช่หรือ ? ทำไมตอนนี้ถึงเป็นเช่นนี้ ?" ขอทานก็บอกว่า "เป็นเพราะพ่อแม่รังแกฉัน" เหล่านี้เป็นต้น

อีกส่วนหนึ่งก็คือทรัพย์สินสิ่งของที่มีค่า โดยเฉพาะโทรศัพท์มือถือ ให้ผู้ปกครองนำกลับไปทั้งหมด ไม่ให้เหลือติดตัวเอาไว้ เพราะว่าเคยมีการทำตกหล่นสูญหายเอง แล้วก็ไปกล่าวหาว่าเพื่อนฝูงลักขโมย แม้กระทั่งวันนี้ พอบวชสามเณรเสร็จก็มีแม่ยัดสตางค์ไว้ให้ สามเณรไม่มีกระเป๋าใส่ ก็เหน็บเอวไว้บ้าง เสียบเอาไว้แถวหน้าอกบ้าง โอกาสที่จะหล่นหายจึงมีสูงมาก

อีกอย่างหนึ่งก็คือกระผม/อาตมภาพกำหนดไว้ว่า ตลอดโครงการ ๑๐ วันให้คนเป็นพ่อเป็นแม่มาเยี่ยมได้ครั้งเดียวในวันที่ ๕ เมษายนเท่านั้น ถ้าหากว่าใครมาก่อนหน้านั้น จะตีสามเณรที่เป็นลูกหลานแทน..! เพราะถือว่าไปอ้อนวอนจนกระทั่งพ่อแม่มา ดังนั้น..ถ้าพ่อแม่ไม่กลัวว่าลูกจะโดนตี จะมาเยี่ยมก่อนหน้านั้นก็ได้..!

บางท่านก็ว่าจะเป็นการเข้มงวดโหดร้ายไปหรือเปล่า ? ขอให้ทราบว่าในโลกยุคปัจจุบันนี้ สภาพสังคมโหดร้ายกว่าที่ท่านทั้งหลายคิด ถ้าเราไม่พยายามเคี่ยวเข็ญให้สามเณรยืนหยัดได้ด้วยตนเอง ออกไปเผชิญโลกภายนอกเมื่อไร ก็อาจจะถึงขนาดแตกสลาย กลายเป็นโรคซึมเศร้าไปเลยก็มี

สำหรับวันนี้ ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้

พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
วันศุกร์ที่ ๓๑ มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๖๖
(ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 01-04-2023 เมื่อ 02:26
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 40 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
ตอบ


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 
คำสั่งเพิ่มเติม

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 21:51



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว