#1
|
||||
|
||||
เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน วันอาทิตย์ที่ ๔ สิงหาคม ๒๕๕๖
ขอให้ทุกคนนั่งในท่าที่ถนัดของตัวเอง เอาความรู้สึกทั้งหมดจดจ่ออยู่ที่ลมหายใจเข้าออก หายใจเข้า..ให้ความรู้สึกทั้งหมดไหลตามลมหายใจเข้าไป หายใจออก..ให้ความรู้สึกทั้งหมดไหลตามลมหายใจออกมา จะใช้คำภาวนาอะไรก็ได้ ที่เรามีความถนัดมาแต่เดิม
วันนี้ตรงกับวันอาทิตย์ที่ ๔ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๕๖ ได้ยินว่ามีการชุมนุมกันเพื่อที่จะขับไล่รัฐบาล ญาติโยมหลายท่านก็อาจจะหนักใจ แต่ความจริงแล้วเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นรอบ ๆ ตัวเราก็ดี เกิดกับตัวเราโดยตรงก็ดี ล้วนแล้วแต่เป็นเครื่องวัดผลในการปฏิบัติของเราทั้งสิ้น ว่าสิ่งที่เราทำมานั้นใช้งานได้จริงหรือไม่ ถ้าสิ่งที่เราทำมาใช้งานได้จริง เราก็ต้องไม่หวั่นไหว ไม่ไหลไปตามเรื่องราวต่าง ๆ เหล่านั้น ถ้าเป็นดังนั้นก็แปลว่าสติ สมาธิ และปัญญาของเราทรงตัวเพียงพอ ถ้าเรายังหวั่นไหวคล้อยตามอยู่ ก็ให้รู้ว่ากำลังของเรายังใช้ไม่ได้ ต้องพยายามที่จะฝึกหัด โดยเฉพาะการเจริญสมาธิภาวนา เพื่อให้กำลังใจของเราเข้มแข็งกว่านี้ จะได้ทานกระแสโลกได้ บุคคลที่กำลังใจเข้มแข็งแล้ว ถ้ายืนหยัดอยู่ท่ามกลางกระแสโลก ก็เหมือนกับก้อนหินใหญ่กลางสายน้ำ ถึงน้ำมากระทบเท่าไร น้ำก็จะแหวกออกข้างไปเอง หรือเหมือนกับภูเขาที่เป็นแท่งทึบ ย่อมไม่หวั่นไหวไปเพราะแรงลม เป็นต้น ทั้งยังมีสติสัมปชัญญะที่จะแยกแยะออกว่า อะไรเป็นความจริง อะไรเป็นสิ่งที่สมควรทำ ไม่เช่นนั้นเราก็จะไหลไปตามแรงโฆษณาของเขา เขาชักชวนให้ออกไปร่วมประท้วงขับไล่รัฐบาล ด้วยเหตุผลอย่างนั้นอย่างนี้ อย่างในปัจจุบันนี้เขากล่าวหาว่ารัฐบาลโกงกิน ถ้าเราพิจารณาดูก็จะเห็นว่า ยังไม่มีรัฐบาลไหนที่ไม่โกงกิน ถ้าบอกว่าจะประท้วงเพื่อขับไล่ ทำลายระบอบทักษิณ อาตมาเองก็ยังไม่เห็นว่าระบอบทักษิณจะเป็นอันตรายอะไรกับบ้านเมืองของเรา เนื่องเพราะว่าถ้าคุณทักษิณ ชินวัตรยังเป็นนายกรัฐมนตรีอยู่ ป่านนี้อาจจะแพ้เลือกตั้งไปแล้ว เพราะว่าทุกสิ่งที่ทำชาวบ้านเห็นอยู่ ในเมื่อชาวบ้านเห็นอยู่ ถ้าเห็นว่าสิ่งที่เขาทำนั้นไม่ดีต่อประเทศชาติ ไม่ดีต่อตนเองก็จะไม่เลือกหาเข้ามา ดังนั้น..ถ้าเราไม่ชอบใจรัฐบาล สิ่งที่เราควรจะทำก็คือ การเลือกตั้งครั้งต่อไปก็อย่าเลือกบุคคลที่อยู่ในรัฐบาลนี้ เราก็ไปเลือกผู้อื่น อย่างที่บางทีเขาบอกว่า “เลือกคนที่เรารัก เลือกพรรคที่เราชอบ” นั่นจึงจะเป็นวิธีที่ถูกที่ควรตามระบอบประชาธิปไตย แต่ไม่ใช่ออกมาประท้วง สร้างความวุ่นวายให้เกิดขึ้นกับประเทศชาติ เพื่อที่จะยั่วยุให้ทหารออกมาปฏิวัติ การปฏิวัติรัฐประหารเป็นสิ่งที่ทั่วโลกเขาไม่ยอมรับ เพราะเป็นการทำลายระบอบประชาธิปไตยอย่างร้ายแรง ถ้ารัฐบาลทุจริต ก็ให้หาหลักฐานมาอภิปรายในรัฐสภา ถ้าชาวบ้านเขาเห็นด้วย ถึงเราไม่สามารถที่จะใช้เสียงในการโค่นรัฐบาลลงได้ในการอภิปรายในรัฐสภา แต่ครั้งต่อไปชาวบ้านก็จะขาดความไว้วางใจ และไม่เลือกรัฐบาลนั้น ๆ นี่คือการพัฒนาไปตามวิถีของระบอบประชาธิปไตยที่แท้จริง
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 20-09-2013 เมื่อ 19:59 |
สมาชิก 65 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#2
|
||||
|
||||
ดังนั้น..ในการปฏิบัติของเรานั้น ถ้ากำลังใจของเรามั่นคง ไม่หวั่นไหว สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ก็ไม่อาจที่จะสร้างความเครียด ความหวาดกลัว ความมัวหมองให้เกิดขึ้นกับสภาพจิตของเราได้ แต่ถ้ากำลังใจของเราไม่มั่นคง ก็จะหวั่นไหว คล้อยตาม เกิดอารมณ์ร่วม ขอให้ทราบว่า ถ้ากำลังใจหลุดจากอุเบกขาเมื่อไร รัก โลภ โกรธ หลงทุกอย่าง จะประเดประดังเข้ามาทำอันตรายเราได้ทันที
สิ่งที่นักปฏิบัติพึงสังวรไว้ ก็คือ การรักษากำลังใจให้ผ่องใสนั้นเป็นงานที่สำคัญที่สุด ไม่ว่าอะไรเกิดขึ้นก็ตาม สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือรักษากำลังของเราให้ผ่องใสให้ได้ ถ้าสามารถทำอย่างนั้นได้ สิ่งต่าง ๆ ก็ไม่สามารถที่จะทำให้เราหวั่นไหว ไม่สามารถทำให้เราคล้อยตาม เราจะสามารถยกตัวเองขึ้นเหนือกระแส เหนือเหตุการณ์เหล่านั้นได้ แต่ถ้ากำลังใจของเรายังไม่ถึงระดับนี้ เราก็มีหน้าที่ที่ต้องฝึกปรือ สั่งสม อบรม ขัดเกลาตัวเราต่อไป เพื่อการปฏิบัติของเรานั้น จะสามารถนำไปใช้งานจริงในชีวิตประจำวันได้ การใช้งานจริงในชีวิตประจำวัน ก็จะเป็นการพิสูจน์ว่า กำลังใจที่เราปฏิบัติมาเพียงพอแล้วหรือไม่ เนื่องจากว่าแต่ละวันเราต้องพบกับแรงกระทบทั่วไปอยู่เสมอ ดังที่ในบาลีกล่าวว่า ผุฏฐัสสะ โลกะธัมเมหิ จิตตัง ยัสสะ นะ กัมปะติ จิตที่กระทบโลกธรรมแล้ว ไม่หวั่นไหว เอตัมมังคะละมุตตะมัง จัดเป็นอุดมมงคลอย่างยิ่ง ดังนั้น..เป้าหมายที่แท้จริงของเราในการปฏิบัติ ก็คือสามารถขัดเกลาจิตใจของเราให้สะอาด ปราศจากกิเลส มีแต่ความแช่มชื่นเบิกบาน ปราศจากความหวั่นไหวต่อโลกธรรมต่าง ๆ สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ไม่ได้เกินวิสัยของพวกเรา ถ้าพวกเรารู้จักในเรื่องของศีล สมาธิ ปัญญา แปลว่าบารมีที่เราสั่งสมมานั้น เพียงพอที่จะล่วงพ้นจากกองทุกข์ เข้าสู่พระนิพพานได้ ดังนั้น..หน้าที่ของเราในแต่ละวันก็คือ พยายามขัดเกลากำลังใจของตนเองให้ผ่องใส อย่าไหลตามกระแสโลก อย่าไหลตามกระแสกิเลส หลายท่านในชีวิตจำเป็นต้องใช้เงินทองส่วนเกินไปมากต่อมาก เพราะไหลตามกระแสโลก ไหลตามกระแสกิเลสแบบไม่ลืมหูลืมตา แต่ถ้าเราปฏิบัติไปจนกระทั่งไม่หวั่นไหว ไม่เกรงใจ ไม่ไหลตามกระแสโลกแล้ว เราสามารถประหยัดเงินเหล่านั้นไว้ได้เป็นเท่าตัว ๆ ดังนั้น..เรื่องทั้งหลายเหล่านี้ ถ้าเราตั้งหน้าตั้งตาทำไป จะเกิดประโยชน์สุขทั้งปัจจุบัน ก็คือในชาตินี้กำลังของเรามั่นคงไม่หวั่นไหว มีแต่ความสุข ความผ่องใสในใจของเรา ประโยชน์ชาติหน้าคือ กำลังใจที่มั่นคงย่อมพาไปสุคติ และประโยชน์สูงสุดก็คือ ถ้าสามารถชำระจิตใจของตนให้ปราศจากิเลสได้โดยสิ้นเชิง ก็จะล่วงพ้นจากกองทุกข์ เข้าสู่พระนิพพานได้ ขอให้ทุกคนตั้งใจปฏิบัติเพื่อความหลุดพ้น ตามที่ได้ตั้งใจเอาไว้ตั้งแต่แรกเริ่มที่เข้ามาปฏิบัติของทุกคน ลำดับต่อไป ก็ให้ทุกคนตั้งใจภาวนาและพิจารณาตามอัธยาศัย จนกว่าจะได้รับสัญญาณบอกว่าหมดเวลา พระครูวิลาศกาญจนธรรม เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน ณ บ้านวิริยบารมี วันอาทิตย์ที่ ๔ สิงหาคม ๒๕๕๖ (ถอดจากเสียงเป็นอักษรโดยรัตนาวุธ)
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 21-09-2013 เมื่อ 19:23 |
สมาชิก 48 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#3
|
||||
|
||||
สามารถรับชมได้ที่
http://www.sapanboon.com/vdo/demo.ph...ame=2556-08-04 ป.ล. - สามารถชมบนไอโฟนและแอนดรอยด์ได้ - ห้ามคัดลอกไฟล์ไปเผยแพร่ที่อื่นเด็ดขาด ! |
สมาชิก 7 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ชินเชาวน์ ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
สุธรรม (23-02-2014)
|
ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน ) | |
|
|