กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะพระอาจารย์ > พระครูวิลาศกาญจนธรรม (หลวงพ่อเล็ก สุธมฺมปญฺโญ) > เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน > เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน ปี ๒๕๖๖ > เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน เดือนธันวาคม ๒๕๖๖

Notices

ตอบ
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #1  
เก่า 01-12-2023, 20:05
พิชวัฒน์'s Avatar
พิชวัฒน์ พิชวัฒน์ is offline
สมาชิก - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Aug 2014
ข้อความ: 346
ได้ให้อนุโมทนา: 3,307
ได้รับอนุโมทนา 18,901 ครั้ง ใน 824 โพสต์
พิชวัฒน์ is on a distinguished road
Default เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันศุกร์ที่ ๑ ธันวาคม ๒๕๖๖

เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันศุกร์ที่ ๑ ธันวาคม ๒๕๖๖


ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 38 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ พิชวัฒน์ ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #2  
เก่า 02-12-2023, 00:22
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,667
ได้ให้อนุโมทนา: 152,012
ได้รับอนุโมทนา 4,416,501 ครั้ง ใน 34,257 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

วันนี้ตรงกับวันศุกร์ที่ ๑ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๖๖ ช่วงเช้า กระผม/อาตมภาพตรวจงานบูรณปฏิสังขรณ์อุโบสถวัดราษฎร์ประชุมชนาราม หรือว่าวัดท่ามะขาม หลังจากนั้นก็เดินทางไปร่วมพิธีเปิดการสอบนักธรรมชั้นโท - ชั้นเอก (สนามหลวง) ประจำปี ๒๕๖๖ ที่สนามสอบที่ ๑ วัดไชยชุมพลชนะสงคราม (พระอารามหลวง)

วันนี้ถ้าหากว่าเป็นนักธรรมชั้นโท วิชาที่ออกก็คืออนุพุทธประวัติ ถ้าเป็นนักธรรมชั้นเอก ก็เป็นพุทธานุพุทธประวัติ ซึ่งจะต่างจากสมัยที่กระผม/อาตมภาพเรียนอยู่ ก็คือในส่วนของนักธรรมชั้นโทเป็นอนุพุทธประวัติ แต่ว่านักธรรมชั้นเอกเป็นเตรสสาวิกา ก็คือภิกษุณีผู้ใหญ่ ๑๓ รูป แต่ว่ามีอยู่ปีหนึ่งที่สอบ มาออกเนื้อหาของนักธรรมชั้นตรีก็คือพุทธประวัติเบื้องต้น กระผม/อาตมภาพยกมือประท้วงกรรมการคุมสอบว่า "นี่เป็นข้อสอบของนักธรรมชั้นตรี ไม่ใช่ชั้นเอก"

กรรมการคุมสอบให้เหตุผลว่า "ในเมื่อท่านเรียนผ่านมาแล้ว เขาย่อมมีสิทธิ์ที่จะออกได้" จึงมีการไปปรับปรุงกันใหม่ในกองธรรมสนามหลวง เปลี่ยนชื่อจากเตรสสาวิกามาเป็นพุทธานุพุทธประวัติ ก็คือประวัติของพระพุทธเจ้าและอนุพุทธะ คือพระอรหันต์ ซึ่งรวมทั้งอสีติมหาสาวก ก็คือพระอรหันต์ผู้ใหญ่ ๘๐ รูป และเตรสสาวิกา ก็คือภิกษุณีอรหันต์อีก ๑๓ รูป เข้าไว้ด้วยกัน

จะว่าไปแล้ว กระผม/อาตมภาพเป็นต้นบัญญัติสารพัดเรื่อง แม้กระทั่งการสอบที่เขากำหนดเอาไว้ว่านักธรรมชั้นตรี อย่างน้อยต้องอยู่ในห้องสอบ ๑ ชั่วโมงขึ้นไป นักธรรมชั้นโท - ชั้นเอก อย่างน้อยต้องอยู่ในห้องสอบ ๒ ชั่วโมงขึ้นไป ก็เกิดจากกระผม/อาตมภาพเอง เพราะว่าไม่ว่าจะเป็นการสอบนักธรรมชั้นนวกภูมิ ซึ่งสมัยนี้ไม่มีแล้ว นักธรรมชั้นตรี นักธรรมชั้นโท นักธรรมชั้นเอก จะวิชาไหนก็ตาม กระผม/อาตมภาพไม่เคยใช้เวลาเกิน ๑๕ นาที แม้แต่การเขียนกระทู้..!

การที่กรรมการสอบท่านเห็นว่า การที่บุคคลผู้หนึ่งทำได้เร็วขนาดนั้น แล้วส่งใบตอบพร้อมกับออกจากห้องสอบไปเลย เป็นการทำลายกำลังใจของผู้ที่เหลืออยู่ทั้งหมด จึงทำการกำหนดระยะเวลาในการที่ต้องอยู่ในห้องสอบด้วย แต่น่าเสียดายว่ากระผม/อาตมภาพจบไปแล้ว..!
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 02-12-2023 เมื่อ 01:48
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 27 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #3  
เก่า 02-12-2023, 00:26
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,667
ได้ให้อนุโมทนา: 152,012
ได้รับอนุโมทนา 4,416,501 ครั้ง ใน 34,257 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

วันนี้ขณะที่กำลังรอเวลาฉันเพล ก็ได้ยินนักเรียนนักธรรมชั้นโทของวัดท่าขนุน มีท่านจิตร (พระจิตติพัฒน์ อินฺทปญฺโญ) เป็นต้น เดินท่องธัมมุทเทส ๔ ประการมา ได้บ้างไม่ได้บ้าง กระผม/อาตมภาพก็เลยท่องย้อนให้ฟังรอบหนึ่ง ปรากฏว่าวันนี้ออกเป็นข้อสอบจริง ๆ

ธัมมุทเทส ๔ ประการ ข้อที่ ๑ โลกคือหมู่สัตว์ อันชรานำไปไม่ยั่งยืน ก็คือไม่ว่าจะคน จะสัตว์ วัตถุธาตุ สิ่งของ ก้าวไปหาความแก่ ความเก่า ความเสื่อมทั้งหมด

ข้อที่ ๒ โลกคือหมู่สัตว์ ไม่มีผู้ป้องกัน ไม่เป็นใหญ่เฉพาะตน ก็คือต้องอาศัยพึ่งพิงคนอื่นเสมอ เป็นเด็กก็พึ่งพิงผู้ใหญ่ เป็นคนแก่ก็พึ่งพิงหนุ่มสาว ต่อให้เป็นเจ้าพระยามหากษัตริย์ก็ต้องพึ่งพิงเสวกามาตย์ต่าง ๆ พูดง่าย ๆ ก็คือโลกนี้มีแต่ความไร้สาระ ไม่สามารถที่จะยืนหยัด
ได้ด้วยตนเอง

ข้อที่ ๓ โลกคือหมู่สัตว์ ไม่มีอะไรเป็นของตน จำต้องละในสิ่งทั้งปวง ก็คือแม้แต่ร่างกายนี้ก็ยึดถือมั่นหมายไม่ได้ ท้ายที่สุดก็ต้องสละละทิ้งไปหมด เพราะฉะนั้น..สิ่งอื่นทั้งหมดล้วนแล้วแต่เป็นสมบัตินอกกาย นอกเสียจากบุญกุศลที่เราได้สร้างเอาไว้ ซึ่งถ้ายังเวียนว่ายตายเกิดอยู่ ก็ติดตัวข้ามชาติข้ามภพไป นอกนั้นแล้ว อย่างอื่นทั้งหมดล้วนแล้วแต่ต้องทิ้งไว้กับชาตินั้น ภพนั้น กายสังขารนั้น ๆ

ข้อสุดท้าย โลกคือหมู่สัตว์ พร่องอยู่เป็นนิจ ไม่รู้จักอิ่ม เป็นทาสแห่งตัณหา ก็คือทุกคนมีความอยาก ต่อให้บอกว่าไม่อยาก ก็เป็นความอยาก ไม่อยากแก่ คืออยากจะไม่แก่ ไม่อยากเจ็บ คืออยากจะไม่เจ็บ ไม่อยากตาย คืออยากจะไม่ตาย ในเมื่อเป็นเช่นนั้น โลกเราจึงเป็นสิ่งที่เติมเท่าไรไม่รู้จักเต็ม เพราะว่ากำลังใจของเรายังไม่รู้จักคำว่าพอ

ดังนั้น..จะว่าไปแล้ว ในเรื่องของการเรียนทุกอย่าง ถ้าหากว่าเราเรียนแล้ว รู้จักนำมาใช้ในชีวิตประจำวัน ก็จะเป็นคุณเป็นประโยชน์แก่ตัวเราเป็นอย่างยิ่ง ก็คือเรียนในลักษณะของนิสรณัตถปริยัติ เรียนเพื่อความหลุดพ้น หรือถ้าไปไม่ถึงระดับนั้น ก็เรียนในลักษณะภัณฑาคาริกปริยัติ เรียนแบบคลังเก็บความรู้ เพื่อรอบอกต่อ สอนต่อ แก่คนอื่นให้รู้ตาม เผื่อเขาจะมีความสามารถไปใช้งานจริงได้
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 02-12-2023 เมื่อ 01:51
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 28 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #4  
เก่า 02-12-2023, 00:29
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,667
ได้ให้อนุโมทนา: 152,012
ได้รับอนุโมทนา 4,416,501 ครั้ง ใน 34,257 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

แต่ถ้าเรียนแบบอลคัททูปมปริยัติ ก็คือเรียนแบบจับงูข้างหาง นอกจากไม่รู้จริงแล้วยังเอาไปใช้ผิด ๆ อย่างที่กระผม/อาตมภาพต้องคอยมาตามแก้ให้มาโดยตลอด ของผู้รู้บางคนที่ได้กล่าวเอาไว้บางเรื่อง อย่างเช่นว่าการบวชหน้าไฟ ไม่ได้บุญไม่ได้กุศลอะไร ผู้บวชก็ตกนรกอีกต่างหาก..!

นั่นก็คือทิฏฐิ ความเห็นเฉพาะของเขา โดยที่มองไม่เห็นว่าสิ่งที่โบราณาจารย์ท่านได้วางแนวเอาไว้นั้น เกิดบุญเกิดกุศลในลักษณะอย่างไรบ้าง ในเมื่อจับงูข้างหาง ท้ายที่สุดก็โดนงูขบกัด บาดเจ็บล้มตาย ถึงแม้ว่าในชีวิตนี้อาจจะไม่ได้เห็น แต่ถ้าตายเมื่อไร อย่างน้อยมีอเวจีเป็นที่ไป เรื่องของการศึกษาจึงเป็นเรื่องที่สำคัญมาก ว่าศึกษาอย่างไรที่จะให้เรารู้จริง และนำไปใช้งานได้

เมื่อทำพิธีเปิดการสอบเรียบร้อย กระผม/อาตมภาพได้ข้ามไปเยี่ยมห้องสอบนักธรรมชั้นเอก ปรากฏว่ามีข้อสอบของนักธรรมชั้นโทออกมาจริง ๆ ก็คือให้บอกว่าพระเถระเหล่านี้เป็นเอตทัคคะ คือมีความยอดเยี่ยมทางใดบ้าง

๑ พระมหากัสสปเถระ นึกออกไหม ?

๒ พระโสณกุฏฏิกัณณเถระ

๓ พระมหากัจจายนเถระ

๔ พระราหุลเถระ

ตายสนิท..ส่วนใหญ่พวกเราเรียนผ่านไปแล้วก็ลืม..!

พระมหากัสสปะเป็นพระเถระผู้เลิศในทางธุดงควัตร แม้พระพุทธเจ้าจะตรัสว่า "ดูก่อนกัสสปะ...เธอก็อายุมากแล้ว ควรที่จะอยู่พักผ่อนกับที่ เป็นเพื่อนของตถาคตที่แก่ชราพอกันด้วยเถิด"

พระมหากัสสปะก็ยังกราบทูลขอร้องว่า ขอธุดงค์ต่อไป แม้ว่าจะอายุเป็นร้อยปีแล้ว โดยให้เหตุผลว่าท่านเองหมดกิเลสแล้ว ไม่จำเป็นต้องออกธุดงค์ก็ได้ แต่ให้คนรุ่นหลังได้เห็นเนติ คือแบบอย่างของพระเถระในอดีตกาล ว่าท่านเคร่งครัดในการปฏิบัติธุดงควัตรแบบนี้ แล้วจะได้ยึดถือเป็นแบบอย่างในการปฏิบัติตาม
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 02-12-2023 เมื่อ 01:54
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 28 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #5  
เก่า 02-12-2023, 00:31
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,667
ได้ให้อนุโมทนา: 152,012
ได้รับอนุโมทนา 4,416,501 ครั้ง ใน 34,257 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระโสณกุฏิกัณณเถระ เป็นผู้เลิศในการแสดงธรรมด้วยเสียงอันไพเราะ ถ้าเป็นสมัยนี้ก็คงน่าจะประมาณบรรดานักเทศน์ธรรมาสน์ทองต่าง ๆ

พระมหากัจจายนเถระ เป็นผู้เลิศในการแสดงธรรมที่ย่อให้พิสดาร ก็คือขยายความได้สุดยอดมาก สมมติพระพุทธเจ้าพูดว่า "บุคคลควรที่จะปฏิบัติธรรมของผู้ตื่นอยู่" บรรดาผู้ได้รับฟังเข้าใจ แต่เป็นการเข้าใจเพียงผิวเผินเท่านั้น

เมื่อไปสอบถามพระมหากัจจายนเถระ ท่านก็อธิบายขยายความให้ว่าธรรมของผู้ตื่นมีอะไรบ้าง เมื่อพระอานนท์ได้ยิน จดจำแล้ว นำมาทูลถามองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ท่านก็ประทานสาธุการให้ว่า ถ้าให้พระองค์ท่านอธิบาย ก็แบบเดียวกับที่พระมหากัจจายนเถระอธิบาย

ดังนั้น..เราจะเห็นว่าในพระไตรปิฎก มีพระสูตรที่เป็นธรรมของพระเถระอยู่ด้วย ก็คือพระมหากัจจายนเถระ อย่างเช่น ภัทเทกรัตตสูตร เป็นต้น ที่พวกเราเพิ่งจะสวดกันไปเมื่อตอนทำวัตรค่ำรอบแรก

อตีตัง นานวาคะเมยยะ นัปปฏิกังเข อนาคะตัง บุคคลไม่ควรหวนหาอาลัยในอดีต และไปฟุ้งซ่านถึงในอนาคต

ปัจจุปันนัญ จะ โยธัมมัง ตัตถะ ตัตถะ วิปัสสะติ ต้องอยู่กับปัจจุบันนี้เท่านั้น จึงจะสามารถรู้แจ้งเห็นจริงได้

เปรียบเหมือนกับการขึ้นรถยนต์ อดีตเป็นรถยนต์ที่ออกจากท่าไปแล้ว เราขึ้นไม่ได้ คร่ำครวญหวนหาไปก็ไร้ประโยชน์ รถออกไปเนิ่นนานแล้ว อนาคตเป็นรถยนต์ที่ยังมาไม่ถึง เราก็ขึ้นไม่ได้เหมือนกัน ต่อให้ฟุ้งซ่านคิดว่า รถจะดีแบบนั้น จะเย็นแบบนี้ นั่งแล้วนุ่มสบาย ไปสัก ๗ - ๘ ชั่วโมง ก็ไม่เมื่อยไม่ขบ ก็ได้แต่ฟุ้งไป เพราะว่ารถยังไม่มา ใช่หรือไม่ใช่ก็ไม่รู้ ก็ต้องขึ้นรถคันที่จอดอยู่กับท่า คือปัจจุบันนี้เท่านั้น

เอากำลังใจของเราอยู่กับลมหายใจเข้าออกปัจจุบัน ไม่ฟุ้งไปในอดีต ไม่ฟุ้งไปในอนาคต จะตัดความทุกข์ไปได้มหาศาล เพราะว่าคนเราส่วนใหญ่ทุกข์เพราะความคิดของตัวเอง..!
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 02-12-2023 เมื่อ 01:56
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 30 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #6  
เก่า 02-12-2023, 00:36
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,667
ได้ให้อนุโมทนา: 152,012
ได้รับอนุโมทนา 4,416,501 ครั้ง ใน 34,257 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ส่วนพระราหุลเถระเป็นเอตทัคคะทางผู้ใคร่ในการศึกษา ลืมไปแล้วใช่ไหม ? พอกระผม/อาตมภาพพูดเรื่องหนึ่ง พวกเราก็ตามไปเรื่องหนึ่ง ลืมไปแล้วว่าพูดเรื่องอะไรบ้าง ? ยังมีพระราหุลอีก ๑ ท่าน

พระราหุลเป็นผู้ใคร่ในการศึกษา คืออยากเรียนรู้ไปทุกอย่าง เช้า ๆ ลงไปล้างหน้าข้างแม่น้ำ ก็เอามือกอบทรายขึ้นมา ตั้งใจอธิษฐานว่า วันนี้ขอให้ได้รับความรู้ ได้รับหลักธรรมจากพระเถระ ครูบาอาจารย์ หรือองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มากเท่าเม็ดทรายในกอบนี้

สรุปว่า วันนี้พูดเกิน
เวลาไปเยอะแล้ว ทั้ง ๆ ที่เพิ่งจะเอ่ยถึงนักธรรมโทได้แค่ ๑ ข้อ นักธรรมเอกได้ ๑ ข้อเท่านั้น แต่เขาออกสอบอย่างละ ๑๐ ข้อ..!

สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายแก่พระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้

พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
วันศุก์ที่ ๑ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๖๖
(ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 02-12-2023 เมื่อ 01:58
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 35 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
ตอบ


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 03:10



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว