#1
|
||||
|
||||
เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน วันอาทิตย์ที่ ๖ ตุลาคม ๒๕๕๖
ให้ทุกท่านตั้งกายให้ตรง กำหนดสติไว้เฉพาะหน้า คืออยู่กับลมหายใจเข้าออกของเรา หายใจเข้า..ให้ความรู้สึกทั้งหมดไหลตามลมหายใจเข้าไป หายใจออก..ให้ความรู้สึกทั้งหมดไหลตามลมหายใจออกมา จะกำหนดการรู้ลมกี่ฐานก็แล้วแต่เรามีความถนัด และให้ใช้คำภาวนาที่เราชอบใจ
วันนี้เป็นวันอาทิตย์ที่ ๖ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๕๖ เป็นการปฏิบัติกรรมฐานต้นเดือนตุลาคมวันสุดท้าย ระยะนี้ตรงกับเทศกาลกินเจ การกินเจนั้นมีคติมาจากศาสนาพราหมณ์-ฮินดู ซึ่งถือคตินี้จากศาสดามหาวีระ เนื่องจากว่าทางด้านศาสดามหาวีระเจ้าของศาสนาเชนนั้นมีความเห็นสุดโต่ง ถึงขนาดว่าการหายใจของเราก็ยังเอาจุลชีวะเข้าไปในร่างกาย ทำให้สิ่งทั้งหลายเหล่านั้นถึงแก่ความตาย ดังนั้น..นักบวชของศาสนานี้จึงไปไหนแล้วต้องมีผ้าคาดจมูกไปด้วย เพื่อป้องกันการหายใจเอาบรรดาเชื้อโรคต่าง ๆ เข้าไป ในเมื่อการปฏิบัติเฉพาะเรื่องนี้ยังเคร่งครัดขนาดนั้น เรื่องของอาหารการกินจึงไปเน้นเรื่องของมังสวิรัติ คืองดเว้นจากอาหารที่เป็นเนื้อสัตว์ทุกชนิด เมื่อศาสนาพุทธแพร่เข้าไปในประเทศจีน ก็มีลัทธิของศาสนาพราหมณ์-ฮินดูนี้ปะปนเข้าไปด้วย จึงกลายเป็นว่าทางด้านมหายานนั้นจะนิยมการกินอาหารที่เป็นมังสวิรัติไปด้วย เนื่องจากว่าทางสายมหายานปฏิบัติในลักษณะของผู้ปรารถนาซึ่งพุทธภูมิ ก็คือตั้งใจจะเป็นพระพุทธเจ้า ทำให้เกิดความเมตตาสงสารต่อสรรพสัตว์ทั้งหลาย สามารถละเว้นการเบียดเบียนได้ เช่นนั้นก็ถือว่าเป็นสิ่งที่น่าโมทนา แต่ว่าในบ้านของเรานั้น การกินเจก็มีจำนวนมากที่กินเจด้วยความเมตตา ไม่อยากจะเบียดเบียนต่อสัตว์อื่น แต่ในส่วนที่ต้องระมัดระวังก็คือว่า การกินเจนั้นกลับสร้างกิเลสให้เรามากขึ้น อย่างเช่นในเรื่องอาหารเจก็มีการปรุงแต่งให้หน้าตาเหมือนกับเนื้อสัตว์ ถ้าลักษณะนั้นก็เท่ากับเป็นการหลอกลวงตัวเอง ก็คือยังปรารถนาในการกินอาหารที่เป็นเนื้อสัตว์อยู่ แต่ว่าหลอกตนเองด้วยการนำเอาอาหารเจมาทำให้หน้าตาดูเหมือนกับที่เป็นเนื้อสัตว์ จึงเป็นการโดนกิเลสปรุงแต่งหลอกลวงถึง ๒ ชั้นด้วยกัน ประการต่อไปก็คือ ถ้าเรากินเจแล้วคิดว่าเราดีกว่าคนอื่น เราไม่เบียดเบียนชีวิตของคนอื่น ขณะที่คนอื่นยังกินเลือดกินเนื้ออยู่ เราดีกว่าเขา ถ้าอย่างนี้ก็จะเป็นการมานะ ถือตัวถือตน เป็นสักกายทิฐิ เอาตัวกูเป็นใหญ่ ในขณะเดียวกันก็เป็นสีลัพพตุปาทาน คือการยึดมั่นในศีลพรตหลักปฏิบัติของตนเอง ว่าดีกว่าคนอื่นเขา
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 13-11-2013 เมื่อ 19:43 |
สมาชิก 65 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#2
|
||||
|
||||
ดังนั้น..เราจึงต้องตั้งกำลังใจให้ถูกว่า ถ้ารักที่จะกินอาหารมังสวิรัติหรืออาหารเจจริง ๆ ก็ให้กินในลักษณะที่ว่าเป็นไปด้วยดวงจิตที่หวังดี ปรารถนาดี ไม่ต้องการเบียดเบียนผู้อื่นจริง ๆ เกิดจากความเมตตากรุณาต่อชีวิตอื่นจริง ๆ ไม่ใช่กินเพื่อจะโอ้อวดว่าเรามีการปฏิบัติที่เคร่งครัดกว่าผู้อื่น
เนื่องจากว่าแม้กระทั่งพระภิกษุสามเณร องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังอนุญาตให้ฉันอาหารที่เป็นเนื้อสัตว์ได้ โดยที่ละเว้นจากการ ๑.รู้ว่าเขาฆ่าเพื่อเรา ๒.เห็นว่าเขาฆ่าเพื่อเรา ๓.รังเกียจว่าเขาฆ่าเพื่อเรา ถ้าเว้นจาก ๓ ข้อนี้แล้ว ให้สามารถรับอาหารที่ประกอบขึ้นมาจากเนื้อสัตว์ได้ เนื่องจากว่าพระเราต้องขออาหารจากชาวบ้านเขา ถ้าไปจำเพาะเจาะจงว่าต้องเป็นอาหารเจ ต้องเป็นอาหารไม่เจ ก็จะทำให้ชาวบ้านซึ่งกินอาหารต่างจากเรา ต้องลำบากเดือดร้อน ที่จะไปสรรหาอาหารที่เราต้องการมาถวาย ดังนั้น..ในส่วนที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแนะนำ จึงเป็นทางสายกลางที่เหมาะและสะดวกที่สุด แต่ว่าถ้าใครสามารถที่จะถือศีลกินเจโดยละเว้นได้จริง ๆ ด้วยเห็นประโยชน์ เนื่องจากว่ามีสภาพจิตที่อ่อนโยน ประกอบด้วยเมตตา ไม่ตั้งใจที่จะเบียดเบียนสัตว์อื่นจริง ๆ ก็เป็นเรื่องที่น่ายินดีและน่าโมทนาด้วยเป็นอย่างยิ่ง แต่ขอให้ทราบว่า สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ ไม่ใช่คติของชาวพุทธเราตั้งแต่แรก หากแต่เป็นคติความเชื่อของศาสนาพราหมณ์-ฮินดู แล้วก็กระจายเข้าไปในประเทศจีน จนกระทั่งทางพุทธศาสนามหายานรับเอาไปปฏิบัติด้วย ในการที่เราปฏิบัติธรรมนั้น การที่เราตั้งความคิด ตั้งความปรารถนาในการปฏิบัติอย่างใดอย่างหนึ่ง ก็จำเป็นต้องระมัดระวังอยู่เสมอ ว่าเป็นการที่ออกนอกลู่นอกทางไปไกลหรือไม่ ? ทำแล้วกาย วาจา ใจของเราเจริญขึ้นหรือไม่ ? หรือว่าทำไปแล้วกาย วาจา ใจ ของเราเสื่อมทรามลง ? หรือทำให้เราห่างไกลจากความดี คือห่างจากทาน ศีล ภาวนาไป ? กลายเป็นยิ่งทำกิเลสก็ยิ่งมาก ถ้าเป็นดังนั้นก็ให้ทราบว่า เราได้กระทำมาผิดทางแล้ว ให้รีบแก้ไขโดยอาศัยศีล สมาธิ ปัญญาเป็นกรอบ ถ้าเราตีกรอบด้วยศีล สมาธิ ปัญญา ถึงแม้ว่าจะหลงทางก็ไปไม่ไกล แต่ถ้าเราไม่มีศีล สมาธิ ปัญญาเป็นกรอบ การหลงทางของเราก็จะเตลิดเปิดเปิง หาทางกลับไม่เจอ ลำดับต่อไปก็ให้ทุกคนตั้งใจภาวนาและพิจารณาตามอัธยาศัย จนกว่าจะได้ยินเสียงสัญญาณบอกว่าหมดเวลา พระครูวิลาศกาญจนธรรม เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน ณ บ้านวิริยบารมี วันอาทิตย์ที่ ๖ ตุลาคม ๒๕๕๖ (ถอดจากเสียงเป็นอักษรโดยรัตนาวุธ)
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 15-11-2013 เมื่อ 09:34 |
สมาชิก 52 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#3
|
||||
|
||||
สามารถรับชมได้ที่
http://www.sapanboon.com/vdo/demo.ph...ame=2556-10-06 ป.ล. - สามารถชมบนไอโฟนและแอนดรอยด์ได้ - ห้ามคัดลอกไฟล์ไปเผยแพร่ที่อื่นเด็ดขาด ! |
สมาชิก 8 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ชินเชาวน์ ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
สุธรรม (23-02-2014), สุพรรณหงส์ (16-10-2023)
|
ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน ) | |
คำสั่งเพิ่มเติม | |
|
|