|
ประวัติและปฏิปทาของพระสุปฏิปันโน รวมประวัติ ปฏิปทาของครูบาอาจารย์อันเป็นที่เคารพจากทั่วเมืองไทย |
|
คำสั่งเพิ่มเติม |
#1
|
||||
|
||||
หนังสือ...เย็นหิมะในรอยธรรม
หนังสือเย็นหิมะในรอยธรรม สมเด็จพระพุฒาจารย์ (เกี่ยว อุปเสโณ) ประธานคณะผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช ...ข้าพเจ้าจะไม่มีจิตยินดีน้อมไปในศาสนาอื่น นอกจากสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และพระธรรมอันพระองค์ได้ตรัสรู้ชอบดีแล้ว กับทั้งพระสงฆ์หมู่ใหญ่ อันได้ประพฤติตามคำสั่งสอนของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้นเลย เป็นอันขาด จนกว่าจะสิ้นชีวิต... พระราชปฏิญาณแห่งพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ ทรงกระทำไว้ต่อหน้าพระสงฆ์เถรานุเถระ ณ พระที่นั่งไพศาลทักษิณ ในบรมมหาราชวัง เมื่อ ร.ศ. ๑๑๕ ก่อนเสด็จประพาสยุโรป ตรงกับ พุทธศักราช ๒๔๓๙
__________________
มารใช้ คนทุกคน ของทุกชิ้น สัตว์ทุกตัว เป็นเครื่องมือในการขวางเรา โดยเฉพาะคนที่เรารักมากที่สุด (-/\-) (-/\-) (-/\-) แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 11-04-2012 เมื่อ 09:50 |
สมาชิก 185 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ตัวเล็ก ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#2
|
||||
|
||||
พระพุทธศาสนา คือ ลมหายใจแห่งแผ่นดิน
พระพุทธศาสนาในเมืองไทยมีภัยรอบด้าน ในโลกปัจจุบัน การที่จะรักษาพระพุทธศาสนาเอาไว้ให้ได้นั้น จำเป็นอย่างยิ่ง ที่จะต้องให้พระเณรได้มีความรู้ มีการศึกษา ทั้งธรรมะและวิชาการทางโลก ความรู้อย่างพระก็ต้องรู้ เพราะเป็นเรื่องพระศาสนา แต่ก็ต้องรู้ความรู้ชาวบ้านเขาด้วย ในขณะเดียวกัน ก็ต้องมีการวางแผน เพื่อให้พระพุทธศาสนา ไปอยู่ตามประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก ผู้ที่จะรับภาระหน้าที่อันหนักหน่วงนี้ได้ ก็คือ พระเณรนั่นเอง จึงจำเป็นจะต้องให้พระเณรมีการศึกษา รู้เท่าทันสิ่งที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน อายุยังน้อยต้องเรียน เรียนอะไรก็ได้ ที่ไม่ขัดต่อพระธรรมวินัย อย่าอยู่เฉย ๆ เพราะพระเณรจะต้องรับภาระธุระพระศาสนา แต่หลวงพ่อแก่แล้ว คนแก่จะทำอะไรได้ แค่ให้หายใจอยู่เฉย ๆ ก็ยังแย่แล้ว พระพุทธศาสนาเมืองไทยมีภัยรอบด้าน ซึ่งกำลังแทรกเข้ามาทุกรูปแบบ พระพุทธศาสนาอาจจะล้มครืนลงวันใดก็ได้ แต่พระก็ยังเหมือนปลาอยู่ในน้ำเย็น จึงตายใจว่า พระพุทธศาสนาตั้งมั่นเจริญรุ่งเรืองในเมืองไทย เลยไม่รู้สึกถึงความล่มสลาย ซึ่งกำลังใกล้เข้ามา ให้มองไปข้างหน้าอีก ๕๐ ปี โดยกำหนดดูผลแห่งความเปลี่ยนแปลงครั้งละ ๑๐ ปี ในทุก ๑๐ ปีก็ต้องดูความเปลี่ยนแปลงในแต่ละปี แล้วในแต่ละปีนั้น ก็ต้องดูความเปลี่ยนแปลงในทุก ๆ วันอีกด้วย จนกว่าจะถึง ๕๐ ปี เพื่อให้คาดการณ์ว่า อีก ๕๐ ปีข้างหน้าจะเกิดอะไรขึ้น ถ้าสิ่งนั้นจะเกิดขึ้นกับพระพุทธศาสนาอย่างที่เคยเกิดขึ้นในอดีต แล้วเราจะทำอย่างไร มองให้เห็นความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในอดีต ความเปลี่ยนแปลงของชีวิต ของสังคม และของโลก
__________________
มารใช้ คนทุกคน ของทุกชิ้น สัตว์ทุกตัว เป็นเครื่องมือในการขวางเรา โดยเฉพาะคนที่เรารักมากที่สุด (-/\-) (-/\-) (-/\-) |
สมาชิก 144 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ตัวเล็ก ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#3
|
||||
|
||||
ความเปลี่ยนแปลงมีอยู่ตลอดเวลา แม้กระทั่งกับพระพุทธศาสนา
ความเปลี่ยนแปลงมีอยู่ตลอดเวลา แม้กระทั่งกับพระพุทธศาสนา มิเช่นนั้นแล้ว พระพุทธศาสนาในอินเดีย ในปากีสถาน บังกลาเทศ และในอัฟกานิสถาน เป็นตัวอย่าง ก็คงไม่ล่มสลาย
ถ้าสามารถมองเห็นความเปลี่ยนแปลงของชีวิตของสังคม และของโลก ที่จะเกิดขึ้นในอีก ๕๐ ปีข้างหน้า ก็จะทำให้สามารถเห็นความเปลี่ยนแปลง ที่จะเกิดขึ้นกับพระพุทธศาสนาในเมืองไทยได้ด้วย ซึ่งก็คือ อนาคตของพระพุทธศาสนาทั้งหมดนั่นเอง เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับพระสงฆ์ที่มหาวิทยาลัยนาลันทาในอดีต จนเป็นเหตุให้พระที่ยอมสละชีวิตเพื่อพระพุทธศาสนา ต้องถูกฆ่าตายหมู่พร้อมกันมากกว่า ๘,๐๐๐ องค์ เหตุการณ์นี้ เป็นสิ่งที่พระและชาวไทยควรจะนำมาเตือนสติอยู่เสมอว่า “อย่าประมาท” อย่านึกว่าเมืองไทยเป็นเมืองพุทธ มองไปที่ไหน ก็มีแต่วัด มองไปที่ไหนก็เห็นแต่จีวรเหลืองอร่าม แล้วเหตุการณ์อย่างมหาวิทยาลัยนาลันทาจะเกิดขึ้นไม่ได้ “น้ำร้อนปลาเป็น น้ำเย็นปลาตาย” ชั่วเพียงวินาทีเดียว ทุกอย่างก็พลิกได้ นี่มองอย่างประวัติศาสตร์ ประวัติศาสตร์มันมี มันเกิดมาแล้ว อย่าประมาท ต้องเตรียมพร้อมอยู่เสมอ หมายเหตุ มหาวิทยาลัยนาลันทา เป็นมหาวิทยาลัยทางพระพุทธศาสนา ตั้งอยู่ที่นาลันทคาม บ้านเกิดพระสารีบุตร เพื่อเป็นอนุสรณ์แด่พระสาวกองค์สำคัญของพระพุทธเจ้า มหาวิทยาลัยนาลันทา รุ่งเรืองมาจนถึงพุทธศตวรรษที่ ๑๗ หรือราว ๑,๗๐๐ ปี หลังพระพุทธเจ้าปรินิพพาน ก็ถูกทำลายลงอย่างราบคาบ โดยกองทัพมุสลิมเตอร์ก เฉพาะที่มหาวิทยาลัยนาลันทา มีพระสงฆ์ถูกทหารมุสลิมเตอร์กฆ่าตายกว่า ๘,๐๐๐ รูป บางแห่งระบุว่าว่า ๑๐,๐๐๐ รูป
__________________
มารใช้ คนทุกคน ของทุกชิ้น สัตว์ทุกตัว เป็นเครื่องมือในการขวางเรา โดยเฉพาะคนที่เรารักมากที่สุด (-/\-) (-/\-) (-/\-) แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย ตัวเล็ก : 24-09-2009 เมื่อ 23:50 |
สมาชิก 133 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ตัวเล็ก ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#4
|
||||
|
||||
การพัฒนาประเทศไทย ทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงอย่างมากในทางบ้านเมือง ไม่เว้นแม้กระทั่งพระพุทธศาสนา
ที่จริง การพัฒนาประเทศไทยที่เรียกว่า “ความเจริญ” อย่างที่เราเห็นในปัจจุบัน เพิ่งเริ่มมาได้ ๕๐ ปีนี้เอง ให้รู้ว่า ๕๐ ปีที่ผ่านมายังเปลี่ยนแปลงไปขนาดนี้ ถ้าลองนับต่อไปอีก ๕๐ ปีข้างหน้า จะเปลี่ยนแปลงไปขนาดไหน เปลี่ยนสมัยก่อนนั้น มันเปลี่ยนแปลงช้า ในระยะเวลา ๑๐ ปีสมัยก่อน เท่ากับ ๑ ปีในปัจจุบัน และ ๑๐ ปีในสมัยก่อนเดี๋ยวนี้ก็เพียงปีเดียวเท่านั้นเอง นี่ความเปลี่ยนแปลงเร็วอย่างนี้ ทุกวันนี้ ให้ดูความเปลี่ยนแปลงวันต่อวัน “ให้จำคำหลวงพ่อไว้” ไม่เกิน พ.ศ. ๒๕๙๔ บ้านเมืองจะไม่ใช่อย่างนี้แล้ว ถึงปีนี้นับไปอีกก็เท่ากับ ๕๓ ปี เหตุการณ์ต่าง ๆ จะเปลี่ยนแปลงไปมาก ลองคิดดูว่าถ้านับไปอีก ๕๓ ปีข้างหน้า ความเปลี่ยนแปลงของสังคมจะเป็นไปถึงขนาดไหน ความจริงที่จะพูดอย่างนี้ คิดอย่างนี้ และเตรียมการวางแผนเพื่ออนาคตอย่างนี้ ไม่ใช่พวกเราพระหนุ่มเณรน้อยหรอก แต่ว่าต้องเป็นพระระดับมหาเถรสมาคม ระดับเจ้าคณะภาคที่ต้องคิดต้องพูดกัน ถ้าเป็นทางบ้านเมือง ก็ต้องเป็นรัฐบาล ที่จะต้องคิดเรื่องพวกนี้ ต้องวางแผนเพื่อ ๕ ปี ๑๐ ปีข้างหน้า แต่น่าเสียดายที่ไม่มีใครคิดอย่างนี้ หมายเหตุ พระสงฆ์ทั่วประเทศ รวมเรียกว่า “สังฆมณฑล” มีองค์กรปกครองสูงสุด เรียกว่า “มหาเถรสมาคม” แบ่งการปกครอง ออกเป็นระดับชั้น ดังนี้ เจ้าคณะหน เจ้าคณะภาค เจ้าคณะจังหวัด เจ้าคณะอำเภอ เจ้าคณะตำบล และเจ้าอาวาส มีกฎหมายรองรับสถานะองค์กรปกครองสงฆ์ เรียกว่า “พระราชบัญญัติคณะสงฆ์” ซึ่งสมัยรัชกาลที่ ๑ เรียกว่า “กฎหมายสงฆ์” พระราชบัญญัติคณะสงฆ์ ถูกตราขึ้นใช้เป็นครั้งแรก ในสมัยรัชกาลที่ ๕ มีชื่อว่า “พระราชบัญญัติลักษณะการปกครองสงฆ์ ร.ศ. ๑๒๑” และเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นระบบประชาธิปไตย จึงเปลี่ยนเป็น “พระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๔๘๔”
__________________
มารใช้ คนทุกคน ของทุกชิ้น สัตว์ทุกตัว เป็นเครื่องมือในการขวางเรา โดยเฉพาะคนที่เรารักมากที่สุด (-/\-) (-/\-) (-/\-) |
สมาชิก 126 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ตัวเล็ก ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#5
|
||||
|
||||
๓ ปีที่แล้วหลวงพ่อเคยบอกเอาไว้ว่า ให้ดูช่วง ๑๐ ปีข้างหน้า ต่อจากนี้จะเป็นอย่างไร นี่ผ่านมา ๓ ปีแล้ว ยังเป็นถึงขนาดนี้ ยังมีความวุ่นวายเกิดขึ้นกับพระศาสนา กับบ้านเมืองขนาดนี้ ลองคิดดูแล้วอีก ๗ ปี ต่อไปจะเป็นอย่างไร อีก ๑๐ ปีหลวงพ่อก็อายุ ๘๘ ปี ถ้าหลวงพ่ออยู่ไปอีก ๑๐ ปี อาจไม่ได้นั่งอย่างนี้แล้ว
นี่เฉพาะความเปลี่ยนแปลงของสังขารร่างกายคนเรา แต่ว่าสิ่งต่าง ๆ รอบ ๆ ตัวเราที่เปลี่ยนแปลงนั้นมันต้องแรงกว่านี้ อย่างพระพุทธศาสนาในเมืองไทยอีก ๕๐ ปี อาจไม่ใช่อย่างที่เราเห็นอยู่ในเวลานี้ก็ได้ ประเทศไทยตรงนี้อาจไม่ใช่ประเทศไทย สำหรับพระพุทธศาสนาอีกต่อไปแล้ว ความไม่เที่ยงพระสอนเก่ง แต่ไม่รู้จักคิด วันข้างหน้าบ้านเมืองมันจะเปลี่ยนแปลงเป็นอย่างไร ส่วนมากพระไม่ได้คิด ส่วนเรื่องความไม่เที่ยงอย่างสูงสุด แต่ไม่ได้คิดถึงความไม่เที่ยงอย่างธรรมดาที่อยู่ใกล้ตัว ซึ่งกำลังเกิดขึ้นกับพระพุทธศาสนา ความไม่เที่ยงสูงสุด พระพุทธเจ้าหมายเอาความไม่เที่ยงของเบญจขันธ์ แต่ความไม่เที่ยงในโลกนี้ เหมือนกันหมดทุกอย่าง เมื่อเปลี่ยนแปลงแล้ว ย่อมมีผลกระทบทอดกันไปหมด ไม่มากก็น้อย ความไม่เที่ยงอย่างธรรมดาที่ต้องการให้คิด ก็คือความไม่เที่ยงของพระพุทธศาสนา โดยเฉพาะพระพุทธศาสนาในเมืองไทย ซึ่งมีมาแต่เดิม เมื่อรู้ว่ามันจะต้องเปลี่ยนแปลงอย่างแน่นอน แล้วทำไมเราไม่เคยเตรียมการ เพื่อรองรับความเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นกับพระพุทธศาสนา อย่างรู้เท่าทัน แม้การให้มีพระพุทธศาสนาในต่างประเทศ การสร้างวัดขึ้นในต่างประเทศ การให้พระได้มีโอกาสเดินทางไปต่างประเทศ ก็เพื่อเตรียมต่อลมหายใจพระพุทธศาสนา ให้อยู่ในโลกต่อไป ไม่ใช่เพื่ออะไร ก็เพื่ออนุเคราะห์โลก เพื่อประโยชน์เกื้อกูลแก่มหาชน ที่ทำนี้ก็ทำตามพระพุทธเจ้าสอน พระพุทธศาสนาจะอยู่ได้ก็เพราะพุทธบริษัท แล้วพุทธบริษัท คือ ใคร ที่เห็นชัด ก็คือ พระเณร ถ้าพระเณรไม่ทำแล้วใครจะทำ
__________________
มารใช้ คนทุกคน ของทุกชิ้น สัตว์ทุกตัว เป็นเครื่องมือในการขวางเรา โดยเฉพาะคนที่เรารักมากที่สุด (-/\-) (-/\-) (-/\-) |
สมาชิก 116 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ตัวเล็ก ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#6
|
||||
|
||||
ข้อนี้คนทั่วไปไม่ค่อยเข้าใจ แม้แต่พระระดับมหาเถรสมาคมบางองค์เองก็ยังไม่เข้าใจ ยังคิดไม่ถึง กลับคิดไปว่า พระไปทำไมเมืองนอกเมืองนาพระไปเที่ยวเหมือนชาวบ้าน ไปแล้วก็ผิดศีล รักษาวินัยไม่ได้ ถ้าพระจะผิดศีลผิดวินัยอยู่เมืองไทยก็ผิด ไม่ต้องไปถึงเมืองนอกเมืองนาหรอก แต่ไม่ได้มองทะลุไปไกลกว่านั้น ไม่ได้มองไกลออกไปจนเห็นว่า เพื่อเป็นการอนุเคราะห์โลก ไม่ได้มองไกลออกไปจนเห็นว่า เพื่อเป็นการอนุเคราะห์โลก อันจะเป็นประโยชน์เกื้อกูลแก่มหาชนเป็นอันมาก
ไม่ต้องเอาอื่นเอาไกล ที่เมืองไทย หากพระโสณะ และพระอุตตระ ไม่เสียสละเดินทางมา แล้วจะมีพระพุทธศาสนาไหม สุวรรณภูมิ ก็คือ ต่างประเทศของอินเดีย สมัยโน้นนั่นเอง หากวันหนึ่งข้างหน้าเมืองไทยจะไม่มีที่สำหรับพระพุทธศาสนา จะต้องเป็นเหมือนกับที่เกิดขึ้นกับพระสงฆ์ ที่มหาวิทยาลัยนาลันทาในอินเดีย อย่างน้อยพระพุทธศาสนาก็มีลมหายใจอยู่ต่อไปได้ในต่างประเทศ อีกร้อยปีเมืองไทยจะไม่มีพระพุทธศาสนาอย่างทุกวันนี้ ทุกวันนี้เกิดขึ้นแล้ว เราก็เห็น เพราะดาบที่ฟันคอเณร อายุ ๑๓ ปี ก็เป็นดาบเล่มเดียวกันกับดาบที่ฟันคอพระที่มหาวิทยาลัยนาลันทา ในประเทศอินเดีย เณรน้อยอายุ ๑๓ ปี ถือบาตรออกไปเดินบิณฑบาต ไม่มีอาวุธอะไรมีแต่บาตร อยู่ดี ๆ ก็เอาดาบมาฟันคอ ไม่รู้ว่าเณรน้อยอายุ ๑๓ ปีไม่มีพิษมีภัยอะไรกับใคร จนถึงต้องทำอย่างนั้น
__________________
มารใช้ คนทุกคน ของทุกชิ้น สัตว์ทุกตัว เป็นเครื่องมือในการขวางเรา โดยเฉพาะคนที่เรารักมากที่สุด (-/\-) (-/\-) (-/\-) |
สมาชิก 108 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ตัวเล็ก ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#7
|
||||
|
||||
นี่ถ้าเกิดอะไรขึ้นกับพระพุทธศาสนาในเมืองไทย พระไปอยู่ต่างประเทศได้สบาย มีวัดเยอะไปนอนได้ คนอื่นก็ได้วิ่งกันหัวซุกหัวซุน อย่างนี้เรามองไม่เห็น ปัญหามันจะเกิดขึ้นวันหนึ่งข้างหน้าแน่นอน แต่ไม่ได้เกิดวันนี้ เพียงแต่จะเกิดข้างหน้า เอานานหน่อยก็ ๑๐๐ ปี แถวกรุงเทพฯ นี้จะเป็นของใครก็ไม่รู้ คนไทยอาจกลายเป็นชนกลุ่มน้อยไป ถ้าไม่คิดกันให้ดี เอานานหน่อย อีก ๑๐๐ ปี เมืองไทยจะไม่มีพระพุทธศาสนาอย่างทุกวันนี้
แม้เมืองไทยจะยังมีอยู่ แต่ก็จะไม่มีพระพุทธศาสนา ไม่ใช่ไม่มีพระพุทธศาสนาเลยนะ แต่ไม่มีพระพุทธศาสนาอยู่ในลักษณะอย่างปัจจุบันนี้ แต่จะอยู่ในอีกลักษณะหนึ่ง อย่างหลวงพ่อนี่ไม่ทันได้เห็นหรอก แต่พวกเราไม่แน่ แต่ก็มีข้อแม้ว่า ถ้าคิดให้ดีแก้ให้ดี ก็อาจยืดออกไปได้อีกหน่อย อย่างหลวงพ่อไม่ทันหรอก พูดถึงความเปลี่ยนแปลง วัดสระเกศเมื่อหลวงพ่อมา ทีแรกถนนยังไม่มี รถยนต์เข้าวัดไม่ได้ ท่านเจ้าคุณธรรมเจดีย์ที่หลวงพ่ออยู่ด้วย ท่านพูดว่า ถ้ารถยนต์เข้ามารับถึงหน้าบันได้กุฏิได้เมื่อไร จะไปสระบุรีไหว้พระบาท หลวงพ่อพริ้งท่านเป็นอาจารย์หลวงพ่อ และท่านก็เป็นเพื่อนกับเจ้าคุณธรรมเจดีย์ด้วย สมัยนั้นมีโยมศรัทธาจะพาท่านไปไหว้พระบาทที่สระบุรี จึงมานิมนต์ท่านเจ้าคุณธรรมเจดีย์ไปด้วย ท่านก็บอกว่า ถ้ารถเข้ามารับได้ถึงหน้าบันไดกุฏิเมื่อไร จึงจะไป สมัยนั้น ไปสระบุรีไหว้พระบาทต้องออกตั้งแต่ ๖ โมงเช้า บ่ายจึงถึง ไหว้เสร็จแล้วกลับถึงกรุงเทพก็พอดีค่ำ เพราะทางสมัยนั้นเป็นทางลาดยางไปถึงแค่รังสิต เลยนั้นไปเป็นลูกรังทั้งนั้น รถสมัยนั้นเป็นรถสองแถวแบบสี่ล้อเท่านั้น ถ้าเดี๋ยวนี้ไปกลับเป็น ๑๐ เที่ยวก็ยังไม่มืด
__________________
มารใช้ คนทุกคน ของทุกชิ้น สัตว์ทุกตัว เป็นเครื่องมือในการขวางเรา โดยเฉพาะคนที่เรารักมากที่สุด (-/\-) (-/\-) (-/\-) |
สมาชิก 111 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ตัวเล็ก ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#8
|
||||
|
||||
ภายในวัดสระเกศสมัยนั้นสภาพไม่ได้เป็นอย่างนี้ ถนนสำหรับเดินในวัดทำด้วยอิฐวางซ้อนเรียงเป็นแถว เป็นต่างประเทศ เช่น ที่ฝรั่งเศส ถนนทำด้วยอิฐอย่างนี้ถือว่ามีคุณค่ามาก หลวงพ่อเป็นเณรเข้ามาในวัดครั้งแรกรู้สึกแปลกเพราะวัดเป็นตึก ๒ ชั้น ทำไมวัดเป็นอย่างนี้ คิดในใจแต่ไม่ได้พูดออกมา พระโผล่หน้าออกมาทางหน้าต่างมองดู ท่านคงสงสัยว่าเป็นใคร เพราะได้ยินเสียงเท้าเดินผ่านเข้ามา นึกว่า เอ๊ะ! ทำไมพระอยู่กันอย่างนี้ เพราะเคยอยู่กุฏิแบบพระในต่างจังหวัด จำได้เลย เป็นเณร ตอนนั้นอายุ ๑๓ ย่าง ๑๔ ขวบเท่านั้น
ปี พ.ศ. ๒๔๘๔ เกิดสงครามโลก ทหารเอาปืนใหญ่ ปตอ. (ปืนใหญ่ต่อสู้อากาศยาน) มาตั้งรอบภูเขาทอง พวกเณรก็สนุกมาดูปืนใหญ่กัน ตามประสาเด็ก มีระเบิดมาทิ้งภูเขาทอง แต่ไม่ถูก ระเบิดไปตกที่สะพานผ่านฟ้า น่าอัศจรรย์ ภูเขาทองออกใหญ่โตไม่น่าจะพลาด คงเป็นพระบารมีพระธาตุ ตอนนั้น ท่านพลเอกประมาณ อดิเรกสาร เป็นทหารม้า มียศพันโท เอาม้ามาเลี้ยงที่ลานพระวิหาร ท่านจึงคุ้นเคยกับที่วัดมาจนถึงปัจจุบัน พอปี พ.ศ. ๒๔๘๕ น้ำก็ท่วมกรุงเทพฯ จึงรู้ว่า บริเวณวัดสระเกศนั้นสูง เพราะที่อื่นน้ำท่วมมาก แต่วัดสระเกศน้ำท่วมน้อย บริเวณภูเขาทองไม่ท่วมเลย ที่เล่ามา อย่างน้อย พวกเราจะได้รู้ว่า ความเปลี่ยนแปลงเป็นอย่างไร ตอนนี้พระบารมีของพระมหากษัตริย์ยังอยู่ จึงทำให้พระพุทธศาสนาในเมืองไทย ยังเปลี่ยนแปลงช้ากว่าสิ่งอื่น แต่ต่อไปจะเปลี่ยนแปลงเร็ว ต่อไปสังคมจะหมุนเร็ว พระศาสนาก็จะเปลี่ยนแปลงเร็วตามไปด้วย จะไม่ใช่อย่างทุกวันนี้แล้ว ทุกวันนี้ พระเณรยังได้เรียนนักธรรม เรียนภาษาบาลี และในหลวงยังพระราชทานสมณศักดิ์ ยังได้เป็นพระครู เป็นเจ้าคุณ ต่อไปข้างหน้าจะไม่มีอย่างนี้แล้ว แต่นั่นก็ไม่ใช่หลักที่สำคัญ หลักที่สำคัญนั่น ก็คือ การศึกษา ท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงที่เร็ว สิ่งที่สำคัญที่สุด ก็คือ พระเณรต้องมีการศึกษา จึงจะนำพาพระพุทธศาสนาให้อยู่รอดได้
__________________
มารใช้ คนทุกคน ของทุกชิ้น สัตว์ทุกตัว เป็นเครื่องมือในการขวางเรา โดยเฉพาะคนที่เรารักมากที่สุด (-/\-) (-/\-) (-/\-) |
สมาชิก 105 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ตัวเล็ก ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#9
|
||||
|
||||
ดังนั้น ในอนาคตมหาวิทยาลัยสงฆ์ทั้ง ๒ แห่ง จะต้องเป็นหลักให้พระเณรได้ศึกษาเล่าเรียน มิเช่นนั้นแล้วก็ไม่รู้จะเรียนอะไรกันอย่างไร เลยกลายเป็นพระพุทธศาสนาไร้หลัก ถ้าไม่มีการเรียนการสอนเป็นของเราเอง ก็ต้องไปเรียนกับของชาวบ้าน ถ้าไปเรียนกับชาวบ้าน เณรกับเด็กจะต่างอะไรกัน
ไม่ต้องอื่นไกล ก็เหมือนประเทศเพื่อนบ้าน เมื่อสถาบันศาสนาไม่มี พระเณรต้องไปเรียนร่วมกับชาวบ้าน พ.ศ. ๒๕๑๘ ประเทศเพื่อนบ้านเรานี่เอง วินาทีเดียวเท่านั้นเปลี่ยนหมด ล้มระบบพระมหากษัตริย์หมด ล้มระบบศาสนาหมด ไม่มีสถาบันพระมหากษัตริย์ ไม่มีสถาบันพระพุทธศาสนา แล้วพระเณรต้องไปเรียนกับชาวบ้านเหมือนเด็กนักเรียนทั่วไป ตื่นเช้าก็ต้องสะพายย่ามถือร่มถือกระเป๋าไปโรงเรียน ไปยืนเข้าแถวร้องเพลงชาติเหมือนเด็กชาวบ้านคนหนึ่ง แล้วอย่างนี้ศาสนาจะเหลืออะไร พระเณรถูกสั่งให้เลิกเรียนอย่างพระแล้วให้ไปเรียนอย่างชาวบ้าน พระเณรเลิกการเรียนธรรมเรียนวินัยแล้วจะเหลืออะไร อย่างนี้พระศาสนาก็หมด แม้แต่พระมหากษัตริย์ หากไม่หนีออกนอกประเทศ ก็ถูกส่งออกไปท้องนาทำการกสิกรรม อย่างชาวบ้านทั่วไป นี่ประเทศเพื่อนบ้านเรานี่เอง หลวงพ่อจึงได้บอก มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย และมหามกุฏราชวิทยาลัย ว่ามหาวิทยาลัยสงฆ์ทั้ง ๒ แห่งนี้ ต้องทำให้เป็นหลักเข้าไว้ ต้องเป็นหลักในการให้การศึกษาแก่พระเณร หาไม่แล้วพระพุทธศาสนาในเมืองไทย ก็จะไม่ต่างอะไรจากประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งก็เห็นกันอยู่แล้ว
__________________
มารใช้ คนทุกคน ของทุกชิ้น สัตว์ทุกตัว เป็นเครื่องมือในการขวางเรา โดยเฉพาะคนที่เรารักมากที่สุด (-/\-) (-/\-) (-/\-) แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย ตัวเล็ก : 30-09-2009 เมื่อ 08:18 |
สมาชิก 98 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ตัวเล็ก ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#10
|
||||
|
||||
วิสัยทัศน์ผู้นำพระพุทธศาสนาโลก
...การเรียนรู้ เป็นเรื่องที่จำเป็น...
หากพระเณรไม่มีความรู้ ไม่มีความเข้าใจในบ้านเมืองที่ตนอยู่ ไม่มีความเข้าใจในสิ่งที่เกิดขึ้นใหม่ ๆ และไม่เข้าใจความรู้สึกนึกคิดของคนปัจจุบัน การที่พระเณรจะสอนธรรมะไม่ได้ผลก็มีมากขึ้น เมื่อสอนธรรมะให้คนเข้าใจไม่ได้ ก็ไม่ต้องพูดถึงว่า จะรักษาพระศาสนาไว้ได้อย่างไร ที่จริง การที่พระสอนธรรมะให้คนเข้าใจไม่ได้ ไม่ใช่เพราะไม่มีความรู้แตกฉานในธรรมะ แต่เพราะพระไม่มีความรู้ในวิทยาการสมัยใหม่ จึงทำให้ขาดความกล้าหาญ ไม่สามารถประยุกต์ธรรมะ ให้เข้ากับความคิดและชีวิตของคนปัจจุบัน พระสงฆ์ยังคงสอนธรรมะด้วยวิธีการเก่า ๆ ยังคงอ่านธรรมะจากใบลานสอนคน ในขณะที่ชาวบ้านรับข้อมูลข่าวสาร จากทั่วทุกมุมโลกเพียงชั่วลัดนิ้วมือเดียว คนทุกวันนี้สามารถย่อโลกมาไว้บนฝ่ามือ ด้วยกำลังสมองที่แสนมหัศจรรย์ เราสามารถรู้ความเป็นไปของกันและกันเพียงเสี้ยววินาที และสามารถเดินทางถึงกันจากคนละมุมโลกเพียงชั่วข้ามคืน คนจึงเริ่มห่างไกลออกไปจากพระสงฆ์ การเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ จึงจำเป็นสำหรับพระเณรในยุคนี้ ไม่ใช่เพื่อพระเณรจะต้องเป็นสิ่งนั้น จะต้องวิ่งตามเขาทุกเรื่อง แต่เพื่อที่จะใช้ความรู้ใหม่ ๆ เป็นสะพานเชื่อมธรรมะไปสู่คนในยุคนี้
__________________
มารใช้ คนทุกคน ของทุกชิ้น สัตว์ทุกตัว เป็นเครื่องมือในการขวางเรา โดยเฉพาะคนที่เรารักมากที่สุด (-/\-) (-/\-) (-/\-) |
สมาชิก 87 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ตัวเล็ก ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#11
|
||||
|
||||
พระเณรจำเป็นต้องเรียนรู้ความเปลี่ยนแปลงของสังคมในปัจจุบัน มิใช่รู้ความเปลี่ยนแปลงของเบญจขันธ์เพียงอย่างเดียว และจำเป็นที่จะต้องเปิดใจรับวิธีการและเรียนรู้วิทยาการสมัยใหม่ ๆ ที่เกิดขึ้น เรียนรู้การประชาสัมพันธ์ผ่านเครื่องมือสื่อสารต่าง ๆ ซึ่งเป็นมากกว่าการเทศนาจากใบลาน
สมัยก่อนการเผยแผ่พระพุทธศาสนาในต่างประเทศแทบจะไม่มีใครพูดถึง หากพระองค์ใดพูดถึงการไปต่างประเทศ ก็จะถูกตำหนิอย่างแรง ทั้งฝ่ายพระเองแล้วก็ฆราวาส มักจะมองว่าพระไปเที่ยวอย่างชาวบ้าน ใครจะว่าดีไม่ดีอย่างไรก็ช่างเขา เรานึกถึงพระพุทธเจ้าท่านบอกว่า นินทากับสรรเสริญ สองอย่างนี้มันคู่กันมากับโลก มีมาแต่ไหนแต่ไร เรามุ่งงานพระศาสนา มุ่งประโยชน์ เป็นหลักใหญ่ ภายหลัง เมื่อการเดินทางออกนอกประเทศครั้งแรก หลวงพ่อก็กลับมาคิดอยู่ตลอดว่า ทำอย่างไรจะสร้างวัดในต่างประเทศให้ได้ ฝรั่งชอบเอาของเขามาให้คนไทย เพราะอยากให้เราเป็นอย่างเขา คนไทยเราก็ติดกันงอม เราก็เอาพระไปให้ฝรั่งบ้าง ต่อไปข้างหน้า ฝรั่งคงจะติดพระงอมบ้างเหมือนกัน อยู่ต่างประเทศ หากไปด้วยกันเป็นคณะ เวลาไปไหนมาไหนอย่าเดินตามหลังเรียงกันเป็นแถว ให้เดินไปด้วยกันเป็นหมู่เป็นคณะ แต่อย่าถึงขนาดชิงกันเดิน ต่างคนต่างเดินไปตามปกติ ฝรั่งเขาไม่มีวัฒนธรรมเดินตามหลังเป็นแถว เพราะเขาถือว่า ทุกคนเท่าเทียมกัน ทุกคนมีสิทธิเสมอกัน เขาจึงมักพูดถึงสิทธิมนุษยชน การเดินตามหลังไปเป็นแถวตามหลักอาวุโส ใช้ได้แต่เฉพาะในเมืองไทยเท่านั้น จะเอาไปใช้ในต่างประเทศไม่ได้ จะเดินไปที่ไหนก็ต้องดู เพราะนิสัยคนไทยเรานั้นแปลก ที่ไหนพอจะเหยียบได้ เหยียบ ที่ไหนพอจะข้ามได้ ข้าม ใครพอจะข่มได้ ข่ม หากพระเอานิสัยคนไทยไปใช้ในต่างประเทศ แทนที่จะนำมาซึ่งความเลื่อมใสของคนที่ยังไม่เลื่อมใส ก็กลับจะถูกดูแคลนเอาได้ว่า เราไม่รู้ธรรมเนียม เมื่อเขาเริ่มดูแคลนก็เท่ากับว่าเขาปิดกั้นตนเองในการรับฟัง นี่ก็เป็นสิ่งที่ต้องรู้ไว้เช่นกัน
__________________
มารใช้ คนทุกคน ของทุกชิ้น สัตว์ทุกตัว เป็นเครื่องมือในการขวางเรา โดยเฉพาะคนที่เรารักมากที่สุด (-/\-) (-/\-) (-/\-) |
สมาชิก 84 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ตัวเล็ก ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#12
|
||||
|
||||
ไปพักที่ไหนก็อย่านอน ให้ออกไปดูบ้านดูเมือง ดูผู้คนว่าเขาอยู่กันอย่างไร ไปดูร้านค้าว่าเขาขายอะไร ลองหัดใช้เงินซื้อของเขาให้เป็น แต่อย่าซื้อมาก ซื้อแต่พอใช้เงินเขาให้เป็นเท่านั้น เห็นอะไรที่แตกต่างจากบ้านเรา ก็อย่าคุยกันแบบซุบซิบแล้วหัวเราะกัน ต่างบ้านต่างเมืองต่างวัฒนธรรม ย่อมมีความแตกต่างกันไป อย่าเอาเมืองไทยและวัฒนธรรมไทยเป็นที่ตั้ง
ส่วนร้านอาหารนั้น สังคมเขาถือกันว่า ถ้าไม่สั่งอะไรเขากิน ก็อย่าเข้าไปนั่งคุยกัน เป็นการเสียมารยาท หรือแม้แต่เข้าไปกิน หากอิ่มแล้วนั่งสักพักก็ให้ออกมา อย่าไปนั่งคุยกันเพลิน สั่งอาหารมาแล้ว ต้องกินให้หมด กินไม่หมดฝรั่งเขาตำหนิ คนบ้านเรา สั่งอาหารกินต้องให้เหลือ ถ้าไม่เหลือเฟือกลัวเขาดูถูกว่าไม่มีเงิน เป็นค่านิยมที่ไม่ถูก มีโยมคนหนึ่ง สั่งอาหารมากินเหลือไว้ในจาน พนักงานภายในร้าน เห็นจึงเดินเข้ามาบอกว่า สั่งมาแล้วต้องกินให้หมด เวลานั่งรถอย่าอ่านหนังสือ จะเป็นหนังสือพิมพ์หรือหนังสืออ่านเล่นอย่างอื่นก็ตาม สมเด็จพระสังฆราช (อยู่) เคยสอนว่า เวลานั่งรถอย่าอ่านหนังสือ ถ้าจะอ่านหนังสือให้กลับมาอ่านที่วัด เวลานั่งรถ ความรู้อยู่ข้างถนน ให้ดูสองข้างทาง ใช้สติปัญญาปรับตัวให้เข้ากับสังคม
__________________
มารใช้ คนทุกคน ของทุกชิ้น สัตว์ทุกตัว เป็นเครื่องมือในการขวางเรา โดยเฉพาะคนที่เรารักมากที่สุด (-/\-) (-/\-) (-/\-) แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย ตัวเล็ก : 01-10-2009 เมื่อ 08:19 |
สมาชิก 87 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ตัวเล็ก ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#13
|
||||
|
||||
เวลาไปต่างประเทศ หลวงพ่ออยากให้พักโรงแรมมากกว่าพักที่วัด และโรงแรมนั้นจะต้องใกล้สวนสาธารณะ ใกล้สถานีรถไฟ หรือไม่ก็ใกล้สถานีขนส่ง อยากให้พักใจกลางเมือง เพราะสถานที่นั้นจะทำให้เรามีโอกาส ได้พบปะผู้คนมากมาย ทำให้ได้เรียนรู้ชีวิตความเป็นอยู่ ความรู้สึกนึกคิดของคนในประเทศนั้น ๆ อันจะเป็นประโยชน์ต่อการเผยแผ่พระศาสนาต่อไปในอนาคต
หากไปต่างประเทศไปพักอยู่ตามป่าตามเขา จะไปทำไม ป่าเขาบ้านเรามีเยอะแยะ ไม่ต้องไปถึงต่างประเทศ ที่ให้ไปต่างประเทศนั้นให้ไปดูคน ดูบ้านเมือง ดูชีวิตความเป็นอยู่ของเขาว่า เขาอยู่กันอย่างไร เมื่อถึงโรงแรมได้หมายเลขห้องพักแล้ว ให้เข้าห้องไปเลย จำหมายเลขห้องของคนอื่นเอาไว้ หากกลัวลืมก็เขียนหมายเลขห้องของแต่ละคนไว้ก็ได้ อย่ายืนคุยกันหน้าห้อง นอกจากจะเป็นการรบกวนคนอื่นเขาแล้ว ยังถือว่าเป็นการเสียมารยาทอีกด้วย เขาถือกันอย่างนี้ทุกสังคม มีอะไรจะคุยก็ให้คุยกันในห้องหรือใช้โทรศัพท์ภายในคุยกัน ให้ลองหัดใช้โทรศัพท์ในต่างประเทศดูว่าใช้อย่างไร ใช้เบอร์ภายในโรงแรมจะได้ไม่ต้องจ่ายค่าโทร อย่าไปโทรเบอร์ข้างนอกเพราะค่าโทรศัพท์ต่างประเทศแพงมาก ให้โทรภายในโรงแรม โทรห้องต่อห้อง พอให้ได้รู้วิธีการใช้โทรศัพท์ต่างประเทศ ให้จำชื่อย่านที่พักเรียกว่าอะไร จะออกจากที่พักไปที่ไหน ให้บอกคนอื่นให้รู้ด้วย ให้มีชื่อ ที่อยู่ และ ถนนของโรงแรมที่พักติดตัวไปด้วยทุกครั้ง จะขอนามบัตรโรงแรมเขาไปด้วยก็ได้ ในต่างประเทศพาสปอร์ตเป็นสิ่งสำคัญ ต้องติดตัวอยู่ตลอดเวลา ทุกวันนี้คนไทยยังมีความเข้าใจผิด ๆ อยู่มาก ยังติดในภาพเก่า ๆ คิดว่าโรงแรมเป็นสถานที่ที่ไม่เหมาะไม่ควร เป็นที่อโคจร ยังมีความรู้สึกไม่ดีกับคำว่า “โรงแรม” พูดง่าย ๆ คือ ยังไม่ยอมลบภาพเก่า ๆ ออกจากสมอง ทั้งที่จริง โรงแรมเขาใช้เป็นที่พัก โลกและสังคมปัจจุบันเปลี่ยนไปแล้ว และเราก็อยู่ในสังคมปัจจุบัน นักธุรกิจไปติดต่อการค้าขายในต่างประเทศก็พักโรงแรม ผู้นำประเทศต่าง ๆ ไปต่างประเทศก็พักโรงแรม แขกบ้านแขกเมืองไปต่างประเทศก็พักโรงแรม พระเจ้าแผ่นดินไปต่างประเทศก็พักโรงแรม โรงแรมทุกวันนี้เขาจัดไว้สะอาดสะอ้านมีระเบียบ และเงียบสงบกว่าบ้านคน หรือเงียบสงบกว่าวัดบางแห่งเสียอีก
__________________
มารใช้ คนทุกคน ของทุกชิ้น สัตว์ทุกตัว เป็นเครื่องมือในการขวางเรา โดยเฉพาะคนที่เรารักมากที่สุด (-/\-) (-/\-) (-/\-) แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย ตัวเล็ก : 04-10-2009 เมื่อ 16:29 เหตุผล: แก้ไขจาก ธุรกจิ เป็น ธุรกิจ |
สมาชิก 79 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ตัวเล็ก ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#14
|
||||
|
||||
แม้พระเองก็ต้องปรับตัวให้เหมาะสม ไม่เช่นนั้นพระพุทธเจ้าคงไม่อนุญาตมหาปเทศ ๔ เอาไว้หรอก การอนุญาตมหาปเทศ ๔ ไว้ ก็เพื่อที่จะให้พระรู้จักใช้สติปัญญาปรับตัวให้เข้ากับสังคมในประเทศนั้น ๆ ตามความเหมาะสม รู้กันทุกองค์อยู่แล้ว
โรงแรมสำหรับชาวตะวันตก หรือแม้แต่สำหรับสังคมไทยปัจจุบัน คือสถานที่ที่เงียบสงบ มีความเป็นส่วนตัวสูง เพื่อต้องการพักผ่อน เวลาเขาเดินทางไกลเพื่อติดต่อธุรกิจ หรือติดต่อข้อราชการต่าง ๆ ต้องการพักผ่อน ต้องการใช้ความคิด โดยไม่ต้องการให้มีใครรบกวนเขาก็พักกันที่โรงแรม ไปต่างประเทศแล้วจะเห็นว่า เวลาที่เขาไม่ต้องการให้ใครรบกวน ไม่ต้องการให้มีการใช้เสียง ก็จะมีป้าย หรืออะไรสักอย่างเป็นเครื่องหมายแขวนไว้ที่ประตู แม้จะไม่มีตัวหนังสือบอกว่า อย่ารบกวน ก็เป็นอันรู้กันทั่วโลกว่า เวลานี้ต้องการความเงียบสงบ โปรดอย่ารบกวน ทุกโรงแรมเขาจะมี ถ้าเห็นสัญลักษณ์นี้แล้ว แม้แต่คนทำความสะอาดก็ไม่กล้าส่งเสียง คนไทยมักจะมองโรงแรมในด้านลบ เพราะสมองยังติดในภาพเก่า ๆ ไม่ยอมรับความเป็นจริงของโลกปัจจุบัน ความจริงโรงแรมก็คือ ห้องพักธรรมดาห้องหนึ่งเท่านั้นเอง สมัยพุทธกาลพระสงฆ์สาวกเดินทางไกลไปต่างบ้านต่างเมือง ท่านก็ขอพักตามบ้านเรือนคนทั้งนั้น อย่างบ้านนายช่างหม้อก็เป็นบ้านที่พระนิยมไปขอพักค้างแรม ทุกวันนี้ สถานที่พักแรมเวลาเดินทางไกลไปต่างบ้านต่างเมืองก็เปลี่ยนไปตามยุคตามสมัย ไปต่างประเทศ ถ้าไม่ต้องการไปดูคน ไปดูบ้านเมืองเขา แล้วเราจะไปทำไม ถ้าไปแล้วไปนั่งไปนอนอยู่วัดเฉย ๆ ก็อย่าไป จะกลายเป็นคนหูหนวกตาบอด ไม่ไปยังจะดีกว่า ไม่ต้องเสียเวลาเดินทาง ไม่ต้องเหนื่อย และไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายใด ๆ ทั้งสิ้น ไปแล้วต้องออกไปเดินดูบ้านดูเมืองเขา
__________________
มารใช้ คนทุกคน ของทุกชิ้น สัตว์ทุกตัว เป็นเครื่องมือในการขวางเรา โดยเฉพาะคนที่เรารักมากที่สุด (-/\-) (-/\-) (-/\-) |
สมาชิก 73 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ตัวเล็ก ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#15
|
||||
|
||||
ข้อปฏิบัติสำหรับพระสงฆ์ที่เดินทางไปต่างถิ่น จำเป็นต้องอาศัยเรือนชาวบ้าน เป็นที่พัก ปรากฏอยู่ในพระวินัย ว่า หากพักตามบ้านเรือน ให้กำหนดเอารั้วบ้านเป็นเขตรักษาราตรี ถ้าบ้านไม่มีรั้วหรือกำแพง ให้เอาตัวเรือนนั้น เป็นเขตรักษาราตรี ถ้าอาคารใหญ่โตมีหลายห้อง หรือโกดังใหญ่ ถ้าไม่มีกำแพงหรือรั้วล้อมรอบ ให้กำหนดเอาห้องที่พักนั้น เป็นเขตรักษาราตรี ถ้าสถานที่นั้นมีหลายครอบครัวอยู่รวมกัน พระสงฆ์อยู่พักกับครอบครัวใด ให้ถือเอาบริเวณของครอบครัวนั้น เป็นเขตรักษาราตรี
(พระไตรปิฏก เล่ม ๒ มหาวิภังค์ จีวรวรรค)
__________________
มารใช้ คนทุกคน ของทุกชิ้น สัตว์ทุกตัว เป็นเครื่องมือในการขวางเรา โดยเฉพาะคนที่เรารักมากที่สุด (-/\-) (-/\-) (-/\-) |
สมาชิก 70 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ตัวเล็ก ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#16
|
||||
|
||||
ที่จริง หากเป็นไปได้ หลวงพ่ออยากให้พระผู้ใหญ่ตั้งแต่ระดับเจ้าคณะจังหวัด ทุกจังหวัด ได้มีโอกาสเดินทางไปต่างประเทศ จะได้เห็นความเจริญก้าวหน้าของประเทศต่าง ๆ แล้วนำมาพัฒนาพระศาสนา จะได้ไม่มีจิตใจคับแคบ คิดว่าประเทศไทยนั้นใหญ่คับโลก หากมองเมืองไทยในแผนที่โลกแล้ว มันแค่จุดเล็ก ๆ พอเดินทางออกจากเมืองไทยไปไกลเกินญี่ปุ่น ก็แทบจะไม่มีใครรู้จักเมืองไทยแล้ว
เวลานี้พระผู้ใหญ่ยังเข้าใจผิดกันมาก ยังคิดว่าประเทศไทยนั้นใหญ่เหลือเกิน ประเทศไทยไม่ต้องพึ่งพาอาศัยใครทั้งนั้น เมืองไทยเท่านั้นเป็นเมืองพุทธและมีสิทธิ์เป็นเจ้าของธรรมะของพระพุทธเจ้า พระที่เดินทางไปต่างประเทศ มักจะถูกตำหนิ ทั้งจากพระผู้ใหญ่และญาติโยมที่ไม่เข้าใจ เพราะคิดอย่างนี้ พระจึงถูกมองว่าเป็นสถาบันที่ล้าหลังที่สุดในสังคม เป็นสถาบันที่ตามโลกตามสังคมไม่ทัน เป็นสถาบันที่เป็นภาระต่อสังคม จนบางกลุ่มบางคนคิดว่า ปัจจุบันสังคมไทยไม่มีความจำเป็นต้องมีสถาบันสงฆ์ หรือจะกล่าวให้ง่าย ก็คือ พระสงฆ์เป็นสถาบันที่ไม่ควรมีในสังคมไทย อีกต่อไป คนทุกวันนี้คิดกันว่า ธรรมะเรียนที่ไหนก็ได้ มีสื่อต่าง ๆ มากมายเต็มไปหมด กดปุ๊บก็รู้ธรรมะปั๊บ ไม่จำเป็นต้องเรียนจากสถาบันสงฆ์ พระไม่ได้เรียนหนังสือมาจากเมืองนอกเมืองนา มีความรู้สู้เขาไม่ได้ เพราะฉะนั้น พระจึงไม่มีความจำเป็นสำหรับสังคมปัจจุบัน เมื่อเกิดความคิดเช่นนี้แล้ว พระพุทธศาสนาจะอยู่อย่างไร ให้พวกเราคิดดู จริงอยู่ ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นอนิจจัง คือ ไม่เที่ยง แต่ความไม่เที่ยง ก็ไม่ควรตั้งอยู่บนพื้นฐานของจิตใจที่คับแคบเช่นนี้ โดยไม่คิดหาวิธีการที่จะรักษาพระศาสนา ให้มั่นคงสืบสถาพรแผ่ไพศาลไปในโลก ที่จริงก็เป็นเรื่องที่พระพุทธเจ้าท่านสอนทั้งนั้น มีโอกาสไปแล้ว ก็ให้เก็บเกี่ยวเอาความรู้มามาก ๆ ไปพักที่ไหนก็อย่านอนหรือนั่งอยู่เฉย ๆ ถ้าจะนอนให้กลับมานอนที่วัด ขึ้นรถก็อย่าอ่านหนังสือ ไม่ว่าจะเป็นหนังสือพิมพ์หรือหนังสืออะไรก็ตาม ถ้าอ่านหนังสือแล้วจะไม่เห็นอะไรระหว่างทาง เมื่อขึ้นรถ ความรู้อยู่ระหว่างสองข้างทาง ไม่ได้อยู่ในหนังสือ ดูว่ามีอะไรอยู่ระหว่างทางนั้น
__________________
มารใช้ คนทุกคน ของทุกชิ้น สัตว์ทุกตัว เป็นเครื่องมือในการขวางเรา โดยเฉพาะคนที่เรารักมากที่สุด (-/\-) (-/\-) (-/\-) |
สมาชิก 73 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ตัวเล็ก ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#17
|
||||
|
||||
ในปัจจุบัน การปฏิบัติดีปฏิบัติชอบตามพระธรรมวินัยอย่างเดียว มิอาจจะรักษาพระศาสนาไว้ได้ ในขณะที่นวัตกรรมของคนรุ่นใหม่ก้าวล้ำหน้าพระสงฆ์ ซึ่งเปรียบเสมือนตัวแทนของสังคมรุ่นเก่าไปแล้ว
หากพระสงฆ์ปิดกั้นตนเอง ไม่พยายามเรียนรู้ความรู้ใหม่ ๆ ของคนในยุคนี้ ควบคู่ไปกับการปฏิบัติดีปฏิบัติชอบตามพระธรรมวินัย ไม่พยายามเข้าใจความรู้สึกนึกคิดของคนในปัจจุบัน และไม่พยายามที่จะหาวิธีการใช้ความรู้ของยุคสมัย เป็นสื่อในการถ่ายทอดคำสั่งสอนของพระพุทธองค์ ก็ยากที่จะรักษาพระศาสนาไว้ได้
__________________
มารใช้ คนทุกคน ของทุกชิ้น สัตว์ทุกตัว เป็นเครื่องมือในการขวางเรา โดยเฉพาะคนที่เรารักมากที่สุด (-/\-) (-/\-) (-/\-) |
สมาชิก 68 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ตัวเล็ก ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#18
|
||||
|
||||
อเมริกาในรอยธรรม
“เราตายได้ แต่พระพุทธศาสนาตายไม่ได้” คนไทยไปเมืองนอก เพื่อไหว้ฝรั่ง พระไปเมืองนอก เพื่อให้ฝรั่งไหว้ หลวงพ่อไปอเมริกาครั้งแรกในปี พ.ศ.๒๕๑๕ ขณะเป็นเลขาธิการมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย มีสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ และเจ้าคุณพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยุตฺโต) ไปด้วย เพื่อพบปะนักศึกษาในมหาวิทยาลัยต่าง ๆ ตามคำนิมนต์ของรัฐบาลสหรัฐอเมริกา สมัยนั้นคนไทยยังไม่มาก ส่วนใหญ่คนไทยไปอยู่ไม่ถูกต้องตามกฎหมาย การเดินทางและการเป็นอยู่ในสมัยนั้นจึงลำบากมาก แต่ก็ต้องทนเพราะต้องการพบปะกับคนไทย เพื่อจะหาวิธีให้มีวัดเกิดขึ้นให้ได้ บางครั้งพักที่สถานฑูตไทย บางครั้งพักที่สำนักงาน ก.พ. บางครั้งก็พักตามมหาวิทยาลัย แต่โดยมากพักตามบ้านคน ทีแรกไปอเมริกา เขาจัดให้นอนที่สถานทูตไทยด้วยกันทั้ง ๓ องค์ ภายหลังทั้งสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ กับเจ้าคุณประยุทธ์ต่างก็แยกกันไปนอนในที่ต่าง ๆ กัน เพื่อที่จะได้มีโอกาสพบคนมาก สมัยนั้น ท่านทูตสุนทร หงส์ลดารมภ์ เป็นทูตอเมริกา ท่านบอกกับหลวงพ่อว่า “คนไทยยังเชื่อพระให้บอกคนไทยที่มาอยู่ที่นี่ด้วยเถอะ ให้พากันกลับเมืองไทยทีเถอะ มาอยู่เป็นโรบินฮู้ดอย่างนี้อายเขา เสียชื่อเสียงประเทศชาติบ้านเมือง” หลวงพ่อบอกท่านว่า “ฝรั่งมาอยู่เป็นโรบินฮู้ดในเมืองไทย ทำไมเราชื่นชมว่าเขาเป็นคนเก่งกล้า แต่พอคนไทยเป็นโรบินฮู้ดไปอยู่เมืองฝรั่งบ้าง กลับเห็นเป็นเรื่องน่าอาย ความจริงเมืองไทยเราก็มีแต่โรบินฮู้ดทั้งนั้นแหละ และโรบินฮู้ดเหล่านั้นก็มีส่วนในการสร้างความมั่นคงมั่งคั่งให้กับเมืองไทย ที่เยาวราชมีแต่โรบินฮู้ดจากเมืองจีนทั้งนั้น มีแค่เสื่อผืนหมอนใบ มาเมืองไทย ก็ยังสร้างชาติไทยให้มีความเจริญรุ่งเรืองได้ อย่าถือว่าเป็นเรื่องน่าอายเลย ขอให้หาทางช่วยให้คนไทยเหล่านั้น ได้อยู่อย่างถูกต้องตามกฎหมายเถอะ คนไทยเหล่านั้นล้วนแต่เก่งและมีความสามารถเท่านั้น หากไม่เก่ง ไม่กล้า ไม่มีความสามารถ เขามาได้ไม่ไกลถึงอเมริกาหรอก การที่เขามาถึงอเมริกาได้ รัฐบาลไทยไม่ได้เสียเงินให้เขาสักบาทเดียว ไม่ได้ขาดทุนแต่ได้กำไร นั่นก็แสดงว่าเขามีความสามารถเป็นทุนอยู่แล้ว หากช่วยเขาให้อยู่อย่างถูกต้องตามกฎหมายในอเมริกา เขาก็คงจะสร้างความเจริญรุ่งเรืองก้าวหน้าให้แก่ชีวิตได้”
__________________
มารใช้ คนทุกคน ของทุกชิ้น สัตว์ทุกตัว เป็นเครื่องมือในการขวางเรา โดยเฉพาะคนที่เรารักมากที่สุด (-/\-) (-/\-) (-/\-) แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย ตัวเล็ก : 07-10-2009 เมื่อ 01:03 |
สมาชิก 75 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ตัวเล็ก ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#19
|
|||
|
|||
อ้างอิง:
อ่านแล้วชอบตรงนี้มาก ๆ ครับ ขอไปเผยแพร่นะครับ อนุญาตหรือไม่แจ้งด้วยนะครับ หนังสือหลวงพ่อ ยังมีขายอยู่ที่ ร้านนายอินทร์ใช่ไหมครับ แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย กาแฟ : 06-10-2009 เมื่อ 12:38 |
สมาชิก 58 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ กาแฟ ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#20
|
||||
|
||||
ท่านทูตสุนทร หงส์ลดารมภ์ มีความคุ้นเคยกันกับหลวงพ่ออยู่ก่อนแล้ว ทั้งพี่น้องของท่านด้วย เพราะคุณพ่อของท่าน คุ้นเคยกับที่วัดสระเกศ มาตั้งแต่สมัยเจ้าประคุณสมเด็จพระสังฆราช(อยู่) เลยทำให้คุ้นเคยกัน คุยอะไรก็คุยกันได้ อย่างคนคุ้นเคยกัน แต่เรื่องความเห็นไม่ค่อยตรงกัน เพราะหลวงพ่อเห็นเป็นอย่างหนึ่ง แต่ท่านก็เห็นเป็นอีกอย่างหนึ่งท่านเห็นแบบคนโบราณที่เคร่งวัด
อย่างคราวหนึ่ง หลวงพ่อบอกกับท่านถึงเรื่องที่อยากจะให้มีวัดในอเมริกาและอยากให้พระมาอยู่ที่นี่ หลวงพ่อเห็นว่าวัดเกิดขึ้นที่นี่ได้ เพราะที่นี่มีคนไทย จึงขอให้ท่านช่วยหาทางที่จะให้มีวัด ท่านก็บอกว่าที่เมืองไทยวัดจะร้างอยู่แล้ว พระอย่ามายุ่งกับต่างประเทศอยู่เมืองไทยก็ยังทำอะไรไม่ค่อยได้ แล้วพระจะมาสอนอะไรที่เมืองนอก หลวงพ่อก็บอกกับท่านว่า คนไทยไปเมืองนอกกับพระไปเมืองนอกนั้นแตกต่างกัน คนไทยไปเมืองนอกเพื่อไปไหว้ฝรั่ง แต่พระไปเมืองนอกเพื่อให้ฝรั่งไหว้ และ หากใครพูดถึงเรื่องพระไปต่างประเทศ ไม่ดีอย่างนั้นอย่างนี้ หลวงพ่อก็จะบอกเขาอย่างนี้เสมอมา ทุกครั้งที่ไปต่างประเทศ หากมีผู้ถวายปัจจัยก็จะไม่นำกลับเมืองไทย แต่จะสมทบทุนไว้สร้างวัดที่ประเทศนั้น ๆ ไปแต่ละครั้ง ก็จะมีคนถวายปัจจัยเยอะมาก ทุกครั้งที่มีการเทศน์ มีการบรรยาย หรือที่เขาทำบุญ ก็จะไม่เอากลับเมืองไทย และจะตกลงกับผู้ที่จะร่วมคณะไปด้วยเช่นนั้นเสมอ อย่างไปอเมริกาสมัยนั้น คนถวายปัจจัยเยอะมาก บางวันคนนิมนต์ตั้งแต่เช้าจนค่ำ เพราะคนไทยยังไม่เคยเห็นพระที่นั่น ทุกคนต่างก็แตกตื่นดีอกดีใจ ไม่นึกว่าจะมีพระไปอเมริกา ต่างก็อยากให้พระไปบ้าน บางคนเห็นพระถึงกับร้องไห้ ปล่อยโฮออกมาเลย จนในที่สุด ทั้งสมเด็จวัดปากน้ำ ทั้งเจ้าคุณประยุทธ์ที่ไปด้วย ต้องแยกกันไปคนละที่ เพราะไม่ทันเวลา ต่างองค์ต่างไปสวดมนต์บ้านโยม สวดองค์เดียว บางวันสวดมนต์ตั้งแต่เช้าจนค่ำ เรื่องปัจจัยที่เขาถวายมา ไปรัฐไหนก็จะมอบไว้ที่รัฐนั้น เพราะเขามีสมาคมของเขา และก็จะแนะนำเขาให้หาวิธีที่จะให้มีวัดเสมอไป
__________________
มารใช้ คนทุกคน ของทุกชิ้น สัตว์ทุกตัว เป็นเครื่องมือในการขวางเรา โดยเฉพาะคนที่เรารักมากที่สุด (-/\-) (-/\-) (-/\-) แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย ตัวเล็ก : 07-10-2009 เมื่อ 01:02 |
สมาชิก 75 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ตัวเล็ก ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
Tags |
เย็นหิมะในรอยธรรม, วัดสระเกศ, สมเด็จพุฒาจารย์ |
ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน ) | |
|
|