#1
|
||||
|
||||
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพฤหัสบดีที่ ๑๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๖
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพฤหัสบดีที่ ๑๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๖
__________________
มารใช้ คนทุกคน ของทุกชิ้น สัตว์ทุกตัว เป็นเครื่องมือในการขวางเรา โดยเฉพาะคนที่เรารักมากที่สุด (-/\-) (-/\-) (-/\-) |
สมาชิก 39 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ตัวเล็ก ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#2
|
||||
|
||||
วันนี้ตรงกับวันพฤหัสบดีที่ ๑๖ กุมภาพันธ์ พุทธศักราช ๒๕๖๖ ด้วยความที่อาการป่วยออกไปในแนวไข้หวัด หรือว่าติดเชื้อไวรัสโควิด ๑๙ กระผม/อาตมภาพก็เลยทดสอบด้วยชุดตรวจ ATK อย่างแพง ปรากฏว่าตรวจไม่พบเชื้อ แต่คราวนี้หลักการใช้ชุดตรวจแบบเร่งด่วน เขาบอกว่า ถ้าไม่ติดเชื้ออย่าเพิ่งเชื่อ แต่ถ้าติดเชื้อให้เชื่อได้เลย จึงสงสัยอยู่ว่าตกลงจะเอาอย่างไรกันแน่ ?
วันนี้งานสำคัญก็คือการประชุมคณะกรรมการสภาวัฒนธรรมอำเภอทองผาภูมิ และคณะกรรมการชุมชนคุณธรรมต้นแบบวัดท่าขนุน วาระสำคัญก็คือการจัดงานปิดทองรอยพระพุทธบาทและทำบุญถวายอดีต ๗ เจ้าเมืองหน้าด่าน ในเรื่องของอดีตเจ้าเมืองหน้าด่านทั้ง ๗ ท่าน หรือว่า ๗ หัวเมืองนั้น แต่เดิมแล้วส่วนใหญ่แล้วก็เป็นญาติพี่น้องเขาทำบุญกันเอง แต่พอกระผม/อาตมภาพมาเป็นประธานสภาวัฒนธรรมอำเภอทองผาภูมิ มีความเห็นว่า ท่านทั้งหลายเหล่านี้เป็นผู้มีบุญคุณ ช่วยเหลือปกป้องแผ่นดินไทยของเรามาตั้งแต่ปลายอยุธยา เมื่อล่วงลับดับขันธ์ไปแล้วก็ควรที่จะระลึกถึงและทำบุญไปให้ ประกอบกับก่อนหน้านี้ ทางวัดท่าขนุนของเรามีการจัดงานประจำปีในช่วงมาฆบูชา ซึ่งคนเก่า ๆ หลายท่านก็ยังจำได้ว่าเราจัดงานกัน ๓ วัน เมื่อเปิดรอยพระพุทธบาทวัดท่าขนุนขึ้นมาเป็นแหล่งท่องเที่ยว กระผม/อาตมภาพจึงได้นำเอา ๒ งาน ก็คือการปิดทองรอยพระพุทธบาทวัดท่าขนุน กับการทำบุญถวายอดีต ๗ เจ้าเมืองหน้าด่านมารวมกัน เพื่อที่ให้งานยกระดับความสำคัญขึ้นมา ก่อนหน้านี้การจัดงานก็เป็นไปด้วยดี แต่ต้องมาหยุดในช่วงที่เชื้อไวรัสโควิด ๑๙ ระบาด ซึ่งปี ๒๕๖๓ กับ ๒๕๖๔ ไม่ได้จัดงานเลย ในช่วงปี ๒๕๖๑ การจัดงานมีการทรงผีแบบมอญ แล้วบรรดาอดีตเจ้าเมืองหน้าด่านก็มาเข้าทรง กระผม/อาตมภาพบอกกับท่านว่าจะทำบุญถวายให้ทุกปี ท่านยังเตือนว่า "อย่าพูดแบบนั้น ถ้าพร้อมก็ทำ ถ้าไม่พร้อมก็ไม่ต้องทำ ไม่อย่างนั้นแล้วจะเป็นข้อผูกมัดให้เราเดือดร้อนทีหลัง" ตอนแรกก็สงสัยว่าทำไมท่านถึงได้ว่าอย่างนั้น พอมาปี ๒๕๖๒ ปลายปี เชื้อไวรัสโควิด ๑๙ ระบาด ถึงได้รู้ว่าที่ท่านห้ามเอาไว้นั้น ท่านบอกล่วงหน้าตั้งแต่แรกแล้ว เพียงแต่ว่าไม่ได้บอกตรง เพราะว่าในเรื่องของผี ของเทวดานั้น จะบอกอะไรได้ไม่เกินกฎของกรรม
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 17-02-2023 เมื่อ 03:31 |
สมาชิก 36 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#3
|
||||
|
||||
เหตุที่ท่านทั้งหลายเหล่านี้จำเป็นที่จะต้องยึดถือกฎของกรรม ก็เพราะว่าในสภาพของโลกทิพย์ถือเรื่องบุญบาปเป็นใหญ่ ถ้าละเมิดกฎทั้งหลายเหล่านี้ อาจจะซ้ำเติมตนเองให้รับในส่วนของบาป คือความชั่วหนักขึ้น อาจจะต้องติดอยู่ในภพภูมิที่ยากลำบากไปอีกนาน จึงทำให้ในภพภูมิอื่น ๆ นั้นไม่มีการโกหกกัน แต่ว่าก็บอกกล่าวได้ไม่เกินกฎของกรรม
ดังนั้น..ในเรื่องของผี เรื่องของเทวดา ถ้าจะรักษาศีล ต่อให้เป็นศีล ๒๒๗ ข้อของพระภิกษุหรือว่าศีล ๓๑๑ ข้อของภิกษุณี เขาสามารถรักษาได้ครบถ้วนสมบูรณ์ เหตุที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่าการล่วงละเมิดไม่มี ในส่วนที่เราจัดงานกัน วันนี้ได้รับการอนุเคราะห์จากท่านนายอำเภอชาคริต ตันพิรุฬห์ มาร่วมประชุมด้วย แล้วก็มีพี่น้องกะเหรี่ยงจากเมืองสังขละบุรี ซึ่งเมืองสังขละบุรีในช่วงนั้นก็คือเมืองหน้าด่านท่าขนุน ก็คือเมืองท่าขนุนสมัยนั้นกินแดนไปจนถึงชายแดนพม่า นอกจากพี่น้องชาวกะเหรี่ยงจากสังขละบุรีซึ่งเป็นเมืองหน้าด่านที่สำคัญมาก อดีตเจ้าเมืองเป็นคุณพระ ได้รับพระราชทานยศศักดิ์จากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ตำแหน่งประจำก็คือพระศรีสุวรรณคีรี สืบต่อกันมาหลายยุคแล้ว นอกจากนี้ก็ยังมีพี่น้องชาวไทยเนปาล ซึ่งกระตือรือร้นมากที่จะมาร่วมงาน เพราะว่าช่วงปี ๒๕๖๑ ปี ๒๕๖๒ ที่มาร่วมงานกันนั้น การแสดงออกทางวัฒนธรรมของชาวเนปาลี ได้รับความสนใจอย่างล้นหลาม แล้วเขาก็อยากจะแสดงความเป็นตัวตนของตัวตน ให้ปรากฏต่อพี่น้องชาวไทยทั่วไป ตอนแรกพวกเราก็ไม่คิดว่าพี่น้องชาวเนปาลจะมีมากขนาดนั้น เนื่องเพราะว่าสมัยก่อนเขาจ้างพี่น้องชาวเนปาลทำงานในเหมือง อย่างเช่นเหมืองแร่ปิล็อก เป็นต้น พออยู่ไปนาน ๆ มีลูกมีหลาน คนรุ่นหลัง ๆ ก็เรียนหนังสือไทย ประกอบอาชีพการงานอื่น ประสบความสำเร็จ แต่ไม่เคยลืมเชื้อชาติของตนเอง ก็พยายามที่จะแสดงออกถึงความมีตัวตนของเขา ถึงขนาดมีการแจ้งจดเป็นชมรมชาวไทยเชื้อสายเนปาล ถ้าท่านทั้งหลายสังเกตจะเห็นว่า แต่ละปีจะมีพี่น้องชาวเนปาลเหมารถเมล์มาทีหนึ่ง ๔ คัน ๕ คัน ถ้านับจำนวนคน ตีเสียว่าคันละ ๔๐ คน ๕ คันก็ ๒๐๐ คน มาเพื่อขอต่อใบอนุญาตประกอบอาชีพ ก็คือใบอนุญาตทำงานในประเทศไทย พวกนี้ถ้าหากว่าที่ไหนไม่มีคนของเขาอยู่ก่อน เขาก็ไม่ไป แต่พวกเราก็นึกไม่ถึงว่า ทองผาภูมินั้นจะมีชาติพันธุ์ต่าง ๆ มากมายถึงขนาดนั้น..!
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 17-02-2023 เมื่อ 03:34 |
สมาชิก 35 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#4
|
||||
|
||||
ดังนั้น..ขบวนแห่ลักษณะของกองเกียรติยศ ๗ เจ้าเมืองหน้าด่าน ปีนี้จะประกอบไปด้วยคนไทย ไทยอีสาน มอญ กะเหรี่ยง พม่า ม้ง แล้วปีนี้มาการเสนอ "ลาวพม่า" เข้ามาด้วย ซึ่งกระผม/อาตมภาพยืนยันว่าลาวพม่านั้นไม่ใช่คนลาว ลาวพม่านั้นคือคนไทยเดิมที่โดนกวาดต้อนไปสมัยสมเด็จพระนเรศวรมหาราช แล้วก็โดนแยกเอาไปอยู่ตามสถานที่ต่าง ๆ กันไป
ช่วงที่ไปสร้างวัดหนองบัว กระผม/อาตมภาพเดินทางไปเยี่ยมเยียนพี่น้องเหล่านี้มาแล้ว ทางด้านที่อยู่ในความเจริญอย่างเมืองหงสาวดีพูดไทยกันไม่ได้แล้ว โดนพม่ากลืนภาษาไป แต่ว่ายังรู้ตัวกันอยู่ว่าตนเองเป็นคนเชื้อสายไทย บ้านก็ตั้งชื่อบ้านว่าชานหยั่วจี คำว่าชานคือสยาม คือ บ้านใหญ่ชาวสยาม แต่ว่าทางด้านบ้านสองแคว หนองบัว ป่าหวาย สามพระยา บ้านใหม่ เหล่านี้อยู่ในที่ไม่เจริญ การคมนาคมเข้าถึงยาก ยังใช้ภาษาไทยกันอยู่เป็นปกติ แต่ว่าที่อ่านหนังสือไทยได้ เขียนหนังสือไทยได้ มีลุงทองแดงที่เป็นมัคคนายกวัดหนองบัวแค่คนเดียว ถ้าสิ้นลุงทองแดงเมื่อไร คนที่รู้หนังสือไทยก็จะหมดไป แต่ยังใช้ภาษาไทยได้เป็นปกติ ชาวหนองบัวนี่แหละทำให้กระผม/อาตมภาพเข้าใจว่าการออกเสียงระหว่าง ญ.หญิง กับ ย.ยักษ์นั้น ออกเสียงต่างกันจริง ๆ การออกเสียง น.หนู กับ ณ.เณร นั้นต่างกันจริง ๆ เขายังออกเสียงได้ตามปกติ แต่บ้านเราออกเสียงไม่ได้แล้ว เขาพูดมาเราเข้าใจได้ทุกคำ อย่างเช่นว่า ถ่ายรูป เขาเรียกว่าตีรูป สว่าง เขาเรียกว่าแจ้ง เรือ เรียกว่าสำเภา แต่ว่าภาษาบ้านเราพัฒนาไปมาก บางทีพูดไปเขาก็ไม่ค่อยเข้าใจ เพียงแต่ว่าพวกเราไปเข้าใจผิดว่าเป็นคนอีสาน เพราะว่าสำเนียงเดียวกัน กระผม/อาตมภาพยืนยันว่าสำเนียงไทยเดิมคือสำเนียงอีสาน ที่มีสำเนียงไทยภาคกลางมานี่เป็น "สำเนียงเหน่อเจ๊ก" ก็คือคนจีนพูด ในเมื่อคนจีนพูดไทยไม่ชัด แต่ว่าเมื่อผสมปนเปกันมากเข้ามากเข้า คนไทยเชื้อสายจีนมีอำนาจในด้านเศรษฐกิจ กุมในเรื่องของการค้าต่าง ๆ เอาไว้ในมือ ทุกคนก็ต้องเอาใจคนรวยด้วยการพูดตาม จนกลายเป็นสำเนียงภาคกลางขึ้นมา เรื่องพวกนี้เราไม่ต้องเสียเวลาไปเถียงกัน ปล่อยให้นักประวัติศาสตร์หรือนักนิรุกติศาสตร์เขาไปศึกษากันเอง เราใช้วิธี "ตีหัวเข้าบ้าน" ทิ้งปัญหาไว้ให้เขาแล้วก็ "บ๊ายบาย..ไปละ..!"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 17-02-2023 เมื่อ 03:37 |
สมาชิก 36 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#5
|
||||
|
||||
ในเรื่องของงานจะมีในช่วงวันที่ ๓, ๔, ๕, ๖ มีนาคม วันที่ ๓ มีงานนิดเดียว ก็คือบวงสรวง ๗ เจ้าเมือง แล้วก็ทำบุญ โดยมีการเจริญพระพุทธมนต์แบบมอญ ส่วนวันที่ ๔, ๕, ๖ นั้น วันที่ ๔ จะมีขบวนแห่ แล้วก็มีการแสดงการละเล่นต่าง ๆ ถือว่าเป็นวันเปิดงาน ช่วงนั้นวัดเราก็จัดบวชเนกขัมมะปฏิบัติธรรมด้วย อาศัยผู้ที่มาร่วมปฏิบัติธรรม ก็น่าจะมากพอแล้ว วันที่ ๖ เป็นวันมาฆบูชา พวกเราก็ปิดท้ายด้วยการตามประทีป แล้วก็เวียนเทียน
คราวนี้บรรดาเจ้าหน้าที่แผนกต่าง ๆ ก็ต้องรับผิดชอบงานของตนเป็นหลัก แล้วต้องประสานกับแผนกอื่นด้วย เพียงแต่ว่าระยะนี้ก็จะต้องมีการเบิกงบประมาณกันเป็นระยะไป ถ้ากระผม/อาตมภาพไม่อยู่จะทิ้งเงินเอาไว้ ถ้าใครเข้ามาเบิก บรรดาเลขาก็ช่วยดูให้ด้วย เมื่อเขาแจ้งมาแล้ว ถ้ากระผมเห็นว่าสมควรก็ให้บอกเจ๊นี้ (นางสาวสุมาลี ตีรเลิศพานิช) จะเป็นคนเอาเงินไปจ่ายให้ ไม่ต้องห่วง..เพราะว่าปีแรกที่จัดงาน ได้รับการสนับสนุนมาจากองค์การบริหารส่วนจังหวัดกาญจนบุรี ๑๕๐,๐๐๐ บาท กระผม/อาตมภาพใช้ไปเกือบ ๔๐๐,๐๐๐ บาท ต้องบอกว่าใช้เงินเป็น..! เรื่องพวกนี้ ถ้าหากว่าไม่มีเงิน บางอย่างก็ทำอะไรไม่ได้เลย แต่ถ้าหากว่ามีแล้วประสานงานกันเป็น ปีนี้ในเรื่องของอาหารถือว่ามีผู้อาสาทำอาหารมาหลายอย่าง แต่ว่าส่วนใหญ่เป็นกับข้าว ให้ทางวัดช่วยหุงข้าวแล้วก็หาถ้วยจานชามช้อนให้เขาหน่อย งานส่วนอื่นก็ถือว่าเป็นเรื่องเล็กน้อย สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้ พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร. เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพฤหัสบดีที่ ๑๖ กุมภาพันธ์ พุทธศักราช ๒๕๖๖ (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 17-02-2023 เมื่อ 03:39 |
สมาชิก 42 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน ) | |
|
|