|
เก็บตกจากบ้านเติมบุญ เก็บข้อธรรมจากบ้านเติมบุญมาฝาก สำหรับผู้ที่ไม่มีโอกาสเดินทางไป |
|
คำสั่งเพิ่มเติม |
#1
|
||||
|
||||
เก็บตกจากบ้านเติมบุญ ต้นเดือนกันยายน ๒๕๖๒
พระอาจารย์กล่าวว่า “เมื่อวานทิดเฟิร์สถวายเงินที่ได้จากการจำหน่ายพระกริ่งจินดามณีมนต์พระกาฬมาหนึ่งล้านบาท บอกว่า "ถวายแล้วแต่หลวงพ่อจะเอาไปทำอะไรก็ได้" อาตมาก็เลยเอาลงสร้างวิทยาลัยสงฆ์กาญจนบุรี
มาวันนี้ ครอบครัวของเด็กชายพุธ แสงอุทัย ถวายมาไว้มาอีกห้าแสนบาท บอกว่า "แล้วแต่จะทำอะไรก็ได้"เหมือนกัน ก็เลยเอาลงสร้างวิทยาลัยสงฆ์อีก ตอนแรกอาตมาก็สงสัยว่า รับปากเขาว่าจะหาให้สิบล้านบาทจะมีให้ไหม ? แต่ตอนนี้มั่นใจแล้วว่ามี คือ ปกติอาตมาจะทำอะไรไม่ได้หนักใจ เพราะว่าไม่ใช่งานของเรา เป็นงานของพระศาสนา แต่คราวนี้ส่วนที่รอดูก็คือเงินจะมาช่องไหน อยู่ ๆ ก็มีคนมาขอบูชาฟันของหลวงพ่อพรหม วัดช่องแค ไป ๓๐,๐๐๐ บาท เพื่อร่วมสร้างมหาวิทยาลัยสงฆ์ สองวันได้มาร่วม ๑,๕๓๐,๐๐๐ บาทแล้ว ส่วนของพระสมเด็จแหวกม่านเงินล้านนั้น เป็นการลงทุนลงแรงของทิดเฟิร์ส ผงพุทธคุณของครูบาอาจารย์เก่า ๆ มีเท่าไรเทลงไปหมด เขาเรียกว่า "ทำเผื่อตาย" ก็คือกะว่าทำครั้งเดียว เพราะว่าเดี๋ยวตายแล้วจะไม่ได้ทำ..! แต่ว่าพระท่านก็สงเคราะห์จริง ๆ เริ่มตั้งแต่ตอนบวงสรวง พอถ่ายรูปออกมาคนเห็นก็ตื่นเต้นกันใหญ่ อาตมาเองไม่ค่อยอยากให้กล้องจับอะไรได้หรอก จับได้เดี๋ยวตัวเองจะเดือดร้อน เดี๋ยวนี้ไปไหนเป็นดาราหน้ากล้อง มีแต่คนขอถ่ายรูปด้วย ก็ไม่รู้เหมือนกันเขาเห็นอาตมาเป็นวอลเปเปอร์หรืออย่างไร ?"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 08-09-2019 เมื่อ 03:35 |
สมาชิก 220 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#2
|
||||
|
||||
พระอาจารย์กล่าวว่า “เวลาป่วยเรามีหน้าที่รักษาก็รักษาไปตามหน้าที่ ส่วนรักษาแล้วจะเป็นอย่างไรก็ช่างมัน ขอบอกว่าที่อาตมาเป็นถือว่าป่วยน้อยมากแล้วนะ สมัยเป็นเด็กวัยรุ่นป่วยได้อาทิตย์ละ ๒ ครั้ง ๓ ครั้ง จนกระทั่งหลวงพ่อฤๅษีฯ ท่านบอกว่า ให้ไปปล่อยปลาที่เขาจะฆ่าสักเดือนละตัวสองตัว ทำให้สม่ำเสมอ
บาลีท่านบอกว่า สงฺขารํ โรคนิทฺธํ สังขารนี้เป็นรังของโรค แปลว่าเขามีหน้าที่ป่วย ในเมื่อเขามีหน้าที่ป่วย เรามีหน้าที่รักษา ต่างคนต่างก็ทำหน้าที่กันไป ถ้าวันไหนรักษาไม่ไหว ร่างกายนี้พังไป ก็ตัวใครตัวมัน เพราะว่าเราก็ไม่ได้อยากได้ใคร่ดีอะไรกับร่างกายนี้อยู่แล้ว ทำอย่างไรที่เราจะเห็นว่าสังขารร่างกายนี้เป็นทุกข์เป็นโทษ เราอาศัยอยู่เพื่อสร้างคุณความดีให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ ถ้าตายแล้วก็จบกัน สามารถทำกำลังใจได้แค่นี้ก็พอแล้ว ร่างกายจะเจ็บไข้ได้ป่วยอย่างไรเราก็ไม่ต้องไปกังวล บอกแล้วต่างคนต่างทำหน้าที่ ร่างกายเป็นรังของโรค มีหน้าที่ป่วยก็ป่วยไป ส่วนพวกเราเป็นผู้อาศัย ที่มีหน้าที่รักษาก็ค้ำจุนเอาไว้ เหมือนกับดูแลรักษาบ้าน ถ้าบ้านพังเราก็ไม่มีที่อยู่ ก็ดูแลรักษาช่วยค้ำจุนไป แต่มีความรู้สึกอยู่เสมอว่า บ้านหลังนี้ไม่ใช่ของเรา เราบังคับบัญชาเขาไม่ได้ อยากจะป่วยก็ป่วย อยากจะตายก็ตาย เราทำหน้าที่ของเราดีที่สุดแล้ว ถึงเวลาก็ต่างคนต่างไป เป้าหมายเบื้องหน้าของเราคือการหลุดพ้นจากกองทุกข์ ในเมื่อพ้นจากร่างกายนี้ได้ก็ถือว่าพ้นทุกข์"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 11-09-2019 เมื่อ 02:13 |
สมาชิก 192 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#3
|
||||
|
||||
พระอาจารย์กล่าวว่า “ช่วงนี้ทางทองผาภูมิมีเรื่องของทางเจ้าสำนักสงฆ์ไปฟ้องร้องกำนัน ว่าปิดทางเข้าออกบ้านของชาวบ้าน แล้วคราวนี้การฟ้องก็ฟ้องได้น่าเกลียดมาก ฟ้องทางจังหวัด ฟ้องศูนย์ดำรงธรรม ฟ้องกระทั่งถวายฎีกาในหลวง แต่ไม่แจ้งอะไรกับคณะสงฆ์เลย
เมื่อสำนักงานพุทธศาสนาแห่งชาติให้ทางสำนักงานพุทธศาสนาจังหวัดกาญจนบุรีไปตรวจสอบ ก็ตรวจสอบมาทางเจ้าคณะอำเภอทองผาภูมิ เมื่อตรวจสอบมาปรากฏว่าทางเราไม่รู้เรื่องเลย จึงให้พระครูสุวิมลกาญจนวัฒน์ เจ้าคณะตำบลชะแลเขต ๑ เจ้าของพื้นที่เข้าไปดู พระครูสุวิมลฯ หายไปหนึ่งวัน กลับมาบอกว่า "ถ้าพวกเราเข้าไปส่งเดชอาจจะตายได้..!" ถามว่าทำไม ? "เพราะว่าพอผมเข้าไปถึง ท่านถามว่าเป็นใคร ? มาจากไหน ?" คือไม่รู้จักเจ้าคณะตำบล..!? พระครูสุวิมลฯ ท่านก็บอกว่า "ลูกหลานบวชอยู่แถวนี้แหละหลวงพ่อ เห็นหลวงพ่อสร้างวัดสวยก็เลยเข้ามาดูหน่อย" หลวงพ่อท่านก็บอก "แล้วมีอะไรดูล่ะ ?" "ก็ได้ยินว่ามีเรื่องฟ้องร้องกับชาวบ้านเขา ก็เลยเข้ามาดู เผื่อว่าหลวงพ่อมีอะไรจะให้ลูกหลานช่วยบ้าง" ท่านก็บอกว่า “ไม่ต้องกังวลหรอก ที่วัดนี้มีอาวุธเยอะ มีดาบอยู่ตั้ง ๗-๘ เล่ม ใครแน่จริงก็ให้เข้ามา..!" พระครูสุวิมลฯ ท่านก็บอกว่า "หลวงพ่อ..คนเรามีแค่สองมือ ดาบตั้ง ๗-๘ เล่มถือไม่หมดหรอก ไปถือพร้อมกัน ดีไม่ดีหล่นใส่ตีนอีก..!" ท่านก็กวนใช้ได้เหมือนกันนะ"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 23-09-2019 เมื่อ 17:08 |
สมาชิก 195 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#4
|
||||
|
||||
"พอถึงวันนัดแนะ ทางอำเภอ ทางจังหวัด ทางศูนย์ดำรงธรรม ทางสำนักงานพุทธศาสนาจังหวัดและทางคณะสงฆ์ เข้าไปสอบสวนแล้ว ปรากฏว่าคนผิดก็คือตัวเจ้าสำนักนั่นแหละ คือสำนักสงฆ์แต่ดั้งเดิมเป็นของหลวงพ่อสำลี ซึ่งท่านอยู่ที่นครปฐม สมณศักดิ์ของท่านก็คือ พระครูปฐมเจติยานุรักษ์ ท่านไปซื้อที่สร้างสำนักสงฆ์เอาไว้แล้วไม่มีเวลาดูแล ก็มอบให้หลวงพ่อเฉลียวท่านไปดูแล หลวงพ่อท่านนั้นไปถึงก็สร้างรั้วปิดเลย ปรากฏว่ารั้วที่สร้างปิดนั้น ไปปิดทางเข้าออกของชาวบ้าน ชาวบ้านเขาก็เลยต้องไปเข้าออกทางที่ดินของกำนันแทน เพราะว่าไม่มีใครคุยกับหลวงพ่อรู้เรื่อง ก็แกมีดาบ ๗-๘ เล่ม แล้วใครจะไปคุยรู้เรื่องล่ะ...!
ส่วนทางกำนันก็ปล่อยให้ชาวบ้านเข้าออกอยู่ตั้งนาน คราวนี้ทางกำนันจะขายที่ ก็ต้องชี้พื้นที่ให้ชัดเจน คนซื้อเขาก็บอกว่า พื้นที่ตรงนี้ไม่ใช่ที่สาธารณะ ถ้ายังปล่อยให้ชาวบ้านเข้าออกอย่างนี้เขาก็จะไม่ซื้อ กำนันก็เลยต้องปิดทางเข้าออก ซึ่งไม่ใช่ความผิดของกำนัน แต่หลวงพ่อเฉลียวเห็นว่าพอคนเข้าออกทางปกติที่เคยไม่ได้ ก็มาเข้าออกทางสำนักสงฆ์ ท่านก็ไปฟ้องกำนันเลย กลายเป็นว่าทำให้กำนันเขาเสียหาย สอบถามไปทางกำนันก็บอกว่า สำนักสงฆ์แห่งนี้มีอยู่ก็ไม่ได้สร้างประโยชน์อะไรให้กับชาวบ้านเลย ไม่มีปฏิสันถารอะไรกับชาวบ้านเลย ตัวเจ้าสำนักไม่บิณฑบาต ไม่มีกิจกรรมงานวัดอะไรที่จะต้องปฏิสัมพันธ์กับชาวบ้าน ถึงเวลาก็ปลูกผักขาย ไปซื้อผัก ซื้อผลไม้ ซื้อมะพร้าว ขนใส่รถไปขายที่ตลาดไท ขับเองด้วย พอเขาไปเตือนหลวงพ่อท่านก็บอกว่า "อ้าว..ก็ผมไม่ได้บิณฑบาตนี่ ถ้าไม่ทำอย่างนี้แล้วผมจะกินอะไร ?" แบบนี้ก็คุยกันไม่รู้เรื่องแล้ว กลายเป็นว่า ตำบลชะแลมีวัดพุทธมณฑล วัดอู่ล่อง วัดเกริงกระเวีย วัดพุเย แล้วยังมีวัดข้างในอีกตั้งหลายวัด สำนักสงฆ์นี้เท่ากับเป็นส่วนเกิน ในเมื่อเป็นส่วนเกิน แล้วยังมาหาเรื่องกับชาวบ้านอีก กำนันก็ไม่ยอม ถ้าฟ้องร้องก็จะให้ดำเนินคดีจนถึงที่สุด"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 11-09-2019 เมื่อ 02:20 |
สมาชิก 192 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#5
|
||||
|
||||
"ทางด้านผู้อำนวยการสำนักงานพุทธศาสนาจังหวัดกาญจนบุรี ถามหลวงพ่อเจ้าคณะอำเภอทองผาภูมิว่าจะเอาอย่างไร ? หลวงพ่อเจ้าคณะอำเภอทองผาภูมิท่านก็บอกว่า ตั้งแต่ท่านเป็นเจ้าคณะอำเภอมาก็ดี ตั้งแต่ท่านยังเป็นเลขานุการเจ้าคณะอำเภอมา ๒ รูปก็ดี รวมแล้ว ๓ ยุคสมัย ตั้งกี่ปี ? ไม่เคยเห็นหลวงพ่อท่านนี้เข้าร่วมประชุมเลย เพราะฉะนั้น..ถ้าทำในลักษณะนี้ก็เท่ากับว่าไม่ได้ขึ้นตรงต่อคณะสงฆ์อำเภอทองผาภูมิ ทางคณะสงฆ์ก็ไม่ยอมรับว่ามีสำนักสงฆ์แห่งนี้อยู่ สรุปก็คือให้ดำเนินคดีไปตามความเป็นจริง ทางคณะสงฆ์จะไม่ไปแทรกแซงอะไรทั้งนั้น
โดยเฉพาะว่าหลวงพ่อท่านนี้คิดอย่างไรไม่รู้ ท่านมีลูกศิษย์ที่เข้านอกออกในวังได้ ถึงขนาดไปทูลเกล้าถวายฎีกา เลยบอกว่า คุณรู้ไหมว่ารัชกาลที่ ๑๐ ทรงเด็ดขาดแค่ไหน ? โดยเฉพาะการจัดการกับบรรดานักบวชที่ไม่ได้เรื่องได้ราว แต่ท่านกล้าถึงขนาดถวายฎีกาในหลวงรัชกาลที่ ๑๐ อาศัยที่ว่ามีลูกศิษย์เข้านอกออกในได้ คราวนี้ก็ต้องปล่อยเลยตามเลย ถ้าถึงเวลาอยู่ ๆ มีข่าวขึ้นมาว่าทางการบุกรื้อสำนักสงฆ์ที่ทองผาภูมิก็ไม่ต้องตกใจ เรื่องจะเป็นไปแบบนี้ค่อนข้างแน่นอน แล้วพื้นที่ก็เป็นพื้นที่ของ สปก. ซึ่งที่ของ สปก. ถ้าจำไม่ผิดเขาให้ครอบครองได้ไม่เกินคนละ ๑๕ ไร่ แต่หลวงพ่อท่านไปทำรั้วไว้ ๕๐ กว่าไร่ กลายเป็นหลวงพ่อไปบุกรุกที่ ไม่ใช่กำนันไปบุกรุกที่ แต่กำนันโดนฟ้องเสียหายไปแล้ว ทางจังหวัด ทางอำเภอ ตอนแรกก็มาด้วยความหงุดหงิดมาก ว่าเป็นกำนันแทนที่จะดูแลลูกบ้าน ทำไมถึงปิดทางไม่ให้ลูกบ้านเข้าออก ?"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 11-09-2019 เมื่อ 02:24 |
สมาชิก 186 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#6
|
||||
|
||||
ถาม : ถ้าเราทำให้สำนักสงฆ์ไม่เป็นข่าว ไม่ดีกว่าหรือคะ ?
ตอบ : ถูก..แต่ท่านทำให้เรื่องดังเอง เพราะว่าท่านไม่มาปฏิสันถารอะไรกับทางคณะสงฆ์เลย ปกติทางคณะสงฆ์เราจะจัดการเรื่องด้วยความนุ่มนวล ไม่ให้มีเรื่องดัง คราวนี้ท่านเล่นไปฟ้องร้องทางบ้านเมือง ฟ้องศูนย์ดำรงธรรม ฟ้องจังหวัด แล้วท้ายที่สุดก็ทูลเกล้าถวายฎีกา ที่แน่ ๆ ก็คือสิ่งที่ท่านทำหลายอย่างซึ่งไม่ใช่สิ่งที่พระทั่วไปทำ อย่างประเภทไปซื้อผักผลไม้แล้วเอาไปขายส่งที่ตลาดไท แบบเป็นพ่อค้าคนกลางไปเลย ต้องบอกว่าทองผาภูมิของเราข่าวพระยิงพระเพิ่งจะซาไป ข่าวสำนักสงฆ์ปิดทางชาวบ้านก็ดังขึ้นมาอีก แต่ไม่ได้ดังว่าสำนักสงฆ์ไปปิดทางชาวบ้าน ดังว่ากำนันไปปิดทางชาวบ้าน เล่นเอากำนันหัวเสียมาก บอกว่าทำผมเสียหายแบบนี้จะฟ้องร้องจนถึงที่สุด จะไม่มีการยอมความกัน แล้วในหนังสือที่ฟ้องร้องรวมทั้งฎีกาที่ทูลเกล้าถวาย หลวงพ่อท่านก็เขียนแบบฆ่าตัวตาย คือเขียนว่า ข้าพเจ้า พระ.... ผู้ดูแลสำนักสงฆ์แห่งนี้แทนหลวงพ่อสำลี (พระครูปฐมเจติยานุรักษ์) บรรลัยเลย ถ้าหลวงพ่อบอกว่าเป็นเจ้าสำนักสงฆ์ หลวงพ่อก็ยังมีอำนาจตามกฎหมายว่า เราสามารถทำได้ในส่วนที่ต้องบริหารจัดการ แต่นี้หลวงพ่อบอกว่าเป็นผู้ดูแลแทน หมดเลย...กลายเป็นถอดเกราะออกหมด ไม่มีเครื่องป้องกันไปสู้กับใครเลย ความจริงหลวงพ่อสำลีท่านทำสำนักสงฆ์เอกายโนดังทีเดียว เพราะว่าท่านเคยสร้างยาจินดามณีเอกายโน สร้างแล้วท่านแจกฟรี ไม่ได้จำหน่าย ทั้ง ๆ ที่แพงขนาดนั้น ท่านลงทุนไป ๗๐๐,๐๐๐ บาทแล้วแจกฟรี ก็เลยดัง เพราะว่าส่วนผสมยาจินดามณีที่เต็มสูตรนั้น แค่นอแรดกับอำพันทองก็แพงหูดับตับไหม้แล้ว
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 22-09-2019 เมื่อ 19:11 |
สมาชิก 186 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#7
|
||||
|
||||
ถาม : ความจริงสมัยก่อนนอแรดก็ไม่ถึงขนาดหาไม่ได้ ?
ตอบ : หาได้..แต่แพงมาก รุ่นอาตมาเป็นเด็กก็ยังมียาประสระนอแรด แต่พอมาตอนหลังแรดน้อยลง อาตมาเด็ก ๆ ยังได้ยินข่าวพรานล่าแรด เขาล่าแล้วเอากระบอกไม้ไผ่รองเลือดไว้ แล้วค่อย ๆ อังไฟจนเลือดแห้ง เสร็จแล้วก็ผ่ากระบอกเอามาทั้งแท่ง ชั่งขายเหมือนกับชั่งทองคำเลย คือน้ำหนักเลือดแรดกี่กรัมเอามาเทียบขายเหมือนกับราคาทองคำเลย เพราะว่าแพงขนาดนั้นจะทำให้เขาล่าแรดหมด ทางการเลยต้องสั่งห้าม ในตลาดมืดราคาก็เลยแพงมาก ก่อนหน้านั้นตำรายาไทยที่เข้าเลือดแรดนอแรดมีเยอะแยะไป วันก่อนท่านอาจารย์เต้บอกว่า ท่านอาจารย์สายชลที่เป็นมะเร็ง รีบไปรักษาแบบสมัยใหม่เสียก่อน ท่านมียาหม้อกินแล้วยังไม่มีใครตาย บางคนหมอบอกอยู่ได้แค่ ๓ เดือน ๖ เดือน กินยาหม้อของท่านแล้วรอดทุกราย ก็เลยบอกว่า "ถ้าผมเป็นช่วยหายาให้ด้วย หรือถ้ามีตำราก็ขอตำรามา เดี๋ยวผมไปหาเองได้" ท่านบอกว่า "ยาหลายตัวต้องข้ามไปเอาฝั่งพม่า ในบ้านเราไม่มีแล้ว" ก็เลยสบายใจว่า ถ้าตัวเองเป็นมะเร็งก็มียาดีรออยู่ อย่างไรอาจารย์เต้ท่านอายุน้อยกว่าเยอะ คงไม่ตายก่อนอาตมาหรอก
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 11-09-2019 เมื่อ 02:29 |
สมาชิก 192 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#8
|
||||
|
||||
พระอาจารย์กล่าวว่า “เรื่องดราม่าหลวงพ่ออุลตร้าแมน อาตมาไม่ได้กังวลหรอก เพราะว่าเรื่องแบบนี้ใครทำใครได้ แต่เป็นห่วงอีหนูคนวาดรูปว่าจะโดนค่าลิขสิทธิ์หรือเปล่า ? เพราะว่า ๓ รูปนั้นเขาขายไป ๒ รูปแล้ว ถ้าคุณทำขายนี่ปัญหาลิขสิทธิ์ตามมาเมื่อไร ดีไม่ดีโดนปรับหูตูบ แล้วคนซื้อก็ช่างกล้าซื้อนะ ถ้าเขาเล่นนี่โดนทั้งคนขายคนซื้อเลย แล้วเดี๋ยวนี้กฎหมายลิขสิทธิ์ไปทั่วโลกแล้ว แสดงว่าทำอะไรไม่รอบคอบ”
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 11-09-2019 เมื่อ 02:30 |
สมาชิก 189 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#9
|
||||
|
||||
พระอาจารย์กล่าวว่า “สมเด็จองค์ปฐมเนื้อเขียวเหล็กไหล ช่างที่ทำไม่รู้จักสมเด็จองค์ปฐม ทำโดยไม่ให้ความเคารพ แม่พิมพ์เลยพังไป ๕ ตัว ท่านอาจารย์เทพด่ากระจายเลย นี่ถ้าช่างยังไม่ตายก็คงจะโดนด่าอีกหลายยก”
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 11-09-2019 เมื่อ 02:31 |
สมาชิก 198 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#10
|
||||
|
||||
พระอาจารย์กล่าวว่า “จำไว้ว่าอย่าวางพระกับพื้น วันก่อนขนาดไม่ใช่พระแต่เป็นเบี้ยแก้ อาตมายังโดนถีบปลิวติดข้างฝา อาตมาเลิกสงสัยแล้วว่าทำไมคนอื่นทำแล้วไม่โดน แต่ตัวเองทำแล้วโดน เพราะกติกาของพระมีข้อหนึ่งว่ารู้แล้วขืนทำ ถือว่าตั้งใจทำผิด คนอื่นทำไปเพราะไม่รู้ยังพอให้อภัยได้”
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 11-09-2019 เมื่อ 02:32 |
สมาชิก 196 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#11
|
||||
|
||||
โยมถวายสังฆทานเสร็จ อยู่ ๆ พระอาจารย์ก็พูดว่า “อาตมาล้างบาปให้ใครไม่ได้นะ บุญส่วนบุญ บาปส่วนบาป เพียงแต่ว่าถ้าสร้างบุญให้มากเข้าไว้ บาปกำลังก็จะลดน้อยถอยลง ท้ายสุดกำลังบุญสูงกว่า บาปก็ทำอะไรไม่ได้ ไม่ใช่มาทำบุญกับพระอาจารย์เล็กแล้วล้างบาปได้ ถ้าอย่างนั้นอาตมาจะรีบทำกับตัวเองก่อนเลย..!
หมั่นตั้งใจทำในทาน ศีล ภาวนา โดยเฉพาะการรักษาศีลและเจริญภาวนา มีแต่จะพาให้เราเจริญขึ้นโดยส่วนเดียว เพียงแต่ว่าบางทีเราสร้างกรรมมาหลายชาติ กระแสของอกุศลกรรมที่หนักก็คอยถ่วง คอยขัด คอยขวาง ทำให้เกิดอุปสรรคต่าง ๆ ขึ้น แต่ถ้าเรามีความมั่นคงในพระรัตนตรัย มั่นคงในทาน ศีล ภาวนาของเรา ท้ายสุดก็จะผ่านไปได้ ตัวอย่างเช่นอนาถปิณฑิกเศรษฐี จากที่ทำบุญถวายภัตตาหารพระสงฆ์ ๕๐๐ รูปด้วยข้าวมธุปายาส เมื่อฐานะตกต่ำลงเหลือเพียงข้าวต้มกับน้ำผักดอง แต่ก็ยังศรัทธาถวายพระไม่เปลี่ยน ท้ายสุดท่านก็ก้าวข้ามอกุศลกรรมไปได้ กลับมาร่ำรวยเหมือนเดิม ฉะนั้น...ต้องแยกแยะให้ชัดเจนว่าความดีส่วนความดี ความชั่วส่วนความชั่ว กัลยาณัง วา ปาปะการัง วา จะทำความดีหรือความชั่วก็ตาม ตัสสะ ทายาโท ภะวิสสามิ เราต้องรับผลของการกระทำนั้น ๆ"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 15-09-2019 เมื่อ 09:01 |
สมาชิก 191 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#12
|
||||
|
||||
หลังเทศน์จบ คุณเต้ยมาถวายกัณฑ์เทศน์ พระอาจารย์กล่าวว่า “เทศน์ถูกใจเลยมาถวายกัณฑ์เทศน์ใช่ไหม ? แสดงว่าชั่วตามที่อาตมาเทศน์เอาไว้แน่เลย..!"
ถาม : แน่นอนครับ ถ้าดีไม่มาอยู่ตรงนี้หรอก ตอบ : ไม่ดีก็พยายามแก้ไขให้ดีหน่อย ที่เราลำบากอยู่ทุกวันนี้ก็เพราะว่าแก้ไขสันดานในอดีตไม่ได้ ถ้าพยายามปรับแก้ได้ทุกอย่างจะดีขึ้นเอง ไม่ใช่ว่าวางทิ้งเลย เพราะว่าสืบเนื่องมานาน แก้ไขยาก แต่ใช้สติระมัดระวังให้มากขึ้น ถ้ากาย วาจา ใจ ดีขึ้น ทุกอย่างก็จะดีขึ้นไปเอง ถาม : แล้วผมจะ....? ตอบ : ไปได้แล้ว..อย่าถาม ตัวมึงเองต้องรู้ ไอ้ห่..เรื่องของตัวเองจะมาถามคนอื่นว่าต้องทำอย่างไร เดี๋ยวก็เจอถีบ...!
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 12-09-2019 เมื่อ 18:56 |
สมาชิก 189 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#13
|
||||
|
||||
อัตตนา โจทยัตตานัง ให้กล่าวโทษโจทย์ตัวเองอยู่เสมอ แล้วการกล่าวโทษนี่ต้องหาที่ผิดของเราให้ได้ ห้ามเข้าข้างตัวเอง
อาตมาเคยโดยหลวงพ่อวัดท่าซุงท่านดุ พยายามมองเท่าไรก็ว่าเราไม่ได้ทำอะไรผิดนี่หว่า ทำไมโดนได้วะ ? ท้ายสุดก็สรุปว่า “เออ...มึงผิดตั้งแต่เกิดแล้ว ถ้าไม่เกิดมาก็ไม่โดนอย่างนี้หรอก” พอคิดลงตรงนี้ได้ไม่ถึง ๒ นาที หลวงพ่อท่านเจ้าคุณอนันต์ ตอนนั้นยังเป็นพระอนันต์ พทฺธญาโณ โทรมาเลย “เล็ก..หลวงพ่อบอกว่า ไอ้ที่ด่าไปนั้นท่านย่าสั่งให้ด่า ท่านบอกว่าไอ้นี่รู้ตัวเร็ว หากว่าด่าแล้วมันจะระมัดระวัง ต่อไปคนจะทำอะไรมันก็ยาก” รู้อยู่ว่าตัวเองไม่ผิดแต่ก็หาจนได้ว่าเราผิด ผิดตั้งแต่เกิดมาแล้ว ถ้าคิดไม่ตกหลวงพ่อท่านไม่เฉลยหรอก ปล่อยให้ไปหาเอาเอง ขนาดอาตมายังโดนมาด้วยวิธีนี้ เวลาสอนคนอื่นด้วยวิธีนี้ เห็นทำท่าจะตายกันทุกคน ประเภทตั้งโจทย์พร้อมกับบอกวิธีทำและคำเฉลยนั่นเด็ก ป.๑ หวังจะไปพระนิพพานอย่างพวกเราระดับปริญญา ต้องโดนหนัก ๆ หน่อย...! ถ้าคิดไม่ออกว่าตัวเองทำอะไรไม่ถูกไม่ควร ก็ปล่อยโง่ต่อไป เป็นตัวเรานั้นดีที่สุด แต่ว่าให้รู้จักกาลเทศะ รู้จักมารยาทในสังคม ให้รู้ว่าเวลาไหนควรแสดงออกอย่างไร แค่นั้นก็จบแล้ว ไม่ใช่อยากจะสื่อว่าพระพุทธเจ้าคุ้มครองโลก กูก็วาดพระพุทธเจ้าเป็นอุลตร้าแมน ไอ้นั่นบ้า...! ของเต้ยเกิดจากการเกิดในตระกูลสูงมากไป ก็เลยไม่ค่อยจะเห็นหัวชาวบ้านเขา กลายเป็นสันดานเฉพาะตัวมา ช่วยแก้ไขหน่อย ต้องรู้ว่าชาติโน้น ไม่ใช่ชาตินี้ ชาตินี้เราต่ำเตี้ยติดดิน ไม่ได้นั่งยวดยานคานหาม
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 11-09-2019 เมื่อ 02:39 |
สมาชิก 186 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#14
|
||||
|
||||
พระอาจารย์กล่าวว่า "นึกถึงสมัยท่านอาจารย์ด็อกเตอร์เสรี วงษ์มณฑา หรือไม่ก็ป้าม้า...อรนภา กฤษฎี เป็นสมัยที่คนยังไม่ยอมรับเรื่องการข้ามเพศ สามารถยืนหยัดฟันฝ่ามาจนเป็นที่ยอมรับของสังคมได้ ต้องผ่านแรงกดดันมหาศาลขนาดไหน ?
ฉะนั้น...เด็กรุ่นใหม่ ๆ ที่มาปิด ๆ บัง ๆ แล้วเครียดไปเอง ต้องเรียกว่าทำแบบโง่ไปหน่อย สังคมสมัยนี้เขายอมรับกันเยอะแล้ว บอกพ่อแม่ก็อาจจะช็อกนิดหน่อย แล้วก็ "ตามใจลูก อยากจะเป็นอะไรก็เป็นไป"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 23-09-2019 เมื่อ 17:13 |
สมาชิก 188 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#15
|
||||
|
||||
พระอาจารย์ถามเจ้าหน้าที่ “มีประคำมาลงตู้ใช่ไหม ? อาตมาก็สงสัยว่าอุตส่าห์ปลุกเสกประคำไปตั้งนาน ไม่เห็นเอามาลงตู้สักที ประคำชุดนี้จะมีประคำไม้มะยมตายพรายมาด้วย
เข้าพิธีพระอาทิตย์ทรงกลดกลางพายุฝน คือสถานการณ์ย่ำแย่จะขนาดไหนเราก็ต้องไปได้ เขาห้ามโฆษณาเกินจริง..ใช่ไหม ? แต่บอกได้ว่าเป็นพิธีที่ทำแล้วสมบูรณ์ที่สุดเท่าที่เคยทำมา อันนี้ถือว่าโฆษณาเกินจริงหรือเปล่าก็ไม่รู้ ? ถ้าจับสึกอาตมาก็สบาย แบบนั้นจะเลิกนั่งรถนั่งเรือแล้ว ไปไหนก็จะแวบไป ไม่มีข้อห้ามแล้วนี่ ก็เดินสิครับ ...(หัวเราะ)... เพียงแต่เดินเร็วคนมองไม่ทัน เขาก็นึกว่าหายตัวได้"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 23-09-2019 เมื่อ 17:14 |
สมาชิก 187 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#16
|
||||
|
||||
"อีกส่วนหนึ่งเป็นไม้พะยูง ไม้พะยูงทางประเทศจีนขายแพงมาก เขาถือว่าเป็นไม้มงคล ก็เลยทำให้บ้านเราลักตัดไม้พะยูง ส่งข้ามโขงเข้าลาวไปเวียดนามแล้วส่งไปขายที่จีน ที่ไห่หนานวางขายกับพื้นเลย ชิ้นเล็กชิ้นใหญ่หยิบขึ้นมาเถอะ แต่ละชิ้นเป็นพันเป็นหมื่นหยวนทั้งนั้น
อาตมายังคิดเลยว่า ประคำไม้พะยูงของเราทำกันทีเต็มกระเป๋า หิ้วไปขายตรงนั้นคงได้เงินกลับมาเยอะเลย คนจีนเรียกไม้พะยูงว่า ไม้จันทน์ม่วง เป็นไม้มงคลสูงสุดในพุทธศาสนาของเขา แต่ถ้าเป็นแก่นไม้ท้อต้องสำหรับลัทธิเต๋า เขาเอาไว้ปราบปิศาจ ปกติอาตมาจะชอบไม้จันทน์หอมหรือว่าไม้จันทน์ขาว ไม้จันทน์แดงมากกว่า แต่คนจีนเขาชอบไม้จันทน์ม่วง เขาเชื่อว่าเสริมอายุวัฒนะด้วย สมัยก่อนเวลาไปพม่าอาตมาก็จะซื้อพระแกะจากไม้จันทน์บ้าง ไม้สารคามบ้าง เวลาไปถวายมุทิตาสักการะพระผู้ใหญ่ก็นำไปถวายท่าน หลวงพ่อสมเด็จฯ วัดสระเกศท่านชอบมากเลย ส่งให้พระทั้งโบสถ์ผลัดกันดม บอกว่าหอมได้ขนาดนี้ เป็นไม้จันทน์หอมแท้นะ ส่วนใหญ่ที่พวกเราเจอจะเป็นไม้จันทน์ขาวซึ่งหอมฉุน ไม้จันทน์หอมจะมีกลิ่นหอมนวลมาก เขาถึงได้เอาไม้จันทน์หอมไปทำกุฏิถวายพระพุทธเจ้า เรียกว่าคันธกุฎี เพราะกลิ่นหอมนวลชื่นใจมาก น่าจะนอนหลับฝันดีเลย แต่ไม้จันทน์ขาวนี่มีกลิ่นหอมฉุนมาก"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 23-09-2019 เมื่อ 17:15 |
สมาชิก 183 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#17
|
||||
|
||||
"รอบแรกให้บูชาแค่คนละเส้นก่อนก็แล้วกัน คือถ้าคิดถึงว่าพระท่านต้องไปกลึงไปปั่น ไม่คุ้มกับเงินแค่นี้หรอก แต่อาตมาต้องการให้ท่านได้สมาธิ ก็เลยยอมลงทุนให้ท่านไปนั่งปั่น เก็บเอาเศษไม้มาก็มาช่วยกันทำ พระท่านก็กลึงก็เจาะก็ปั่นไป
ตอนนี้อีกส่วนหนึ่งที่จะให้ทำก็คือประคำกลึงจากไม้จันทน์ เป็นไม้จันทน์หอมที่ลูกศิษย์ส่งมาจากประจวบคีรีขันธ์ เพื่อเผาศพพระอธิการอาณัติ ฐานยุตฺโต อดีตเจ้าอาวาสวัดวังปะโท่ แต่มีคนทักท้วงว่า การเผาศพด้วยไม้จันทน์หอม มีแต่เจ้าพระยามหากษัตริย์หรือเชื้อพระวงศ์ชั้นสูงเท่านั้น อย่าไปทำอะไรที่เป็นการตีเสมอ ทั้ง ๆ ที่เราเป็นพระก็ไม่ควรทำ เขาก็เลยเก็บไม้เอาไว้ เมื่อลูกศิษย์ของอาตมาก็คือ ดร.พระครูปลัดปรีชาไปเป็นเจ้าอาวาส ถามอาตมาว่าจะเอาไปใช้งานอะไรหรือเปล่า ? เลยบอกว่าเอามาทำประคำก็แล้วกัน ท่านเลยส่งมาให้"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 11-09-2019 เมื่อ 02:47 |
สมาชิก 182 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#18
|
||||
|
||||
"ส่วนพวกไม้ที่ตายพราย เขาถือเคล็ดว่า “ตายแล้วยังไม่ยอมล้ม” ใครที่เอาไปใช้ท่านก็ต้องบอกว่า เป็นพวกที่ไม่ล้มอะไรกับเขาหรอก ไปส่องดูนะ มีโค้ดนะโมตาบอด ตอกไว้ให้ตรงลูกกลางทั้งสองข้าง
ได้ประคำไปแล้วต้องขยันภาวนาด้วย เพราะว่าประคำขี้ฟ้อง ใครขยันภาวนาก็จะเงาสวย เพราะว่าเขารับพลังของเราไปด้วย แต่ไม่ขยันภาวนา ได้ไปก็ยังมืด ๆ ดำ ๆ เหมือนเดิม ของอาตมามีแต่คนเล็งจะปล้นต่อ เพราะว่าสวยมาก"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 11-09-2019 เมื่อ 02:48 |
สมาชิก 183 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#19
|
||||
|
||||
"อาตมาเองขึ้นรถเมื่อไรก็ภาวนาไปเรื่อย อันดับแรกเลยก็คือ กรณียเมตตสูตร บางท่านเรียกว่าพระขรรค์เพชรพระพุทธเจ้า อยู่ที่ไหนก็จะปลอดภัย ถึงเวลาขึ้นรถก็ภาวนาไว้ก่อนจะได้ปลอดภัย หลังจากนั้นก็ อิติปิ โสฯ สวากขาโตฯ สุปฏิปันโนฯ ๓ ห้อง ๓ จบ แปลว่า ๙ ห้องพอดี
เหตุที่ใช้เพราะว่าตอนพุทธาภิเษก สมเด็จองค์ปฐมท่านบอกว่าให้ภาวนาวันละ ๓ จบ ถ้าพกวัตถุมงคลของท่าน ไม่ต้องทำอะไรหรอก ถ้าใครคิดร้ายก็จะแพ้ภัยตนเอง อาตมาก็พกหลวงพ่อองค์ปฐมเนื้อเขียวเหล็กไหลอยู่เหมือนกัน จึงต้องภาวนาทุกวัน ต่อจากนั้นก็ภาวนาพระคาถาเงินล้านบ้าง คาถาอื่นที่เป็นการปลุกวัตถุมงคลที่ใช้งานอยู่บ้าง เรื่องของเวทย์มนต์คาถาต้องมีความขยันถึงจะขลัง พระพุทธเจ้าตรัสว่า “มนต์ไม่ท่องบ่นย่อมเป็นมลทิน” คือเศร้าหมอง เพราะว่าขาดความคล่องตัว ต้องการจะใช้ก็สนิมขึ้น จึงต้องภาวนาไว้ทุกวัน อาตมาเองก็เท่ากับว่าตั้งแต่อายุ ๑๖ ปี มาจนถึง ๖๐ ปี กี่ปีแล้วหว่า ? ๔๔ ปี อยู่กับการภาวนามาตลอดทั้งกลางวันทั้งกลางคืน จะหลับจะตื่นรู้ตัวเมื่อไรก็ภาวนาเมื่อนั้น คนอื่นจะคิดฟุ้งซ่านอย่างไรตูไม่สนใจ ภาวนาไว้ก่อน ไม่อย่างนั้น รัก โลภ โกรธ หลง อาจจะกินเราได้ จึงต้องขยัน"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 11-09-2019 เมื่อ 02:50 |
สมาชิก 188 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#20
|
||||
|
||||
"หลวงพ่อเจ้าคณะอำเภอทองผาภูมิรูปปัจจุบันท่านบอกว่า “อยากสูงต้องเขย่ง อยากเก่งต้องขยัน” ใครอยากเก่งต้องขยันซักซ้อมบ่อย ๆ
สมัยที่ฝึกวิชากับหลวงพ่อวัดท่าซุงใหม่ ๆ เป็นช่วงที่สนุกที่สุด เพราะว่าต้องตั้งหน้าตั้งตาทำให้เกิดผล แล้วก็ไปกราบรายงาน ท่านก็จะบอกวิธีใหม่ ๆ มาเรื่อย"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 11-09-2019 เมื่อ 02:51 |
สมาชิก 189 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน ) | |
|
|