#1
|
||||
|
||||
ปกิณกธรรมช่วงบวชเนกขัมมะขึ้นปีใหม่ วันที่ ๓๐ ธันวาคม ๒๕๖๕ - ๒ มกราคม ๒๕๖๖
ก่อนปฏิบัติธรรมช่วงเข้า วันศุกร์ที่ ๓๐ ธันวาคม ๒๕๖๕ สำหรับวันนี้ก็ถือว่าเป็นการบวชเนกขัมมะปฏิบัติธรรมครั้งแรกของปี ๒๕๖๖ เป็นช่วงคาบเกี่ยวระหว่างส่งท้ายปี ๒๕๖๕ ต่อกับต้นปี ๒๕๖๖ กิจกรรมคร่าว ๆ ของเราวันนี้คือ เริ่มการบวชเนกขัมมะปฏิบัติธรรมตามปกติ ตอนเย็นทำวัตรค่ำเสร็จแล้ว ก็ไปเปิดตลาดริมแควเมืองท่าขนุนกันตอน ๑๙.๓๐ น. ที่นัดไว้ตอน ๑๙.๓๐ น. ก็เพราะว่าจะให้พระทำวัตรเย็นเสร็จก่อน ส่วนใหญ่แล้วงานที่ตลาดริมแควเมืองท่าขนุนสำเร็จลงได้ก็ด้วยฝีมือพระ พระไปช่วยควบคุมทั้งในเรื่องของน้ำ ของไฟ ตลอดจนเรื่องของ WIFI ใครไปตลาดริมแควเห็น WIFI ก็จิ้มได้เลยนะจ๊ะ..ของฟรี ตลาดสร้างไม่ทันจะเสร็จ เขาก็ไปนั่งจิบกาแฟชมวิวกัน แล้วก็บ่นว่าไม่มี WIFI น่าตบสักฉาด..! ของ่าย ๆ แต่วัดจ่ายเท่าไรก็ไม่รู้..?! จากตรงนี้กระผม/อาตมภาพก็ต้องเดินทางไปวัดวังหิน ในฐานะผู้บังคับบัญชาต้องไปเปิดงานผูกพัทธสีมาซึ่งเลื่อนมา ๒ ปีแล้ว เพราะว่าเชื้อไวรัสโควิด-๑๙ ระบาด ห้ามจัดงานที่มีการรวมคนมาก ๆ อาตมาจองมีดตัดหวายไว้ ๒ เล่ม ป่านนี้น่าจะสนิมขึ้นหมดแล้ว..! เลื่อนงานมาปีนี้ ๒ วัด วัดวังหินเปิดวันนี้ตอนสิบโมงเช้า พรุ่งนี้วัดอู่ล่องเปิดงานตอนบ่ายโมง เป็นงานผูกพัทธสีมาเหมือนกัน อาตมาจองมีดตัดหวายของทางวัดอู่ล่องไว้ ๑ เล่ม ก็คงจะสนิมกินไปแล้วเหมือนกัน..!
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 16-01-2023 เมื่อ 11:11 |
สมาชิก 27 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#2
|
||||
|
||||
หลังจากนั้นจากวัดวังหินก็ต้องวิ่งกลับมา มอบข้าวสารอาหารแห้งให้กับทางโรงเรียนหมู่บ้านเด็ก (วังด้ง) ซึ่งทางวัดท่าขนุนจะมอบข้าวสารอาหารแห้งให้พวกเขาทุกเดือน พร้อมกับเงินสนับสนุนมากน้อยตามแต่กระเป๋าตอนนั้นจะมี
ในช่วงบ่ายพวกเราปฏิบัติธรรมกันแล้ว ตอนสี่โมงเย็นอนุญาตให้ไปเดินตลาดได้ แต่ว่าให้รีบกลับมาให้ทันทำวัตรตอนหกโมงเย็น ห้ามหลงระเริง การที่เราจะไม่หลงระเริงต้องเป็นผู้มีสติ แล้วการเป็นผู้มีสติก็ต้องมีสมาธิเป็นเครื่องประกอบ กำลังสมาธิต้องเข้มแข็งมากกว่า สามารถลากตัวเราออกจากที่ชอบที่ชอบ มาที่ไม่ชอบ..ก็คือปฏิบัติธรรม..! การปฏิบัติธรรมเป็นการทวนกระแสโลก พวกเราเองถ้าเข้มแข็งไม่พอ ก็ไปไม่รอด กลายเป็นปลาตายลอยตามน้ำ แต่ถ้าหากว่าเข้มแข็งเพียงพอ ต่อสู้ไปจนผ่านสามโตรกแยงซีเกียงได้ เขาว่าปลาหลีฮื้อจะกลายเป็นมังกร..! ลองดูว่าพวกเราจะมีใครกระโดดข้ามประตูมังกรได้บ้าง สิ่งที่เราทำ กับสิ่งที่เราหวัง ต้องไปกันได้ ไม่ใช่ภาวนาพระคาถาเงินล้านวันละจบเดียว แล้วอยากถูกรางวัลที่ ๑ หรือปฏิบัติธรรมเช้า ๑ ชั่วโมง เย็น ๑ ชั่วโมง แล้วบอกว่าจะไปพระนิพพาน รอจนชาติหน้าบ่าย ๆ ก็ยังไม่ได้เลย..!
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 15-01-2023 เมื่อ 18:03 |
สมาชิก 28 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#3
|
||||
|
||||
ก่อนปฏิบัติธรรมช่วงบ่าย วันศุกร์ที่ ๓๐ ธันวาคม ๒๕๖๕ สมัยที่ยังอยู่วัดท่าซุง โยมสง่า สาโรจน์ เป็นมัคคนายก ด้วยความที่มัคคนายกสง่าเป็นอดีตเจ้าอาวาส บวชมา ๒๒ พรรษา ก็เลยทำให้บรรดาพระเบื่อมาก เพราะว่าแกรู้มาก พระใหม่ทำอะไรติด ๆ ขัด ๆ แกสาธุส่งเลย ถึงเวลาก็ "หันทะ มะยัง สาธุการัง สัทธามะ เส...สาธุ สาธุ" แล้วพระใหม่จะทำอะไรได้ล่ะ ? หัวหูร้อนหมด จะลุกไปเตะก็เกรงใจคนแก่ ไม่ใช่คนแก่อย่างเดียว ตาบอดอีกต่างหาก..! คำว่า สาธุ แปลว่า ดีแล้ว ชอบแล้ว สมควรแล้ว เป็นการแสดงความยินดีในความดีของผู้อื่น เป็นบุญที่ว่าจะได้ง่ายก็ง่าย จะได้ยากก็ยาก เหตุที่ว่าเป็นบุญที่ได้ง่ายก็เพราะว่าถ้าวางกำลังใจถูก ยินดีกับเขาด้วย ตนเองก็มีส่วนในบุญนั้น เรียกว่าปัตตานุโมทนามัย บุญเกิดจากการอนุโมทนาตามความดีที่คนอื่นเขาทำ แต่ว่าส่วนใหญ่ในปัจจุบันของเรา ไปวางกำลังใจผิด โดยเฉพาะหลายต่อหลายคนพอรู้ว่าเป็นบุญที่ได้ง่าย ก็วางกำลังใจผิด แทนที่จะพลอยยินดีในบุญของเขา สาธุของเรากลายเป็นแปลว่า "กูจะเอาบุญของมึงด้วย" ในเมื่อวางกำลังใจผิดชีวิตก็เปลี่ยนไปเลย..!
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 15-01-2023 เมื่อ 18:04 |
สมาชิก 26 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#4
|
||||
|
||||
สมัยนี้เขาบอกว่าพูดผิดชีวิตเปลี่ยน พิมพ์ผิดชีวิตเปลี่ยน ผู้หญิงไปทำอะไรให้ก็ไม่รู้ ผู้ชายตั้งใจจะพิมพ์ตอบไปว่า "ขอบคุณมากครับ" แต่จิ้มผิด จิ้ม ช แทน ข เลยกลายเป็น "ชอบคุณมากครับ" เท่านั้นเองชีวิตเปลี่ยนเลย ผู้หญิงก็หลงยิ้มตาลอยอยู่ตั้งนาน..เขาชอบเรานี่หว่า..!
ต้องบอกว่าจินตนาการล้ำเลิศไปหน่อย ฟุ้งซ่านมาก มีอยู่คราวหนึ่งอาตมภาพเจอหน้าหมา ก็ทักทายว่า "เป็นอย่างไรที่รัก กินข้าวหรือยัง ?" มีแม่ชีอยู่รูปหนึ่งบังเอิญเดินมาบริเวณนั้นได้ยินเข้า ฟุ้งซ่านไป ๗ - ๘ วัน คิดว่าหลวงพ่อทักเขา ทั้ง ๆ ที่ทักหมาแท้ ๆ..! หมาที่วัดนี้มีที่มาต่าง ๆ กัน มีอยู่ตัวหนึ่งเป็นนางฟ้าตกสวรรค์เอาเปรียบชาวบ้านเขา ก็เลยเรียกว่า "อรรัมภา" ลงมาเกิดเพื่อใช้ชาติ เกิดเป็นหมามีอายุไม่กี่ปี แถมอยู่วัด ทำวัตรเช้า ทำวัตรเย็น ช่วยดูแลของสงฆ์ บุญล้วน ๆ อย่างไรก็ไม่พลาดที่เดิม เดี๋ยวก็กลับขึ้นสวรรค์ไปใหม่แล้ว..ผ่านไปหนึ่งชาติ ขณะที่เราเองชาติเดียวอยู่เสียแก่หงำเหงือก ส่วนหมาลงมาได้อีกสามรอบ..! อาตมาเรียกหมาตามกำลังใจ แม่ชีได้ยินแล้วดันฟุ้งซ่าน อาตมาเรียกหมาว่า "ที่รัก" แต่แม่ชีนึกว่าเรียกตัวเอง เช่นนั้นก็ปล่อยให้ฟุ้งต่อไปก็แล้วกัน พูดผิดชีวิตเปลี่ยนยังไม่พอ ฟังแล้วเข้าใจผิดชีวิตก็เปลี่ยนด้วย ไปฟุ้งซ่านเสียยกใหญ่..!
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 16-01-2023 เมื่อ 02:46 |
สมาชิก 26 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#5
|
||||
|
||||
ท่านอาจารย์ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร. สมชัย ศรีนอก เวลาเขียนหนังสือ เขียนกลอน หรือแต่งเพลง ใช้นามปากกาว่า ช. ศรีนอก ตอนช่วงเรียนปริญญาเอก ทางมหาวิทยาลัยเขามีข้อบังคับว่าต้องเข้ากรรมฐาน ๔๕ วัน ถ้าหากว่าปริญญาโทต้องเข้ากรรมฐาน ๓๐ วัน ปริญญาตรีเข้ากรรมฐานปีละ ๑๐ วัน ๔ ปีติดกัน
เข้ากรรมฐานไปได้ ๒ - ๓ วัน ที่แคมป์สน จังหวัดเพชรบูรณ์ เขาแยกห้องพัก ห้องใครห้องมัน ปรากฏว่าตอนที่จะเดินไปสวดมนต์ทำวัตรเย็น มีนิสิตผู้หญิงคนหนึ่ง หน้าตาดีมากเลย เดินผ่านอาจารย์ ช. ถามว่า "อาจารย์รู้ไหมว่าชาติก่อนเราเป็นอะไรกัน ?" อาจารย์ ช. ภาวนาไม่ได้ไป ๗ - ๘ วัน..! ท่านบอกว่า "ท่านเอ๊ย ผมนี่ฟุ้งไปหมด ! เขาเป็นอะไรกับเราวะ ?" แล้วก็คิดแต่เรื่องดี ๆ ทั้งนั้นเลยนะ..! เห็นหรือยังว่าไม่ใช่แค่พูดผิดชีวิตเปลี่ยน ฟังผิดก็ชีวิตเปลี่ยน..! ถ้าถามว่า "จะแก้อย่างไร ?" ก็เป็นเรื่องปกติธรรมดา ราคะ โลภะ โทสะ โมหะ มีอยู่เต็มหัว ทุกรูปทุกนามนั่นแหละ เพียงแต่ว่าถ้าเราไม่ปรุงแต่งต่อ ราคะ โลภะ โทสะ โมหะ เกิดไม่ได้ ก็ทำอันตรายเราไม่ได้ กระผม/อาตมภาพเคยเปรียบว่า ถ้าเราลวกเส้นก๋วยเตี๋ยวด้วยน้ำเปล่า ส่งไปให้จะใครจะกินบ้าง ? ถ้าไม่หิวไส้ขาดจริง ๆ ใครจะซดเข้าไป ? ก๋วยเตี๋ยวกับน้ำร้อนเปล่า ๆ ?
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 16-01-2023 เมื่อ 02:48 |
สมาชิก 26 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#6
|
||||
|
||||
แต่คราวนี้เราไปทำอะไร ? เปลี่ยนจากน้ำร้อนเปล่าเป็นน้ำต้มกระดูกหมู ใส่ตั้งฉ่าย ใส่กระเทียมเจียว ใส่พริกไทย ใส่ผักชี ใส่ถั่วงอก ใส่หมูสับ แถมลูกชิ้นอีกหนึ่งกำมือ น้ำตาล พริกป่น น้ำส้ม น้ำปลา ยิ่งใส่ก็ยิ่งอร่อย..ใช่ไหม ? แล้วคราวนี้ก็กินกระจายเลย บางทีแม้แต่น้ำก็ซดจนเกลี้ยงชาม..! อร่อยเพราะอะไร ? เพราะเราปรุง ถ้าเราไม่ใส่อะไรเลยจะกินไหม ? ไม่อดจริง ๆ ไม่มีใครเขากินหรอก
เรื่องของธรรมะก็เหมือนกัน ราคะ โลภะ โทสะ โมหะ มีอยู่กับเราทุกคน แต่ถ้าเราไม่ไปปรุง ก็ทำอะไรเราไม่ได้ เหมือนกับเชื้อไฟพร้อมที่จะติด แต่ถ้าเราไม่เอาไฟไปแหย่ จะติดได้ไหม ? เชื้อไฟก็อยู่ของมันอย่างนั้นแหละ เพราะฉะนั้น..ในเรื่องของการละกิเลสนี่ ถ้าใครบอกว่า ตัดกิเลส ละกิเลส ความจริงไม่ตรงนะ ที่ตรงจริง ๆ ก็คืออย่าไปสร้างกิเลส คืออย่าไปสะกิดสะเกาให้กิเลสฟื้น ปล่อยให้นอนอยู่เฉย ๆ อย่างนั้นแหละ ไม่ไปยุ่งด้วยก็หมดเรื่องแล้ว ฟังดูก็ไม่ยาก..ทำมาตั้งนมนานกาเล ทำไมไม่ได้เรื่องสักที ? ก็เพราะว่าเราทำไม่ต่อเนื่อง เมื่อเช้าเดินจงกรม ๒ บัลลังก์ นั่งภาวนา ๒ บัลลังก์ รวมเวลาแล้ว ๒ ชั่วโมง แล้วตั้งแต่ ๑๐.๐๐ น. จนถึงตอนนี้ ๑๒.๓๐ น. สองชั่วโมงครึ่ง ทำอะไรกันบ้างจ๊ะ ? ถามจริง..มีใครภาวนาต่อบ้าง ? ไม่มีเลย..ใช่ไหม ? คราวนี้ไม่ใช่แค่ "น้ำตาจิไหล" แต่ว่าไหลเลยแหละ..!
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 16-01-2023 เมื่อ 02:51 |
สมาชิก 26 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#7
|
||||
|
||||
เห็นหรือยังว่าเราทำไป ๒ ชั่วโมง แล้วก็ทิ้งไป ๒ ชั่วโมงครึ่ง..! ถ้าเราว่ายทวนน้ำมา ๒ ชั่วโมง แล้วปล่อยไหลตามน้ำไป ๒ ชั่วโมงครึ่ง นี่แปลว่าที่ทำมานั้นขาดทุนแล้ว ที่เราขาดทุนเพราะเราทำไม่ต่อเนื่อง แล้วพอถึงเวลาทำวัตรเย็น เราก็โกยมาอีกหน่อย แล้วก็ปล่อยไหลต่อไปทั้งคืน ตายแล้วคราวนี้..! กว่าจะตื่นก็โน่น ถึงปากอ่าวแม่กลองโน่น ดีไม่ดีก็ไปถึงแถว ๆ ที่เรือหลวงสุโขทัยล่ม..!
ทำอย่างไรที่เราจะรักษาสติสมาธิให้อยู่กับการภาวนาของเราได้ เอาให้ต่อเนื่องตามกันไม่ขาดสาย จะได้ไม่แพ้กิเลสมากนัก ? อันดับแรกเลย ต้องตั้งหน้าตั้งตาภาวนาให้ทรงปฐมฌานละเอียดให้ได้ ปฐมฌานหยาบไม่ได้นะ ที่ปฐมฌานหยาบไม่ได้เพราะว่าส่วนใหญ่จะตัดหลับ ปฐมฌานละเอียดถ้าเกิดขึ้น กำลังสมาธิสูงพอที่จะกด รัก โลภ โกรธ หลง ให้ดับลงไปชั่วคราว แล้วความแหลมคมชัดเจนของสติจะมีมาก เราก็ระมัดระวังอาศัยสติเข้าไปประคับประคอง ตอนนั้นเราจะรู้ลมหายใจและคำภาวนาอัตโนมัติ ไม่ต้องบังคับก็เป็นเอง แค่เอาสติไปจดจ่อเอาไว้อย่าให้หลุดเท่านั้น ถ้าถามว่าตอนนอนทำอย่างไร ? ถ้าทำได้จริง ๆ จะมีสติแม้ตอนเรานอนหลับ หลับอยู่ก็รู้ว่าเราหลับ กรนยังได้ยินเสียงตัวเองกรนเลย มีหลายคนเป็นมาแล้ว แต่ไม่รู้ตัวว่านั่นคืออาการของปฐมฌานละเอียด ตกใจอีกต่างหาก "นี่เรากรนหรือ !" น่าทุบนัก..! ถึงเวลาอยากจะตื่น ก็ค่อย ๆ ขยายความรู้สึกออกไป จากที่รวบเข้ามาอยู่เฉพาะจุดเดียว ก็กระจายออกไปจนกระทั่งถึงปลายมือปลายเท้า พอประสาททั้งหมดเริ่มสมบูรณ์พร้อม อยากจะลุก..ลุก อยากจะยืน..ยืน อยากจะไปห้องน้ำ..เดินไปห้องน้ำ ในความรู้สึกของเราขั้นตอนเหล่านี้ช้ามาก แต่ในสายตาคนอื่นเขาจะเห็นว่าเราพลิกตัวได้ ก็ลุกปั๊บ..เดินเข้าห้องน้ำเลย ถามว่าด้วยความเร็วขนาดนั้น ทำไมเรารู้สึกว่าช้ามาก ? ก็เพราะว่าสภาพจิตแหลมคมว่องไวมาก ถ้าไม่อย่างนั้นแล้วจะไม่เท่าทันกิเลสที่เกิดขึ้น
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 16-01-2023 เมื่อ 02:54 |
สมาชิก 27 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#8
|
||||
|
||||
ในมืออาตมานี่คืออะไร ? สมาร์ทโฟน บางคนเรียก "โมบายโฟน" บ้านเราเรียก "มือถือ" หลวงพ่อว่าก็ใช้มือถือทุกคนแหละ เคยลองใช้ตีนถือแล้วไม่ถนัด..!
แค่เห็นว่าเป็นโทรศัพท์นี่ก็แย่แล้วนะ เพราะแสดงว่าจิตของเราปรุงไปแล้ว ทำอย่างไรเราจะสักแต่ว่าเห็นเป็นเพียงรูป เป็นเพียงธาตุเท่านั้น อันนั้นต้องใช้ปัญญาที่มากกว่านั้น ไม่เช่นนั้นแล้วพอเราเห็นรู้สึกว่าสวยดีอยากได้ อยาก..โลภะเกิดแล้ว สาวคนนั้นหน้าตาดีเดี๋ยวถ่ายรูปไว้หน่อย..ราคะใช่ไหม ? ไอ้ห่..นั่นวันนั้นคอมเมนต์ใส่เราไม่ดี เดี๋ยวคอมเมนต์กลับไปด่าบ้าง..โทสะหรือเปล่า ? เห็นหรือยังว่าแค่โทรศัพท์เครื่องเดียว กิเลสมาครบเลย เมื่อมีโลภะและโทสะ โมหะก็ไม่ไปไหนหรอก มาด้วยกัน ราคะ โลภะ โทสะ มีครบ โมหะก็สมบูรณ์ ๑๐๐ % ทำอย่างไรที่เราจะหยุดอยู่ได้แค่สักแต่ว่าเห็น..! เรื่องของเสียงก็เหมือนกัน ทำอย่างไรเราจะสักแต่ว่าได้ยิน แต่ถ้าหากว่าพ่อแม่หรือว่าแฟนบ่น ต้องพยายามได้ยินบ้างนะ ไม่ได้ยินเดี๋ยวโกรธ..! โกรธขึ้นมาเดี๋ยวไม่มีบ้านจะอยู่..! ทำอย่างไรที่ได้กลิ่นสักแต่ว่าได้กลิ่น ทำอย่างไรที่ชิมรสสักแต่ว่าชิมรส ทำอย่างไรที่สัมผัสสักแต่ว่าสัมผัส
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 18-01-2023 เมื่อ 01:06 |
สมาชิก 22 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#9
|
||||
|
||||
คำตอบคืออย่าคิด ถ้าหากว่าเราห้ามความคิดไม่ทันก็เจ๊งเลย กิเลสงอกงามเจริญเติบโตไปยกใหญ่ แค่เห็นว่าเป็นผู้หญิงผู้ชายก็อันตรายมากแล้ว แต่เรามักจะไปคิดต่อ หน้าตาดีหรือไม่ดี ? สวยหรือไม่สวย ? หล่อหรือไม่หล่อ ? ตามแบบที่เราชอบล้วน ๆ หรือเปล่า ? แบบนั้นราคะก็เจริญงอกงาม
วิธีเดียวที่เราจะหยุดได้ก็คือ หยุดอยู่กับลมหายใจเข้าออกตรงหน้า เอาสติประคองเอาไว้กับลมหายใจที่ว่า ก็คือปฐมฌานละเอียด ถ้าหากว่าสามารถทำตรงจุดนี้ได้ ไม่ไปแหย่กิเลสให้กำเริบ ประคองไปได้นานพอ กิเลสก็จะเฉาตายไปเอง กิเลสเกิดไม่ได้นาน ๆ จะลืม ลืมอย่างชนิดที่พอคนมาทำให้โกรธ นึกไม่ออกว่าต้องทำหน้าอย่างไร "เดี๋ยวขออนุญาต "บิวท์" ก่อน จะโกรธไหวไหมวะ ?" คนที่ปฏิบัติถึงนี่จะอนาถมากเลย อนาถตรงที่จะโกรธก็ปั้นหน้าไม่ถูก รู้แต่ว่ากูโกรธมึงนะ แต่กูปั้นหน้าไม่ถูกแล้ว กูไม่ได้โกรธมานาน กิเลสเลยหมดกำลัง ราคะก็เหมือนกัน โทสะก็เหมือนกัน โมหะก็เหมือนกัน ถ้าหมดกำลังกิเลสทุกตัวก็หมดกำลังพร้อม ๆ กัน เพราะว่าอยู่ด้วยกัน เพียงแต่ว่าโมหะจะหมดช้าที่สุด เพราะว่าฝังรากลึกที่สุด ต้องอาศัยตัวปัญญาถอนอวิชชาที่เป็นกิเลสตัวสุดท้ายในใจของเราออกมา ไม่เช่นนั้นแล้วก็ไม่สามารถที่จะดับได้โดยสิ้นเชิง วันนี้คุยอะไรก็ไม่รู้ไปเรื่อยเปื่อย ตามกันไหวไหมนี่ ? น่าจะไหวนะ ปฏิบัติมาตั้งเนิ่นตั้งนาน ฟังรู้เรื่องทุกอย่าง แต่ทำไม่ได้สักที สมาทานกรรมฐานกันเถอะ..จากที่แค่ฟังจะได้ทำให้เป็นจริงเสียที
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 18-01-2023 เมื่อ 01:09 |
สมาชิก 21 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#10
|
||||
|
||||
ก่อนปฏิบัติธรรมช่วงเข้า วันเสาร์ที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๖๕ พวกเราไม่ว่าจะเป็นพระ เป็นเณร เป็นฆราวาส เหมือนกันหมด อะไรที่ไม่ตอกย้ำหัวตะปูสั่งเอาไว้ ก็ทำตามแค่ที่ตัวเองนึกได้ แม้กระทั่งการปฏิบัติธรรม ก็รู้อยู่ว่า ทุกแปดโมงเช้าหลวงพ่อจะมานั่งอยู่ตรงนี้ แต่พอไม่ได้สั่งก็ปล่อยเลยเวลา อตฺตา หิ กิร ทุทฺทโม ขึ้นชื่อว่าการฝึกตนนั้นช่างยากจริงหนอ..! พวกเราเหมือนกับนักโทษที่มีแต่จะโดนปรับโทษหนักขึ้นไปเรื่อย ๆ แต่ก็ไม่คิดที่จะขนขวายหนีไปให้พ้น แล้วอีกกี่ชาติถึงจะรอดจากวัฏสงสารได้ ? บางทีเราก็บอกว่าขอให้ถึงซึ่งพระนิพพานในชาติปัจจุบันนี้ แต่สิ่งที่เราทำกับคำที่เราพูด ไปกันไม่ได้ เหมือนกับตั้งใจจะซื้อรถเบนซ์ แล้วก็ทำงานแค่วันละ ๑ ชั่วโมง กินยังไม่พอเลยแล้วจะไปซื้อรถ..! ใครไปกินอาหารในตลาดมาบ้าง ? สารภาพมาเสียดี ๆ..! ในที่สุดกิเลสก็ชนะ อาหารที่วัดห่วย เราทนไม่ได้ เราเจออะไรที่เราชอบก็ต้องกินไว้ก่อน นั่นคือการตามใจกิเลส เราตามใจมาไม่รู้กี่ชาติแล้ว แต่กิเลสไม่เคยตามใจเราเลย ถ้าหากว่าเป็นเพื่อนแบบนี้ คิดว่าจะคบกันต่อไปไหม ? ตาอยากเห็นรูปอะไร เราก็หาให้ดู หูอยากได้ยินเสียงอะไร เราก็หาให้ฟัง จมูกอยากได้กลิ่นแบบไหน เราหาให้ดม ลิ้นอยากได้รสแบบไหน เราก็ไปนั่งตลาดหาให้กิน กายต้องการสัมผัสแบบไหน เราก็อุตส่าห์ตะกายไปหามา สรุปแล้วกิเลสไม่เคยพอ ได้แล้วก็อยากได้อีก ได้มากก็อยากได้มากยิ่งขึ้น แต่พวกเราก็มักจะไม่มีกำลังเพียงพอที่จะต่อต้านกับกิเลส เพราะว่าอันดับแรกเลยก็คือเราชอบด้วย
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 18-01-2023 เมื่อ 01:12 |
สมาชิก 22 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#11
|
||||
|
||||
สิ่งที่เราชอบกับสิ่งที่เราเกลียดจัดเป็นรากเหง้าของกิเลสใหญ่พอกัน สิ่งที่เราชอบนั้นมีรากเหง้ามาจากราคะ สิ่งที่เราเกลียดนั้นมีรากเหง้ามาจากโทสะ
แต่สิ่งที่เราเกลียดเราไม่ยินดี เราจะผลักไสโดยอัตโนมัติ ดังนั้น..จึงทำอันตรายเราได้น้อยกว่า ส่วนสิ่งที่เราชอบนั้นเรามักจะตะเกียกตะกายไปหา ไปยึดเอาไว้ ไม่ยอมปล่อยไม่ยอมวาง แล้วคิดว่าจะรอดไหม ? ในเมื่อเป็นเช่นนั้นไม่ว่าจะ รัก ชอบ เกลียด ชัง ทำอย่างไรที่เราจะเฉย ๆ ได้ ? ไม่ต้องมาก ไม่ต้องถึงขนาดตัดขาด เอาแค่เฉย ๆ ไม่ยินดียินร้าย ไหวไหม ? ไม่ไหวมั้ง ? หมูปิ้งเชียวนะ กาแฟที่เราชอบด้วย ไปกันใหญ่เลย แค่คนโพสต์ว่ากินสตาร์บัคแก้วละ ๑๘๐ บาท ก็มีคนเข้าไปคอมเมนต์ว่า "ทำไมไม่ซื้อข้าวกิน ?" มึงโง่หรือเปล่า ? ก็เขาอยากกินกาแฟ ไม่ได้อยากกินข้าว เขามีตังค์จ่ายก็เรื่องของเขา อยากกินก็กินไป ส่วนเราเองก็ทรีอินวันซองเดียวก็อยู่..จบ ถ้าไม่เอาอะไรเลยอย่างหลวงพ่อก็ยิ่งสบาย ทุกวันนี้พระที่อยู่ด้วยไม่ได้ฉันอิ่มสักมื้อหรอก พอหลวงพ่ออิ่มแปลว่าทุกรูปต้องอิ่มด้วย..! อย่าให้กิเลสมีอำนาจเหนือใจเรามาก พาความเดือดร้อนมาให้เรานับชาติไม่ถ้วนแล้ว หัดขัดใจกิเลสบ้าง
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 18-01-2023 เมื่อ 01:13 |
สมาชิก 23 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#12
|
||||
|
||||
คนที่ลดน้ำหนักไม่ได้เป็นเพราะห้ามปากตัวเองไม่ได้ เหตุที่ห้ามปากตัวเองไม่ได้ก็เพราะว่าระบบร่างกายประท้วง พอไม่กินให้ก็ อูย..ปวดหัวเกือบตาย..! เห็นไหมว่าร่างกายบีบคั้นเราขนาดไหน ? จนกว่าเราจะกินให้ถึงจะหายปวดหัว เหมือนอย่างกับเราเลี้ยงเสือ ถึงเวลาเสือหิวก็กัดเราเอง..!
แต่ถ้าหากว่าเราตั้งใจห้ามปากตัวเองสัก ๓ วันเท่านั้น พอร่างกายรู้ว่าถึงเวลานี้แล้วไม่ได้อาหาร ก็จะเลิกทวงไปเอง แต่ส่วนใหญ่พวกเรา ๓ วันนี่ก็ไม่ผ่าน ตายสนิท..อดไม่ได้ ปากคอจืดไปหมด ต้องหาอะไรที่ชอบมาใส่ปากก่อน ให้มาเข้ากรรมฐาน ๓ วันแข่งกับหลวงพ่อสิวะ..ดูว่าจะกินอะไร..?! เป็นโรคอ้วนไปปรึกษาหมอ ท้ายสุดหมอเลิกจ่ายยา เปลี่ยนเป็นพลาสเตอร์แผ่นใหญ่แทน ปิดปากไปเลย..! ถ้าหากว่าเราห้ามปากตัวเองได้ เราจะรักษาศีลทุกข้อได้บริสุทธิ์บริบูรณ์ เพราะว่ากำลังใจในการหักห้ามปากของเราไม่ให้กินของที่ชอบ เป็นกำลังใจเท่ากับที่เราบังคับหักห้ามใจของเราไม่ให้ละเมิดศีล ในเมื่อกำลังเท่ากัน เราก็แค่เอากำลังในการรักษาศีลมาห้ามปากตัวเองเท่านั้น ไม่น่าจะยากนะ
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 18-01-2023 เมื่อ 01:16 |
สมาชิก 23 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#13
|
||||
|
||||
พวกเราไม่ได้อยู่ทำวัตรเช้าทำวัตรเย็นด้วยกันทุกวัน หลังทำวัตรเย็นเขาจะมีปานะมาถวาย มีเจ้าอาวาสวัดท่าขนุนรูปเดียวที่ไม่รับ ต่อหน้าก็ไม่เอา ลับหลังก็ไม่เอา ทำไมถึงทำได้ ? ก็เพราะว่าการห้ามปากห้ามใจตัวเองก็เป็นการรักษาศีลนั่นแหละ ในเมื่อเรารักษาศีลได้ ก็แค่เพิ่มเข้าไปอีกข้อหนึ่ง ศีลข้อหลังเพลแล้วห้ามตัวเองไม่ให้กิน
ถ้าเราทำได้ ท้ายที่สุดก็จะเหมือนพระเจ้าปเสนทิโกศลในโทณปากสูตร พระองค์ท่านอ้วนเสียจนจะเดินไม่ไหว พระพุทธเจ้าต้องสอนคาถาให้สุทัสสนมาณพ ที่เป็นทหารคนสนิทหรือมหาดเล็กคนสนิท เมื่อถึงเวลาเห็นพระเจ้าปเสนทิโกศลฉันภัตตาหารไปถึงคำสุดท้าย ก็ให้ท่องคาถาขึ้นมาว่า "บุคคลผู้มีสติ รู้ประมาณในการบริโภค ย่อมเป็นผู้มีโรคน้อย อายุขัยก็ยืนยาว" พระเจ้าปเสนทิโกศลได้สติก็หยุด หยุดฉันคำสุดท้ายหนึ่งคำ วันรุ่งขึ้นก็เอาอีก ลดอาหารลงไปอีกหนึ่งคำ ลดวันละคำเดียว พระเจ้าปเสนทิโกศลทรงยัดทะนาน..! ไม่ใช่เสวย เขาบอกว่าเฉพาะข้าวสารที่เสวยในแต่ละมื้อ หุงจากข้าวสาร ๑ นาฬี ซึ่งก็น่าจะเท่ากับประมาณ ๑ ลิตรในปัจจุบัน พวกเราไหวกันไหม ? ข้าวสาร ๑ ลิตร ใครยัดทะนานลงไปหมดบ้าง เฉพาะข้าวอย่างเดียว ? พระพุทธเจ้าให้ลดวันละคำ พอถึงคำสุดท้ายสุทัสสนมาณพท่องคาถา พระเจ้าปเสนทิโกศลก็ชะงัก..ตัดใจ รุ่งขึ้นก็ลดลงอีกหนึ่งคำ ผ่านไปสองเดือนก็ "ทรงพระสเลนเดอร์" พระองค์ท่านถึงได้ตรัสว่า "พระพุทธเจ้านั้นไม่ได้สอนให้แต่ประโยชน์สูงสุดเท่านั้น ยังสอนให้เกิดประโยชน์ทันตาในชาตินี้ด้วย" ก็คือ "ทรงพระสเลนเดอร์" และสุขภาพก็ดีขึ้นด้วย
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 18-01-2023 เมื่อ 01:18 |
สมาชิก 28 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#14
|
||||
|
||||
ก่อนปฏิบัติธรรมช่วงบ่าย วันเสาร์ที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๖๕ เมื่อวานนี้ทางคุณธนิสร์ ศรีกลิ่นดี ศิลปินแห่งชาติ ท่านมาเพิ่มความสนุกสนานให้กับการเปิดตลาดริมแคว เมืองท่าขนุน กระผม/อาตมภาพเป็นคนจองที่พักอะไรทุกอย่างให้ แต่ปรากฏว่าท่านนายกฯ ประเทศ บุญยงค์ ตัดหน้าไปเรียบร้อยแล้ว บอกว่า "ผมขอดูแลเองครับ" เป็นอันว่างานนี้วัดไม่ต้องจ่าย เรื่องของแขกไปใครมา ต้องดูตัวอย่างชาวม้ง อาตมาภาพไปสนับสนุนให้ชาวม้งจัดงานปีใหม่ ๔ ปีติดต่อกัน เห็นศักยภาพบางส่วนที่สามารถหาเงินได้ง่าย ๆ เลย อย่างเช่น เครื่องแต่งตัวของชาวม้งมาวางจำหน่ายก็ดี เอามาให้เช่าถ่ายรูปก็ดี หรือว่าบรรดาพืชผักผลไม้ของเขา สามารถที่จะวางจำหน่ายได้เลย ปรากฏว่าเขาขนพืชผักมาเยอะมาก หลาย ๆ ถุง ถุงใหญ่ ๆ ถุงหนึ่งก็น่าจะ ๑๐ กิโลกรัม แต่สรุปว่าเขาแจกฟรี เขาบอกว่า "ผู้ที่มาเป็นแขกบ้านแขกเมือง เอาเขาเงินไม่ได้ เรามีหน้าที่ต้อนรับขับสู้เท่านั้น" ดังนั้น..ข้าวของที่คิดว่าเขาเอามาขาย กลายเป็นว่าเขาเอามาแจก..! บ้านม้ง ทุ่งนางครวญ วิ่งจากตรงนี้ไปเกือบ ๒ ชั่วโมง ไม่ไกลหรอก แต่ถนนไม่ดี ทางด้านทองผาภูมิของเราชาติพันธ์ุเยอะมาก มีอีก้อ ที่เขาเรียกตัวเองว่าอาข่า, มูเซอ ที่เรียกตัวเองว่าลาหู่, ลีซอ ที่เรียกตัวเองว่าลีซู, แม้ว ที่ต้องเรียกว่าม้ง ถ้าใครไปเรียกเขาว่าแม้วนี่โกรธกันไปสามชาติเลยนะ พอ ๆ กับที่เรียกคนจีนว่าเจ๊ก หรือไม่ก็ที่เรียกญวนว่าแกว เรื่องของน้ำใจในการต้อนรับแขกบ้านแขกเมืองเป็นเสน่ห์อย่างหนึ่งของชุมชน ถ้าหากว่าชุมชนมีเสน่ห์ มีความเป็นมิตร นักท่องเที่ยวมาแล้วก็จะอยากมาอีก
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 19-01-2023 เมื่อ 01:58 |
สมาชิก 20 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#15
|
||||
|
||||
ระยะหลังนี้มี "ดราม่า" ซึ่งเกิดจากทางด้านประเทศเวียดนาม ที่เห็นนักท่องเที่ยวแห่กันมาเมืองไทย จนกระทั่งเกิดการจราจรติดขัดที่สนามบินสุวรรณภูมิ เพราะว่าเครื่องบินแห่ลงไล่ ๆ กัน ๘๐ กว่าเที่ยว กว่าจะตรวจ กว่าจะประทับตราพาสปอร์ต กว่าจะประทับวีซ่า บางคนติดอยู่ ๓ - ๔ ชั่วโมง แต่นักท่องเที่ยวเขายืนยันว่าเขาจะมาเมืองไทย เขาจะไม่ไปเวียดนาม ทำเอาเวียดนามของขึ้น ด่ากระจาย "เมืองไทยมีอะไรดีกว่าวะ..?!"
ท้ายสุดพวกฝรั่งเขาออกมาทำคลิปชี้แจงเองว่า ของเวียดนามอันดับแรกเลยคือ สถานที่เที่ยวไม่ประทับใจ ไปครั้งหนึ่งแล้วไม่คิดจะไปซ้ำอีก อันดับที่สองก็คือ ผู้คนไม่มีความเป็นมิตร ไม่ยิ้มแย้มแจ่มใสเหมือนประเทศไทย อันดับที่สาม ประเทศไทยมี WIFI ฟรีทุกหัวระแหง แต่ว่าเวียดนามไม่มี
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 19-01-2023 เมื่อ 01:59 |
สมาชิก 21 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#16
|
||||
|
||||
ก่อนทำวัตรเย็น วันเสาร์ที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๖๕ แม้ว่าระยะนี้เชื้อไวรัสโควิด-๑๙ จะรักษาง่ายขึ้น แต่คนที่ร่างกายไม่แข็งแรงหรือคนแก่รับเชื้อไปก็ยังคงตายได้อยู่ เพราะฉะนั้น..โปรดอย่าได้ประมาท เขายังเก็บคนไม่ครบตามจำนวน ถ้าหากตามที่คุยกันเอาไว้ก็โน่น สิ้นเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๖๖ จำได้ไหม ? ถึงตอนนั้นแล้ว ถึงติดเชื้อไปก็ไม่ค่อยตายกันแล้ว ตอนที่อาตมาบอกว่าให้ระวังต่อไปจนสิ้นเดือนกุมภาพันธ์ปี ๒๕๖๖ มีแต่คนบอก "เจ้าอาวาสวัดท่าขนุนบ้า..!" รัฐบาลประกาศไม่ต้องใส่หน้ากาก ให้ใส่ตามความสมัครใจแล้ว พอโดนเข้าไปตูมเดียว..เรียบร้อย วัดท่าขนุนไม่ได้บ้า พวกมึงนั่นแหละบ้า..! อะไรที่บอกล่วงหน้าบางทีเขาก็ไม่เชื่อกัน
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 19-01-2023 เมื่อ 02:01 |
สมาชิก 22 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#17
|
||||
|
||||
(โยมมาขอรับพระที่ลืมไว้ในห้องน้ำ)
เหรียญหลวงพ่อโสธร เหรียญแสตมป์ อาตมาจำได้เพราะรุ่นนี้พระอาจารย์เล็กเสกเอง..! ต้องบอกว่าการออกแบบพระเครื่องของเราก็เป็นไปตามยุคตามสมัย แต่ละยุคแต่ละรุ่นล้วนแล้วแต่มีเอกลักษณ์ของตัวเอง สมัยที่กระผม/อาตมภาพเล่นวัตถุมงคลใหม่ ๆ สมัยนั้นสุดยอดช่างแกะแบบพิมพ์ก็คือช่างเกษม มงคลเจริญ ส่วนที่เหลือก็เป็นพิมพ์โรงงาน ที่เป็นฝีมือช่างคนเดียวกันหมด บางทีด้านหน้าที่เป็นรูปหลวงปู่หลวงพ่อของแต่ละวัด มีหน้าตาเหมือนกันหมด ต่างกันตรงด้านหลังเท่านั้นเองที่บอกว่าวัดไหน ก็คือเขาขี้เกียจทำพิมพ์ใหม่ เขาก็เลยเปลี่ยนแต่ชื่อข้างหลัง กว่าจะรู้ว่าหลวงพ่อเป็นใครก็ต้องพลิกดูข้างหลังที่ใส่ชื่อไว้ ปัจจุบันนี้เป็นการแกะบล็อกด้วยคอมพิวเตอร์ วันนี้ทางโรงงานส่งรูปพระแก้วประจำพิพิธภัณฑ์วัดท่าขนุน มาให้ดู ปรากฏว่าองค์แดงแปร๊ดเลย ขึ้นแท่นรอแกะอยู่ ถามโรงงานว่า "แก้วใสทำไมกลายเป็นแดง ?" เขาบอกว่า "ถ้าไม่เคลือบสีแดงแล้วหุ่นยนต์แกะมองไม่เห็น" เขาแกะด้วยหุ่นยนต์ที่สั่งด้วยคอมพิวเตอร์ เขาก็เลยต้องทาสีแดงเคลือบไว้ แสดงว่าหุ่นยนต์ก็ไม่ได้ฉลาดทุกเรื่องนะ หุ่นยนต์แกะตามแบบได้เป๊ะ ๆ เลย ถ้าออกแบบมาสวยก็แกะมาสวยตามนั้นเลย เสียอยู่อย่างเดียวว่าฉลาดไม่พอ ไปเจอใส ๆ เข้าหุ่นยนต์ก็หาไม่เจอ จึงต้องทาสีแดงทึบเอาไว้ชั้นหนึ่ง หลังจากแกะเสร็จค่อยมาขัดใหม่ทั้งองค์ วัสดุที่ใช้เรียกว่าอะคริลิค เป็นแก้วยุคใหม่ เป็นแก้วพลาสติก ก็คือตกแตกได้ มาเป็นแผ่น ๆ เอามาทากาวประกบเข้าหากันให้ได้ความหนาพอที่เราต้องการ ยิ่งแผ่นใหญ่ ยิ่งหนามาก ก็ยิ่งแพงมาก แล้วเขาก็ต้องหากาวชนิดที่ไม่เปลี่ยนสีตามกาลเวลา ถึงเวลาแกะเสร็จแล้วใสแจ๋วทั้งองค์เลย ดูไม่ออกว่าเกิดจากการประกบเข้าไปเป็นแผ่น ๆ แต่ว่าตอนที่ทากาวประกบนี่ อย่างน้อยต้องเข้าเครื่องหนีบทิ้งไว้ ๓ เดือน เพื่อให้กาวแห้งจริง ๆ แล้วขณะเดียวกันก็ให้ติดแน่นจริง ๆ ดังนั้น..เขาก็เลยขอเวลาทำเป็นปี องค์หนึ่งก็ไม่กี่ล้านบาทหรอก พวกเราก็ทำบุญกันไปก็แล้วกัน จะกี่ล้านเราก็ร่วมด้วย ๒๐ บาท คือมีส่วนของเราด้วย ไม่อย่างนั้นเนื้อแหว่ง จะมากจะน้อยก็ต้องแหว่งไป ๒๐ บาท..!
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 19-01-2023 เมื่อ 02:04 |
สมาชิก 26 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#18
|
||||
|
||||
ก่อนภาวนาพระคาถาเงินล้าน เช้าวันจันทร์ที่ ๒ มกราคม ๒๕๖๖ เมื่อวานกระผม/อาตมภาพไปนั่งปรกในงานหล่อสมเด็จองค์ปฐมทรงเครื่อง ที่วัดใหม่รางวาลย์ อำเภอท่ามะกา จังหวัดกาญจนบุรี ปรากฏว่าคนน้อยมากในงาน ถามหลวงพ่อแหลม (พระครูปัญญาวชิรกาญจน์) เจ้าอาวาสว่า "ทำไมคนน้อยแค่นี้ ?" ท่านบอกว่า "คนเลยไปที่หลวงพ่อกันหมด" เป็นความผิดของกูอีก..! ก็คือท่ามะกาใกล้กรุงเทพฯ เกินไป วิ่งจากกรุงเทพฯ ผ่านนครปฐม บ้านโป่ง ก็ถึงท่ามะกาแล้ว คนกรุงเทพฯ วิ่งออกมาเพื่อที่จะมาแค่นั้นเขาก็ไม่มากันหรอก เขามักวิ่งเลยขึ้นไทรโยค ทองผาภูมิ สังขละบุรี แล้วแต่ว่าใครขับรถเก่งหรือไม่เก่ง เมื่อคืนก็ไปแออัดยัดทะนาน หนาวกันอยู่ที่บ้านปิล็อก ซึ่งอากาศ ๙ องศาเซลเซียส ไปตอนนี้ยังทันนะ..ปิล็อกหน้านี้เที่ยง ๆ กินข้าวกลางแดดกำลังได้ที่เลย ไม่รู้สึกสักนิดเดียวว่าแดดร้อน แต่พอจะลุกขึ้นมาก็ตัวไหม้เป็นแถบไปเลย..! สมัยก่อนที่ขึ้นมากราบหลวงปู่สายใหม่ ๆ เพื่อที่จะถามเส้นทางธุดงค์ การธุดงค์นี่เราไปส่งเดชไม่ได้ ต้องถามผู้มีประสบการณ์ ว่าถ้าจะไปเส้นทางนั้นควรจะเดินจากไหนถึงไหน ? ควรจะพักที่ไหนบ้าง ? เพราะว่าเส้นทางป่าถ้าหากว่าเราเดินเลยหมู่บ้าน บางทีอีก ๔๐ - ๕๐ กิโลเมตรกว่าจะเจออีกหมู่บ้านหนึ่ง ถ้าหากว่าเราเดินเลยหมู่บ้านไป ก็ไม่รู้จะบิณฑบาตที่ไหน กว่าจะถึงอีกหมู่บ้านหนึ่งก็เลยเพลไปแล้ว จึงต้องถามกันให้แน่ชัดก่อน พอถามทางมาด้านปิล็อก หลวงปู่สายท่านบอกว่า "รีบสรงน้ำตั้งแต่ก่อนบ่ายสาม ไม่เช่นนั้นแล้วก็ไม่ต้องสรงเลยนะ" กระผม/อาตมภาพก็ยังคิดว่าอะไรจะนักหนาขนาดนั้น พอไปเจอเข้า เจ้าประคุณเอ๊ย..เอามือจุ่มลงไปในน้ำ มือหายไปเลย..! มือชาจนไม่รู้สึกอะไร ถ้าแบบนั้นแล้วจะไปอาบอีท่าไหน ? ลมพัดมาทีหนึ่งนี่เซตามลมไปเลย บนยอดเขาตรงกับร่องลมซึ่งพัดแรงมาก
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 22-01-2023 เมื่อ 03:54 |
สมาชิก 19 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#19
|
||||
|
||||
ปิล็อกสูงกว่าที่นี่ ๑,๒๐๐ เมตร เราอาจจะคิดว่านิดเดียว ดอยอินทนนท์สูง ๒๕๖๓ เมตรใช่ไหม ? แต่เราต้องไม่ลืมว่าทองผาภูมิสูงกว่ากรุงเทพฯ หกร้อยกว่าเมตรแล้ว แล้วทางด้านปิล็อกยังสูงขึ้นไปอีก ๑,๒๐๐ กว่าเมตร เป็นโดยธรรมชาติเลยว่าพื้นที่สูงขึ้น ๓๐๐ เมตร อุณหภูมิจะลดลง ๑ องศาเซลเซียส ถ้าหากว่าสูงขึ้น ๑,๒๐๐ เมตร อุณหภูมิจะต่ำกว่าข้างล่างถึง ๔ องศาเซลเซียส
เมื่อเช้าที่นี่ ๑๓ องศาเซลเซียส ที่ปิล็อกก็แค่ ๙ องศาเซลเซียสเท่านั้น ส่วนที่เกาะพระฤๅษี ๑๐ องศาเซลเซียส ใครอยากรู้ว่าอาบน้ำหน้าหนาวฆ่าตัวตายชัด ๆ เป็นอย่างไร ก็ลองไปอาบดู..! เดี๋ยวพวกเราจะเจริญภาวนาพระคาถาเงินล้านกัน คราวนี้การเริ่มต้นทุกอย่างก็คือเริ่มที่ศีล พวกเราปฏิบัติธรรมมารักษาศีล ๘ มาหลายวัน ถึงเวลารับศีล ๕ ไว้ อย่าเพิ่งรีบใช้ เอาใส่กระเป๋าไว้ก่อน เลิกการปฏิบัติธรรมแล้วเราค่อยลดศีลลงไปเหลือ ๕ ข้อ อานิสงส์ของศีล ๘ มีมากมายมหาศาล โดยเฉพาะเป็นศีลที่สนับสนุนการปฏิบัติธรรม เพราะว่าเป็นศีลแห่งพรหมจรรย์ ศีล ๕ เป็นกำลังของพระโสดาบัน กรรมบถ ๑๐ เป็นกำลังของพระสกทาคามี ศีล ๘ เป็นกำลังของพระอนาคามี
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 22-01-2023 เมื่อ 04:04 |
สมาชิก 19 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#20
|
||||
|
||||
บุคคลที่เข้าถึงความเป็นพระอนาคามี ศีล ๘ จะทรงตัวเองโดยอัตโนมัติ ไม่ต้องเสียเวลาตั้งใจทำก็เป็นเอง ก่อนหน้านี้อาจจะต้องฝืนใจ แต่ถ้าถึงความเป็นพระอนาคามีแล้ว ศีล ๘ จะทรงตัวโดยอัตโนมัติเอง
เพราะฉะนั้น..บางคนก็เหลืออาหารมื้อเดียวเท่านั้น สภาพร่างกายเปลี่ยนแปลงไปตามกำลังใจที่สูงขึ้น ระบบการสืบพันธุ์โดนตัดขาดไปเลย เมื่อไม่ต้องใช้พลังงานขนาดนั้น ก็ไม่ต้องกินมาก ข้าวปลาอาหารจึงลดน้อยลงไปโดยอัตโนมัติ พูดไปก็ "เว่อร์" เอาไว้ถึงก่อนแล้วค่อยมาคุยกัน ไม่อย่างนั้นแล้วอาตมาก็เพ้อเจ้ออยู่คนเดียว ส่วนพระอรหันต์ก็ศีล ๑๐ แต่ขอโทษ..ศีล ๑๐ ของพระอรหันต์เป็นอธิศีลสิกขา เป็นศีลที่ยิ่งกว่าศีล เพราะว่าสติสัมปชัญญะของท่านสมบูรณ์มาก ถ้าถามว่า "พระเรามีศีล ๒๒๗ ข้อ ทำไมพระอรหันต์มีศีล ๑๐ ข้อก็พอแล้ว ?" ก็เพราะว่าศีลของเณรก็มีแค่ ๑๐ ข้อ แต่สามเณรก็เป็นพระอรหันต์ได้ไม่ใช่หรือ ? ศีลพระส่วนมาก ส่วนใหญ่แล้วเป็นศีลเอาใจชาวบ้าน ชาวบ้านคิดว่าพระควรจะเป็นอย่างนั้น พระควรจะเป็นอย่างนี้ แล้วก็ไปตั้งข้อรังเกียจถ้าท่านทำไม่ทำอย่างที่ตัวเองคิด พระพุทธเจ้าจึงต้องบัญญัติศีลส่วนใหญ่ขึ้นมาเพื่อเอาใจชาวบ้าน การภาวนาพระคาถาเงินล้านของพวกเราส่วนที่สำคัญคือ ต้องทำให้จริงจังและสม่ำเสมอ ถ้าขาดความจริงจังและสม่ำเสมอก็อย่าเสียเวลามาภาวนา เพราะว่าทำไปแล้วก็ไม่เกิดผล ซ้ำยังไปลังเลสงสัยในคุณพระรัตนตรัยอีกต่างหาก บุคคลที่ทำแล้วเกิดผล จะต้องทุ่มเทให้กับการประพฤติปฏิบัติอย่างจริง ๆ จัง ๆ
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 22-01-2023 เมื่อ 04:06 |
สมาชิก 19 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน ) | |
|
|