#1
|
||||
|
||||
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพุธที่ ๑๔ มิถุนายน ๒๕๖๖
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพุธที่ ๑๔ มิถุนายน ๒๕๖๖
|
สมาชิก 38 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ พิชวัฒน์ ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#2
|
||||
|
||||
วันนี้ตรงกับวันพุธที่ ๑๔ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๖๖ ทางวัดท่าขนุนมีธรรมเนียมว่า ทุกวันที่ ๑๔ ของเดือนนอกพรรษา จะเป็นการทำบุญถวายพระครูสุวรรณเสลาภรณ์ (หลวงปู่สาย อคฺควํโส) อดีตเจ้าอาวาสวัดท่าขนุน อดีตเจ้าคณะอำเภอทองผาภูมิ ซึ่งมรณภาพในวันที่ ๑๔ กันยายน พุทธศักราช ๒๕๓๕
ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ทางคณะศิษย์ก็ได้จัดงานทำบุญถวายให้ทุกวันที่ ๑๔ ของเดือน ยกเว้นในช่วงเข้าพรรษา ซึ่งมีการทำบุญทั้งภาคเช้าและภาคค่ำทุกวันพระอยู่แล้ว ก็จะเลือกเอาวันพระที่ใกล้เคียงวันที่ ๑๔ มากที่สุด ทำบุญถวายหลวงปู่สายร่วมกันไปในครั้งเดียว เพื่อที่จะได้ไม่เป็นภาระแก่การจัดการมากนัก ไม่เช่นนั้นแล้วถ้าหากว่ามีการหยุดเพิ่มอีกหนึ่งวัน ญาติโยมที่รอใส่บาตรอยู่ ก็อาจจะรู้สึกไม่ดีขึ้นมาได้ เนื่องเพราะว่าทุกวันนี้ ช่วงเข้าพรรษาทุกวันพระ ทางวัดท่าขนุนเรามีการทำบุญทั้งภาคเช้าและภาคค่ำ ก็แปลว่าเดือนหนึ่งอย่างน้อยก็หยุดไป ๔ วัน แล้วถ้าวัดมีกิจการงานสำคัญอะไรขึ้นมาอีก อย่างเช่นว่าบวงสรวงไหว้ครู เป่ายันต์เกราะเพชร หรือว่างานวันแม่ เป็นต้น ก็จะมีการหยุดบิณฑบาตเพิ่มเติมขึ้นไปอีก ซึ่งญาติโยมทั้งหลายที่มีกำลังใจผูกอยู่กับทานบารมี ก็คือตั้งใจใส่บาตรอยู่ทุกวัน ถ้าหากว่าพระไม่ไปบิณฑบาตก็จะรู้สึกว่าไม่ดี บางท่านถึงขนาดหอบเอาข้าวปลาอาหารมาถวายให้ถึงวัด เนื่องเพราะว่าตั้งใจที่จะทำบุญแล้ว ตรงจุดนี้ ไม่ว่าจะเป็นพระภิกษุ สามเณร แม่ชี หรือว่าฆราวาสที่เป็นคนวัด ต้องตระหนักและสังวรให้ดี ว่าเราทั้งหลายอยู่ได้ด้วยศรัทธาของญาติโยม ถ้าหากว่ามีสิ่งหนึ่งประการใด ที่ทำให้ญาติโยมเสื่อมศรัทธาแล้ว เราอาจจะถึงกับอยู่ไม่ได้ เนื่องจากว่าญาติโยมทั้งหลายไม่มาสนับสนุน ไม่ว่าจะด้วยเรื่องของอาหาร เครื่องนุ่งห่ม ที่อยู่อาศัย ยารักษาโรคประการใดก็ตาม เนื่องเพราะว่านักบวชนั้นไม่ได้มีอาชีพอะไร เพราะว่าองค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้ตรัสเอาไว้ชัดเจนว่า การหาเลี้ยงชีพของพระภิกษุคือการเที่ยวบิณฑบาต ไม่ใช่การบอกใบ้ให้หวย ไม่ใช่การครอบครูให้กับญาติโยม ไม่ได้ไปทำการเสริมดวง เหล่านั้นเป็นต้น ซึ่งสิ่งทั้งหลายเหล่านั้น กลับเป็นสิ่งที่ญาติโยมผู้ซึ่งมักง่าย นิยมกันเป็นอย่างมาก ถ้าหากว่าให้เสริมดวงด้วยการ ให้ทาน รักษาศีล เจริญภาวนา ทุกคนก็จะมีข้ออ้างว่า ไม่มีเวลาบ้าง ยากเกินไปบ้าง แต่พอถึงเวลามีการเจิมหน้าผาก มีการเขียนต่อลายมือ มีการลงนะหน้าทอง หรือว่าอะไรก็ตาม พวกเราก็แห่กันไปทำเป็นการใหญ่
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 15-06-2023 เมื่อ 01:19 |
สมาชิก 29 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#3
|
||||
|
||||
เรื่องทั้งหลายเหล่านี้จะว่าไปแล้ว เป็นแค่การเพิ่มกำลังใจให้เราเท่านั้น เนื่องเพราะว่าการที่สิ่งหนึ่งประการใดในชีวิตของเราไม่ราบรื่น เกิดจากกรรมเก่าที่เราได้กระทำเอาไว้มาขัดขวางอย่างหนึ่ง เกิดจากบุญเก่า ตลอดจนกระทั่งบุญใหม่ที่เราสร้างเสริมมา ยังไม่เพียงพออีกอย่างหนึ่ง จึงทำให้สิ่งที่เราหวังเราปรารถนาไม่สามารถที่จะเกิดขึ้นมาได้ เหมือนอย่างกับเราต้องการสิ่งของชิ้นหนึ่ง แต่มีเงินไม่เพียงพอที่จะซื้อ เราก็ไม่สามารถที่จะซื้อหาสิ่งของชิ้นนั้นมาได้ จำเป็นอย่างยิ่งที่เราจะต้องเร่งหาเงินเพิ่ม
ในเรื่องของบุญกุศลก็เช่นกัน ถ้าเราทำเอาไว้ไม่เพียงพอ สิ่งที่เราปรารถนาย่อมยังไม่สามารถที่จะมาถึงได้ ศาสนาพุทธของเรา พระพุทธเจ้าสอนเรื่องเหตุและผล ถ้าเราสร้างเหตุได้พอเพียง ผลนั้นย่อมเกิดได้อย่างแน่นอน แต่ก็มีผู้รู้แนะนำว่า ให้เราทำการบนต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ การบนต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์นั้นไม่ใช่การร้องขอเฉย ๆ การร้องขออย่างเดียวแบบบางศาสนานั้น ถ้าได้รับการโปรดปรานจริง ๆ ก็อาจจะได้ตามที่ตนปรารถนา แต่ถ้าไม่โปรดปรานและไม่มีต้นทุนเก่าเพียงพอ ก็ไม่สามารถที่จะได้เช่นกัน แต่ว่าการบนนั้นก็คือสิ่งที่เราขาด ถ้าไม่มากจนเกินไป เราบนว่าจะทำความดีประการใดประการหนึ่ง อย่างเช่นว่าจะรักษาศีล ๗ วัน จะเจริญสมาธิ ๗ วัน จะบวชถวายกุศลสัก ๗ วัน เหล่านี้เป็นต้น ถ้าสิ่งที่เราตั้งใจทำเป็นบุญเป็นกุศล เพียงพอที่จะเติมในส่วนที่ขาดได้ ครูบาอาจารย์หรือว่าพรหมเทวดาที่ท่านไปบน ก็จักบันดาลให้ท่านสมหวัง แต่ว่าต้องรีบแก้บนอย่างรวดเร็ว เพราะว่าเหมือนกับยืมเงินคนอื่นใช้ เราจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องคืนให้กับเจ้าของให้เร็วที่สุด ไม่เช่นนั้น ถึงเวลาเจ้าของไม่พอใจ มาทวงคืนแล้ว เราอาจจะได้รับความเดือดร้อนบางอย่างจนคาดไม่ถึง เพียงแต่ว่าสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ ถ้าหากว่าท่านบนแล้ว สิ่งที่ท่านตั้งใจจะทำยังเป็นบุญกุศลที่ไม่เพียงพอ ท่านก็ไม่สามารถจะได้รับในสิ่งที่ต้องการได้ จึงเป็นเรื่องที่เราต้องรู้จักใช้ปัญญาแยกแยะด้วยว่า ถ้าหากว่าเราขาดมาก สิ่งที่เราบนว่าจะเสริมเข้าไปยังไม่เพียงพอ การบนของเราก็ไม่เกิดผล แต่บุคคลที่ขาดน้อย สิ่งที่เราตั้งใจทำแล้ว เสริมเข้าไปก็จะเต็มพอดี ถ้าอย่างนั้นสิ่งที่ท่านบนย่อมจะเกิดผลตามที่ปรารถนา
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 15-06-2023 เมื่อ 01:22 |
สมาชิก 32 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#4
|
||||
|
||||
ในเมื่อเรื่องทั้งหลายเหล่านี้ คนบนแล้วสำเร็จบ้าง ไม่สำเร็จบ้าง ก็จะทำให้บางท่านเกิดความไม่พอใจ อย่างที่มีข่าวคราวว่าไปทุบศาลทิ้งบ้าง เหล่านี้เป็นต้น ซึ่งถ้าท่านรู้จักใช้ปัญญาแยกแยะ ท่านก็จะทราบว่าตนเองยังขาดอยู่มาก ในเมื่อสร้างเหตุไม่เพียงพอ แล้วผลไม่เกิด ท่านทั้งหลายจักไปปรารถนาให้สำเร็จ ย่อมเป็นไปไม่ได้
เนื่องเพราะว่าทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้ องค์สมเด็จพระชินสีห์บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้เป็นสัพพัญญู คือรู้รอบรู้จริงทุกอย่าง พระองค์ท่านได้ตรัสเอาไว้ชัดเจนแล้วว่า ยาทิสํ วปเต พีชํ ตาทิสํ ลภเต ผลํ บุคคลหว่านพืชเช่นไร ย่อมได้รับผลเช่นนั้น กลฺยาณการี กลฺยาณํ ปาปการี จ ปาปกํ บุคคลผู้กระทำความดี ย่อมได้รับผลดี บุคคลผู้กระทำความชั่ว ย่อมได้รับผลชั่ว สิ่งทั้งหลายเหล่านี้เป็นกฎเกณฑ์ปกติ ซึ่งถ้าท่านที่เป็นสัมมาทิฏฐิพิจารณาดูแล้ว ก็ย่อมเห็นชัดเจนตามนั้น แต่ท่านที่เป็นมิจฉาทิฏฐิ ก็มักจะมีโมหะบังใจ ไม่ว่าเหตุผลจะชัดเจนสักเท่าไร ความมืดบอดของจิตใจ ก็ทำให้ท่านเข้าไม่ถึงความเป็นจริงตรงนั้น อย่างเช่นว่า ตนเองโดนโรงเรียนไล่ออก เพราะว่าไปกระทำสิ่งหนึ่งประการใดที่ก่อให้เกิดความเสียหายมาก แต่ว่าเมื่อโดนไล่ออกแล้ว เราก็ยังไม่ยอมรับในเหตุผลนั้น ยังมัวแต่สงสัยว่าจะโดนกลั่นแกล้งบ้าง คนอื่นไม่ชอบหน้าของเราบ้าง เรื่องพวกนี้ต้องบอกว่า ท่านทั้งหลายเหล่านั้นเป็นบุคคลที่น่าสงสารเป็นอย่างยิ่ง อวิชชาคือความมืดบอดในใจของท่านนั้น หนาหนักจนเกินไป ถ้าเป็นคนโบราณก็จะใช้คำว่า "แม้แต่พระก็โปรดไม่ได้" ถ้าท่านอยู่ในประเภทนี้ กระผม/อาตมภาพเองก็ได้แต่แผ่เมตตาไปให้ เพราะว่าท่านช่างน่าสงสารเหลือเกิน มีดวงตาที่มืดบอด มีดวงใจที่มืดบอด ไม่สามารถเข้าถึงเหตุผลหลักธรรมใด ๆ ทั้งสิ้น ว่าสิ่งที่ตนเองทำนั้น เป็นเหตุให้ตนเองต้องเดือดร้อน แต่เที่ยวไปกล่าวหาว่าผู้อื่นสกัดตนเองเอาไว้ ไม่ให้ก้าวไปสู่ตำแหน่งอื่น ๆ เป็นต้น
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 15-06-2023 เมื่อ 01:23 |
สมาชิก 30 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#5
|
||||
|
||||
เรื่องพวกนี้ ถ้าท่านทั้งหลายตรึกตรองด้วยใจที่เป็นธรรม รู้จักแยกแยะว่าสิ่งหนึ่งประการใดเกิดขึ้น ดังที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ชัดเจนว่า สิ่งทั้งหลายทั้งปวงเกิดแต่เหตุ ถ้าเหตุดับ สิ่งนั้นก็ดับ (เย ธัมมา เหตุปัพพวา เตสัง เหตุง ตถาคโต เตสัญจะ โย นิโรโธ จะ เอวังวาที มหาสมโณ)
โบราณาจารย์ถึงขนาดใช้เป็นคาถาสุดขลัง ในการปลุกเสกเลขยันต์ต่าง ๆ เพราะถือว่าเป็นพระพุทธวจนะจากพระโอษฐ์ และเป็นคำซึ่งมีความเป็นจริงอย่างยิ่ง จึงทำให้กลายเป็นของขลัง ของศักดิ์สิทธิ์ไป แต่ว่าท่านที่ไม่เข้าใจว่าในเมื่อกฎเกณฑ์กติกามีอยู่ แต่เราเองไปละเมิดกฎเกณฑ์กติกานั้น เหมือนอย่างกับบุคคลที่ไม่มีสิทธิ์ แล้วพยายามอ้างสิทธิ์ของตน โดยกล่าวว่าผู้อื่นยอมรับว่าตนเองมีสิทธิ์ตามกฎหมาย นั่นย่อมเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ ใครทำอะไรเอาไว้ ถึงเวลาสิ่งทั้งหลายเหล่านั้นก็จะตามมาสนอง ไม่ว่าจะเป็นกรรมดี หรือกรรมชั่ว ประดุจรอยล้อเกวียนที่หมุนตามรอยเท้าโค ตราบใดที่โคยังโดนล่ามติดอยู่กับเกวียน ตราบนั้นรอยล้อเกวียนย่อมตามรอยเท้าโคตลอดไป ถ้าหากว่าท่านทั้งหลายปรารถนาที่จะหลุดพ้น ก็ต้องพยายามสลัดแอกทิ้งไปให้ได้ จึงจะสามารถพ้นจากรอยล้อเกวียนที่ไต่ตามท่านมานับชาติไม่ถ้วนแล้ว สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้ พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร. เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพุธที่ ๑๔ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๖๖ (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 15-06-2023 เมื่อ 01:29 |
สมาชิก 35 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน ) | |
|
|