กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะ เรื่องราวในอดีต และสรรพวิชา > กระทู้ธรรม > ธรรมที่นำไปสู่ความหลุดพ้น รวบรวมโดย พล.ต.ท.นพ.สมศักดิ์ สืบสงวน

Notices

ตอบ
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #1  
เก่า 01-10-2009, 11:52
ฅนเมืองพริบพรี
Guest
 
ข้อความ: n/a
Default วิธีแก้ปากเสีย

หลวงพ่อ (หลวงพ่อฤๅษีหรือพระราชพรหมยานมหาเถระ) มาสอนวิธีแก้ปากเสีย (วจีกรรม ๔) โดยให้หลักไว้ดังนี้

โรคปากเสีย คือ โรคชอบต่อกรรม เมื่อถูกกระทบทางทวารทั้ง ๖ (ประตูทั้ง ๖ , อายตนะ ๖)
(ประตูทั้ง ๖ คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ อายตนะสัมผัส ๖ คือ รูป เสียง กลิ่น รส สิ่งที่มากระทบผิวกายและธรรมารมณ์) เพราะอุเบกขาหรือวางเฉยไม่เป็น เบรกจึงแตกอยู่เป็นปกติ มีผลให้ทำกรรมบถ ๑๐ หมวดวาจา ๔ ไม่เต็มสักที (กรรมบถ ๑๐ หมวดวาจา ๔ มี ไม่พูดโกหก , ไม่พูดคำหยาบ , ไม่พูดส่อเสียดหรือพูดนินทาผู้อื่น และไม่พูดเรื่องไร้สาระไม่เกิดประโยชน์)

วิธีปฏิบัติ

๑) พยายามคิดเสียก่อนจึงค่อยพูด

๒) พยายามคิดอยู่ตลอดเวลาที่ฟังคนอื่นเขาพูด

๓) พยายามดึงจิตอย่าไปไหวตามคำพูดของผู้อื่น (โดยฟังอย่างเดียว ห้ามปรุงแต่งธรรมนั้น ๆ )

๔) พยายามฟังแล้วกรองเอาสาระจากคำพูดนั้น ๆ ของเขา ว่ามีประโยชน์หรือไม่มีประโยชน์ (ด้วยปัญญา)

๕) เวลาคนอื่นเขาพูด จะยาวหรือสั้น ปล่อยเขาพูดให้จบก่อน เราใช้ความคิดฟังไปแล้วจะรู้ว่า คำพูดนั้น ๆ มีสาระหรือไม่มีสาระ ควรพูดหรือไม่ควรพูดต่อ หรือควรวาง ควรตัด ก็รู้ได้ด้วยความคิด ไม่ใช่ประโยคไหนมากระทบหูแล้ว กูอยากจะพูดก็ว่าไปเรื่อย ๆ โดยไร้ความคิดพิจารณา

๖) หากทำตาม ๕ ข้อแรกแล้ว คิดอยากพูดบ้าง ก็ให้พิจารณาว่า พูดแล้วเป็นคุณหรือโทษ มีสาระหรือไม่มีสาระ ยิ่งเป็นสาระธรรมในพระพุทธศาสนายิ่งสำคัญ จะต้องมั่นใจเสียก่อนว่าเป็นความจริง ไม่ผิดศีล ไม่ผิดพระวินัย ไม่ผิดพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ถ้าไม่ผิดก็พูดได้

สรุปว่าต้อง นิสสัมมะ กรณัง เสยโย หรือใคร่ครวญด้วยปัญญาเสียก่อนจึงค่อยพูด เพราะแม้ว่าจะเป็นจริงแต่พูดแล้วคนฟังไม่เชื่อไม่ศรัทธา ก็ไร้ประโยชน์ที่จะพูด

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย ฅนเมืองพริบพรี : 01-10-2009 เมื่อ 11:55
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 46 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #2  
เก่า 01-10-2009, 11:54
ฅนเมืองพริบพรี
Guest
 
ข้อความ: n/a
Default

สมเด็จองค์ปฐมทรงพระเมตตาแนะนำต่อและสั่งสอนต่อ มีความสำคัญโดยย่อดังนี้

๑) "วาจาเป็นเหตุให้เกิดศัตรู และสร้างศัตรู ผู้รู้พึงกล่าววาจาด้วยความตริตรองเสียก่อน เพื่อยังประโยชน์ให้แก่ตนเอง แต่ผู้ไร้สติสัมปชัญญะขาดปัญญาจักกล่าววาจาให้เกิดโทษแก่ตนเองแลผู้อื่นอยู่เนือง ๆ เพราะฉะนั้นให้รู้สำรวมวาจาให้มาก ๆ โดยการพิจารณาเสียก่อนจึงพูด"

๒) "กำลังใจของคนไม่เท่ากัน จงอย่าไปตำหนิใคร เพราะทำไปหรือตำหนิไปก็รังแต่จักเพิ่มกิเลสขึ้นในจิต และสร้างศัตรูให้เกิดขึ้นแก่จิตของผู้อื่น ดังนั้นจึงควรสงบถ้อยคำไว้เป็นดีที่สุด แม้จักกล่าวว่า ด้วยความหวังดีก็ตาม มันก็เป็นเนื่องด้วยกิเลสอยู่ดี"

๓) "สังขารุเปกขาญาณ เป็นธรรมเบื้องสูงของผู้ถึงจุดสุดยอดแห่งมรรคผลนิพพาน ขอให้พวกเจ้าหมั่นซ้อมหมั่นปฏิบัติเข้าไว้ วางอุเบกขาให้ถูกลักษณะของมัชฌิมาปฏิปทา โดยอาศัยศีลเป็นพื้นฐานที่ตั้งของสมาธิและปัญญา ตัวสังขารุเปกขาญาณก็จักเกิดขึ้นได้ไม่ยาก หมั่นอัตตนา โจทยัตตานัง สอบจิต สอบกาย สอบวาจาเข้าไว้ว่า คิดเช่นนี้ ทำเช่นนี้ พูดเช่นนี้ มันผิดหรือถูกในหลักธรรมที่ตถาคตได้สั่งสอนมา พิจารณาให้มาก ๆ ถ้าผิดก็จงอย่าทำเป็นอันขาด ถ้าถูกก็จงรีบทำด้วยความมั่นใจ ขยันพากเพียรเข้าไว้ มรรคผลที่ได้จากการกระทำของตนเองนั้นเป็นของแท้ ดีกว่าฟังคนอื่นพูดหรือเล่าว่า เขาทำเช่นนั้นได้ผลเช่นนี้"

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย ฅนเมืองพริบพรี : 01-10-2009 เมื่อ 12:15
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 38 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #3  
เก่า 01-10-2009, 12:31
ฅนเมืองพริบพรี
Guest
 
ข้อความ: n/a
Default

๔) "มาเถิดเจ้า เข้าสู่หลักปฏิบัติธรรม อันเข้าสู่โลกุตรธรรมเบื้องสูงอย่างแท้จริง ตั้งใจไปเลยทิ้งทวนของชีวิตเสี้ยวที่เหลือนี้ให้แก่พระธรรม ตั้งแต่วินาทีนี้เป็นต้นไป จงหมั่นคุมสติกำหนดรู้กริยาของกาย วาจา ใจ ให้แน่วแน่มั่นคง อานาปานุสสติกับคำภาวนา อย่าทิ้งเป็นอันขาด ใครจักพูดอะไร ขอให้มีสติฟังให้ดี ๆ พิจารณาเข้าอิงพระธรรมคำสั่งสอน กลั่นกรองหาสาระให้ได้ แล้วเวลาที่จักพูด ก็จงคิดพิจารณาให้ดีว่ามีสาระหรือไม่ ถ้าไม่มีจงอย่าพูด อย่าทำเช่นนั้นเป็นอันขาด"

(หลวงปู่บุดดา)
"ไอ้คนเรานี้มันก็แปลก ชอบเอาลมปากเผากัน เอาไฟกิเลส โมหะ โทสะ ราคะเผากัน เผาตนเองเผากายเผาใจตนเองยังไม่พอ ชอบเผื่อแผ่ไปเผาชาวบ้านชาวช่องเขาด้วย เผาจิตเผากายของเขามันสนุกหรืออย่างไร วิสัยชาวโลก ชอบนินทา สรรเสริญ ไฟร้อน ไฟเย็น ก็เผาได้เผาดี"

ที่มา : หนังสือ "ระลึกถึงความดีของหลวงพ่อในอดีต" เล่ม ๒ หน้า ๑๗๗ - ๑๘๐
หลวงพ่อฤๅษี วัดท่าซุง (พระราชพรหมยานมหาเถระ)
รวบรวมโดย พล.ต.ท.นพ.สมศักดิ์ สืบสงวน

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย ลัก...ยิ้ม : 02-11-2012 เมื่อ 17:03
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 41 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
ตอบ


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 
คำสั่งเพิ่มเติม

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 00:36



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว