#1
|
||||
|
||||
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันศุกร์ที่ ๕ สิงหาคม ๒๕๖๕
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันศุกร์ที่ ๕ สิงหาคม ๒๕๖๕
__________________
มารใช้ คนทุกคน ของทุกชิ้น สัตว์ทุกตัว เป็นเครื่องมือในการขวางเรา โดยเฉพาะคนที่เรารักมากที่สุด (-/\-) (-/\-) (-/\-) |
สมาชิก 40 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ตัวเล็ก ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#2
|
||||
|
||||
วันนี้ตรงกับวันศุกร์ที่ ๕ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๖๕ กระผม/อาตมภาพไปตรวจเยี่ยมดูการจัดสถานที่สำหรับอบรมพระนวกะ ในเขตปกครองคณะสงฆ์อำเภอทองผาภูมิที่วัดปากลำปิล็อก หมู่ที่ ๒ ตำบลห้วยเขย่ง อำเภอทองผาภูมิ จังหวัดกาญจนบุรีมา คราวนี้ในส่วนที่ขอแสดงความชื่นชมก็คือว่า เลขาฯ บอส (พระสมุห์ณัฐพสิษฐ์ ปญฺญาคโม) นำเอาพรรคพวกเพื่อนฝูงจากวัดท่าขนุนหลายรูป ไปช่วยกันจัดสถานที่และทำความสะอาดวัดปากลำปิล็อก
ตรงจุดนี้ท่านทั้งหลายส่วนหนึ่งอาจจะเคยชินว่า รอให้กระผม/อาตมภาพสั่งงานแล้วถึงทำ ขอร้องว่าอย่าทำตัวแบบนั้น ท่านทั้งหลายจะสังเกตเห็นว่า กระผม/อาตมภาพนั้น ปล่อยให้ทุกคนทำหน้าที่อย่างเต็มที่ ใครเห็นว่ามีอะไรดี สามารถนำเสนอได้ ถ้ายังไม่ดีพอในสายตาของกระผม/อาตมภาพ ก็จะทำการทักท้วง ปรับเปลี่ยน บางโครงการยังไม่เหมาะสมกับระยะเวลาก็ให้ชะลอเอาไว้ก่อน เหตุที่เป็นเช่นนั้น เพราะว่าจากประสบการณ์ที่บวชมา ๓๗ ปี พบเห็นมาเยอะมากว่าวัดวาอารามทั่วไป ถึงเวลาสิ้นหลวงพ่อเจ้าอาวาส วัดก็โทรมทันตาเลย เพราะว่าไม่มีใครรับผิดชอบงานได้ แต่กระผม/อาตมภาพจัดระบบงานอยู่ในลักษณะที่ว่า ให้พวกท่านทั้งหลายบริหารกันเองเป็นส่วนใหญ่ โดยคอยดูแลอยู่ห่าง ๆ ถ้าลักษณะอย่างนี้ ต่อให้กระผม/อาตมภาพมรณภาพลงอย่างกะทันหัน วัดเราก็จะสามารถไปต่อได้ ดังนั้น...เรื่องพวกนี้ เราต้องกล้าคิด กล้าพูด กล้าทำ ไม่ใช่รอแต่นโยบายหรือรอให้สั่งงานอย่างเดียว พวกเราไม่ใช่หุ่นยนต์ ทุกสิ่งที่จะทำ อันดับแรกเลย ให้ยึดกรอบพระธรรมวินัยไว้ก่อน ถ้าไม่ผิดพระธรรมวินัย ก็พิจารณาต่อไปว่าเป็นประโยชน์ต่อวัดวาอาราม หรือว่าคณะสงฆ์ส่วนรวมหรือไม่ อย่าไปยึดติดว่าต้องเป็นวัดท่าขนุนเท่านั้น ท่านทั้งหลายจะเห็นว่ากระผม/อาตมภาพช่วยเขาทั่วประเทศ เพราะว่าสิ่งที่ทำทั้งหมด ก็เพื่อความเจริญของพระพุทธศาสนา อย่าทำตัวเป็นคนสายตาคับแคบ มองแค่ตัวเอง หรือว่ากว้างขึ้นไปหน่อยก็มองแค่วัดตัวเอง จุดที่อยากจะให้มองแคบที่สุดก็คือ อย่างน้อยต้องมองถึงคณะสงฆ์อำเภอทองผาภูมิ หลังจากนั้นก็เป็น คณะสงฆ์จังหวัดกาญจนบุรี คณะสงฆ์ภาค ๑๔ คณะสงฆ์หนกลาง แล้วก็คณะสงฆ์ไทย หลังจากนั้นแล้วค่อยมองไปทั่วโลก ก็แปลว่าต่ำสุด ควรที่จะมองอย่างน้อยก็เป็นเรื่องของคณะสงฆ์อำเภอ ไม่ใช่มองแค่วัดตัวเอง หรือว่ามองแค่ตำบลตัวเองเท่านั้น เรื่องพวกนี้ บรรดานักเรียนทั้งหลายก็เหมือนกัน ก่อนหน้านี้ พวกเรายังไม่มีโครงการก็เข้าวัดกันน้อย แต่คราวนี้ถ้าหากว่าอย่างของทางโรงเรียนอนุบาลทองผาภูมิ ตั้งแต่รุ่นท่านผู้อำนวยการสนิท ทรัพย์วารี เป็นต้นมา ปัจจุบันนี้มาถึงท่านผู้อำนวยการศราวุฒิ วงษ์เอก นั่นเป็นโรงเรียนวิถีพุทธ ทำโครงการต่าง ๆ ร่วมกับวัด ถือว่าทำตามหน้าที่ แม้ว่าปัจจุบันนี้จะมีโครงการนำนักเรียนเข้าโครงการทุกวันพระ ก็ยังถือว่าทำตามหน้าที่ของโรงเรียนวิถีพุทธ เพราะว่าถ้าไม่ทำ ก็อาจจะไม่ผ่านการประเมิน
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 06-08-2022 เมื่อ 09:31 |
สมาชิก 35 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#3
|
||||
|
||||
แต่โรงเรียนทองผาภูมิวิทยาของเรา ภายใต้การนำของท่านผู้อำนวยการยงยุทธ สงพะโยม ทำโครงการนำนักเรียนบ้านไกลที่อยู่ในหอพัก เข้าวัดทุกวันพระ นี่ต้องถือว่ามีเจตนาดีต่อเด็กทุกคน แต่คราวนี้พวกเราส่วนใหญ่แล้วอยู่ในช่วงวัยรุ่น บางทีอาจจะยังไม่เห็นเจตนาดีของครูบาอาจารย์ รู้สึกว่าเวลาที่ควรพักผ่อน ทำไมต้องมาอยู่วัด ? ทำไมต้องมาปฏิบัติธรรม ? ทำไมต้องมาสวดมนต์ทำวัตร ? ทำไมต้องมาฟังเทศน์ที่น่าเบื่อ ?
ถ้าหากว่านักเรียนทุกคนดูตัวอย่างหลวงพ่อเอง ตั้งแต่เรียนชั้นประถมมายันปริญญาเอก แทบจะไม่เคยพลาดจากที่ ๑ เลย เพราะว่ามีพื้นฐานมาตั้งแต่เด็ก เพิ่งจะรู้ภาษา พ่อก็นำสวดมนต์ไหว้พระทุกวัน ไปโรงเรียนเริ่มเข้าชั้น ป.๑ สวดมนต์ไหว้พระได้ ครูก็ให้เป็นหัวหน้าชั้นเรียน สมัยนั้นโรงเรียนแรกที่เข้ามีถึงแค่ชั้นประถมปีที่ ๔ พอถึงชั้นประถมปีที่ ๓ หลวงพ่อก็เป็นประธานนักเรียนแล้ว ต้องช่วยครูดูแลเพื่อนทั้งโรงเรียน..! เหตุที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่า หลวงพ่อฝึกฝนการสวดมนต์ ไหว้พระ ทำสมาธิภาวนามาตั้งแต่เด็ก ถึงได้มีกำลังใจที่จะแบกงาน ที่จะสู้งานระดับนั้นได้ และโดยเฉพาะการเรียน ไม่เคยตกเลย ถ้าไม่ได้ที่ ๑ นี่จะเป็นเรื่องที่แปลกมาก เรื่องที่พวกเรามาทำกันทุกวันพระ ทีละเล็กทีละน้อย พอรวมกันเหมือนน้ำทีละหยด รวมแล้วก็กลายเป็นลำห้วยลำธาร ก่อประโยชน์ให้กับหมู่คณะได้มาก คราวนี้รุ่นของพวกเราต้องบอกว่าอยู่ในช่วงยากลำบาก เพราะว่ากระแสสังคมนิยมการบริโภค พ่อแม่ไม่มีเวลาทำตัวเป็นตัวอย่าง ก็ต้องให้คุณครูนำเข้าวัด อย่าลืมว่าแม่คือ ๑ พ่อคือ ๒ ครูที่ ๓ พระคุณที่สามงดงามแจ่มใส แต่ว่าใครหนอใคร เปรียบเปรยครูไว้ว่าเป็นเรือจ้าง น่าเศร้าใจนะ..! ในเมื่อสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ คุณครูเห็นประโยชน์ แล้วก็ทำเพื่อพวกเรา ทำอย่างไรที่พวกเราจะได้รับประโยชน์นั้นอย่างแท้จริง ? เรื่องของบุญ เรื่องของกุศล สร้างผลให้เราในด้านดีอย่างเดียวเท่านั้น แต่ไอ้ที่ดีบ้าง ชั่วบ้าง เพราะว่าพวกเราไปทำทั้งบุญทั้งบาปผสมปนเปกันไป ในเมื่อเป็นเช่นนั้น มีวิธีทางใดบ้างที่พวกเราจะสร้างบุญให้ต่อเนื่องกันได้ ?
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 06-08-2022 เมื่อ 02:12 |
สมาชิก 35 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#4
|
||||
|
||||
ตรงจุดนี้ อยากให้ดูตัวอย่างพี่น้องมอญพม่า ทุกคนเข้าวัดทำบุญ เหมือนกับที่พวกเราไปเดินห้าง ไปเที่ยวคาราโอเกะ ที่เที่ยวของเขาคือวัด ไปกันเป็นปกติ เพราะว่าพ่อแม่นำไป ถ้าสังเกตที่วัดท่าขนุนแห่งนี้ เราจะเห็นว่าเวลามีงาน ไอ้ตัวเล็กเพิ่งจะ ๓ วัน ๗ วัน ตัวยังแดง ๆ ลืมตายังไม่ขึ้น พ่อแม่เอาห่อผ้าอุ้มมาวัดแล้ว ไอ้ที่ยังต้องอุ้มอยู่ก็มี ไอ้ที่ต้องจูงก็มี จนกระทั่งไปถึงเด็กโตหน่อย ไปถึงวัยรุ่น ไปถึงหนุ่มสาว ไปถึงวัยกลางคน ไปถึงคนแก่ คนทุกระดับอายุเข้าวัดกันหมด ก็มีตัวอย่างให้พวกลูกหลานดูแล้วก็ทำตาม
คราวนี้รุ่นของพวกเราไม่มีตัวอย่าง ถ้าเป็นคนไทย พ่อแม่น้อยคนที่จะพาเข้าวัด ต้องบอกว่าเสียชาติเกิดมากเลย..! เราต้องดิ้นรนขวนขวายมาด้วยตัวเอง หรือว่าต้องรอคุณครูพาเข้าวัด มาแล้วได้อะไรก็ยังไม่รู้ ? อย่าลืมว่าทุกวันเราฟุ้งซ่านอยู่กับ รัก โลภ โกรธ หลง บางทีก็ทำผิดศีล ๕ เป็นปกติ มาวัดถึงอยากจะทำผิดก็ทำไม่ได้ เพราะอยู่ในวัด ก็แปลว่าเราบังคับกายได้แล้ว จะด่าเพื่อน จะโกหก ก็ยากอีก เพราะว่าอยู่ในวัด ต้องเกรงใจพระ เราก็คุมวาจาได้อีกอย่างหนึ่ง ต่อให้ใจเราคิดชั่ว อยากจะทำโน่นทำนี่แบบชั่ว ๆ บ้างก็ช่างมัน กาย วาจา ใจ ๓ ส่วน เราชนะไปแล้ว ๒ ตรงนี้แหละที่เป็นบุญเป็นกุศล เว้นการทำชั่วด้วยกาย เว้นการทำชั่วด้วยวาจา พยายามขัดเกลาใจตัวเอง เรื่องพวกนี้เป็นบุญใหญ่มาก ถ้าเอาการทำบุญหลัก ๆ ในพระพุทธศาสนาคือการให้ทาน รักษาศีล เจริญภาวนา ของพวกเราอยู่ในระดับศีลและภาวนา เพราะว่าต้องบังคับกาย วาจาให้เรียบร้อย นี่ถือว่าอยู่ในระดับของศีล ต้องอยู่ในกฎ อยู่ในระเบียบ ถึงเวลาต้องสวดมนต์ ต้องฟังเทศน์ นี่เป็นส่วนของสมาธิ ถ้าสมาธิไม่ดี เผลอมองอย่างอื่น เผลอคิดอย่างอื่น ก็สวดมนต์ผิดอีก ก็แปลว่าพวกเรามีศีล มีสมาธิ โดยที่จะตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็ตาม แต่สิ่งทั้งหมดนี้เมื่อรวมกันมากเข้าแล้ว ต่อไปถ้าจำเป็นต้องไปแข่งขันกันในการดำเนินชีวิต ผลบุญตรงนี้จะช่วยให้เรามีความสะดวกและคล่องตัวกว่าคนอื่นเขา บางคนเขาบอกว่า "ดวงดี" บางคนพูดตรง ๆ ว่า "บุญดี" ดวงดีอย่างเช่นว่าสมัครงานแล้ว ผ่านสัมภาษณ์เข้าทำงานได้เลย บอกว่าบุญดี ทำงานที่ไหนเจ้านายรัก เพื่อนฝูงรัก นี่ไม่ใช่เรื่องของดวงดี แต่เป็นเรื่องของบุญดี
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 06-08-2022 เมื่อ 02:16 |
สมาชิก 33 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#5
|
||||
|
||||
บุญส่งผลให้เราในด้านดีเสมอ จนพระพุทธเจ้าตรัสว่า สุโข ปุญฺญสฺส อุจฺจโย การสั่งสมบุญย่อมนำมาซึ่งความสุข เพียงแต่ว่าถ้ายังน้อยอยู่ ก็ต้องพากเพียรพยายาม เหมือนกับเราทำงานเก็บเงิน กว่าที่จะมีฐานะดีพอที่จะซื้อหาสิ่งที่เราต้องการได้อย่างใจทุกอย่าง ก็ต้องเพียรพยายามอยู่หลายปี หรือว่าหลายสิบปี แต่ถ้าหากว่าเรามีความพยายามมาก สั่งสมบุญได้มาก ก็เหมือนกับคนขยันทำงานมาก เก็บเงินได้มาก เราก็จะสบายเร็วกว่าคนอื่นเขา การดำเนินชีวิตของเราก็จะไม่ยากเหมือนกับคนอื่นเขา
ดังนั้น...ในส่วนนี้ ถ้าหากว่านักเรียนทั้งหลายเห็นประโยชน์ ก็ไม่ต้องรอครูพามา วัดท่าขนุนเปิดอยู่ตลอดเวลา วัดนี้ไม่มีประตู พวกเราจะสังเกตว่าซุ้มประตูก็มีไว้เฉย ๆ ไม่มีบานประตู สามารถเข้าวัดได้ทุกทิศทุกทาง จะเข้ามาเวลาไหนให้ระวังหมาหน่อยก็แล้วกัน ตรงนี้อย่ารอให้ครูหรือพ่อแม่นำแล้วเราค่อยเข้าวัด หลวงพ่อเข้าวัดมาตั้งแต่เด็ก จนป่านนี้ก็ยังอยู่ในวัด ไม่ได้ไปไหน แล้วทุกสิ่งทุกอย่างที่ทำ ก็สะดวกสบายง่ายดายกว่าคนอื่นเขา จนกระทั่งมีคนมาขอความช่วยเหลือทั่วประเทศ ก็เพราะเรื่องของบุญที่สร้างสมมาตั้งแต่เด็ก ๆ และทำมาอย่างจริงจังสม่ำเสมอ สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมทั้งหลายที่ฟังอยู่แต่เพียงเท่านี้ พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร. เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันศุกร์ที่ ๕ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๖๕ (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 06-08-2022 เมื่อ 02:18 |
สมาชิก 40 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน ) | |
|
|