|
เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี เก็บข้อธรรมจากบ้านวิริยบารมีมาฝาก สำหรับผู้ที่ไม่มีโอกาสเดินทางไป |
|
คำสั่งเพิ่มเติม |
#81
|
||||
|
||||
ถาม : พอเห็นอาหาร ก็นึกถึงที่หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านสอนเวลาพิจารณาอาหาร ?
ตอบ : พระที่วัดท่าขนุนเป็นหลวงตาอยู่รูปหนึ่ง ท่านบอกว่า อาจารย์..พวกเนื้อสัตว์ผมพิจารณาได้ เพราะว่ามีเลือดมีคาว แต่พวกผักผลไม้สีสันก็สวยน่ากิน กลิ่นคาวก็ไม่มี หอมอีกด้วย แล้วผมจะพิจารณาอย่างไร ? อาตมาก็บอกว่าสมมติมะม่วงสุก คุณว่าสุกใช่ไหม ? แต่ผมว่าเน่า..! เพียงแต่ว่าคนเราฉลาด กินตอนที่เน่ากำลังดี ยังไม่เน่าเกินไป เสร็จแล้วก่อนที่จะมาเป็นลูก มาจากไหน ? มาจากต้นมะม่วง ต้นก็ต้องดูดปุ๋ยซึ่งเป็นซากสัตว์ อุจจาระ ปัสสาวะ ไปเลี้ยงต้น ต้องอธิบายชัด ๆ ท่านถึงจะเห็น ปัญญาท่านไม่พอ อาตมาเองมองแวบเดียวก็เห็นหมดแล้ว หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านสอนไว้หมดแล้ว ท่านบอกว่าสวย หอม ท่านพิจารณาให้สกปรกไม่ได้ ดูสิ..ของเน่าชัด ๆ ปล่อยทิ้งอีกไม่กี่วันก็เน่าดำแล้ว..ใช่ไหม ? เพียงแต่คุณฉลาดมากินตอนเน่ากำลังดี ยังไม่เน่าไปมากกว่านั้น ถาม : รู้สึกว่าโง่มาก ? ตอบ : ถ้าเป็นลูกศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุงแล้วยังโง่นะ พวกที่ไม่รู้จักพระนิพพานก็โง่กว่าตั้งเยอะ
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 20-04-2015 เมื่อ 17:51 |
สมาชิก 201 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#82
|
||||
|
||||
พระอาจารย์กล่าวว่า "ความกตัญญู ก็คือ รู้คุณท่าน กตเวที คือตอบแทนคุณที่ท่านทำไว้ ความกตัญญูเขาว่ามี กตัญญูต่อบุคคล คือรู้คุณที่คนอื่นทำให้ กตัญญูต่อสถานที่ อย่างเช่นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายืนเพ่งต้นพระศรีมหาโพธิ์อยู่ตลอด ๗ วัน ด้วยความรู้คุณว่าได้อาศัยร่มเงาจนกระทั่งตรัสรู้ กตัญญูต่อตัวเอง อย่างพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว แม้อายุ ๖๐ กว่าพรรษาแล้วก็ยังออกกำลังทุกวัน โดยตั้งใจว่าให้ร่างกายนี้แข็งแรงที่สุด ดีที่สุด จะได้ทำงานเพื่อประเทศชาติได้มากที่สุด
สงสารแต่บรรดาข้าราชบริพาร อายุ ๔๐-๕๐ ยังตามเสด็จไม่ทัน พระองค์ท่านแม้อายุ ๖๐ กว่าแล้ว เสด็จพระราชดำเนินนี่หนุ่ม ๆ เดินลิ้นห้อยไปตาม ๆ กัน ถ้าไม่ใช่ว่าในอดีตสร้างกรรมเอาไว้มาก รบทัพจับศึกไว้มาก จนกระทั่งพระวรกายมาชำรุดเอาตอนท้าย คาดว่าพระองค์ท่านก็ยังคงเสด็จทั่วประเทศเหมือนเดิม ตอนนี้ถึงเสด็จไปไหนไม่ได้ก็ยังทรงงานอยู่ทุกคืน ในเมื่อกตัญญู คือรู้คุณท่าน ก็ต้องมีกตเวที คือตอบแทนคุณท่าน การตอบแทนคุณสถานที่ ก็ลักษณะเดียวกับการอยู่วัดวาอาราม ต้องทำความสะอาด ต้องบูรณปฏิสังขรณ์ให้ดี ให้วัดได้อาศัยบ้าง ไม่ใช่ได้ชื่อว่าไปอาศัยวัด ถ้าสักแต่ว่าไปอาศัยวัดแสดงว่าขาดความกตัญญูต่อสถานที่ พวกเราส่วนใหญ่เข้าใจว่ากตัญญูกตเวทีคือตัวบุคคลอย่างเดียว บุคคลจะประกอบไปด้วยองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงกระทำคุณก่อน ก็คือสั่งสอนเวไนยสัตว์เพื่อความพ้นทุกข์ ทั้งปัจจุบันและอนาคต พระภิกษุสามเณรนำเอาพระธรรมคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาเผยแผ่ให้พวกเราได้รู้ ได้พบดวงแก้วที่จะนำทางชีวิตพวกเราให้ล่วงพ้นจากกองทุกข์ พระมหากษัตริย์ ทรงปกครองไพร่ฟ้าประชาชนให้ได้รับความสุข ปกป้องให้ปลอดภัย พ่อแม่ ผู้ให้กำเนิดชีวิตของเรา เป็นครูบาอาจารย์คนแรกที่อบรมสั่งสอนจนเราสามารถเอาตัวรอดได้ มีชีวิตอยู่รอดมาจนถึงปัจจุบัน ครูบาอาจารย์ แนะนำศิลปวิทยาการเพื่อให้เราสามารถทำมาหาเลี้ยงตนเองและครอบครัว ตลอดจนกระทั่งเลี้ยงพ่อเลี้ยงแม่ได้ ในเมื่อท่านทั้งหลายเหล่านี้เป็นบุคคลที่ทำคุณก่อนโดยไม่หวังผลตอบแทน เมื่อเรารู้ก็ต้องกตเวที กตัญญูรู้คุณท่านอย่างเดียวไม่ครบ ต้องกตเวที คือทำความดีตอบแทน ท่านทั้งหลายเหล่านี้ส่วนใหญ่ไม่ได้หวังที่จะให้เราตอบแทน แต่ว่าขึ้นอยู่กับตัวเราว่ามีจิตสำนึกแค่ไหน ? ถ้าได้รับการอบรมมาดี มีจิตสำนึกที่ดี ก็จะรู้จักแทนคุณท่าน "
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 20-04-2015 เมื่อ 17:53 |
สมาชิก 189 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#83
|
||||
|
||||
"ในพระไตรปิฎกที่กล่าวถึงพระภิกษุลูกชายเศรษฐีที่ไปบวช เสร็จแล้วพ่อแม่รักษาสมบัติไม่ได้ โดนข้าทาสบริวารเพื่อนพ้องโกงจนหมดตัวกลายเป็นขอทาน พอทราบข่าวท่านก็ไปนำพ่อแม่มาเลี้ยงไว้ สร้างกระต๊อบในป่าให้อยู่ ได้ข้าวปลาอาหารมาให้พ่อแม่กินอิ่มก่อน เหลือเท่าไรตนเองก็ฉันแค่นั้น ได้ผ้ามาก็เอามาเย็บมาย้อมแล้วเอาให้พ่อแม่ตนเองนุ่งก่อน ตนเองก็เอาผ้าเก่าของพ่อแม่มาทำให้เสียสี เย็บย้อมเป็นจีวรเอามานุ่งห่ม ลำบากตรากตรำจนกระทั่งผอมดูไม่ได้เลย พระท่านก็ร่ำลือไปต่าง ๆ นานา
พอพระพุทธเจ้าทราบเหตุเข้าจึงต้องตรัสประชุมว่า พระภิกษุรูปนั้นทำถูกต้องแล้ว เพราะว่าพ่อแม่ถือว่าเป็นแดนเกิด ถ้าไม่มีท่านก็ไม่ได้เกิดมาจนกระทั่งได้บวช ได้พบพระธรรม แล้วทรงมีพระบรมพุทธานุญาตให้พระภิกษุสามารถเลี้ยงดูพ่อแม่ด้วยปัจจัยสี่ได้ตามสมควร คำว่า "ตามสมควร" ในที่นี้คือให้ท่านดำรงชีวิตอยู่ได้โดยไม่ลำบากมาก แต่ว่าในปัจจุบันมีหลายที่อยู่ในลักษณะว่าขนข้าวของเงินทองอะไรไปทุ่มเทให้กับทางบ้าน ทางครอบครัว สมัยก่อนอย่างเณรคำ สร้างบ้านให้ ๒๐ ล้าน ซื้อที่ให้ ๒๐๐ ไร่ รถอีก ๑๐ กว่าคัน อันนั้นเกินสมควร ถ้าจะดูก็ต้องดูอย่างหลวงพ่อวัดคลองวาฬ เจ้าคณะจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ หลวงพ่อเอียดท่านเอาแม่มาเลี้ยงดูอยู่ที่วัด เช้ามืดตีสามตีสี่ตื่นขึ้นมาเตรียมข้าวปลาอาหารให้แม่ พระเณรกราบเรียนว่า “หลวงพ่อไม่ต้องหรอก พวกผมทำเอง” ท่านบอกว่า “คุณไม่เคยอยู่กับแม่ผมมา คุณไม่รู้ว่าแม่ผมชอบอะไร” ท่านขอทำเองเพราะท่านรู้ นั่นเป็นตัวอย่างที่เห็นได้ชัดเจน หลวงพ่อพระพรหมเวที เจ้าคณะภาค ๑๕ วัดพระปฐมเจดีย์ ถึงเวลาเขียนหนังสือใช้นามปากกาว่า “ลูกแม่ตุ้ย” เอาชื่อแม่ขึ้นเลย สร้างศาลาก็ชื่อ “ศาลาแม่ตุ้ย บุษบก” ท่านชื่อสุเทพ เขียนหนังสือใช้นามปากกา “สุเทพ ลูกแม่ตุ้ย” ฉะนั้น..ตัวอย่างของพระผู้ใหญ่ที่กตัญญูและกตเวทีต่อพ่อแม่ตัวเองต้องบอกว่ามีให้เห็นชัด สมัยหลวงปู่ปานท่านก็เอาโยมแม่ของท่านมาเลี้ยงดูอยู่ ถึงเวลาก็อุ้มเข้าห้องน้ำห้องท่า ซักผ้าซักผ่อนให้ ตากอยู่ในศาลา พระอื่นก็ไปว่าท่าน ไปตำหนิท่าน ท่านก็บอกว่าท่านถือตามที่พระพุทธเจ้าอนุญาต ในเมื่อพระพุทธเจ้าอนุญาตให้เลี้ยงดูพ่อแม่ได้ท่านก็เลี้ยงดู เขาก็บอกว่าท่านเอาผ้านุ่งแม่ไปตากบนศาลา คนเดินข้างล่างก็ลอดไปลอดมา ท่านก็บอกว่าตอนเกิดมาคุณยิ่งกว่าลอดใต้ผ้านุ่งอีก..!"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 20-04-2015 เมื่อ 17:55 |
สมาชิก 198 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#84
|
||||
|
||||
ถาม : การที่พระโพธิสัตว์ท่านสละลูกของท่านให้ยักษ์เป็นอาหาร ลูกเต็มใจเปล่าหรือคะ ?
ตอบ : อาตมาก็ลืมถามลูกไป ถาม : แล้วถ้าไม่เต็มใจ ไม่เท่ากับเป็นการทำร้ายชีวิตหรือคะ ลูกไม่โกรธหรือคะ ? ตอบ : อย่าเอากำลังใจเราไปวัดกับกำลังใจพุทธภูมิ พวกเราคิดโน่นคิดนี่คิดนั่น ส่วนของท่านถ้าเพื่อสร้างบารมีนี่ไม่โกรธหรอก มีแต่จะสนับสนุน ลุยโลดเลยพ่อ..!
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 21-04-2015 เมื่อ 11:43 |
สมาชิก 197 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#85
|
||||
|
||||
ถาม : คำว่าโมทนา กับ อนุโมทนา ต่างกันอย่างไรคะ ?
ตอบ : โมทนาแปลว่ายินดี อนุ แปลว่าตาม ก็คือยินดีตามเขาไป ดังนั้นคำเต็มก็คืออนุโมทนา แต่หลายคนไม่เข้าใจคิดว่าอนุแปลว่าน้อย ก็เลยไป “มหาโมทนา” อันนั้นบ้า..!
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 21-04-2015 เมื่อ 16:19 |
สมาชิก 198 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#86
|
||||
|
||||
ถาม : เราพกตะกรุดมหาสะท้อน ถ้าเราเผลอคิดไม่ดี โกรธคนอื่น ?
ตอบ : ตะกรุดให้ผลตามที่คนอื่นเขาทำดีทำชั่วกับเรา ตัวเราไม่เกี่ยว เพราะฉะนั้น..จะโกรธจะเกลียดใครก็ช่างเถอะ ถ้าคนนั้นเขาไม่ได้ทำไม่ดีกับเรา โกรธเขาให้ตายก็ไม่เกิดผลกับเขาหรอก
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 21-04-2015 เมื่อ 16:19 |
สมาชิก 199 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#87
|
||||
|
||||
ถาม : เวลาทำสมาธิ บางทีตัวโยกมากจนตัวเรารับไม่ไหว ?
ตอบ : นั่นเขาเรียกว่าปีติ ลักษณะของปีติบางทีก็โยก บางทีก็ดิ้น บางทีก็ตัวสั่นเหมือนเจ้าเข้าทำนองนั้น ถ้าหากว่าสมาธิถึงตรงจุดนั้นแล้ว จะดีอยู่อย่างคือเราจะไม่เบื่อในการปฏิบัติ รู้สึกอยากจะทำอยู่ตลอดเวลา ถาม : พอหลังจากตรงจุดนั้นแล้ว เรารู้สึกว่ากลับไปเป็นอย่างนั้นไม่ได้อีก ? ตอบ : เพราะเราไปอยากให้จะเป็นอย่างนั้นหรือว่าไปกลัวว่าจะเป็นอย่างนั้น ไม่ต้องไปใส่ใจหรอก มีหน้าที่ภาวนา ภาวนาแล้วจะเป็นอย่างไรก็ช่างมัน เมื่อวางกำลังใจสบาย ๆ แบบนี้ได้ก็สามารถเข้าถึงตรงนั้นได้อีก
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 21-04-2015 เมื่อ 16:20 |
สมาชิก 188 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#88
|
||||
|
||||
พระอาจารย์กล่าวว่า "ปีนี้น่าเป็นห่วงชาวบ้าน ห่วงตรงที่ว่าจะขาดน้ำ ความจริงบ้านเรามีโครงการผันน้ำจากแม่น้ำโขง อย่างโครงการโขง-ชี-มูล วางโครงการมาจนกระทั่งประเภทยังไม่มีลูก ลูกก็เกินที่จะบวชได้แล้ว จนป่านนี้โครงการก็ยังไม่เป็นรูปเป็นร่าง ถ้าสามารถผันน้ำจากแม่น้ำโขงเข้ามาได้ กระจายไปคลองซอยคลองชลประทาน อีสานก็จะไม่แล้ง
แต่ส่วนใหญ่แล้ว ถ้าโครงการใหญ่ มีค่าใช้จ่ายมาก บรรดาแร้งก็จะมาลง ถ้าไม่มีส่วนแบ่งเขาก็จะขวางไม่ให้โครงการเกิด กลายเป็นว่าบ้านเราไม่สามารถที่จะทำโครงการอะไรที่เป็นประโยชน์กับชาวบ้านได้จริง ๆ เพราะมักจะไปติดความเห็นแก่ตัวของบุคคลไม่กี่คน เราจะเห็นว่าญี่ปุ่นสูญเสียจากสงครามอย่างมหาศาล บุคคลรุ่นเก่าต้องดิ้นรนเต็มที่เพื่อที่จะสร้างความเจริญให้กับบ้านเมืองตัวเอง จนกระทั่งปัจจุบันกลายเป็นประเทศเศรษฐกิจอันดับต้น ๆ ของโลก ประเทศเกาหลีก็โดนทั้งสงครามยึดครองจากญี่ปุ่น โดนทั้งสงครามลัทธิระหว่างคอมมิวนิสต์กับโลกเสรี จนกระทั่งแตกเป็น ๒ ประเทศ ก็ต้องดิ้นรนสร้างชาติของตนเองจนเข้มแข็ง กลายเป็นประเทศเศรษฐกิจที่เขายอมรับกันทั่วโลก ต้องบอกว่าบ้านเราลำบากน้อยไปหน่อย ก็เลยไม่ค่อยดิ้นรนกัน อะไร ๆ ก็ทำเพื่อตัวเอง ต้องรอให้สถานการณ์บีบคั้นใช่ไหม ? เดี๋ยวพอลำบากยากแค้นกันทั่วประเทศเขาก็ดิ้นรนกันขึ้นมาเองแหละ..!"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 22-04-2015 เมื่อ 15:02 |
สมาชิก 190 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#89
|
||||
|
||||
ถาม : มีบางอย่างมาควบคุมหนู มาบอกให้หนูรับองค์ค่ะ ?
ตอบ : ถ้าจะให้รับ ข้อแรก ต้องให้เรารวยก่อน มีฐานะอยู่กินอย่างสบาย ๆ โดยไม่เดือดร้อนแล้วจะรับ ข้อที่สอง เมื่อต้องการที่จะอาศัยร่างของเรา ต้องไม่ทำอาการอะไรที่พิลึกพิลั่นจนเราต้องอับอายชาวบ้านเขา ข้อที่สาม สิ่งไหนที่รับปากช่วยคนอื่นไปต้องสำเร็จตามนั้น ถาม : หลวงปู่ที่วัด เขาบอกว่าให้หนูรับหน้าพระ ? ตอบ : บอกเขาไปว่าแน่จริงมาลงตรงนี้สิวะ...! บอกไปว่ากติกา ๓ ข้อนี้ทำให้ได้ก่อน ถ้าไม่สำเร็จไม่รับ อย่างเราถ้าต้องไปทำงานให้เขา งานการของเราก็ไม่ได้ทำ ต้องทำให้เรามีความเป็นอยู่คล่องตัวก่อน ฉะนั้น..สิ่งที่รับปากเขาสำคัญที่สุด..ต้องสำเร็จตามนั้น ถ้าคุณไม่แน่ใจอย่าทะลึ่งโผล่หน้ามา ถาม : ทำไมหนูต้องยอมรับด้วย ? ตอบ : จะไม่รับก็ได้ ไม่ได้ว่าอะไรนี่ บอกแล้วว่าถ้าเราไม่เอา เขาก็ทำอะไรไม่ได้ แต่ถ้าจะเอากติกา ๓ ข้อนี้ต้องได้ ถาม : ถ้าจะตายไปตอนนี้ให้ตายไป หนูไม่อยากอยู่ ไม่อยากไปที่ไหนอีกแล้ว อยากจะไปอยู่กับหลวงพ่อฤๅษี ? ตอบ : ถ้าตัดสินใจอย่างนั้นก็จบแค่นี้เลย ก็คือไม่รับ ถาม : ตอนที่ลง เขาบอกว่าเป็นท่านปู่พระศิวะค่ะ หลวงปู่บอกว่าอย่าไปเชื่อ เป็นผีห่าซาตาน เขาจะตามหนูไปทุกที่ค่ะ ? ตอบ : นึกถึงพระไว้สิ นึกถึงพระพุทธเจ้าคลุมไว้ ดูว่ามีปัญญาลงไหม ? ดูว่าสามโลกนี้มีใครเก่งเกินพระพุทธเจ้าบ้าง ..! ถาม : เขาทำให้หนูไม่สามารถทำอะไรได้เลยค่ะ ? ตอบ : ภาวนานึกถึงภาพพระให้เป็นปกติ ถ้าหากว่าอารมณ์ทรงตัวเป็นปฐมฌานขึ้นไปกำลังเราจะเท่ากับพรหม ในเมื่อกำลังเราเท่ากับพรหม เขาทำอะไรไม่ได้หรอก ถาม : ถ้าหนูตาย ช่วยพาหนูไปด้วยนะคะ ? ตอบ : ตัวเองยังแบกยากเลย จะลากคนอื่นไปอย่างไร ตัวใครตัวมันจ้ะ เดี๋ยวจะไปรอแล้วกัน ตามไปให้ทันนะ ...(หัวเราะ)... ถาม : ถ้าแซงละคะ ? ตอบ : ใครแซงได้แซงไปก่อนเลย อาตมายังมีเวรมีกรรม ต้องอยู่ใช้หนี้เขาอีกหลายปี จะตายเขายังไม่ยอมให้ตายเลย
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 21-04-2015 เมื่อ 19:06 |
สมาชิก 200 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#90
|
||||
|
||||
เรื่องของร่างทรง วิธีเลี่ยงที่ดีที่สุดก็คือภาวนาให้อารมณ์ใจทรงตัวอย่างน้อยปฐมฌานขึ้นไป ถ้าทรงฌานได้ กำลังเราเท่ากับพรหมเขาทำอะไรไม่ได้หรอก ยกเว้นว่าท่านที่เหนือกว่าพรหม และที่สำคัญที่สุดก็คือว่าอย่าไปหวั่นไหวง่าย ๆ ถ้าเราไปหวั่นไหวง่าย ยินดียินร้ายอะไร กำลังเราตก เขาก็จะครอบงำได้ง่าย
พวกเรายังไม่ได้เจอแบบที่อาตมาเจอ มายืนค้ำหัวชี้หน้าเลยว่า "กูยิ่งใหญ่ที่สุดในสามโลก ไม่มีใครเหนือกว่ากูอีกแล้ว..!" ถ้าเป็นพวกเราได้ยินก็ขวัญหนีดีฝ่อ อาตมาบอก “มึงยิ่งใหญ่แค่ไหน ตอนนี้กูเป็นพระ มึงนั่งลงซะ ไม่อย่างนั้นจะโดนเตะ..!” เขาเลยยอมนั่ง ถ้ากำลังใจเรามั่นคงไม่หวั่นไหว พวกนี้ทำอะไรไม่ได้แม้แต่นิดเดียว เพียงแต่ว่าพวกเราส่วนใหญ่จะเกิดความกลัวซึ่งก็เป็นเรื่องปกติ ฉะนั้น..วิธีที่จะเลี่ยงความกลัวได้ดีที่สุดก็คือทรงสมาธิไว้ แล้วบางรายกำลังเขาสูง แค่เข้าเขตมาใกล้นี่ขนลุกเกรียวมาแต่ไกลเลย ลักษณะนั้นต้องตั้งท่ารับ พวกนั้นแรงจัด ก่อนหน้านั้นอาตมาก็นิสัยไม่ดี เจอแบบนี้ไล่กระจายเลย มาตอนหลังได้รับความรู้จากหลวงพ่อวัดท่าซุงว่า “อย่าอวดดีกับผี อย่าลองดีกับพระ” มีอะไรเจรจากันก่อน ถ้าสามารถช่วยเขาได้ สามารถสงเคราะห์เขาได้ก็ทำไป ถ้าช่วยไม่ได้สงเคราะห์ไม่ได้ คุยกันไม่รู้เรื่องจริง ๆ แล้วค่อยไปตีกัน
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 21-04-2015 เมื่อ 16:26 |
สมาชิก 203 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#91
|
||||
|
||||
พระอาจารย์กล่าวว่า "อาตมาได้เตือนท่านเอแล้วว่ารักษาสุขภาพหน่อย แต่ก็อย่างว่าแหละ คนเราถ้าห้ามกินนี่ก็แย่เลย ไม่รู้ว่าจะเอาแรงจากไหนมา ไม่นึกว่าท่านจะเป็นถึงขนาดนั้น ปกติที่ท่านเป็นอยู่คือไทรอยด์ แล้วอยู่ ๆ กลายเป็นเบาหวานไปตอนไหนไม่รู้
งานที่ท่านรับอาสาทำให้ ไม่ว่าจะสมเด็จองค์ปฐมประธานศาลา ๑๐๐ ปีหลวงปู่สาย หรือสมเด็จองค์ปฐมเนื้อเงินขนาด ๙.๙ นิ้ว ท่านบอกว่าท่านจะทำส่งท้าย เสร็จงานแล้วตายก็จะไปพร้อมกับผลงานเลย อัศจรรย์ตรงที่ว่าหล่อพระแล้วไม่ต้องแต่งเลย โดยเฉพาะองค์เนื้อเงิน อย่าลืมว่าฝนตกนะ ปกติแบบถ้าอากาศเย็นนี่ช่างร้องไห้แล้ว เพราะแบบเย็นโลหะที่ลงไปจะเย็นเร็ว ที่ลงไปใหม่ตามไม่ทันก็จะโบ๋ ต้องซ่อมกัน แต่ของเรานี่อะไรจะสมบูรณ์ได้ขนาดนั้น อย่างของวัดที่หนองปรือต้องซ่อมทุกชิ้น แล้วหลายชิ้นต้องเปลี่ยนใหม่เลย ถึงได้บอกว่าในเรื่องของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ปฐม ยิ่งนานไปคนที่รู้จักท่านจริง ๆ จะเหลือน้อยลงเรื่อย ๆ ส่วนใหญ่ก็รู้แค่ว่าท่านมีความสำคัญอย่างไร แต่จะรู้จักท่านจริง ๆ หรือไม่ ในเมื่อไม่รู้จักท่านจริง ๆ ไม่สามารถที่จะขอกับท่านโดยตรงได้ บางทีก็เละเทะอย่างที่เห็น ของที่อื่นเขาตัดเป็นท่อน ๆ ไปหล่อ แล้วต้องทำใหม่ทุกท่อน โดยเฉพาะพระพักตร์ หล่อออกมานี่พรุนเป็นรังผึ้งเลย ซ่อมไม่ไหว ท่านอาจารย์สุชาติต้องปั้นใหม่เลย ทั้งที่ใช้ช่างในการหล่อชุดเดียวกัน แล้ววันที่หล่อของวัดท่าขนุน ก็ใช้ฤกษ์นั้นหล่อที่โน่นด้วย แต่ปรากฏว่าทางด้านโน้นปั๊มหอยโข่งพังทั้ง ๒ ตัว ต้องรอของเราหล่อเสร็จแล้วเอาจากที่นี่วิ่งไป หล่อเสร็จแล้วก็ต้องซ่อมอีก ช่างเขามีกำลังใจเพราะว่าทำของเราแล้วออกมาเกินมาตรฐาน โดนเฉพาะสมเด็จองค์ปฐมเนื้อเงินที่เขามาตั้งกองหล่อกันที่นี่ ช่างไม่คิดค่าแรงแม้แต่บาทเดียว ทำถวาย..ค่าแรงไม่คิด คนทำเขาปลื้มใจที่ได้ทำ เพราะว่าทำแล้วกลายเป็นชื่อเสียงของโรงหล่อ ตอนช่างณุทำสมเด็จองค์ปฐมลอยองค์มาให้ดู อาตมาบอกว่าให้เอาฐานข้างหลังออก ไม่อย่างนั้นจะหนักกว่านี้อีกเยอะ เพราะเขาไปทำขารับซุ้มไว้ คิดดูว่าขารับซุ้มทั้ง ๒ ข้างถ้าเป็นทองนี่จุกเลย บอกช่างให้เอาออก เหลือแต่ซุ้มไว้เฉย ๆ เขาก็ตั้งใจทำเต็มที่แล้ว ไปค้นหารูปสมเด็จองค์ปฐมทั้งประเทศไทยที่เป็นลอยองค์มาเปรียบเทียบดู ช่างยืนยันว่าของเราสวยที่สุด"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 22-04-2015 เมื่อ 11:22 |
สมาชิก 202 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#92
|
||||
|
||||
เก็บตกเดือนเมษายนปี ๕๘ หมดแล้วค่ะ ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย ทาริกา คะน้า เถรี รัตนาวุธ และคะน้าอ่อน
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม |
สมาชิก 139 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน ) | |
คำสั่งเพิ่มเติม | |
|
|