#1
|
||||
|
||||
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอังคารที่ ๓ พฤษภาคม ๒๕๖๕
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอังคารที่ ๓ พฤษภาคม ๒๕๖๕
__________________
มารใช้ คนทุกคน ของทุกชิ้น สัตว์ทุกตัว เป็นเครื่องมือในการขวางเรา โดยเฉพาะคนที่เรารักมากที่สุด (-/\-) (-/\-) (-/\-) |
สมาชิก 47 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ตัวเล็ก ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#2
|
||||
|
||||
วันนี้ตรงกับวันอังคารที่ ๓ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๖๕ เมื่อวานนี้ช่วงเช้าต้องทำบัญชีต่าง ๆ ซึ่งทุกต้นเดือนก็จะเป็นเช่นนี้ แล้วทำให้เห็นว่ามีความผิดพลาดที่เกิดขึ้นมานานแล้ว แต่ว่าไม่ทันได้คิดและไม่ทันได้สังเกต
สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือว่า บัญชีเงินบริจาคออนไลน์ซึ่งผูกอยู่กับกรมสรรพากร มีเลขประจำตัวผู้เสียภาษี ซึ่งเราต้องลงบัญชีทุกบาททุกสตางค์โดยไม่สามารถที่จะขาดตกบกพร่องได้นั้น ปรากฏว่ามีญาติโยมจำนวนหนึ่งได้โอนปัจจัยถวายส่วนตัวเข้ามา อีกจำนวนหนึ่งก็ได้โอนปัจจัยเพิ่มกองทุนรักษาพยาบาลพระภิกษุสามเณรเข้ามาด้วย เมื่อญาติโยมโอนเงินเข้ามาแล้วก็แจ้งให้ทราบ กระผม/อาตมภาพก็ได้ลงบัญชีส่วนตัวและบัญชีกองทุนรักษาพยาบาลพระภิกษุสามเณรไปแล้ว แต่เมื่อมาเจอว่าญาติโยมทั้งหลายได้โอนเข้ามาในบัญชีบริจาคออนไลน์ ซึ่งต้องลงยอดทุกบาททุกสตางค์ ก็กลายเป็นว่ากระผม/อาตมภาพนั้นต้องขาดทุนอยู่ตลอดเวลา ก็คือปัจจัยส่วนตัวนั้น เมื่อลงไปทางด้านโน้น แล้วมาลงทางด้านนี้อีก ก็เป็นการซ้ำซ้อนกันโดยไม่มีตัวเงินที่แท้จริง ในส่วนของบัญชีกองทุนรักษาพยาบาลพระภิกษุสามเณรก็เป็นเช่นเดียวกัน ในเมื่อเป็นเช่นนี้ กระผม/อาตมภาพกำลังหาทางอยู่ว่า ทำอย่างไรที่จะทำให้บัญชีนี้ไม่ซ้ำซ้อน ซึ่งความจริงญาติโยมก็ทำถูกแล้ว คือเมื่อโอนมาก็แจ้งให้ทราบ แต่ว่าความซ้ำซ้อนมาเกิดขึ้นตรงที่ว่า เมื่อกระผม/อาตมภาพได้รับแจ้งจากญาติโยม ก็จะลงบัญชีไปตามรายการที่ท่านได้แจ้งมา แต่ยอดเงินเมื่อโอนเข้าไปในบัญชีบริจาคออนไลน์ ที่ผูกอยู่กับกรมสรรพากร โดยมีข้อแม้ว่าผิดพลาดไม่ได้แม้แต่สตางค์เดียว ไม่เช่นนั้นก็ถือว่าทุจริต ดังนั้น...จึงไม่สามารถที่จะไปแยกเงินจำนวนนั้นออกมาอีกบัญชีหนึ่งได้ ก็คาดว่าจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องเสียสละเงินส่วนตัวเพื่อที่จะถมลงไปตรงนั้น จนกว่าที่จะเริ่มต้นใหม่ตั้งแต่เดือนนี้เป็นต้นไป ก็คือถ้าญาติโยมจะโอนเงินบริจาคออนไลน์ ก็ให้โอนเข้าบัญชีวัดท่าขนุนไปเลย แต่ถ้าหากว่าจะโอนเงินเพื่อถวายปัจจัยส่วนตัว หรือว่าเงินกองทุนรักษาพยาบาลพระภิกษุสามเณร ให้โอนเงินเข้าบัญชีพระครูวิลาศกาญจนธรรม ถ้าหากว่าเข้าบัญชีนี้ก็ไม่จำเป็นที่จะต้องรายงาน เพราะว่าไม่ได้ผูกอยู่กับกรมสรรพากร เมื่อกระผม/อาตมภาพได้รับแจ้งแล้ว ก็สามารถที่จะแยกทำบัญชีได้เลย ซึ่งในระยะแรกก็อาจจะมีเหมือนเดิม คือญาติโยมที่เคยชิน ก็จะโอนไปยังบัญชีเก่า ซึ่งเคยโอนอยู่ตลอดเวลา อาจจะต้องใช้เวลาอีกหลายเดือน กว่าที่จะเข้าที่เข้าทาง แต่ก็ต้องยอมทนรับตรงจุดนี้ไปก่อน
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 03-05-2022 เมื่อ 20:18 |
สมาชิก 42 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#3
|
||||
|
||||
ความผิดพลาดนี้เกิดขึ้นตั้งแต่ทางวัดท่าขนุนเปิดให้มีการโอนเงินผ่านระบบออนไลน์แล้ว เพราะว่าวัดท่าขนุนเป็นวัดแรก ๆ ที่นำร่องในการรับบริจาคออนไลน์ ตามที่ทางคณะสงฆ์และกรมสรรพากรได้ดำเนินการให้ โดยที่ไม่ทันเฉลียวใจว่า ปัจจัยที่ญาติโยมโอนมานั้น ถ้าหากว่าเราแยกบัญชีเมื่อไร ก็จะซ้ำซ้อนกันทันที เพราะว่ายอดรวมทุกบาททุกสตางค์นั้น จำเป็นที่จะต้องลงบัญชีให้ชัดเจน เนื่องจากว่าผูกอยู่กับกรมสรรพากร ไม่สามารถที่จะผิดพลาดได้ นี่คือเรื่องที่พบเห็นมาจากการทำบัญชีเมื่อวานนี้
สำหรับวันนี้ ก็ยังมีบัญชีอื่นอีกหลายบัญชีที่จะต้องดำเนินการ แต่ว่าก็คงจะมีเวลาน้อย เนื่องเพราะว่าวันนี้ต้องเดินทางไปสงเคราะห์ญาติโยมที่จังหวัดสตูล กว่าจะกลับมาถึงหาดใหญ่ก็น่าจะค่ำมืดดึกดื่นแล้ว ในช่วงวันที่ผ่านมา ซึ่งได้รับสังฆทานและตอบปัญหาธรรมแก่ญาติโยมที่หาดใหญ่นั้น ก็มีเรื่องราวที่ควรจะบอก จะเล่า จะกล่าวให้ญาติโยมทุกท่าน ทั้งที่อยู่ที่หาดใหญ่และที่อื่นได้ทราบว่า กระผม/อาตมภาพนั้นเดินทางมาด้วยเครื่องบิน ญาติโยมที่มาพร้อมกับถังสังฆทาน มาพร้อมกับน้ำคนละ ๑๒ ขวดใหญ่บ้าง ๒๔ ขวดเล็กบ้าง ตลอดจนกระทั่งผ้าไตรต่าง ๆ ควรที่จะนึกว่ากระผม/อาตมภาพนั้นเดินทางมาอย่างไร ? เพราะว่าสิ่งที่ท่านทั้งหลายถวายนั้น ทำอย่างไรกระผม/อาตมภาพก็ไม่สามารถที่จะขนกลับไปได้ ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ก็คงจะต้องลำบาก ฝากญาติโยมทั้งหลายให้ช่วยถวายแก่วัดวาอารามที่อยู่ใกล้ในบริเวณนี้ แต่ก็ต้องเป็นภาระใหญ่แก่บุคคลเหล่านั้นอีกเช่นกัน ดังนั้น...ถ้าหากว่าการทำบุญนั้น ท่านทั้งหลายได้ใช้ปัญญาอยู่บ้าง ก็คงจะไม่ทำบุญในลักษณะแบบนี้ ขณะเดียวกัน ญาติโยมที่มีศรัทธามาก ต้องการที่จะถวายสิ่งของเป็นพุทธบูชา อย่างเช่นดอกไม้ ธูป เทียน ท่านทั้งหลายจะถวายดอกบัวสักดอกหนึ่ง ธูป ๓ ดอก เทียน ๑ เล่มก็ไม่ว่า แต่บางรายมาพร้อมกับดอกไม้ที่จัดไว้อย่างดี ๓ พานใหญ่ กระผม/อาตมภาพแทบจะไม่มีที่ตั้งให้ท่าน ในขณะเดียวกัน..ก็ไม่สามารถที่จะนำกลับไปได้อีกเช่นกัน เมื่อไปนึกถึงพระเดชพระคุณท่านเจ้าประคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์ (อุปเสณมหาเถระ) อดีตผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช อดีตเจ้าอาวาสวัดสระเกศราชวรมหาวิหาร ซึ่งท่านได้ย้ำนักย้ำหนาว่า "ต่อให้เป็นการทำบุญก็ต้องใช้ปัญญาประกอบด้วย" จึงทำให้เห็นว่าพวกเราทั้งหลายนั้น ไม่ค่อยที่จะได้คิด เพราะว่าบางทีก็มาพร้อมกับน้ำยาซักผ้าและน้ำยาปรับผ้านุ่ม ๖ ถุง กระผม/อาตมภาพมองแล้วก็ได้แต่ถอนใจ นึกอยู่ว่า "กูจะขนกลับไปอย่างไรวะ ?" ในเมื่อเป็นเช่นนั้นก็ต้องแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้ากันต่อไป นี่เป็นเรื่องประการแรก ก็คือ การทำบุญสุนทานของญาติโยมทั้งหลาย ที่ทำโดยไม่ได้ใช้ปัญญาประกอบ ไม่ได้คิดว่าผู้รับจะต้องลำบากอย่างไรในการจัดการกับสิ่งของทั้งหลายเหล่านี้
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 03-05-2022 เมื่อ 20:22 |
สมาชิก 43 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#4
|
||||
|
||||
ประการที่สองก็คือ ญาติโยมจำนวนหนึ่งที่มาจากต่างอำเภอ จากต่างจังหวัด ไม่ว่าจะมาจากทางระโนดบ้าง รัตภูมิบ้าง หรือว่าที่มาจากทางด้านจังหวัดพัทลุง ตลอดจนกระทั่งจังหวัดยะลา จังหวัดปัตตานีและสุไหงโกลก ท่านทั้งหลายเหล่านั้น บางท่านไม่เคยพบเห็นกระผม/อาตมภาพเลย เมื่อมาถึงก็บอกกล่าวด้วยความปลื้มใจว่า "ศรัทธาเลื่อมใสท่านอาจารย์มานานมากแล้ว" "ลูกหลานมีความเคารพเลื่อมใสพระอาจารย์ ฟังสิ่งที่พระอาจารย์เทศน์ พระอาจารย์สอนอยู่ทุกวัน"
สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ฟังดูแล้วก็เหมือนกับดี แต่ว่าจากการที่สังเกตก็คือว่า ญาติโยมศรัทธาเลื่อมใสเพื่อที่จะได้เจอตัวอาตมภาพเป็น ๆ เท่านั้น ในเรื่องของศีล สมาธิ ปัญญา ญาติโยมไม่ได้คิดที่จะปฏิบัติให้ตนเองมีความดีขึ้น มีความก้าวหน้าขึ้นมาเลย ตรงนี้ต้องบอกว่าถึงเจอกระผม/อาตมภาพไปก็ไร้ประโยชน์ เพราะว่ากระผม/อาตมภาพนั้นไม่ใช่ผู้วิเศษที่จะเสก จะเป่า จะดลบันดาลให้ท่านทั้งหลายได้บรรลุมรรคบรรลุผลได้ นอกจากว่าท่านทั้งหลายนำเอาหลักการวิธีการต่าง ๆ ที่กระผม/อาตมภาพได้บอกกล่าวเทศนาเอาไว้ ไปปฏิบัติให้เกิดผลดีแก่ตัวของท่านเอง ท่านถึงจะได้เหมือนอย่างกับบุคคลที่ได้ดื่มรสแห่งพระธรรม ไม่ใช่ทัพพีที่คาหม้อแกงอยู่ ไม่ว่าจะแกงไปกี่ร้อยกี่พันหม้อ ทัพพีนั้นก็ไม่มีโอกาสที่จะได้รู้รสแกงเลย หรือว่าเหมือนอย่างกับคนที่รับจ้างเลี้ยงวัว ในเมื่อเลี้ยงไปแล้ว ในส่วนของนม ของเนย ของผลประโยชน์ที่จะเกิดจากวัว สำหรับเราก็ไม่มีเลย เพราะว่าเรารับมาแต่ค่าจ้างเท่านั้น สิทธิสิ่งทั้งหลายเหล่านั้นล้วนแล้วอยู่กับเจ้าของวัวทั้งสิ้น หรือว่าท่านทั้งหลายที่บอกว่าได้มาชมบารมีแล้ว ซึ่งตรงจุดนี้ก็ยิ่งไร้ประโยชน์เข้าไปใหญ่ เพราะว่าเหมือนกับลักษณะไปดูสมบัติของมหาเศรษฐี ไม่ว่าจะเป็นเรือนชานบ้านช่อง รถรา หรือทรัพย์สินเงินทอง ก็ยังคงเป็นของมหาเศรษฐีอยู่ตามเดิม ส่วนที่สำคัญที่สุด นั่นคือทำอย่างไรที่เราจะประพฤติปฏิบัติในหลักธรรมทั้งหลายขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วทำให้ตัวเราเป็นมหาเศรษฐีเองบ้าง อีกส่วนหนึ่งก็คือ ท่านทั้งหลายที่มาไม่ตรงที่ ไม่ตรงเวลา ไม่ตรงเหตุการณ์ อย่างเช่น พาลูก ๆ มาบอกว่าได้สอบเข้ามหาวิทยาลัย แล้วมาขอพรว่าขอให้สอบติดด้วย ซึ่งตรงนี้กระผม/อาตมภาพไม่สามารถที่จะช่วยเหลืออะไรได้ ยกเว้นว่าท่านมาก่อนสอบ ก็จะแนะนำให้ทำสมาธิ ให้ภาวนาคาถาท่านปู่พระอินทร์ ซึ่งส่วนหนึ่งถ้าหากว่าท่านทำได้ดี ทำได้ถูกต้อง ก็จะสามารถที่จะช่วยในการสอบของท่านทั้งหลายได้ในระดับหนึ่ง แต่ว่าสอบไปแล้วค่อยมาขอพรให้สอบได้นั้น โอกาสที่จะเป็นไปได้จึงน้อยมาก
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 03-05-2022 เมื่อ 20:24 |
สมาชิก 44 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#5
|
||||
|
||||
ท่านทั้งหลายพึงที่จะใช้สติปัญญาคิดด้วยว่า สิ่งที่เราทำนั้น ใช่ หรือว่าไม่ใช่อย่างไร อย่าเห็นพระเป็นผู้วิเศษ ที่จะบันดาลให้ท่านทั้งหลายได้ทุกอย่าง ไม่เช่นนั้นท่านก็จะออกแนวที่หลุดออกนอกเขตพระพุทธศาสนาไปแล้ว เพราะว่าคุณพระรัตนตรัยนั้น เราจะเลื่อมใสหรือว่าไม่เลื่อมใส ก็ไม่ได้มีผลกระทบใด ๆ ต่อคุณพระรัตนตรัยเลย
สำคัญที่ว่าเรานำเอาสิ่งที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้สั่งสอนเอาไว้ ไปปฏิบัติให้เกิดผลดีแก่ตน สามารถที่จะพัฒนากาย วาจา และใจของเราให้ดีขึ้นไปตามลำดับ จากปุถุชน คนที่หนาแน่นด้วยกิเลส เป็นกัลยาณชน ผู้ที่มีศีลครบถ้วนสมบูรณ์ และมีสมาธิในระดับที่พอระงับยับยั้งกิเลสได้ มีสติ ปัญญาที่เพียงพอจะรักษาตนไม่ให้ไหลตามกระแสโลกไปได้ ขณะเดียวกัน ก็พยายามพัฒนาขึ้นเป็นอริยชน เป็นผู้ถึงพร้อมด้วยความเคารพในพระรัตนตรัย ถึงพร้อมด้วยศีล ด้วยสมาธิ ด้วยปัญญา รู้ตัวอยู่เสมอว่าเราจะต้องตาย ถ้าหากว่าตายแล้ว เราควรจะตั้งเป้าเอาไว้ที่พระนิพพานแห่งเดียวเป็นอย่างต่ำ นี่คือสิ่งที่กระผม/อาตมภาพใช้เวลาหลายสิบปี บอกกล่าวให้ท่านทั้งหลายได้ประพฤติปฏิบัติมา แต่จากที่เห็น ส่วนใหญ่แล้วก็ยังคงอยู่ในลักษณะที่ขอให้ได้พบตัวจริง ขอให้ได้ถ่ายรูปไปลงเฟซบุ๊กด้วย ขอให้ได้ถ่ายรูปแล้วส่งไลน์ไปอวดเพื่อนด้วย ถ้าในลักษณะอย่างนี้ ต้องบอกว่าเสียแรงที่กระผม/อาตมภาพต้องฝืนอาการเจ็บไข้ได้ป่วย มานั่งรองรับศรัทธาญาติโยม ที่ก่อให้เกิดประโยชน์แก่โยมทั้งหลายน้อยเต็มที วันนี้ร่างกายก็ไม่ค่อยดีและต้องเดินทางไกล จึงขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้ พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร. เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอังคารที่ ๓ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๖๕ (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 03-05-2022 เมื่อ 20:26 |
สมาชิก 49 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน ) | |
คำสั่งเพิ่มเติม | |
|
|