กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะพระอาจารย์ > เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี

Notices

เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี เก็บข้อธรรมจากบ้านวิริยบารมีมาฝาก สำหรับผู้ที่ไม่มีโอกาสเดินทางไป

ตอบ
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #1  
เก่า 12-04-2011, 10:48
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 31,421
ได้ให้อนุโมทนา: 154,231
ได้รับอนุโมทนา 4,444,554 ครั้ง ใน 35,026 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี ต้นเดือนเมษายน ๒๕๕๔

พระอาจารย์กล่าวว่า "ระยะนี้เขาฮือฮาหาของที่มั่นใจว่ากันรังสีได้ จะว่าไปแล้วถ้าสมาธิทรงตัว เราสามารถที่จะกำหนดภาพพระครอบตัวเราไว้เพื่อป้องกันได้ แต่พวกเราพอเกิดอะไรขึ้นก็มักจะสมาธิเคลื่อน หลุดออกมาโดยไม่รู้ตัว อย่างเวลาถวายสังฆทาน พอพระพุทธรูปล้ม อาตมาก็รับไว้และให้พรไปเรื่อย แต่คนถวายนั้นหัวใจหล่นไปอยู่ที่ตาตุ่มแล้ว

ถ้าสมาธิทรงตัวจริง ๆ จะเหมือนกับคนตายด้าน ไม่มีความรู้สึกแต่ว่าสติจะรวดเร็ว รู้ว่าจะต้องแก้ไขอย่างไรถึงจะดีที่สุด ดังนั้น..ให้ทุกคนพยายามซักซ้อมเอาไว้ ทุกคนทำได้ ถือว่าเป็นสิทธิ์ของเราเลย เพียงแต่ว่าญาติโยมจะอยู่ในลักษณะทำไม่ค่อยต่อเนื่อง จึงขาดความคล่องตัวไปโดยปริยาย

ซักซ้อมบ่อย ๆ ซ้อมไว้ทุกวัน สมัยก่อนอาตมาซ้อมเข้าออกสมาธิอย่างเดียว ทั้งวันทั้งเดือนทั้งปีไม่ต้องทำอะไรเลย ขนาดเข้าเวรอยู่หน้ากุฏิหลวงพ่อวัดท่าซุง นั่ง ๆ นอน ๆ ซ้อมไปเรื่อย เอนลงไปนี่สมาธิลึกลงไปตามลำดับเลยนะ พอหงายผลึ่งก็เต็มที่เลย

ตอนลุกขึ้นจะต้องบังคับกันก่อน เพราะไม่อย่างนั้นแล้วร่างกายจะขยับไม่ได้ ต้องค่อย ๆ คลายลงโดยลุกขึ้นทีละน้อย จนกระทั่งนั่งตัวตรงก็อยู่ที่อุปจารสมาธิพอดี คนอื่นเขาเห็นก็ว่า..บ้าหรือเปล่า นั่ง ๆ นอน ๆ ทั้งวัน.."
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 18-04-2011 เมื่อ 02:36
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 260 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #2  
เก่า 12-04-2011, 10:53
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 31,421
ได้ให้อนุโมทนา: 154,231
ได้รับอนุโมทนา 4,444,554 ครั้ง ใน 35,026 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

"โบราณท่านบอกว่า วิทยาเกียจซ้อมหัด หายเสื่อม ในเรื่องความรู้นั้น ถ้าเราขี้เกียจซักซ้อมก็จะหายเกลี้ยง ท่านกล่าวไว้ว่า

เจ็ดวันเว้นดีดซ้อม.......ดนตรี
ห้าวันอักขระหนี..........เนิ่นช้า
สามวันจากนารี..........เป็นอื่น
หนึ่งวันเว้นล้างหน้า......หม่นไหม้หมองศรี

เจ็ดวันเว้นดีดซ้อม...ดนตรี ถ้าไม่ได้ซ้อมดนตรีสักเจ็ดวันก็ลืมหมดแล้ว ต่อเพลงไม่ติด ห้าวันอักขระหนี..เนิ่นช้า สมัยก่อนเวลาฝึกเขียน ก.ไก่ ข.ไข่ ถ้าลองเลิกเขียนสัก ๕ วัน ก็ลืมแล้ว ต้องเริ่มต้นใหม่

สามวันจากนารี...เป็นอื่น สมัยนี้ต้องบอกว่าผู้ชายเป็นอื่น ไม่ใช่ผู้หญิงเป็นอื่น หนึ่งวันเว้นล้างหน้า...หม่นไหม้หมองศรี วันเดียวไม่ล้างหน้าก็ขี้ตากรัง"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 18-04-2011 เมื่อ 02:36
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 234 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #3  
เก่า 12-04-2011, 11:06
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 31,421
ได้ให้อนุโมทนา: 154,231
ได้รับอนุโมทนา 4,444,554 ครั้ง ใน 35,026 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์เล่าว่า "สมัยก่อน ถ้านับในส่วนของพระด้วยกัน บุคคลที่มีพระสมเด็จคำข้าว พระสมเด็จหางหมากมากที่สุดในวัด นอกจากทางวัดแล้วก็คืออาตมาเอง เพราะโยมถวายปัจจัยมาเท่าไรก็จะไปทำบุญกับหลวงพ่อหมด ทำบุญครั้งหนึ่งก็ได้มา ๓๐๐ องค์ ๕๐๐ องค์ เพราะว่าแรก ๆ หลวงพ่อตั้งราคาไว้องค์ละ ๑๐ บาท

พระในวัดนั่นแหละ บอกว่า จะสะสมอะไรเยอะแยะขนาดนั้น บ้าหรือเปล่า ? พอสิ้นหลวงพ่อแล้วราคาพุ่งพรวดไปเป็นองค์ละร้อยบาท ท่านก็มาขนของอาตมาไปจนเกลี้ยงเลย แต่ให้แค่องค์ละ ๑๐ บาท..! เป็นอะไรที่ฟังดูแล้วแปลก ๆ

ตอนแรกอาตมาเองก็คิดว่า เงินทุกบาททุกสตางค์ หลวงพ่อท่านต้องใช้ในการก่อสร้าง ใช้เพื่อสาธารณประโยชน์ เพราะฉะนั้น..มีเท่าไรก็เอาไปถวายหลวงพ่อ นอกจากได้บุญแล้ว ท่านยังมอบวัตถุมงคลให้ ครูบาอาจารย์ให้ก็ถือว่าเป็นมงคลใหญ่ ต่อไปไม่แน่ว่าจะหายาก อาตมาก็เก็บอย่างเดียว

แต่ถ้าเป็นฆราวาสมีอยู่ท่านหนึ่ง ท่านคงไม่ยินดีให้เอ่ยชื่อ ท่านเหมาเฉพาะพระสมเด็จคำข้าว เท่าที่รู้มีอยู่ครั้งหนึ่งราคาหนึ่งล้านบาท พระสมเด็จหางหมากก็คงจะใกล้เคียงกัน"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 12-04-2011 เมื่อ 16:51
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 253 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #4  
เก่า 12-04-2011, 11:14
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 31,421
ได้ให้อนุโมทนา: 154,231
ได้รับอนุโมทนา 4,444,554 ครั้ง ใน 35,026 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์เล่าว่า "พระเครื่องหรือวัตถุมงคลของจังหวัดกาญจนบุรี ถ้าเป็นรุ่นเก่า เขาจะหาหลวงปู่ยิ้ม วัดหนองบัว

หลวงปู่ยิ้ม วัดหนองบัว ท่านทันสมัยรัชกาลที่ ๕ และเสด็จในกรมหลวงชุมพรก็ไปฝากตัวเป็นลูกศิษย์ท่านด้วย ชาวบ้านเรียกท่านว่า "หลวงพ่อเฒ่ายิ้ม"

หลวงปู่ยิ้มท่านเป็นอาจารย์ใหญ่ ลูกศิษย์ของท่านก็คือ หลวงปู่เหรียญ วัดหนองบัว หลวงปู่เปลี่ยน วัดใต้ หลวงปู่ดี วัดเหนือ หลวงปู่สอน วัดทุ่งลาดหญ้า สมัยก่อนเขาเรียก "๔ เสือกาญจนบุรี"

ทั้ง ๔ เสือเมืองกาญจน์เป็นลูกศิษย์ท่านหมดเลย แล้วยังลามมาด้านทางฝั่งแม่กลอง อย่างหลวงปู่ใจ วัดเสด็จ ลูกศิษย์ท่านแต่ละองค์ดังคับบ้านคับเมืองทั้งนั้น

เมืองกาญจน์สมัยก่อนมีวลีอยู่ ๒ ประโยคว่า “อยากเจ้าชู้ให้ไปวัดเหนือ อยากเป็นเสือให้ไปวัดใต้” เพราะหลวงปู่ดีท่านดังทางเมตตามหานิยม ส่วนหลวงปู่เปลี่ยนถนัดทางอยู่ยงคงกระพัน"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 12-04-2011 เมื่อ 16:52
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 239 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #5  
เก่า 12-04-2011, 11:18
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 31,421
ได้ให้อนุโมทนา: 154,231
ได้รับอนุโมทนา 4,444,554 ครั้ง ใน 35,026 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

"น่าเสียดายว่า วัตถุมงคลสมัยนั้นไม่ได้มีเครื่องปั๊มแบบสมัยนี้ บางอย่างก็ต้องปั้นด้วยมือทีละองค์ ๆ บางอย่างก็ทำด้วยพิมพ์ไม้ ลักษณะโยกกด ก็ทำได้ทีละองค์ ดังนั้น..วัตถุมงคลของท่านจึงมีไม่มาก

ของหลายอย่าง อย่างเช่นสายคาดเอว ชาวบ้านเรียกว่า ตะขาบไฟ แบบสวย ๆ ถักด้วยหวาย ถ้าแบบเอาขลังก็ถักด้วยผ้าดิบคลุมศพ ต้องเป็นคนที่ตายวันเสาร์เผาวันอังคารด้วย วิธีทดลองความขลังก็ไม่ยาก ถักไปภาวนาไป ถักเสร็จแล้วโยนเข้ากองไฟ ถ้าไม่ไหม้ก็ใช้ได้ ถ้าหากว่าไหม้ก็ยังไม่ขลังจริง

ถ้าใครไปขอเรียนวิชาจากท่าน ท่านจะให้ไปนั่งเพ่งเทียนจนขาดกลาง ถ้าหากว่าไม่ขาดกลางแสดงว่ากำลังใจใช้ไม่ได้ เพราะฉะนั้น..แต่ละท่านที่ว่ามา ล้วนแล้วแต่เพ่งเทียนจนไส้ขาด บางคนก็ใช้เวลา ๗-๘ วัน หลวงปู่ใจ วัดเสด็จ ใช้เวลาคืนเดียว แสดงว่าพื้นฐานสมาธิของท่านดีมาก"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 12-04-2011 เมื่อ 16:54
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 239 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #6  
เก่า 12-04-2011, 11:27
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 31,421
ได้ให้อนุโมทนา: 154,231
ได้รับอนุโมทนา 4,444,554 ครั้ง ใน 35,026 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์เล่าว่า "บ้านวิริยบารมีหลังนี้กว่าจะเสร็จได้ คนทำบ้านแทบประสาทกลับไปหลายรอบ เพราะมีคนบริจาคของมาเยอะมาก พอบริจาคมาแล้วสีสันเข้ากับบ้านไม่ได้ อย่างเช่น บริจาคม่านหน้าต่างมา ถ้าบริจาคครบทุกบานเราก็ไม่ว่าอะไร นี่บริจาคมาไม่กี่ชุด

อย่างเมื่อวานเตรียมเครื่องไทยธรรมไว้ แล้วอยู่ ๆ ก็มีคนคว้านั่นคว้านี่มาอย่างละ ๙ ชุด มาไล่ถวายเพิ่ม แล้วเขาก็ไม่ได้บอกอะไรก่อนด้วย ทำเอาเองเลย ในเมื่อทำเองก็กลายเป็นว่าทุลักทุเล อะไรที่เกินมา งานจะยากขึ้น เพราะพระย่อมรู้ว่าอะไรเหมาะอะไรควร

เมื่อวานนี้ขนมของทางซีพี พระท่านเอาไปแล้วก็ต้องสละให้ลูกศิษย์หลังเพล เขาถวายไปรูปละถุงใหญ่ เราต้องดูว่าอะไรเหมาะสมกับสมณสารูปของพระด้วย

อาตมาเองเคยนั่งเซ็งในอารมณ์อยู่ครั้งหนึ่ง ไปไหว้พระที่วัดพระแก้ว พอเสร็จเรียบร้อย ลุกขึ้นก็มีเสียงมาว่า "ท่านเจ้าคะ..รับหน่อยค่ะ" พอหันมาเขาถวายอาหารช่วงเที่ยง มีข้าว มีกับ มีน้ำ มีขนม ครบถุงเบ้อเร่อเลย

อาตมาก็ต้องหิ้วเดินผ่านโยมเป็นร้อย ๆ ออกมา เขาเห็นก็คงคิดว่า พระรูปนี้ ถ้าไม่ใช่รอบคอบก็งกกินฉิบห.. รอบคอบก็คืออุตส่าห์พกอาหารเองมาด้วย แต่ถ้าคนมองในแง่ว่างกกิน ก็คือถึงขนาดหิ้วมาอย่างนี้เลยหรือ ? บางคนเขาไม่ได้ดูความเหมาะสมว่าอะไรควรทำ พวกเราต้องพยายามใช้ปัญญาด้วย ว่าแต่ละอย่างเหมาะสมกับสถานการณ์หรือไม่ ? ใช้แต่สติอย่างเดียวก็ไม่ไหว"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 19-01-2019 เมื่อ 18:44
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 235 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #7  
เก่า 12-04-2011, 11:32
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 31,421
ได้ให้อนุโมทนา: 154,231
ได้รับอนุโมทนา 4,444,554 ครั้ง ใน 35,026 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : การฝึกเพ่งภาพพระพุทธรูป เมื่อนิมิตติดตาแล้ว สามารถนึกได้ทุกครั้งที่ต้องการ ต้องชัดขนาดไหนครับ จึงจะฝึกขยายให้เล็กให้ใหญ่ได้ ?
ตอบ : ถ้าภาพติดตาแล้ว เรามีหน้าที่ประคับประคองรักษาภาพไปเรื่อย ๆ ภาพนั้นจะค่อย ๆ เปลี่ยนสีไปเรื่อย ถ้าเป็นพระพุทธรูปแก้วการเปลี่ยนแปลงก็น้อย

แต่ถ้าเป็นพระพุทธรูปไม้หรือโลหะทองเหลือง จะเปลี่ยนไปเรื่อย จากสีทองทึบก็จะจางลง ๆ ลักษณะเหมือนกับเป็นสีเหลืองก่อน เป็นสีเหลืองอ่อน แล้วเป็นสีขาว สีขาวก็ใสเรื่อย จนกระทั่งใสเจิดจ้าเหมือนเรามองหลอดไฟ หรือมองดวงอาทิตย์ ถึงตอนนี้ก็อธิษฐานให้ใหญ่ให้เล็กได้ ไม่ใช่ว่าชัดแค่ไหน แต่เป็นว่าสว่างแค่ไหนต่างหาก
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 13-04-2011 เมื่อ 02:19
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 235 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #8  
เก่า 13-04-2011, 10:30
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 31,421
ได้ให้อนุโมทนา: 154,231
ได้รับอนุโมทนา 4,444,554 ครั้ง ใน 35,026 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์กล่าวว่า "ดอกบัวครรภ์รักษา มีเคล็ดลับว่า เวลาจารต้องหันหน้าไปทางทิศตะวันออก จะลืมไม่ได้

เคล็ดลับบางอย่างเป็นตัวกำหนดความสำเร็จของงานนั้น ๆ ดอกบัวครรภ์รักษาเขามีเคล็ดลับว่า ถ้าคนท้องเอาไปใช้จะคลอดลูกง่ายและปลอดภัย การคลอดลูก โบราณเขาเรียกออกลูก ก็เลยต้องหันไปทางตะวันออก

จะว่าไปแล้ว ตะวันออกกับตะวันตกมีขึ้นเพราะเราเข้าใจผิด ดวงตะวันอยู่ตรงนั้นเฉย ๆ ไม่ได้ไปไหนหรอก โลกเราหมุนรอบตัวเอง ก็เลยเหมือนพระอาทิตย์ขึ้น ความจริงพระอาทิตย์อยู่กับที่ โลกต่างหากที่หมุน ถึงได้มีคำถามของปรัชญาเซ็นว่า "ลมพัด ใบไม้ไหวหรือว่าอะไรไหว ?"

เซ็นจะมีหลักการปฏิบัติที่กระตุ้นให้ตื่นรู้ ด้วยลักษณะคำพูดที่ค่อนข้างจะเป็นปริศนา"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 13-04-2011 เมื่อ 11:24
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 212 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #9  
เก่า 13-04-2011, 10:41
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 31,421
ได้ให้อนุโมทนา: 154,231
ได้รับอนุโมทนา 4,444,554 ครั้ง ใน 35,026 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

"อาจารย์เซ็นถามลูกศิษย์ว่า "เสียงของการตบมือข้างเดียวคืออะไร ?" ลูกศิษย์คิดจนหัวแทบแตก ตอบเท่าไรก็ยังไม่ใช่ ท้ายสุดวันนั้นลูกศิษย์เข้ามาถึง อาจารย์ก็ถามว่าตกลงคำตอบคืออะไร ? ลูกศิษย์ก็ชักแหง็ก ๆ หงายผลึ่งลงไปเลย ลูกศิษย์ถามว่า "คำตอบนี้ใช่ไหมครับ ?" อาจารย์หยิบไม้ฟาด "ไอ้ระยำ..คนตายแล้วพูดได้หรือวะ..!"

คำตอบเกือบจะถูกแล้ว เพียงแต่ว่าเขาต้องการรู้มากเกินไป ถ้าทำไม่รู้ไม่ชี้เสียหน่อย นอนเฉยต่อไป คำตอบก็ถูกต้องแล้ว เพราะเสียงตบมือข้างเดียวก็คือไม่มีเสียง แต่คราวนี้เขาไม่สามารถจะแสดงออกมาได้ ความจริงถ้าอาจารย์ถามแล้วลูกศิษย์หุบปากเงียบ ก็ถูกตั้งแต่แรกแล้ว

ดังนั้น..วิธีการกระตุ้นให้ตื่นรู้ ถ้าหากว่าสว่างโพลงขึ้นในใจ ภาษาญี่ปุ่นเรียกว่า "ซาโตริ" การรู้ฉับพลัน ซาโตริก็ยังมีการตีความไปหลายแบบ รายหนึ่งก็บอกว่า แต่ละคนในชีวิตจะเกิด ซาโตริ คือ การรู้ฉับพลันได้ครั้งเดียว แต่ปรากฏว่ามีอาจารย์เซ็นท่านหนึ่ง ท่านมีชื่อเสียงมาก ท่านบอกว่าท่านซาโตริจนนับครั้งไม่ถ้วน

ความจริงถูกทั้งคู่ บุคคลที่เข้าถึงมรรคผลเลย การรู้ฉับพลันทำให้ได้มรรคได้ผลนั้น ก็แปลว่าครั้งเดียว แต่ว่าบุคคลที่ครุ่นคิดในหัวข้อธรรมต่าง ๆ แล้วรู้กระจ่างขึ้นมาเอง ก็สามารถรู้ได้ในทุกหัวข้อนั้น ขึ้นอยู่กับวิธีการปฏิบัติว่าเป็นอย่างไร ลองคิดในเรื่องของอริยสัจ ในเรื่องของทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค พอได้คำตอบมาก็กลายเป็นซาโตริในหัวข้อธรรมนั้น ๆ

เพราะฉะนั้น..คิดกี่ครั้งก็ได้เท่านั้นครั้ง แต่อีกสายหนึ่งก็บอกว่าได้ครั้งเดียวในชีวิตเท่านั้น หมายเอาการบรรลุมรรคผลไปเลย ถ้าอย่างนั้นก็บรรลุได้ครั้งเดียว ไม่สามารถที่จะบรรลุได้ใหม่ นอกจากจะบรรลุในขั้นสูงกว่าขึ้นไปเท่านั้น"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 22-01-2019 เมื่อ 16:07
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 208 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #10  
เก่า 13-04-2011, 11:02
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 31,421
ได้ให้อนุโมทนา: 154,231
ได้รับอนุโมทนา 4,444,554 ครั้ง ใน 35,026 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์กล่าวว่า "เรื่องของพระพุทธรูปปางต่าง ๆ ต้องบอกว่าเกิดจากกิเลสคน คือแต่ละคนรักชอบไม่เหมือนกัน ถึงเวลาอยากจะสร้างแบบนั้นแบบนี้ก็ไปค้นตำราดู จนกำหนดเป็นพระพุทธรูปปางต่าง ๆ ขึ้นมา

บางปางในชีวิตเราแทบจะไม่เคยเห็นเสียด้วยซ้ำ อย่างเช่น ปางฉันสมอ จะถือลูกสมออยู่ลูกหนึ่ง ปางเย็บผ้าบังสุกุล ปางเสยพระเกศา ฯลฯ

ส่วนใหญ่พวกเราจะชินแค่ ๙ ปาง ที่เป็นพระประจำวันเกิด ก็คือ วันอาทิตย์ปางถวายเนตร วันจันทร์ปางห้ามญาติ วันอังคารปางไสยาสน์ วันพุธกลางวันปางอุ้มบาตร วันพุธกลางคืนปางป่าเลไลยก์ วันพฤหัสบดีปางสมาธิ วันศุกร์ปางรำพึง วันเสาร์ปางนาคปรก

บางคนก็รู้สึกว่าน้อยเกินไป จึงกำหนดเพิ่มขึ้นมาอีกวัน คือ พระเกตุปางตรัสรู้ (ปางมารวิชัยหรือปางสะดุ้งมาร) ถามว่าพระเกตุเอาไว้สำหรับใคร ? เขาเอาไว้สำหรับคนที่ไม่รู้ว่าตนเองเกิดวันอะไร พวกเราจะคุ้นเคยกับพระพุทธรูปปางต่าง ๆ แค่นี้

แต่ปางเหยียบโลกนั้น คนสร้างแหกคอกจริง ๆ ถ้าจะสร้างพระพุทธเจ้าในลักษณะที่พระองค์เป็นโลกุตระ (ผู้เหนือโลก) ก็ต้องสร้างแบบพม่า พม่าทำแท่นให้พระองค์ท่านยืนอยู่ทั้งองค์ และมีลูกโลกอยู่ข้างใต้ แต่ของไทยสร้างได้น่าเกลียดมาก เขาสร้างให้พระพุทธเจ้าประทับยืนด้วยพระบาทข้างเดียว อีกข้างเหยียบโลกเอาไว้ ลักษณะเหมือนกับนักฟุตบอลเหยียบลูกบอล วางท่าให้ช่างภาพถ่ายรูป ยังดีที่ไม่ท้าวบั้นพระองค์ไปด้วย..!

ถ้าอยากจะเชิดชูพระเกียรติคุณขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่าเป็นผู้เหนือโลก ก็ควรจะคิดและทำให้รอบคอบกว่านี้หน่อย"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 22-01-2019 เมื่อ 16:06
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 202 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #11  
เก่า 13-04-2011, 11:05
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 31,421
ได้ให้อนุโมทนา: 154,231
ได้รับอนุโมทนา 4,444,554 ครั้ง ใน 35,026 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : ฝึกกำหนดลมหายใจเข้าออก ผมนั่งแล้วมีความรู้สึกว่าสบาย นั่งได้นาน สติก็รู้ลมหายใจเข้าออก พร้อมทั้งคำบริกรรม แต่ขณะเดียวกันบางครั้งก็ยังมีความคิดอื่น โดยเฉพาะชีวิตประจำวันแทรกเข้ามาพร้อม ๆ กันไปด้วย ผมควรจะทำอย่างไรครับ ?
ตอบ : การที่สมาธิทรงตัวแล้วสามารถคิดเรื่องไปด้วย แสดงว่าในชาติก่อน ๆ เคยฝึกปฏิบัติลักษณะแยกจิตแยกกายเป็นหลายส่วน ถึงเวลาแล้วจิตสามารถที่จะทำงานหลายอย่างพร้อมกันได้ อย่างเช่น ภาวนาอยู่ตรงนี้ก็สามารถคิดเรื่องอื่นไปได้ด้วย

ความจริงเป็นสิ่งที่ดี แต่ถ้าเราใช้ไม่เป็นก็จะฟุ้งซ่าน เพราะฉะนั้น..วิธีที่ดีที่สุด คือ ดึงความรู้สึกทั้งหมดกลับมาอยู่ที่ลมหายใจเข้าออก ทันทีที่รู้ว่าไปคิดเรื่องอื่นพร้อมกับการภาวนา ก็ให้กำหนดรู้ที่ลมหายใจ พอรู้ลมหายใจแน่วแน่อยู่ตรงหน้า ก็จะไปคิดเรื่องอื่นไม่ได้ จนกว่าเราจะทำลมหายใจเข้าออกของเราให้ทรงตัว มีความคล่องตัว เอาให้ถึงฌานสี่ไปเลย ถึงตอนนั้นจะแยกคิดกี่เรื่องพร้อม ๆ กันก็ได้ คนมีของเก่าทำได้ไม่ยากหรอก
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 19-01-2019 เมื่อ 20:37
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 203 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #12  
เก่า 13-04-2011, 11:09
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 31,421
ได้ให้อนุโมทนา: 154,231
ได้รับอนุโมทนา 4,444,554 ครั้ง ใน 35,026 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์กล่าวว่า "คนท้องควรทำใจให้สบาย ยิ่งทำสมาธิได้ยิ่งดี ควรเปิดเสียงสวดมนต์ให้ลูกเขาฟังบ่อย ๆ อย่างเสียงสวดมนต์ของทิเบต พอฟังแล้วจะเห็นบรรยากาศทุ่งกว้าง ภูเขาสูง ลมกำลังพัด มีฝูงม้ากำลังเล็มหญ้า เสียงสวดมนต์แท้ ๆ แต่เห็นภาพได้ชัดเลย

คนจินตนาการดี สามารถฟังดนตรีแล้วเห็นภาพ แต่ตัดกิเลสได้ยาก เพราะใจปรุงแต่งมากเกินไป..!"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 13-04-2011 เมื่อ 14:43
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 208 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #13  
เก่า 14-04-2011, 10:21
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 31,421
ได้ให้อนุโมทนา: 154,231
ได้รับอนุโมทนา 4,444,554 ครั้ง ใน 35,026 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์เล่าว่า "หลังจากที่สร้างเกาะพระฤๅษีไปแล้ว ๘ เดือน ขณะที่กำลังนั่งทำบัญชีอยู่ หลวงพ่อก็มา ท่านถามว่า "แกมีเงินส่วนตัวเท่าไร ?" อาตมาตอบด้วยความภูมิใจ แกมอยากจะอวดหน่อย ๆ ว่า "ไม่มีครับ ผมได้มาเท่าไร ผมเอาลงสังฆทานทั้งหมด"

"เออ..ถ้าอย่างนั้นแกใช้เพื่อส่วนรวมเท่าไร ?"
"ไม่ทราบครับ"

"แล้วแกใช้เพื่อส่วนตัวไปเท่าไร ?"
"ไม่ทราบครับ" โป๊ก..! ดาวขึ้นว่อนเลย..! ท่านสั่งว่า
"ไปรื้อบัญชีทำเสียใหม่ เงินทุกบาททุกสตางค์ ทั้งส่วนตัวทั้งของสงฆ์ ได้มาจากใคร ? จ่ายไปในเรื่องอะไร ? ถ้ามีคนตรวจสอบ จะต้องตอบเขาได้"

ผ่านมาตั้งแปดเดือน สรุปว่าต้องรื้อทำใหม่ นั่งก้นด้านอยู่เป็นอาทิตย์ ท้ายสุดเงินส่วนตัวแปดเดือนที่ผ่านมาต้องตัดใจทิ้งไปเลย เงินส่วนตัวเป็นเงินที่ใช้ยาก หลวงพ่อท่านบอกว่า "ถึงเขาถวายมาเป็นเงินส่วนตัว แกก็อย่าคิดว่าเป็นเงินส่วนตัว เพราะเขาถวายมาต่อเมื่อแกบวชเข้ามาแล้ว

ในเมื่อแกบวชเข้ามา เป็นส่วนหนึ่งของสงฆ์เขาจึงถวาย ให้คิดอยู่เสมอว่า เป็นเงินสงฆ์ไม่ใช่เงินส่วนตัว เพราะฉะนั้น..ต้องใช้ให้สมควรแก่สมณสารูปด้วย"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 14-04-2011 เมื่อ 13:00
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 204 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #14  
เก่า 14-04-2011, 10:25
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 31,421
ได้ให้อนุโมทนา: 154,231
ได้รับอนุโมทนา 4,444,554 ครั้ง ใน 35,026 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

"ได้กราบเรียนถามท่านว่า "การใช้ในเรื่องที่สมควร ผมควรจะใช้ในเรื่องใดบ้างครับ ?" ท่านบอกว่า "ใช้เป็นค่ารถ ค่าอาหาร ค่ารักษาพยาบาลยามเจ็บไข้ได้ป่วย และท้ายสุด สงเคราะห์เพื่อนมนุษย์หรือสัตว์ด้วยกัน ส่วนที่เหลือให้ผลักเข้าร่วมกับกองกลาง เพื่อจะได้เพิ่มกุศลให้แก่ผู้ที่ถวายให้เรา"

ถ้าตามที่หลวงพ่อท่านบอก เงินสงฆ์ใช้ง่าย เงินส่วนตัวใช้ยาก

ส่วนเมื่อครู่โยมถามว่า อาตมาไปบุกป่าฝ่าดงมาเยอะหรือเปล่า ถึงแข้งขาไม่ดี ? ไม่ใช่หรอก อาตมาบุกคนมาเยอะ หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านยืนยันว่า อาตมาเป็นทหารมาทุกชาติ แต่ละชาติฆ่าเขาไว้มาก อาตมาก็สงสัยว่ามากขนาดไหน ? พอเห็นเข้าก็สยอง แค่ที่เห็นครั้งเดียวเหมาหมดเป็นกองทัพเลย..! ไม่ต้องไปพูดถึงครั้งอื่น ๆ "
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 19-01-2019 เมื่อ 20:38
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 199 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #15  
เก่า 14-04-2011, 10:32
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 31,421
ได้ให้อนุโมทนา: 154,231
ได้รับอนุโมทนา 4,444,554 ครั้ง ใน 35,026 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์บอกว่า "สมัยก่อนทำงานอยู่ที่วัดท่าซุง งานที่ทุกคนไม่อยากทำเลย ก็คือ การอยู่เวรหน้าห้องหลวงพ่อ เพราะว่าต้องพร้อมโดนด่าตลอดเวลา ที่ท่านด่าเพราะทนความโง่ของเราไม่ได้ ท่านด่าให้เราฉลาดขึ้น แต่พระที่อาวุโสมาก ๆ จะอยู่ไม่ได้ พอโดนด่าแล้วก็หลุดไปทีละคนสองคน มีหลวงพี่ชัยวัฒน์ ถึงขนาดย้ายไปอยู่ที่สวนไผ่เลย หลวงน้าอมร หลวงน้ามีชัย ท้ายสุดเหลืออาตมากับหลวงลุงสุนทร สองคน เพราะพวกเราหน้าด้าน..!

หลวงลุงสุนทรบวชตอนอายุมากแล้ว บวชตอน ๕๙ ปี ท่านเป็นผู้ที่ใฝ่รู้ สงสัยตรงไหนก็ถาม "หลวงพี่ครับ ทำไมตรงนี้ผมโดนข้อหา ?" อาตมาก็อธิบายไป หลวงลุงพอเข้าใจก็สบายไป

ส่วนอาตมานั้นคิดได้เอง คิดว่าพ่อทุกคนไม่มีใครอยากจะฆ่าลูก ท่านด่าแปลว่าเราผิด ถ้าเราแก้ไขจุดที่เราผิดพลาดบกพร่องได้ ต่อไปเราก็จะไม่ผิดตรงนั้นอีก เพราะฉะนั้น..อาตมาอยู่ได้เพราะความหน้าด้าน แต่หลวงลุงสุนทรอยู่ได้ เพราะท่านคอยถาม แล้วอาตมาอธิบายให้ฟัง

เคยปรารภกับท่านว่า "หลวงลุง..ตอนแรกที่ออกจากวัด ผมเองไม่มั่นใจหรอกนะ ว่าผมทำถูกหรือทำผิด แต่มาตอนนี้ผมมั่นใจแล้วว่าผมทำถูก" หลวงลุงบอกว่า "หลวงพี่ทำถูกแล้วครับ เพราะออกไปแล้วเป็นที่พึ่งของพี่ของน้องได้ ถ้ายังอยู่ในวัด เวลาคนเขามาพึ่งเรามาก ๆ จะถูกหาว่าแข่งบารมี เดี๋ยวก็โดนดีด..!" อันนี้หลวงลุงท่านสรุปให้ฟัง"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 14-04-2011 เมื่อ 13:04
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 201 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #16  
เก่า 14-04-2011, 10:35
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 31,421
ได้ให้อนุโมทนา: 154,231
ได้รับอนุโมทนา 4,444,554 ครั้ง ใน 35,026 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

"ตอนที่หลวงลุงอยู่ ได้ความรู้จากท่านมาก เพราะท่านจบบัญชีธรรมศาสตร์รุ่นแรก เรื่องทำบัญชีท่านสุดยอดจริง ๆ ไม่มีใครหลอกท่านได้เลย พูดง่าย ๆ ว่า ถ้าผู้ตรวจสอบบัญชีสมัยนี้ไปเรียนจากหลวงลุง บางทียังรู้สึกว่าตัวเองรู้น้อยกว่า

หลวงลุงท่านบอกว่า "ธรรมชาติของบัญชีนั้นมีความลื่นไหล ถ้าผิดธรรมชาติเมื่อไรแปลว่าทุจริต" บุคคลที่มีความคล่องตัว พอไปเห็นรูปแบบของคนอื่นแล้วจะรู้เลย เหมือนอย่างกับเราตรวจการบ้านเด็ก ก็จะรู้ว่าตรงไหนผิด"

ถาม : รู้โดยอัตโนมัติ เหมือนเป็นญาณ ?
ตอบ : เหมือนกับวสีภาพ คือ ความชำนาญ อย่างนี้เรียกว่าเป็นผู้ชำนาญการในวิชาชีพ
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 14-04-2011 เมื่อ 13:05
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 196 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #17  
เก่า 14-04-2011, 10:40
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 31,421
ได้ให้อนุโมทนา: 154,231
ได้รับอนุโมทนา 4,444,554 ครั้ง ใน 35,026 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์บอกว่า "พวกเราถ้ามีพระเครื่องของหลวงพ่อวัดท่าซุงอยู่ ให้อาราธนาบ่อย ๆ เพราะว่าในเรื่องของกัมมันตภาพรังสี เราประมาทไม่ได้ ส่วนใหญ่พวกเราสร้างเวรสร้างกรรมไว้เยอะ เอาปลอดภัยไว้ก่อนดีกว่า

พระสมเด็จหางหมาก ท่านรับประกันในรัศมี ๔ เมตร ตอนแรกหลวงพ่อท่านตั้งใจทำเกี่ยวกับมหาลาภ คือพระคำข้าว มหานิยม คือพระหางหมาก แต่ปรากฏว่าพระท่านให้พิเศษ เลยกลายเป็นเกินต้องการ ระบุชัดเลยว่ากันรังสีได้"

ถาม : เวลาอาราธนาต้องอธิษฐานขอให้กันรังสีด้วยหรือเปล่า ?
ตอบ : อธิษฐานไปเลย ไม่แน่ใจก็อิติปิโสอีก ๑๐๘ จบ รับรองว่าขลังแน่นอน..!

แต่พระสมเด็จคำข้าวและพระสมเด็จหางหมากสร้างจำนวนแตกต่างกันมาก สมเด็จพระหางหมาก ๒ รุ่น รุ่นละ ๑๐๐,๐๐๐ องค์ สมเด็จพระคำข้าว รุ่นหนึ่ง ๑๐๐,๐๐๐ องค์ รุ่นสอง ๕,๐๐๐,๐๐๐ องค์ ยังมีรุ่นปืนแตกแถมให้อีก ๑๐๐,๐๐๐ องค์
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 14-04-2011 เมื่อ 13:06
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 204 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #18  
เก่า 14-04-2011, 11:05
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 31,421
ได้ให้อนุโมทนา: 154,231
ได้รับอนุโมทนา 4,444,554 ครั้ง ใน 35,026 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : มีอาชีพเป็นหมอ ต้องให้ยาฆ่าพยาธิแก่คนไข้
ตอบ : บุคคลที่มีความจำเป็นในหน้าที่การงาน ให้รักษาศีลเป็นเวลา ถ้าข้องใจให้ไปดูตัวอย่างในรุกขเทวดาคนใช้ หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านเทศน์ไว้เยอะ ท่านรักษาศีลได้แค่ครึ่งวันเอง ก็ไปเกิดเป็นรุกขเทวดา มีศักดานุภาพมาก จนพวกฤๅษีที่ได้อภิญญาก็ยังต้องยอมรับ
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 14-04-2011 เมื่อ 13:07
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 194 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #19  
เก่า 14-04-2011, 11:06
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 31,421
ได้ให้อนุโมทนา: 154,231
ได้รับอนุโมทนา 4,444,554 ครั้ง ใน 35,026 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : อยากทราบว่าใครเป็นคนกำหนดรูปพระประจำวัน ว่าเป็นปางนี้ ๆ ?
ตอบ : กิเลสคนกำหนด..! เขาชอบแบบไหนก็ทำแบบนั้น พอทำไปทำมาก็เลยต้องกำหนดให้คนเขาถือตาม ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวกิเลสจะไม่ฟูเฟื่อง..!
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 14-04-2011 เมื่อ 13:07
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 191 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #20  
เก่า 15-04-2011, 10:32
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 31,421
ได้ให้อนุโมทนา: 154,231
ได้รับอนุโมทนา 4,444,554 ครั้ง ใน 35,026 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : อารมณ์สังขารุเปกขาญาณ คือการรู้ตัว สติตระหนักรู้ ตื่นตัวอยู่ตลอดเวลาใช่ไหมคะ ?
ตอบ : นั่นเป็นแค่สติ ในเมื่อสติตื่นรู้ ต้องมีปัญญาระมัดระวังไม่ให้กิเลสเข้ามากินใจเราได้ด้วย สิ่งต่าง ๆ ที่ตาได้เห็น หูได้ยิน จมูกได้กลิ่น ลิ้นได้รส กายได้สัมผัส ใจครุ่นคิด จะสร้างรัก โลภ โกรธ หลงได้อย่างไร ปัญญาจะบอกชัดเจน แล้วก็เอาสติสมาธิไประงับยับยั้ง เพื่อมิให้ครุ่นคิดปรุงแต่งขึ้นมา

อย่างที่เราว่ามาไม่ใช่สังขารุเปกขาญาณ สังขารุเปกขาญาณที่แท้จริง คือ มีปัญญาเห็นทุกอย่างเป็นธรรมดา ธรรมชาติมีปกติธรรมดาเป็นอย่างนั้น เมื่อเห็นชัดก็ปล่อยวางจากความยึดมั่นถือมั่นในร่างกายของตนเองและบุคคลอื่น ถ้าถึงตอนนั้นก็ไม่มีเรา ไม่มีเขาอีกแล้ว

ถาม : ปล่อยวาง..?
ตอบ : ถ้ายังปล่อยวางไม่ได้ ก็ยังไม่ใช่

ถาม : คือคนละอย่างกับเฉย ๆ ชืด ๆ หรือคะ ?
ตอบ : ไม่ใช่ เฉย ๆ ชืด ๆ นั้นมีสองอย่าง อย่างแรกคือเราทรงฌานอยู่ เป็นเอกัคคตารมณ์ในฌานใดฌานหนึ่ง ส่วนอีกอย่างก็คือ ความเคยชินที่เกิดขึ้นจากอารมณ์นั้นอยู่บ่อย ๆ เราต้องแยกให้ออกว่าตอนนี้เราทรงฌานอยู่ คือ ใช้อำนาจสมาธิกดอยู่หรือเปล่า ? หรือว่าเป็นความเคยชินที่คบอารมณ์นั้นอยู่บ่อย ๆ จนไม่รู้สึกตื่นเต้นอีกแล้ว

ถาม : เราเห็นบ่อย ๆ จนชิน เราก็รู้สึกว่าธรรมดา แต่ก็ไม่ใช่ธรรมดาแบบ..
ตอบ : แล้วใจเรายอมรับว่าเป็นธรรมดาอย่างนั้นตลอดเวลาไหม ? ถ้ายังเป็นบ้างไม่เป็นบ้าง ก็ยังไม่นับว่าเป็นสังขารุเปกขาญาณ สังขารุเปกขาญาณต้องทรงได้ตลอด พูดง่าย ๆ ว่า สังขารุเปกขาญาณมาแล้วไม่ถอย จะอยู่ทรงตัวอย่างนั้นไปเลย

ถาม : คือได้เรื่องหนึ่งแล้ว เรื่องอื่นจะไม่มีปัญหา ?
ตอบ : ทุกอย่างจะเป็นอย่างนั้นหมดเลย มีอารมณ์ปล่อยวางได้เสมอกัน

ถาม : แล้วใช้อะไรที่เป็นความคล่องตัว พร้อมด้วยสติปัญญาที่ตั้งมั่นอยู่ตลอด ?
ตอบ : นั่นเป็นเรื่องของสติ สมาธิ และปัญญาที่เริ่มทรงตัว จากการปฏิบัติที่ต่อเนื่องของเรา สติจะเป็นตัวฉุดรั้ง สมาธิเป็นตัวหักห้าม ปัญญาเป็นตัวเห็นตามความเป็นจริง

เมื่อถึงเวลาทั้งสามอย่างนี้จะทำงานด้วยกัน สติระลึกได้เกิดขึ้น มีกำลังของสมาธิช่วยในการหักห้ามใจตัวเอง และมีปัญญารู้แจ้งเห็นจริงในคุณและโทษ ก็จะเลือกแต่สิ่งที่เป็นคุณ และเว้นในสิ่งที่เป็นโทษ ท้ายสุดพอไปถึงที่สุดแล้ว ทั้งคุณทั้งโทษก็ไม่ใช่สิ่งที่จะมากระทบกระเทือนเราได้อีกแล้ว ก็จะอยู่ตรงช่วงกลางพอดี ที่เป็นอัพยากฤต จึงจะเป็นสังขารุเปกขาญาณ
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 22-01-2019 เมื่อ 19:28
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 170 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
ตอบ


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 07:05



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว