#1
|
||||
|
||||
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอังคารที่ ๙ เมษายน ๒๕๖๗
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอังคารที่ ๙ เมษายน ๒๕๖๗
__________________
มารใช้ คนทุกคน ของทุกชิ้น สัตว์ทุกตัว เป็นเครื่องมือในการขวางเรา โดยเฉพาะคนที่เรารักมากที่สุด (-/\-) (-/\-) (-/\-) |
สมาชิก 39 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ตัวเล็ก ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#2
|
||||
|
||||
วันนี้ตรงกับวันอังคารที่ ๙ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๖๗ ใกล้จะถึงวันสงกรานต์แล้ว ถ้าหากว่าตามประเพณีไทยของเรา วันแรม ๑๕ ค่ำ เดือน ๔ เป็นวันตรุษไทย ส่วนวันสงกรานต์นั้นจะอยู่ราว ๆ ขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๕ แต่ด้วยความที่ปฏิทินทางจันทรคติหาความแน่นอนไม่ได้ จึงตรงบ้าง ไม่ตรงบ้าง เพราะว่าทางราชการของเรา ไปกำหนดวันสงกรานต์ให้ตรงกับวันที่ ๑๓ เมษายน ไม่ได้กำหนดตามวันทางจันทรคติ
ก็แปลว่าพวกเราทั้งหลายเริ่มเข้าสู่ปีใหม่ไทย หรือว่าปีนักษัตรไทย ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ก็คือต้องเป็นวันขึ้น ๑ ค่ำ เดือน ๕ ถึงจะนับเป็นปีมะโรง ถ้าใครยังเกิดในวันแรม ๑๕ ค่ำ เดือน ๔ ก็ถือว่าเป็นปีเถาะ แต่กระผม/อาตมภาพเจอบุคคลผู้หนึ่ง ไม่ทราบเหมือนกันว่าพ่อแม่ตั้งใจหรือเปล่า เกิดเวลา ๐๐.๐๐ น. ของวันที่ ๓๑ ธันวาคม ซึ่งมีรายงานของทางด้านสูตินรีแพทย์เขียนเอาไว้ชัดเจน คาดว่าในโลกนี้คงจะมีไม่กี่คนเท่านั้น ก็คือเกิดมา ๑ วินาที ก็จะได้อายุ ๒ ขวบ..! เพราะว่าปีเก่าปีหนึ่ง ปีใหม่ปีหนึ่ง เป็นเรื่องที่ไม่ค่อยจะได้พบกันนัก คราวนี้วันสงกรานต์ปีนี้คือ ๑๓ เมษายนนั้น ตรงกับวันเสาร์ ขึ้น ๕ ค่ำ เดือน ๕ ปีมะโรง ซึ่งเป็นปีที่ ๕ ด้วย เขาเรียกกันว่าวันเสาร์ ๕ ตรีวัน ก็คือวัน เดือน ปี ตรงกันหมด แต่ด้วยความที่มีงานประเพณีสงกรานต์อยู่แล้ว ประกอบกับเป็นวันหยุดยาว ถ้าทางวัดจัดงานบวงสรวงไหว้ครู และเป่ายันต์เกราะเพชร คาดว่ามีการเหยียบกันตายแน่นอน..! กระผม/อาตมภาพจึงตัดสินใจไปบวงสรวงไหว้ครูกันปลายปีไปเลย แปลว่าปีนี้ทางวัดไม่ได้จัดงานบวงสรวงไหว้ครู เป่ายันต์เกราะเพชร ในวันที่ ๑๓ เมษายน ไม่ต้องเสียเวลาโทรมาถามวันหนึ่งเป็นร้อย ๆ สายอีก..! เนื่องเพราะว่าทางวัดท่าขนุนของเรา ถ้าจะจัดงานอะไร มีแจ้งเอาไว้ในเว็บไซต์วัดท่าขนุนอยู่แล้ว แต่ก็ยังมีบุคคลประเภทขี้เกียจ แม้กระทั่งจะค้นหาก็ไม่ทำ แต่ใช้วิธีโทรศัพท์ถามเอา แล้วคนประเภทนี้ก็มีมากขึ้นไปเรื่อย ๆ จึงทำให้ค่อนข้างที่จะเป็นห่วงเด็กรุ่นใหม่ของเราว่า ความรู้มีเต็มไปหมด แต่ค้นคว้าหาความรู้มาใช้งานไม่เป็น ยุคนี้สมัยนี้เป็นยุคของคอมพิวเตอร์และหุ่นยนต์เทียมมนุษย์ ที่เรียกว่า AI ซึ่งในสมัยที่กระผม/อาตมภาพยังอยู่ในวัยรุ่นอยู่ มีการ์ตูนอยู่เรื่องหนึ่งที่ตัวเอกเป็นมนุษย์กึ่งหุ่นยนต์ ก็คือเรื่อง "คอบร้า เห่าไฟสายฟ้า" ซึ่งจะมีแอนดรอยด์อยู่ตัวหนึ่ง เป็นผู้คอยรับใช้และดูแลเรื่องราวต่าง ๆ ให้กับคอบร้า ในยุคนั้นสมัยนั้น กระผม/อาตมภาพก็ยังคิดว่า น่าจะอีกเป็นร้อยปีกว่าจะมีแบบนี้ได้ เนื่องเพราะว่าถ้าเป็นหุ่นยนต์ทั่วไป หรือที่เรียกกันว่าโรบ็อท เราจะทำออกมาแค่เป็นแขนกลธรรมดา ทำงานได้ ก็เรียกว่าหุ่นยนต์เหมือนกัน
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 10-04-2024 เมื่อ 02:51 |
สมาชิก 35 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#3
|
||||
|
||||
แต่ว่าจะมีมนุษย์ที่เชื่อมตนเองเข้ากับเครื่องจักรกลบางอย่าง เรียกกันว่าไซบอร์ก ก็คือมนุษย์ที่มีชิ้นส่วนร่างกายเป็นหุ่นยนต์ พวกที่ผ่าตัดหัวใจเทียมก็จัดอยู่ในประเภทนี้ได้ หลังจากนั้นก็เป็นหุ่นยนต์เทียมมนุษย์ ก็คือมีลักษณะร่างกายเหมือนมนุษย์ทุกอย่าง แต่ว่าควบคุมการทำงานโดยคอมพิวเตอร์
แล้วที่หนักกว่านั้น แต่ว่าทุกวันนี้ยังทำไม่ได้ เพราะว่ามีกฎหมายห้าม ก็คือมนุษย์โคลน ซึ่งเป็นการเอาเซลล์ของคนหรือว่าสัตว์ มาทำเทียม เลียนแบบเป็นร่างใหม่ขึ้นมา จากที่ทำกับสัตว์ โดยเฉพาะแกะที่ชื่อว่า "ดอลลี่" นั้นประสบความสำเร็จ แต่ไม่ทราบว่ามีความบกพร่องตรงไหน จึงทำให้ตายลงในเวลาไม่นาน เพียงแต่ว่ามีกฎบัตรระหว่างประเทศที่ห้ามการโคลนนิ่งมนุษย์ เพราะว่าสามารถนำไปก่ออาชญากรรมได้ง่าย ก็คือจะมีบุคคลอีกหนึ่งถึงจำนวนอนันต์ ที่หน้าตาและความประพฤติเหมือนเราทุกอย่าง อาจจะโดนนำไปขายอวัยวะก็ได้ โดนใช้รูปร่างหน้าตาไปก่ออาชญากรรมอื่น ๆ ก็ได้ จึงต้องห้ามปรามกันไว้ แต่ขอให้เชื่อเถอะ..มีคนแอบทำแน่นอน..! ส่วนในเรื่องของการฟื้นฟูเซลล์ร่างกายของตัวเองเพื่อให้อายุยืนขึ้น ที่เรียกว่าสเต็มเซลล์นั้น กระผม/อาตมภาพฟันธงไปตั้งแต่แรกแล้วว่า "ไม่สำเร็จ" ถามว่าทำไม ? เพราะว่าฝืนกับหลักอนิจจังขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า สิ่งหนึ่งประการใด ที่พระองค์ท่านตรัสรู้แล้วสรุปลงมาเป็นหลักธรรม เป็นเรื่องจริงแท้ คือเป็นอริยสัจที่ใครเถียงไม่ได้ ในเมื่อเป็นเช่นนั้น การที่เราจะสามารถทำสเต็มเซลล์ เพื่อที่จะรักษาชีวิตตนเองเป็นอมตะ ดูท่าไปหาพวกแวมไพร์มากัดตัวเอง น่าจะง่ายกว่าตั้งเยอะ..! ที่กล่าวมาถึงตรงนี้ก็เพราะว่าโลกยุคนี้เข้าสู่ยุคหุ่นยนต์เทียมมนุษย์ หรือ AI ที่จะทำงานแทนคนทุกอย่าง อย่างเช่นว่าเป็นหมอวินิจฉัยโรค หมอทั่ว ๆ ไป ที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน วินิจฉัยโรคของเรา ถ้าเป็นอายุรแพทย์ ก็คือวินิจฉัยโรคทั่วไป ใช้เวลาโดยเฉลี่ย ๑๗ นาทีต่อคนไข้ ๑ คน วินิจฉัยโรคได้ใกล้เคียงที่สุด ๗๐ เปอร์เซ็นต์ อีก ๓๐ เปอร์เซ็นต์ผิดพลาดได้ แต่ว่าหุ่นยนต์เทียมมนุษย์หรือ AI ใช้เวลา ๓ นาที วิเคราะห์โรคได้ตรงถึง ๙๐ เปอร์เซ็นต์ แล้วคิดว่าหมอยังจะหารับประทานได้ไหม ? แล้วการจ่ายยาก็จะรอบคอบกว่าหมออีกมาก เนื่องเพราะว่าจะมีการวิเคราะห์ด้วยว่าตัวยาแต่ละอย่างมีการหักล้าง หรือว่าหนุนเสริมกัน ทำให้เกิดโทษแก่ร่างกาย หรือว่าเกิดประโยชน์แก่ร่างกายอย่างไร ซึ่งหมอทั่ว ๆ ไป ถ้าไม่เก่งจริง จะเข้าไม่ถึงตรงนี้
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 10-04-2024 เมื่อ 02:53 |
สมาชิก 35 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#4
|
||||
|
||||
ที่กล่าวมาอย่างนี้ก็เพราะว่าปัจจุบันนี้มีหุ่นยนต์นักข่าว พูดได้ ๘ ภาษา และมีการอ่านข่าวออกอากาศทั่วโลกมาแล้ว สิ่งหนึ่งประการใดที่เด็กของเราเรียนอยู่ จึงเป็นความรู้ที่ตกยุค ตามโลกไม่ทันแล้ว เราสู่หุ่นยนต์ไม่ได้แล้ว แต่ว่าสิ่งหนึ่งที่หุ่นยนต์สู้เราไม่ได้ ก็คือการที่เรามีอารมณ์ รัก โลภ โกรธ หลง พูดง่าย ๆ ว่า "เรามีกิเลส" ในเมื่อเรามีกิเลส เราจึงสามารถที่จะเข้าใจว่า คนที่มีกิเลสด้วยกันคิดอย่างไร ? ทำอย่างไร ? เมื่อพบกับอารมณ์แบบนี้ ต้องแก้ไขอย่างไร ?
ก็แปลว่าในยุคที่ AI เฟื่องฟูนี้ พระภิกษุสามเณรของเราถือว่าเป็นโอกาส ก็คือโอกาสในการที่เราจะศึกษาในศีล สมาธิ ปัญญา สั่งสมคุณงามความดีให้มากไว้ โดยเฉพาะความมั่นคงทางจิตใจ แล้วเราจะสามารถแก้ไขปัญหาให้กับบุคคล ซึ่งเครียดจากการดำเนินชีวิตปกติของเขา ในท่ามกลางหุ่นยนต์เทียมมนุษย์ ในรูปแบบที่หุ่นไม่สามารถจะทำได้ เพราะไม่เข้าใจอารมณ์มนุษย์ที่แท้จริง อีกส่วนหนึ่งก็คือในวิกฤตทุกอย่างย่อมมีโอกาส อย่างเช่นว่าระยะนี้ที่มีการบวชสามเณรภาคฤดูร้อน แล้วมีการล่วงละเมิดทางเพศกับสามเณร ทำให้ภาพพจน์ที่ไม่งดงามของพระพุทธศาสนาปรากฏขึ้น แล้วยังมีซีรีส์เรื่อง "สาธุ" ออกมาซ้ำเติมอีก เหมือนกับเป็นวิกฤตหนักในพระพุทธศาสนา แต่ความจริงแล้วเป็นโอกาสที่ดีมาก เราลองมาคิดดูว่า ถ้าสถานที่ใดสถานที่หนึ่ง สกปรก รกรุงรัง เต็มไปด้วยขยะ ขณะที่ใกล้เคียงกัน สะอาด สว่าง สงบ เราจะเลือกที่ไหน ? ก็แปลว่าถ้าเราสามารถบริหารวัดของเราให้แตกต่างจากวัดประเภทนั้น หรือว่าให้เป็นไปตามพระธรรมวินัย ก็จะเห็นความต่างอย่างชัดเจนแล้วว่าความ สะอาด สว่าง สงบ ที่แท้จริงนั้นเป็นอย่างไร ก็แปลว่าแม้วิกฤต AI ในปัจจุบันนี้ สามารถสวดมนต์ สามารถเทศน์ สามารถประมวลความรู้ในการแก้ปัญหาชีวิตให้กับพุทธศาสนิกชน หรือศาสนิกศาสนาอื่น ๆ เราก็ยังมีโอกาส เพราะว่าหุ่นยนต์เทียมมนุษย์ ไม่สามารถที่จะเข้าถึงอารมณ์ รัก โลภ โกรธ หลงได้อย่างแท้จริง แล้วขณะเดียวกัน ความบกพร่องของศาสนาพุทธ ปรากฏชัดเจนในสื่อต่าง ๆ ทั้งที่ตั้งใจและไม่ตั้งใจ แต่ก็ยังเป็นโอกาสว่า ถ้าหากว่าวัดวาอารามที่ไหนยังยึดมั่นในพระธรรมวินัย สถานที่นั้นก็ยังเป็นโอกาส เพราะว่าญาติโยมก็จะไหลไปทางนั้น ดังนั้น..ที่บรรดาท่านผู้รู้กล่าวว่า "ในทุกวิกฤตมีโอกาส" จึงไม่ใช่เรื่องที่พูดเล่น เพียงแต่ว่าเราเองจะต้องมีจิตที่สงบพอ จนกระทั่งเกิดปัญญา มองเห็นโอกาสในวิกฤตนั้น ๆ หรือเปล่าเท่านั้นเอง สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้ พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร. เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอังคารที่ ๙ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๖๗ (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 10-04-2024 เมื่อ 02:56 |
สมาชิก 39 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน ) | |
|
|