#1
|
||||
|
||||
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันจันทร์ที่ ๓๐ ตุลาคม ๒๕๖๖
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันจันทร์ที่ ๓๐ ตุลาคม ๒๕๖๖
|
สมาชิก 43 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ พิชวัฒน์ ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#2
|
||||
|
||||
วันนี้ตรงกับวันจันทร์ที่ ๓๐ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๖๖ เป็นวันแรม ๑ ค่ำเดือน ๑๑ ซึ่งเรียกกันอย่างเป็นทางการว่าวันเทโวโรหณะ หรือที่ชาวบ้านเรียกกันง่าย ๆ ว่าวันตักบาตรเทโว หรือถ้าอย่างที่สมัยกระผม/อาตมภาพยังเด็กอยู่ ชาวบ้านเขาใช้คำว่าวันตักบาตรดาวดึงส์ เพราะถือเอานิมิตที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เสด็จลงจากสวรรค์ชั้นดาวดึงสเทวโลก หลังจากที่ไปโปรดพระพุทธมารดามาตลอดพรรษาที่ ๗
คราวนี้วัดท่าขนุนของเราถือเป็นธรรมเนียม ตั้งแต่กระผม/อาตมภาพเป็นเจ้าอาวาสมา ๑๖ ปีแล้ว ก็คือว่าวันตักบาตรเทโว เราจะทอดกฐินไปเลย เนื่องจากว่าวัดของเราอยู่ไกลมาก แค่ในตัวจังหวัดกาญจนบุรีเดินทางมาถึงก็ ๑๔๐ กิโลเมตรเข้าไปแล้ว..! ญาติโยมถ้าต้องเดินทางมาร่วมงานตักบาตรเทโวครั้งหนึ่ง ร่วมงานทอดกฐินสามัคคีอีกครั้งหนึ่ง ก็จะเสียเวลามาก สิ้นเปลืองมาก กระผม/อาตมภาพจึงรวบเอาสองงานมาเป็นงานเดียวกัน ก็คือตอนเช้าตักบาตรเทโว ตอนบ่ายเราทอดกฐินสามัคคีไปเลย คราวนี้ตั้งแต่ปี ๒๕๖๑ เป็นต้นมา ก่อนงานตักบาตรเทโวและทอดกฐินสามัคคี กระผม/อาตมภาพได้รับคำสั่งให้เข้ากรรมฐาน ๓ วัน เพื่อเป็นการสงเคราะห์ญาติโยม ซึ่งช่วงนั้นต้องบอกว่าเศรษฐกิจไม่ดี แต่ว่าจากวันนั้นจนถึงวันนี้ ก็ไม่มีคำสั่งให้เลิก..! ยังไม่รู้เหมือนกันว่าจะมีกำลังทำไหวได้อีกสักกี่ปี ? แต่ว่าการเข้ากรรมฐานปีนี้ถือว่าเป็นปีที่สงบเรียบร้อยที่สุด เพราะว่าโดยปกติแล้วมักจะมีนักเลงดีชอบส่ง "ของดี" มาให้ ต้องบอกว่าเขาเคารพนับถือเรา ก็อยากจะถวายของดี ๆ ที่เขามีอยู่ ปีนี้กระผม/อาตมภาพก็เลยตั้งรับแบบเต็มที่ พร้อมที่จะสวนทุกดอก..! คือกะจะเอาให้เข็ดไปเลย ปรากฏว่าเงียบสนิท..! ถ้าหากว่าท่านทั้งหลายเข้าไปเห็นในกุฏิเจ้าอาวาส อาจจะตกใจ เพราะว่าอาจจะมากยิ่งกว่าอาวุธที่อิสราเอลถล่มฮามาสเสียอีก..! เพราะว่าอันดับแรกเลย มีดหมอครูบาอาจารย์เต็มพานพอดี มีตั้งแต่หลวงปู่ยิ้ม วัดหนองบัว หลวงปู่บุญ วัดกลางบางแก้ว หลวงปู่ทองเฒ่า วัดเขาอ้อ หลวงปู่เดิม วัดหนองโพธิ์ หลวงพ่อฤๅษีฯ วัดท่าซุง แล้วก็หลวงพ่อบุญมี วัดเขาสมอคอน กะว่าเอ็งมามุมไหนก็ไม่รอด..! แล้วสี่มุมกุฏิยังมีตะกรุดพยัคฆราชเกราะเพชรอยู่ทุกมุม แถมด้วยแมลงภู่คำตัวครูงาช้างแกะอีก ๒ ตัว ซึ่งเลือกเอาตัวที่ดุที่สุดมาอีกด้วย..! ปรากฏว่าพอเริ่มเข้าวันเสาร์กระผม/อาตมภาพก็ภาวนาคาถามหาสะท้อนรอรับอยู่ ๕ - ๖ ชั่วโมง น่าเสียดายมาก คือโดนทุกปี โดนจนรำคาญ กะว่าปีนี้จะเอาเสียให้เข็ด แต่ที่เสียดายกว่านั้นก็คือตะกรุดโลกธาตุเนื้อทองคำ ที่เข้าพิธีปลุกเสกอยู่ เสียดายว่าน้ำหนักไม่ถึงบาท ไม่อย่างนั้นคงจะเป็นมหาสะท้อนแบบชนิดที่มีอานุภาพมากที่สุดเท่าที่เคยทำมา เพราะว่าไม่เคยเสกหลายชั่วโมงขนาดนี้มาก่อน..!
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 31-10-2023 เมื่อ 02:38 |
สมาชิก 44 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#3
|
||||
|
||||
เมื่อกระผม/อาตมภาพขึ้นไปกราบถาม "พระ" ท่านชี้ให้ดูว่าท่านขีดวงเอาไว้ ๔ กิโลเมตร "ห้ามรบกวน" ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าท่านไปแขวนป้ายห้ามรบกวนไว้ตอนไหน เล่นกระผม/อาตมภาพเอาตั้งท่าฟรี แต่ที่ท่านไม่บอก อาจจะเป็นเพราะตั้งใจที่จะให้กระผม/อาตมภาพภาวนาให้เยอะหน่อยก็ได้
แต่คราวนี้ในเรื่องของการภาวนานั้นก็คล้าย ๆ กับการออกกำลังกาย ถ้าหากว่าร่างกายของเราเคยชินกับการออกกำลังกายระดับไหน เมื่อเราได้ออกแรงไประยะหนึ่ง เมื่อถึงระดับนั้นเมื่อไร ร่างกายก็เหมือนกับเป็นอัตโนมัติ ก็คือจะไปได้เองเรื่อย ๆ เรื่องของสมาธิภาวนาก็เหมือนกัน ถ้าเราเคยชินกับการกำหนดเวลาเอาไว้ ถ้ายังไม่ถึงเวลา สมาธิก็จะไม่คลายตัวออกมา สำหรับท่านอื่นเป็นอย่างไรไม่ทราบ แต่กระผม/อาตมภาพเองนั้น ถ้าไม่คลายตัวออกมา ต่อให้หกคะเมนตีลังกาอย่างไร ก็จะทรงตัวอยู่อย่างนั้น ถึงได้เคยยืนยันกับท่านทั้งหลายว่า การเข้าสมาธิ เราจะอยู่ในอิริยาบถในก็ได้ สมัยที่เป็นวัยรุ่นฆราวาส กระผม/อาตมภาพหกหัวเอามือเดินแทนเท้ายังภาวนาได้เป็นกิโล ๆ..! จึงขึ้นอยู่กับการซักซ้อมของเรา อยู่ในลักษณะของกีฬาสมาธิ คราวนี้สภาพร่างกายของเราที่อดอาหาร ถ้าหากว่าเราไม่เคยชิน ใหม่ ๆ มื้อแรกก็จะหิวมาก แต่กระผม/อาตมภาพเคยบอกกับท่านทั้งหลายแล้วว่า ร่างกายของเรานั้น เราสั่งได้ เราตั้งโปรแกรมเองได้ อย่างเช่นท่านที่เริ่มถือศีล ๘ อดอาหาร ถ้าเราตั้งใจว่ามื้อเย็นเราจะไม่กิน พอผ่านไป ๓ วัน วันที่ ๔ ร่างกายก็จำแล้วว่ามื้อนี้ไม่มีให้ ก็จะไม่รบกวนเราอีก หรือที่กระผม/อาตมภาพตั้งแต่เด็กมา เกลียดหมอที่ฉีดยามากเป็นพิเศษ เพราะว่าเด็ก ๆ ป่วยบ่อย แล้วหมอที่รักษาเป็นหมอทหารเสนารักษ์ ซึ่งรักษาด้วยการฉีดยาให้ แต่แกฉีดแบบจิ้มเข็มเข้าไป พร้อมกับกดยาปื้ดเดียวหมดเลย..! เนื้อก็จะบวมเป็นก้อน ให้เราเดินตูดปัดไปเป็นอาทิตย์..! ในเมื่อเกลียดมาก ๆ สภาพจิตก็ไม่ยอมรับ หลังจากนั้นพอเห็นเข็มก็เป็นลม และเป็นอย่างนั้นมาตลอด จนกระทั่งเรียนชั้นมัธยมแล้วก็ยังเป็นอยู่ มาภายหลังพอไปเรียนทหาร เขาต้องมีการเจาะเลือด ตรวจเลือดอะไรเป็นปกติ มีการฉีดยากันบาดทะยักก่อนที่เราจะออกสู่ชายแดน กระผม/อาตมภาพก็คิดว่าตอนนี้เป็นทหารแล้ว ถ้าหากว่าเป็นลม ก็ขายหน้าชาวบ้านเขา จึงบอกกับร่างกายว่า "เอ็งเลิกเป็นลมได้แล้ว" แต่ขนาดนั้น พอหมอฉีดยาให้ก็ยังต้องไปนั่งนิ่ง ๆ อยู่ประมาณ ๑๐ นาที เพื่อให้มั่นใจว่าไม่เป็นลม ไม่อย่างนั้นแล้ว ก่อนหน้านี้พอเจอเข็มเข้าก็เป็นลมไปก่อนแล้ว มาภายหลังก็นั่งมองหมอผ่าตัดตัวเอง เย็บให้ตัวเอง โดยที่ไม่รู้จักคำว่าเป็นลมเพราะกลัวเลือดหรือกลัวเข็มนั้นเป็นอย่างไร..!?
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 31-10-2023 เมื่อ 02:42 |
สมาชิก 41 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#4
|
||||
|
||||
นั่นคือการที่เราตั้งโปรแกรมร่างกายเสียใหม่ ร่างกายที่เป็นลมหรือช็อก ก็เพื่อที่จะรักษาสภาพเอาไว้ เพราะว่าเวลาเราช็อก ความดันจะต่ำ เลือดจะไหลช้า ถ้ามีบาดแผลใหญ่ก็จะได้ตายช้าหน่อย..! ช่วยให้หมอรักษาได้ทัน เป็นระบบอัตโนมัติของร่างกายเราเอง เราก็ต้องตั้งใจใหม่ว่าระดับไหนถึงจะยอมให้ช็อกหรือว่าเป็นลม แต่ว่าเรื่องพวกนี้ถ้าหากว่าเรายังทำไม่ถึงก็แค่ฟัง ๆ เอาไว้ก่อน ถึงเวลาถ้าทำได้เมื่อไรก็จะเข้าใจว่า ที่กระผม/อาตมภาพพูดถึงอยู่นี้หมายถึงอะไร ?
แต่ว่ามีเรื่องตลกอยู่ก็คือ พอเข้าวันที่สอง กำลังภาวนา อยู่ ๆ ก็เกิดนิมิต คำว่านิมิตนี้ไม่ใช่ฝัน ความฝันของเราจะเป็นเรื่องเป็นราว แต่นิมิตนี่มักจะมาแบบไม่มีหัวไม่มีท้าย แล้วชัดเจนเหมือนอย่างกับตัวตนของเราไปเจอด้วยตนเอง อย่างชนิดที่ว่าถ้าโดนใครตีหัวก็จะต้องหลบ นิมิตที่ปรากฏก็คือตัวเองกำลังตักข้าวต้มกับผักกาดดอง แต่ด้วยความที่สติยังสมบูรณ์อยู่ ก็เลยบอกกับตัวเองว่า "อย่าทะลึ่ง ตอนนี้เข้ากรรมฐาน อดข้าวอยู่" ภาพก็เลยหายไป สมัยก่อนที่ยังอยู่วัดท่าซุง มีเพื่อนรุ่นน้อง ท่านตั้งใจอดบุหรี่ พอถึงวันที่ห้า ท่านบอกว่านิมิตนั้นชัดเจนเหมือนกับทำด้วยตัวเองจริง ๆ ก็คือมือซ้ายคีบบุหรี่ มือขวาจุดไฟแช็ก แล้วก็นึกขึ้นมาได้ว่า "เฮ้ย..เรากำลังอดบุหรี่อยู่..!" ลืมตาขึ้นมา มือยังอยู่ในท่านั้นอยู่เลย นั่นคือนิมิต นิมิตจะชัดเจนมากเป็นพิเศษ เหมือนอย่างกับตัวเราไปสัมผัสเองจริง ๆ ทุกประการ เพียงแต่ว่าในเรื่องของนิมิตนั้น อย่าไปถือสาหาความอะไรมาก ถ้าหากว่าดี เราก็เก็บไว้เป็นกำลังใจให้ตัวเอง ถ้าไม่ดีก็ลืม ๆ ไปเสีย เหตุที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่า ถ้าเป็นเรื่องไม่ดีที่จะเกิดขึ้น แล้วเรามัวแต่ไปเครียดอยู่ ก็เสียเวลาเปล่า ๆ เพราะว่าอย่างไรเรื่องของนิมิตก็แสดงให้รู้ถึงบุญถึงกรรมที่จะเข้ามา หรือว่าเป็นนิมิตที่เกิดขึ้น เพื่อบอกใบ้บางสิ่งบางอย่างให้เรารู้ ต่อให้เรารู้แล้วจะแก้ไขหรือไม่แก้ไข เรื่องนั้นก็ต้องเกิดแน่ จึงควรที่จะทำใจสบาย ๆ เหมือนอย่างกับไม่รู้อะไรเลย อยากจะมาก็มา อยากจะไปก็ไป เราทำไว้เราก็ต้องรับ เป็นเรื่องธรรมดาอยู่แล้ว คราวนี้สภาพร่างกายเมื่อผ่านวันที่สองไป ก็เป็นเรื่องปกติ เหมือนกับเครื่องเริ่มติดแล้ว ก็จะไม่รู้สึกรู้สาอะไร อยู่กับการภาวนายาว ๆ ไปเลย ทั้งกลางวันและกลางคืน แม้กระทั่งช่วงเย็นวันที่สาม น้องเล็ก (นางสาวจิราพร ซื่อตรงต่อการ) เอาน้ำผึ้งมานูก้าที่ท่านอาจารย์บ๊ะ (พระอาจารย์ศิริชัย ชยธมฺโม) บอกว่าให้เอาไปเผื่อไว้ ช่วงเช้าวันที่สี่ที่ออกมาคือวันนี้ จะได้ฉันแล้วมีกำลัง ปรากฏว่ากระผม/อาตมภาพก็ปล่อยเอาไว้อย่างนั้นเฉย ๆ จนป่านนี้ก็ลืมไปแล้วว่าวางไว้ตรงไหน..!? ก็คือถ้าร่างกายของเราเคยชินแล้วก็จะไปได้เรื่อย ๆ จะไม่ฉันอย่างนี้ไปนานเท่าไร ก็อยู่ที่เราตั้งใจเอง
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 31-10-2023 เมื่อ 02:47 |
สมาชิก 40 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#5
|
||||
|
||||
แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามักจะกำหนดไว้ว่าไม่ให้เกิน ๑๕ วัน เพราะว่าตอนแรกร่างกายของเราจะดึงสารอาหารจากกล้ามเนื้อโดยธรรมชาติ แล้วหลังจากนั้นก็จะไปดึงจากไขมัน พอไม่มีแล้ว คราวนี้จะไปดึงจากอวัยวะภายใน ถ้าดึงมากเกินไป อวัยวะภายในล้มเหลว ก็เสียชีวิต..!
แต่สำหรับท่านที่มีความคล่องตัวในอภิญญา ๕ สมาบัติ ๘ นั่นถือว่านอกเหตุเหนือผล เพราะว่าท่านสามารถที่จะดึงเอา "ปราณละเอียด" รอบกายเข้าไปแทนอาหารได้ สามารถที่จะเข้าสมาธิอยู่ได้เป็นเดือนเป็นปี โดยไม่เดือดร้อนอะไรกับใคร นั่นเป็นคนละส่วนกัน ถ้าหากว่าใครทำได้ กระผม/อาตมภาพก็อนุโมทนาด้วย แต่ไม่ควรที่จะไปทำอวดใคร แม้แต่พระเถระครูบาอาจารย์ที่กระผม/อาตมภาพรู้จักมักคุ้น อย่างหลวงพ่อเกษม เขมโก สำนักสุสานไตรลักษณ์ จังหวัดลำปาง ครูบาเจ้าเกษม ท่านก็ฉันอาหารให้คนอื่นเห็น จะได้ไม่เป็นห่วง แต่ว่าท่านฉันคำเดียว ฉันพอเป็นพิธี ไม่อย่างนั้นแล้วลูกศิษย์มักจะกังวลมาก ก็ถือว่าเป็นความเมตตาของครูบาอาจารย์ แต่ความจริงท่านไม่ฉันเลยก็อยู่ได้ เพียงแต่ว่าสภาพของท่านผอมเสียจนคนเห็นแล้วสงสารมากกว่า สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายแก่พระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้ พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร. เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันจันทร์ที่ ๒๗ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๖๖ (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 31-10-2023 เมื่อ 02:49 |
สมาชิก 49 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน ) | |
|
|