#1
|
||||
|
||||
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันจันทร์ที่ ๗ มีนาคม ๒๕๖๕
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันจันทร์ที่ ๗ มีนาคม ๒๕๖๕
__________________
มารใช้ คนทุกคน ของทุกชิ้น สัตว์ทุกตัว เป็นเครื่องมือในการขวางเรา โดยเฉพาะคนที่เรารักมากที่สุด (-/\-) (-/\-) (-/\-) |
สมาชิก 45 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ตัวเล็ก ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#2
|
||||
|
||||
วันนี้ตรงกับวันจันทร์ที่ ๗ มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๖๕ ช่วงที่หายไป นอกจากไปรับตราตั้งและพัดรองพระวิปัสสนาจารย์ ของกองการวิปัสสนาธุระแห่งประเทศไทยแล้ว ก็ยังไปรับรางวัลทั้งส่วนตัวและหน่วยงานอีก ๓ รางวัล แถมด้วยการไปงานนั่งปรกหล่อพระให้กับทางวัดเขาแก้วธรรมาราม อำเภอวิหารแดง จังหวัดสระบุรี
ส่วนวันนี้กลับช้า เพราะว่าเอารถเข้าไปซ่อมเสียครึ่งค่อนวัน ปกติแล้วสินค้ายุคปัจจุบันทำมาเพื่อการพาณิชย์ จะใช้หรือไม่ใช้ก็ตาม ถ้าหากครบตามอายุ ชิ้นส่วนต่าง ๆ ก็จะเสียหายไปเอง ดังนั้น...รถยนต์เมื่อครบอายุ ๕ ปี ก็มีแต่ต้องซ่อมวนไปเรื่อย วันนี้ก็โดนไปอีก ๗,๐๐๐ กว่าบาท สรุปแล้วช่วงที่ผ่านมาซ่อมรถเกิน ๒๐๐,๐๐๐ บาทไปแล้ว ว่าจะทนใช้ไปเรื่อย เพื่อรอให้รถไฟฟ้าเข้ามา ได้แต่หวังว่าก่อนรถไฟฟ้าที่ต้องการเข้ามา ค่าซ่อมจะไม่มากกว่าค่ารถไฟฟ้าคันใหม่..! คราวนี้ในงานรับตราตั้งและพัดรองพระวิปัสสนาจารย์ ประจำกองการวิปัสสนาธุระแห่งประเทศไทยนั้น มีบุคคลที่ได้รับคัดเลือกจากทั่วประเทศ ให้เข้ารับพร้อมกันรุ่นนี้ ๑๐๘ รูป แต่ว่าเหลือแค่ ๑๐๗ เพราะว่าหลวงพ่อพระใบฎีกาจำเนียน ปริสุทฺโธ วัดสร้อยทอง มรณภาพเสียก่อน เนื่องจากว่าท่านอายุ ๘๐ กว่าปีแล้ว บรรดาพระวิปัสสนาจารย์ที่ไปรับการแต่งตั้ง ทั้งที่กระผม/อาตมภาพรู้จัก และที่รู้จักกระผม/อาตมภาพก็รวมกันแล้วน่าจะเกินครึ่ง ก็เลยต้องไปเป็นหุ่นให้เขาถ่ายรูปอยู่ตลอดเวลา จะว่าไปแล้วก็เป็นเรื่องที่น่าเบื่อ แต่ว่าสังคมก็ต้องเป็นไปอย่างนั้น คราวนี้มีพระอยู่รูปหนึ่งท่านนำเอาสมเด็จองค์ปฐมเนื้อเงินมหาสะท้อนที่ติดตัวอยู่มาให้ดู แสดงตนว่าเป็นผู้ที่มีความสามารถในการจับพลังวัตถุมงคลได้ แต่ว่าสมเด็จองค์ปฐมเนื้อเงินมหาสะท้อน มีพลังด้านอื่นครบถ้วน แต่ไม่มีมหาสะท้อน..! กระผม/อาตมภาพรับมาแล้วก็ส่งคืนไป อีกฝ่ายตกใจว่าทำไมมหาสะท้อนมหาศาลขนาดนี้..! จึงบอกท่านว่า "คุณไม่ได้เปิดประตู..!" การใช้วัตถุมงคลสมเด็จองค์ปฐมนั้น ต้องภาวนา อิติปิ โสฯ สวากขาโตฯ สุปฏิปันโนฯ ๓ จบ หมายถึงว่า ๓ จบ ทั้ง ๓ ห้อง ไม่ใช่ว่าภาวนา อิติปิ โสฯ ๑ สวากขาโตฯ ๒ สุปฏิปันโนฯ ๓ อันนั้นไม่ใช่ แล้วก็ต้องรวมกับการอาราธนาด้วยพระคาถา เม สัมมุกขา สัพพาหะระติ เต สัมมุกขา เหตุที่เป็นเช่นนั้น ก็เพราะต้องการที่จะบังคับให้ทุกคนภาวนา จะได้อานุภาพของวัตถุมงคลมากขึ้น แล้วขณะเดียวกันก็เป็นการบังคับให้มีพุทธานุสติด้วย ไม่เช่นนั้นแล้วการใช้วัตถุมงคล พวกเราก็ได้แต่หวังผลจากวัตถุมงคลอย่างเดียว เรื่องของพุทธานุสติ สังฆานุสติ ไม่ค่อยจะระลึกถึง
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 08-03-2022 เมื่อ 02:39 |
สมาชิก 46 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#3
|
||||
|
||||
อีกประการหนึ่งก็คือ ถ้าหากว่าตั้งไว้เป็นมหาสะท้อนตลอดเวลา เด็กเล็กหรือผู้ที่ไม่ได้ตั้งเจตนาจะซวยไม่รู้ตัว เพราะว่ากฎเกณฑ์กติกาเขาระบุไว้ชัดแล้วว่า อย่าเข้าไปในที่คนหรือสัตว์กำลังคลอดอยู่ และอย่าให้เด็กใช้ เพราะว่าถ้าผู้ใหญ่เผลอตีเด็ก ความซวยจะมาเยือนไม่รู้ตัว..!
แม้กระทั่งเหรียญรอยพระพุทธบาทหลังท้าวเวสสุวรรณของวัดท่าขนุน ก็มีโยมบางท่านเอาไปให้ครูบาอาจารย์ดู แล้วท่านบอกว่าขาดคาถาหัวใจท้าวเวสสุวรรณ จากนั้นก็จารเพิ่มให้ แล้วโยมก็กลับมาต่อว่า กระผม/อาตมภาพบอกไปว่า "ไม่ได้ขาด ให้ไว้แล้ว แต่มึงไม่ภาวนาเอง..!" เพราะว่าถ้าลงตัวคาถาเอาไว้ ก็เหมือนกับระเบิดถอดสลัก ถ้าไม่ระเบิดใส่คนอื่น ก็ระเบิดใส่ตัวเอง..! ถึงได้ต้องให้ภาวนา เวสสะ ภุสสะ นะโมพุทธายะ ต่อท้ายไว้ แต่ด้วยความที่ตนเองแสนรู้ เอาไปให้ครูบาอาจารย์จารเพิ่ม ต้องบอกว่า "เป็นความซวยของมึงเอง ไปถือระเบิดถอดสลัก ระมัดระวังเอาไว้ให้ดีก็แล้วกัน..!" เรี่องทั้งหลายเหล่านี้ บางทีอุปเท่ห์ คือเคล็ดลับต่าง ๆ ครูบาอาจาย์ได้บอกไว้ครบแล้ว แต่พวกเรามักจะเป็นคนที่ไม่นิยมการใช้ปัญญา บอกชัด ๆ ว่าแค่มีหัวไว้คั่นใบหู คิดอะไรไม่เป็น ก็เลยไม่ได้เคยหาเหตุหาผลว่าทำไมถึงเป็นเช่นนั้น ในเมื่อเป็นในลักษณะอย่างนั้น โอกาสที่เราจะได้ประโยชน์จากวัตถุมงคลอย่างเต็มที่ก็เป็นไปโดยยาก เพราะอย่างที่เคยบอกเอาไว้ว่า ในเรื่องของพระคาถาต่าง ๆ ถ้าเราเข้าใจและเข้าถึงจริง ๆ จะสามารถใช้ได้อย่างมีอานุภาพมากกว่าคนอื่นเขา โดยปกติแล้ว เรื่องของคาถาท่านห้ามสงสัย ต้องทำตามด้วยศรัทธาจริง ๆ แต่คำว่าห้ามสงสัยนั้น ไม่ใช่ห้ามคิดหาเหตุหาผล เพราะถ้าหากว่าเราเข้าใจเหตุผล วางกำลังใจได้ถูกต้อง ก็จะได้ผลมากกว่าคนอื่น อย่างเช่นว่าพระคาถาเมตตาของหลวงปู่แช่ม วัดฉลอง จังหวัดภูเก็ต ที่ว่า พระอะระหัง สุคะโต ภะคะวา นะ เมตตาจิต พระอรหันต์เป็นผู้ที่ไกลจากกิเลสแล้ว ย่อมมีการไปดีเป็นปกติ มีจิตที่ประกอบไปด้วยเมตตาสรรพสัตว์ทั้งหลายเสมอด้วยตนเอง ถ้าเราเข้าใจเหตุผลนี้แล้ววางกำลังใจตามนั้น อานุภาพของพระคาถาก็จะมากกว่าคนที่ไม่เข้าใจ ได้แต่ภาวนาด้วยความศรัทธาอย่างเดียว
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 08-03-2022 เมื่อ 02:44 |
สมาชิก 46 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#4
|
||||
|
||||
เรื่องพวกนี้พวกเราต้องค่อย ๆ ศึกษาและทำความเข้าใจไป ต้องมีประสบการณ์ที่เกิดจากการที่เราทำแล้วได้ผล แล้วถ้าหากว่ายิ่งซักซ้อมทำไป มีความคล่องแคล่วชำนาญมากขึ้น ก็จะยิ่งได้ผลมาก เหมือนกับการฝึกการต่อสู้ ไม่ว่าจะเป็นมวยไทย กระบี่กระบอง หรือแม้กระทั่งศิลปะอย่างการรำไทย หรือการแสดงโขน เขาจะมีแม่ไม้ คือท่าหลัก ซึ่งเราต้องขยันซักซ้อมเป็นอย่างยิ่ง ต้องซ้อมจนกลายเป็นสัญชาตญาณประจำตัว
ท่านทั้งหลายจะเห็นว่า เวลาหน้าฝนถนนลื่น เวลาเดินบิณฑบาต กระผม/อาตมภาพลื่นไถลออกจะบ่อยไป แต่ไม่เคยล้ม เพราะว่าการทรงตัวกลายเป็นสัญชาตญาณไปแล้ว บรรดาการฝึกฝนต่าง ๆ ต้องอาศัยความเพียร ความอดทน ก็คือวิริยบารมีและขันติบารมีเป็นอย่างยิ่ง สมัยที่กระผมอาตมภาพฝึกมวยกับครูเขตร์ ศรียาภัยนั้น เฉพาะการ "ย่างสามขุม" อย่างเดียว ท่านให้ฝึกอยู่นานถึงครึ่งปี เพื่อวางพื้นฐานให้แน่น การที่ไปรับรางวัลญาณสังวรก็ดี รางวัลปัญญาภิวัฒน์ก็ดี รางวัลหงส์ทองก็ดี ช่วงที่เขานิมนต์พระเข้าไปนั่งรอนั้น มีญาติโยมอยู่หลายร้อยคนโดยเฉพาะผู้หญิง พระอื่นเดินไปแล้วก็ติดอยู่แค่นั้น แต่กระผม/อาตมภาพ แซงหน้าหายลิบไปแล้ว นั่นก็คือลักษณะของการที่เราฝึกซ้อมจนกระทั่งท่าเท้ากลายเป็นธรรมชาติ เห็นช่องว่างเพียงเล็กน้อยก็สามารถที่จะฉวยโอกาสเล็ดลอดไปได้ เมื่อฝึกซ้อมท่าหลักมาก ๆ จนคล่องตัว กลายเป็นสัญชาตญาณ จาก "แม่ไม้" ก็จะเริ่มแตกแขนงเองโดยอัตโนมัติ กลายเป็น "ลูกไม้" ถ้าหากว่าฝึกถึงระดับลูกไม้นี่ถือว่าเริ่มใช้ได้ แล้ว เมื่อฝึกมาก ๆ เข้าก็จะเกิดการพลิกแพลง จากแม่ไม้ ลูกไม้ ก็จะกลายเป็นเพิ่มเติมในสิ่งที่ตนเองถนัด และชำนาญต่างจากคนอื่น กลายเป็นบัญญัติวิชาเพิ่มขึ้นมาได้ แต่ว่าในเรื่องของการเจริญพระกรรมฐาน เรื่องของพระเครื่องวัตถุมงคล พระคาถาภาวนาต่าง ๆ เป็นแค่พื้นฐานเล็กน้อยเท่านั้น การที่เราหมั่นเพียรทำอยู่ทุกวัน ถือว่าเป็นส่วนของศีล ก็คือบังคับตนเองว่าต้องทำโดยละเว้นไม่ได้ ละเมิดไม่ได้
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 08-03-2022 เมื่อ 02:49 |
สมาชิก 42 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#5
|
||||
|
||||
เมื่อทำจนกำลังใจทรงตัว อย่างน้อย ๆ ต้องได้ฌานระดับใดระดับหนึ่ง ถึงจะเรียกอย่างเต็มปากเต็มคำว่าอยู่ในระดับของสมาธิ มาถึงระดับนี้ก็ยังไปไม่รอด เผลอเมื่อไรยังมีโอกาสลงอบายภูมิสูงมาก จึงต้องมีในส่วนของปัญญา ที่นำมาพินิจพิจารณาให้รู้แจ้งเห็นจริง ว่าร่างกายของเราก็ดี ของคนอื่นก็ดี ของสัตว์อื่นก็ดี มีความสกปรกโสโครกเหมือนกัน ประกอบไปด้วยความทุกข์ยากเหมือน ๆ กัน
ถ้าหากว่าปัญญารู้แจ้งเห็นจริง ก็จะเกิดความเบื่อหน่าย คลายกำหนัด ถอนจิตออกจากการยึดเกาะร่างกายนี้ ถ้าร่างกายตนเองไม่ยึดเกาะ ของคนอื่นเราก็ย่อมไม่ยึดเกาะ โลกนี้เราก็จะไม่ยึดเกาะไปด้วย ถ้าหากว่าเราสามารถปล่อยได้อย่างแท้จริง เราก็สามารถหลุดพ้นจากกองทุกข์ เข้าสู่พระนิพพานได้ ดังนั้น...ถ้าหากว่านับเป็นแม่ไม้หลัก ๆ ในพระพุทธศาสนาของเรา ก็คือ ศีล สมาธิ และปัญญา ต้องขยันหมั่นฝึกฝนทุกวัน ยิ่งกว่าที่เรากินอาหารวันละ ๓ มื้อ เพราะว่าอาหารเลี้ยงได้แค่ร่างกาย แต่ว่าในเรื่องของ ศีล สมาธิ ปัญญานั้น หล่อเลี้ยงได้ในส่วนของจิตใจด้วย เมื่อฝึกซ้อมมาก ๆ เข้า มีความชำนาญมากขึ้น มีความเข้าใจมากขึ้น ก็จะมีความก้าวหน้าที่เห็นได้ชัดเจน ไม่อย่างนั้นแล้ว ปีแล้วปีเล่าก็ติดอยู่แค่นั้น ไปไหนไม่ได้ไกล เริ่มต้นนับหนึ่งใหม่อยู่เสมอ กำลังเริ่มไปได้ดี ๆ ก็หกล้มหกลุก กำลังใจตก สมาธิแตก กรรมฐานแตก ดังนั้น...พื้นฐานของการฝึกปฏิบัติ ไม่ว่าจะทางโลกหรือทางธรรมก็ตาม ศีล สมาธิ ปัญญา จะต้องเป็นหลักอยู่เสมอ ความพากเพียร ความอดทนต้องมีเกินร้อย อย่าไปหวังว่าจะได้สบาย ๆ บุคคลที่ฟังธรรมแล้วบรรลุเลย พระพุทธเจ้าพาไปหมดแล้ว ของพวกเรานี่ต้องจ้ำจี้จ้ำไช ปากเปียกปากแฉะ ซักซ้อมกันแล้ว ๆ เล่า ๆ ต้องไม่เบื่อ ต้องไม่หน่าย กว่าจะได้อะไรแต่ละที รู้สึกว่ายากเย็นแสนเข็ญ แต่ถ้าได้แล้วก็เป็นที่ปลื้มใจ รู้สึกว่าคุ้มกับความเหนื่อยยากของตัวเอง ฉะนั้น...ที่บอกกล่าวแก่พวกเราในวันนี้ ส่วนหนึ่งก็เพื่อชี้แจงให้ทราบว่า ในเรื่องของการใช้วัตถุมงคลนั้น นอกจากความเลื่อมใสศรัทธาอย่างสุดจิตสุดใจแล้ว เคล็ดลับพระคาถาต่าง ๆ ที่ประกอบอยู่ จำเป็นต้องมี และต้องอาราธนาให้เป็น อาราธนาด้วยความเคารพในคุณพระพุทธเจ้าจริง ๆ ในคุณพระธรรมจริง ๆ ในคุณพระสงฆ์จริง ๆ ไม่ใช่อาราธนามุ่งร้ายหมายขวัญต่อคนอื่น ใครทำร้ายเราขอให้ตอบสนองไปร้อยเท่าพันทวี ถ้าวางกำลังใจผิดแบบนั้น ก็คงจะใช้ได้แค่บาทหนึ่งสลึงหนึ่ง ทั้ง ๆ ที่ของมีราคาหลายล้าน..! จึงขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา ตลอดจนกระทั่งบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้ พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร. เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันจันทร์ที่ ๗ มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๖๕ (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 09-03-2022 เมื่อ 17:47 |
สมาชิก 44 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน ) | |
คำสั่งเพิ่มเติม | |
|
|