|
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน เดือนพฤศจิกายน ๒๕๖๔ เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน เดือนพฤศจิกายน ๒๕๖๔ |
|
คำสั่งเพิ่มเติม |
#1
|
||||
|
||||
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันเสาร์ที่ ๒๗ พฤศจิกายน ๒๕๖๔
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันเสาร์ที่ ๒๗ พฤศจิกายน ๒๕๖๔
__________________
มารใช้ คนทุกคน ของทุกชิ้น สัตว์ทุกตัว เป็นเครื่องมือในการขวางเรา โดยเฉพาะคนที่เรารักมากที่สุด (-/\-) (-/\-) (-/\-) |
สมาชิก 45 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ตัวเล็ก ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#2
|
||||
|
||||
วันนี้ตรงกับวันเสาร์ที่ ๒๗ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๖๔ รวมหัวท้ายแล้ว กระผม/อาตมภาพไม่อยู่ ๗ วันพอดี เกิดจากการที่ต้องไปอำนวยการที่สนามสอบตามหน้าที่อยู่ ๔ วัน ไปงานวันเกิดเจ้าคณะจังหวัด ๑ วัน ไปเป็นเจ้าภาพสวดพระอภิธรรมถวายพระเดชพระคุณพระวิสุทธิวงศาจารย์ที่วัดปากน้ำภาษีเจริญ ๑ วัน แต่คนขับไม่สบาย ขับรถกลับไม่ไหว ก็เลยค้างไปอีกหนึ่งคืน
เมื่อกลับมาถึงวันนี้ ก็ถือว่าเป็นฤกษ์ดี ตรงกับวันพระ แรม ๘ ค่ำ เดือน ๑๒ ได้อัญเชิญพระพุทธรูปทองคำปางห้ามสมุทรทรงเครื่องขึ้นสู่มณฑปอีก ๑ องค์ ส่วนพระพุทธรูปเนื้อเงินปางห้ามสมุทรทรงเครื่องที่ใหญ่กว่า ต้องรออีกสัก ๓ - ๔ วัน ความจริงพระพุทธรูปทองคำเสร็จตั้งแต่ ๔ วันที่แล้ว เพียงแต่ว่าพอช่างรู้ว่ากระผม/อาตมภาพไม่ได้อยู่วัด ก็เลยนัดมาส่งวันนี้ เหตุที่ทำได้เร็วมาก เพราะว่าส่วนใหญ่แล้วการหล่อพระของวัดท่าขนุน ก็คือองค์พระติดเต็มสมบูรณ์ แทบไม่ต้องแต่งอะไรเลย แค่ตัดสายชนวนออกแล้วขัดเงาเท่านั้น ตรงจุดนี้ที่ทำให้ต่างจากวัดอื่น ๆ ที่เขาหล่อพระ เพราะว่าของเขาส่วนใหญ่แล้วก็คือปะแล้วปะอีก ซ่อมแล้วซ่อมอีก เนื่องจากหล่อแล้วไม่เต็ม เรื่องนี้ต้องบอกว่าเกิดจากหลายสาเหตุด้วยกัน สาเหตุแรกก็คือ ถ้าหากว่าในช่วงหล่อพระมีฝนตกลงมา ความเย็นที่เพิ่มขึ้นกะทันหัน ก็จะทำให้โลหะเย็นตัวลงแล้วไหลไปไม่ทั่ว แต่อย่าลืมว่าวัดท่าขนุนของเราก็เคยหล่อพระกลางสายฝนมาแล้วเหมือนกัน แต่ก็ไม่มีปัญหา ประการที่สองที่กระผม/อาตมภาพย้ำหนักย้ำหนาก็คือ พระพุทธเจ้าไม่ใช่เพื่อนเล่นของเรา นึกอยากจะสร้างก็สร้าง นึกอยากจะทำก็ทำ ถ้าพวกท่านสังเกตจะเห็นว่า กระผม/อาตมภาพทำการบวงสรวงขออนุญาตทุกขั้นตอน ตั้งแต่ขออนุญาตสร้าง ขออนุญาตปั้นหุ่น ขออนุญาตหล่อ เรื่องพวกนี้ห้ามมองข้ามอย่างเด็ดขาด..! พระเดชพระคุณหลวงพ่อฤๅษีฯ วัดท่าซุง มีประสบการณ์มาแล้ว หลวงปู่ปาน วัดบางนมโค ปั้นพระคำข้าว ขนาดหน้าตัก ๕ นิ้ว แล้วทำพิธีบวงสรวงใหญ่ คราวนี้ก็ไปตกหนักกับคนที่ดูแลเรื่องการบวงสรวง ซึ่งก็คือหลวงพ่อวัดท่าซุง พวกท่านทั้งหลายยังไม่มีประสบการณ์โหด สมัยก่อนที่ยังไม่มีบายศรีชุดใหญ่ให้สั่งแบบนี้ พวกกระผม/อาตมภาพต้องทำเองทุกขั้นตอน ญาติโยมต้องเริ่มเย็บตัวบายศรีล่วงหน้า ๔ - ๕ วันเป็นอย่างน้อย แล้วมาประกอบเป็นต้นบายศรีอีกประมาณ ๒ วัน ถ้าหากว่าเป็นชุดใหญ่ ต้องบอกว่ากระผม/อาตมภาพทำจนกระทั่งหลับตาก็ประกอบต้นบายศรีได้ แต่คราวนี้ด้วยความที่กระผม/อาตมภาพเป็นคนขี้เกียจ ถ้าให้คนอื่นทำได้ ก็จะมอบให้คนอื่นทำ ถ้าใครมาร่วมงานก็จะจับขึ้นครูทำบายศรีให้หมด ไม่มีการหวงวิชา
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 28-11-2021 เมื่อ 07:12 |
สมาชิก 44 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#3
|
||||
|
||||
ดังนั้น...บายศรีวัดท่าขนุนหรือเกาะพระฤๅษีสมัยนั้น ก็จะทำเร็วขึ้น ๆ ๆ เพราะว่าคนทำเป็นมีมากขึ้นเรื่อย ๆ จนกระทั่งท้ายที่สุด คนที่ทำเป็นก็ไปรับจ้างทำบายศรี ไม่ใช่เรื่องเล็กนะ บายศรีแต่ละชุด ราคาสามสี่หมื่นบาทเป็นอย่างน้อย ก็ปล่อยให้เขาอดตาหลับขับตานอนไป เราเองมีหน้าที่จ่ายเงิน ในเมื่อหัดจนเป็น สามารถทำเป็นอาชีพได้ ก็ต้องถือว่าประสบความสำเร็จ
ในเมื่อเป็นเช่นนั้น พอถึงเวลาหลวงพ่อฤๅษีท่านก็บ่นกับหลวงปู่ปานว่า "แค่พระองค์เล็กนิดเดียว ทำไมต้องทำบายศรีชุดใหญ่ขนาดนี้ด้วย ?" โชคดีที่หลวงปู่ปานไม่ได้ถือไม้เท้าอยู่ ไม่เช่นนั้นคาดว่าไม้เท้าคงลงหัวอย่างแน่นอน..! พอหลวงปู่ปานท่านถามคืนว่า "แกเห็นว่าเรื่องของพระพุทธเจ้าเป็นเรื่องเล็กใช่ไหม ? จำไว้เลยว่าพุทโธ อัปมาโณ คุณของพระพุทธเจ้าประมาณไม่ได้ ทุกเรื่องที่เกี่ยวข้องกับพระพุทธเจ้าไม่มีคำว่าเล็ก" แบบเดียวกับลูกศิษย์ของหลวงปู่สด วัดปากน้ำ รับพระของขวัญ หรือที่เขาเรียกอีกอย่างว่า "สมเด็จวัดปากน้ำ" ไป แล้วก็บ่นว่า "องค์พระเล็กนิดเดียว แค่นี้จะคุ้มครองได้หรือ ?" ประเภทนี้ต้องให้แขวนพระประธาน..! ปรากฏว่าคืนนั้นนิมิตเห็นพระสมเด็จของขวัญโตขึ้น ๆ ๆ จนเต็มจักรวาล แล้วก็มีเสียงกระหึ่มลงมาว่า "ใหญ่พอหรือยัง ?" นั่นถึงได้เข้าใจว่า เรื่องของบารมีพระพุทธเจ้าไม่มีคำว่าเล็ก เพียงแต่ว่าพระองค์ท่านจะพอดีในทุกที่ แบบเดียวกับที่พระพุทธเจ้าเสด็จขึ้นไปโปรดพระพุทธมารดาบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ พระอินทร์นิมนต์นั่งบนบัณฑุกัมพลศิลาอาสน์ พระอินทร์อาราธนาพระพุทธเจ้าประทับนั่ง แต่ใจก็คิดว่า "จะไหวหรือ พระพุทธเจ้าสูงแค่ ๘ ศอกมนุษย์ ?" บัณฑุกัมพลศิลาอาสน์ ๖๐ ศอก ก็คงจะเหมือนกับตุ๊กตาสักตัวหนึ่งตั้งอยู่บนเตียงใหญ่ ๆ โดยประมาณ แต่ในบาลีบอกว่า คงเหมือนแมลงวันเกาะอยู่บนอาสนะ..! พระพุทธเจ้าทราบความคิดของพระอินทร์ โยนผ้าสังฆาฏิไปก็คลุมบัณฑุกัมพลศิลาอาสน์ไว้ทั้งหมด ประทับนั่งลงไป ก็พอดิบพอดี ไม่รู้ว่าอาสนะเล็กลง หรือว่าพระองค์ท่านใหญ่ขึ้น..!
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 28-11-2021 เมื่อ 07:13 |
สมาชิก 45 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#4
|
||||
|
||||
เรื่องของพระพุทธเจ้าไม่มีคำว่าเล็ก เพราะว่าคุณของพระพุทธเจ้านั้นหาประมาณไม่ได้ หลวงปู่ปาน วัดบางนมโคกล่าวไว้ว่า ถ้ามีพระพุทธเจ้า ๒ องค์ ถามตอบเรื่องคุณของพระพุทธเจ้าด้วยกัน ตลอดระยะเวลาเป็นกัปก็ตอบไม่หมด ที่โบราณเขาใช้คำว่า ฝอยท่วมหลังช้าง
คำว่า ฝอย ก็คือ หนังสือเขียนอธิบายสรรพคุณ เช่นว่า ยาชนิดนี้มีสรรพคุณอะไร หรือวัตถุมงคลชนิดนี้ดีอย่างไร ต้องใช้แบบไหน มีคำอาราธนาว่าอย่างไร คนเก่า ๆ รุ่นผมเขาเรียกว่า ใบฝอย คราวนี้มาระยะหลัง คำว่าฝอยกลายเป็นศัพท์แสลง หมายถึง ขี้โม้ คนก็เลยไปเข้าใจผิด คำว่า ฝอยท่วมหลังช้าง ความจริงก็คือ ใบแสดงสรรพคุณมากถึงขนาดท่วมหลังช้างก็ยังไม่หมดความดีของพระพุทธเจ้า ดังนั้น..ไม่ว่าท่านที่เป็นพระภิกษุสามเณรหรือฆราวาสก็ตาม ถ้าทำอะไรเกี่ยวกับพระพุทธเจ้า อย่าได้ประมาท ต้องให้เต็มที่เอาไว้ก่อน แสดงความเคารพอย่างสูงสุดเอาไว้ก่อน ถ้าหากว่าจำเป็น มีอะไรที่ต้องกระทำในลักษณะที่ล่วงเกิน ก็ให้รีบกราบขอขมาให้เร็วที่สุด และถ้าเป็นไปได้ ก็ทำตามที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อวัดท่าซุงท่านสอนเอาไว้ก็คือ ก่อนสวดมนต์ไหว้พระก็กราบขอขมา ก่อนเจริญกรรมฐานก็กราบขอขมา ทำเอาไว้บ่อย ๆ เพราะว่ามารนั้นเก่ง เมื่อถึงเวลากำลังใจของเรากำลังทรงตัวจะเป็นฌานสมาบัติ ซึ่งจะพ้นจากอำนาจของมารไปชั่วคราว เพราะว่ากำลังของฌานสมาบัติตั้งแต่ปฐมฌานขึ้นไป จะกดกิเลส รัก โลภ โกรธ หลง ให้ดับลงชั่วคราว บุคคลใดทรงฌานได้ จักกลายเป็นบุคคลที่มารมองไม่เห็น เนื่องเพราะว่าบริวารของมาร คือรัก โลภ โกรธ หลง โดนดับสนิทไป เหมือนกับคนตาบอด หรือไม่ก็เหมือนกับกล้องวงจรปิด โดนเขาเอาฝาครอบหรือผ้าคลุมเอาไว้ มองอะไรไม่เห็น เพราะไม่มีบริวารคอยรายงาน มารรู้ว่าถ้าหากว่าเราทรงฌานได้ ก็จะพ้นมือเขาได้ชั่วคราว จึงพยายามก่อกวน ด้วยการกระตุ้นให้เรานึกถึงสิ่งหนึ่งประการใดที่เคยล่วงเกินพระรัตนตรัยด้วยกาย ด้วยวาจา ด้วยใจมาก่อน ให้เราปรามาสพระรัตนตรัย เพื่อให้จิตใจฟุ้งซ่านแล้วเข้าไม่ถึงสมาธิที่เป็นอัปปนาสมาธิ ก็คือทรงฌานไม่ได้ ดังนั้น...หลายท่านที่เจริญกรรมฐาน พอเริ่มจะได้ดี อยู่ ๆ ก็นึกอยากด่าพระขึ้นมาเฉย ๆ ไม่ว่าจะเป็น พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ บางท่านก็นึกปรามาส ถึงขนาดนึกเอาเท้าลูบพระพักตร์พระพุทธเจ้าตรงหน้าที่เรากำหนดภาพอยู่ก็มี หรือหนักกว่านั้น เอาไปเปรียบเทียบกับอวัยวะเพศก็มี..!
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 28-11-2021 เมื่อ 02:31 |
สมาชิก 44 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#5
|
||||
|
||||
เรื่องพวกนี้กระผม/อาตมภาพเองเป็นมาแล้วทั้งนั้น ถ้าใครเป็นขออย่าได้เศร้าหมอง และอย่าได้หวั่นไหว ให้ตั้งใจกราบขอขมาไว้บ่อย ๆ เป้าหมายของมารก็คือ ตั้งใจให้เราเศร้าหมองและหวั่นไหว กำลังใจทรงตัวไม่ได้ แต่ถ้าเราไม่สนใจ ตั้งใจกราบขอขมาทุกครั้ง
โดยที่ตั้งกำลังใจของเราอยู่ตรงจุดที่ว่า ถ้าเรามีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์ เรื่องทั้งหลายเหล่านี้เราไม่มีวันที่จะทำอยู่แล้ว แต่ด้วยผลกรรมที่เคยสร้างมาในอดีต ทำให้กิเลส ตัณหา อุปาทาน และอกุศลกรรมทั้งหลายรุมเร้าเข้ามา โดยมารใช้เป็นเครื่องมือให้เราปรามาสพระรัตนตรัย ในเมื่อไม่ใช่การกระทำของเรา แต่ว่าทำผ่านกาย ผ่านวาจา ผ่านใจของเรา เราก็เต็มใจกราบขอขมาพระรัตนตรัย แล้วตั้งใจว่า ตั้งแต่วินาทีนี้เป็นต้นไป เราจะทำความเคารพในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์จริง ๆ ไม่ล่วงเกินด้วยกาย ด้วยวาจา ด้วยใจ ทั้งต่อหน้าและลับหลัง ผ่านไปอีกไม่กี่นาทีก็จะเป็นอีก ก็ให้ขอขมาใหม่ ถ้าหากว่าเราหน้าด้านสู้แบบนี้ โดยที่ไม่ได้หวั่นไหว ไม่ได้ฟุ้งซ่าน ไม่ได้เศร้าหมองไปกับกำลังใจที่เขาชักจูง พอนาน ๆ ไป มารเห็นว่ากวนให้เราหวั่นไหวไม่ได้ เขาก็จะเบื่อและเลิกไปเอง เรื่องพวกนี้เป็นเรื่องที่พวกเราทั้งหลายต้องจัดการให้ถูก ถ้าจัดการไม่ถูก เราก็จะโดนมารก่อกวนให้ฟุ้งซ่านอยู่ตลอดเวลา แล้วกำลังใจก็ทรงสมาธิขั้นสูงไม่ได้ ไม่สามารถที่จะชำระใจให้พ้นจากกิเลสไปได้ เพราะว่ากำลังของเราไม่พอสักที วันนี้ก็รบกวนเวลาพวกเรามามากแล้ว จึงขอยุติลงแต่เพียงเท่านี้ พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร. เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันเสาร์ที่ ๒๗ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๖๔ (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 28-11-2021 เมื่อ 02:33 |
สมาชิก 50 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน ) | |
|
|