#1
|
||||
|
||||
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันจันทร์ที่ ๙ ตุลาคม ๒๕๖๖
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันจันทร์ที่ ๙ ตุลาคม ๒๕๖๖
__________________
มารใช้ คนทุกคน ของทุกชิ้น สัตว์ทุกตัว เป็นเครื่องมือในการขวางเรา โดยเฉพาะคนที่เรารักมากที่สุด (-/\-) (-/\-) (-/\-) |
สมาชิก 42 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ตัวเล็ก ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#2
|
||||
|
||||
วันนี้ตรงกับวันจันทร์ที่ ๙ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๖๖ คืนนี้จะมีการสวดพระอภิธรรม ถวายกุศลให้หลวงตาปรีชา อกิญฺจโน ตำแหน่งของท่านในวัดท่าขนุนนี้คือครูพระสอนศีลธรรม ได้รับตราตั้งของเจ้าคณะจังหวัดกาญจนบุรีอย่างเป็นทางการด้วย อายุ ๘๑ ปี พรรษา ๒๕ ก็ต้องถือว่าบวชมานาน อายุกาลพรรษาอยู่ในระดับมหาเถระแล้ว
จะว่าไปแล้ว หลวงตาปรีชาท่านเป็นพระที่ค่อนข้างจะมั่นใจตัวเองสูง เพราะฉะนั้น..ในระยะที่บวชใหม่ ๆ ท่านได้ขอออกธุดงค์ วนเวียนอยู่ในบริเวณภาคใต้บ้านเกิดอดีตภรรยาของท่าน แล้วก็ไปปฏิบัติอยู่ที่วัดถ้ำสุมโน จังหวัดพัทลุง ปฏิบัติไปปฏิบัติมา เขาจะให้ท่านเป็นเจ้าอาวาสวัดถ้ำพุทธโคดมที่อยู่ไม่ไกลจากวัดถ้ำสุมโน ท่านก็เลยหนีกลับบ้านเกิดที่ขอนแก่น ไปอยู่ขอนแก่นได้ไม่นาน ไม่สะดวกสบายเหมือนที่วัดถ้ำสุมโน หรือที่วัดท่าขนุน ท่านก็เลยกลับมาอยู่วัดท่าขนุนใหม่ เรื่องของพระที่จะเป็นพระสังฆาธิการในตำแหน่งต่าง ๆ นั้น กระผม/อาตมภาพเห็นสมควรอยู่ตำแหน่งเดียวคือเจ้าอาวาส เพราะว่าถ้าเป็นแล้วเรามีอำนาจในการบริหารจัดการทุกอย่างในวัดนั้นอยู่ในมือ กฎหมายอำนวยให้ทุกประการ แต่คนมักจะไปหวังตำแหน่งที่สูงกว่านั้น ซึ่งทุกตำแหน่ง ถ้าไม่มีเจ้าอาวาสรองรับ..ไปไม่รอดหรอก ตั้งแต่เจ้าคณะใหญ่ เจ้าคณะภาค เจ้าคณะจังหวัด เจ้าคณะอำเภอ เจ้าคณะตำบล มีอะไรต้องสั่งการลงมาที่เจ้าอาวาสทั้งหมด กฎหมายให้อำนาจถึงขนาดที่ว่า ถ้าสมเด็จพระสังฆราชเสด็จมาแล้วเจ้าอาวาสบอกว่าไม่ยินดีต้อนรับ ท่านยังเข้าวัดไม่ได้เลย ถ้าเข้าวัดถือว่าฝ่าฝืนคำสั่งของเจ้าพนักงานโดยกฎหมาย เพียงแต่ว่าในเรื่องของการบริหารจัดการวัดนั้น มีสารพันปัญหา จึงทำให้พวกเราส่วนใหญ่แล้ว ไม่มีใครอยากจะเป็นเจ้าอาวาสกัน โดยเฉพาะในปัจจุบันนี้ คณะสงฆ์ของเราเหมือนอย่างกับมีความก้าวหน้าขึ้น เพราะว่าเรามีมหาวิทยาลัยสงฆ์ทั้งสองแห่ง ก็คือมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย และมหาวิทยาลัยมหามกุฏ (มะ-กุด-ตะ) ราชวิทยาลัย ขอยืนยันว่าอ่านไม่ผิด มหามกุฏ (มะ-กุด-ตะ) ราชวิทยาลัย ใช้ ฏ.ปฏัก สะกด เนื่องเพราะว่าเป็นเพราะว่าเป็นไปตามพระราชหัตถเลขา ก็แปลว่าจะต้องเขียนตามนั้น พอ ๆ กับที่สมณศักดิ์พระครูวิลาศกาญจนธรรมของกระผม/อาตมภาพนั่นแหละ โดยปกติ วิลาศ ตัวนี้ ถ้าเป็นภาษาบาลีจะสะกดด้วย ส.เสือ แต่ด้วยความเคยชินของคนทั่วไป วิลาศก็ต้องใช้ ศ.ศาลา ก็เลยเขียนเป็น ศ.ศาลามา ผิดตั้งแต่ในสัญญาบัตร ก็ต้องเลยตามเลย ใช้ไปตามนั้น
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 10-10-2023 เมื่อ 10:39 |
สมาชิก 33 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#3
|
||||
|
||||
นอกจากนั้นแล้วเรายังมีกฎหมายหลายฉบับที่เอื้อให้กับพวกเรา อย่างเช่นล่าสุดนี้ ก็คือ พรบ.การศึกษาพระปริยัติธรรม แต่เราจะเห็นว่าคณะสงฆ์ของเรานั้น ภาพพจน์ตกต่ำลงไปทุกที คือดูเหมือนก้าวหน้า แต่เป็นความก้าวหน้าในทางโลก ๆ ซึ่งไม่มีประโยชน์ที่เราจะไปแข่งขันกับญาติโยมเขา
ตั้งแต่สมัยที่กระผม/อาตมภาพได้รับคำสั่ง ให้ไปเรียนประกาศนียบัตรบริหารกิจการคณะสงฆ์ ด้วยความที่เรียนเก่ง กวาดเกรด ๔ มาทุกวิชา ถึงเวลาจบการศึกษา เขาจึงให้ตัวแทนนิสิตขึ้นไปกล่าวถึงเรื่องที่อยากจะพูดจะกล่าว เกี่ยวกับหลักสูตรบริหารกิจการคณะสงฆ์นี้ กระผม/อาตมภาพได้รับเลือกให้เป็นตัวแทนนิสิตของภาค ๑๔ ก็คือ จังหวัดกาญจนบุรี สุพรรณบุรี นครปฐมและสมุทรสาคร กระผม/อาตมภาพบอกว่า "ตลอดหลักสูตรที่เรียนมา มีวิชาเป็นจำนวนมากที่ไม่ได้เห็นประโยชน์เลย อย่างเช่นว่าตรรกศาสตร์จะเรียนไปทำอะไร ? การศึกษาของพระภิกษุสามเณรเราสำคัญที่สุดก็คือ ทำอย่างไรที่จะสอนให้พระภิกษุสามเณรของเรารู้จักละอายชั่ว กลัวบาป รักศีลของตัวเอง แค่นี้ก็จบแล้ว ไม่ใช่ไปเรียนตรรกศาสตร์ TT FF ไม่เห็นได้อะไรขึ้นมา จะกลายเป็นว่าบัญญัติในสิ่งที่พระพุทธเจ้าไม่ได้บัญญัติ เพิ่มเติมในสิ่งที่พระพุทธเจ้าไม่ได้เพิ่มเติม จะกลายเป็นสัทธรรมปฏิรูปและทำลายศาสนาหรือเปล่า ?" เล่นเอาบรรดาอาจารย์ประจำหลักสูตรกระโดดเป็นโดนผึ้งต่อย..! แต่ท่านทั้งหลายจะเห็นว่า บรรดาวิชาการต่าง ๆ ในปัจจุบันของเรา เรียนอยู่ในลักษณะแข่งขันกับทางโลก ทางโลกเขามีวิชาอะไร มหาวิทยาลัยสงฆ์ของเราก็พยายามที่จะสร้างหลักสูตรวิชานั้นขึ้นมา ก็เลยตกอยู่ในลักษณะเดียวกับการเรียนพระปริยัติธรรมแผนกบาลี หรือว่าแผนกสามัญ แม้กระทั่งแผนกธรรม ก็คือขึ้นอยู่กับจิตสำนึกของผู้เรียน ว่ายังคำนึงถึงสมณสารูปหรือเปล่า ? มีสติรู้ตัวว่าเราเป็นพระภิกษุสามเณรหรือไม่ ? ตอนกระผม/อาตมภาพเป็นอาจารย์สอนวิชาต่าง ๆ ไม่ว่าจะอยู่ที่วิทยาลัยสงฆ์พุทธปัญญาศรีทวารวดี วิทยาลัยสงฆ์สุพรรณบุรีศรีสุวรรณภูมิ หรือวิทยาลัยสงฆ์กาญจนบุรีศรีไพบูลย์ กระผม/อาตมภาพไม่ได้เห็นความสำคัญในการถ่ายทอดความรู้ให้กับนิสิตเลย เพราะว่าใครก็สอนได้ แล้วนิสิตหลายท่านก็ถึงขนาดอ่านตำราเองก็ได้
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 10-10-2023 เมื่อ 10:40 |
สมาชิก 34 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#4
|
||||
|
||||
แต่สิ่งที่ตั้งใจกระทำก็คือ ก่อนที่จะ "ปิดคอร์ส" วิชานั้น จะบอกกล่าวเขาทั้งหลายอยู่เสมอว่า พวกท่านเป็นพระภิกษุสามเณร ถ้าไม่สามารถที่จะสร้างความเจริญให้กับพระพุทธศาสนาได้ ก็อย่าทำให้พระพุทธศาสนาต้องพังลงไปเพราะพวกคุณเอง เท่าที่สอนอยู่หลายปี เจตนามีอยู่แค่นี้เท่านั้น ก็คือปลุกจิตสำนึกให้เขาทั้งหลายเหล่านั้นยังระลึกถึงความเป็นพระเป็นเณรของตนเองอยู่
เนื่องเพราะว่าหลายต่อหลายวิชานั้น มีฆราวาสมาเรียนร่วมด้วย โดยเฉพาะสาขาวิชารัฐประศาสนศาสตร์ สาขาวิชาบริหารรัฐกิจ ปัจจุบันนี้ก็มีสาขาวิชาการพัฒนาสังคม สาขาวิชาวิปัสสนาภาวนา พอเรียนร่วมกันแล้ว ไม่พระภิกษุสามเณรของเราก็ฆราวาสนั่นแหละ ลืมตัว..ลืมสถานภาพตัวเอง ก็คือแทนที่จะรู้สึกว่าตัวเองเป็นพระเป็นเณร ก็ไปรู้สึกว่าเป็นเพื่อนกับฆราวาส โดยเฉพาะผู้หญิง ส่วนฆราวาสชายหญิง แทนที่จะรู้สึกว่าอีกฝ่ายเป็นปูชนียบุคคล ต้องรู้จักรักษาระยะห่าง ก็กลายเป็นเห็นเป็นเพื่อน ตีสนิท ยังดีที่ไม่กอดคอกันไป..! กระผม/อาตมภาพถึงได้ชื่นชมมากว่านิสิตของวิทยาลัยสงฆ์กาญจนบุรีศรีไพบูลย์ที่สอนมา ปัจจุบันนี้ท่านเป็นอาจารย์อยู่ ก็คือคุณกัญญาพร สุทธิพันธ์ อีกท่านหนึ่งก็คือคุณพรลักษณ์ แม้นบุตร สองท่านนี้คุยกับพระ คุยกับเณร หรือคุยกับครูบาอาจารย์ที่เป็นพระ ไม่เคยยืนเสมอเลย คุกเข่ากับพื้นตลอด นั่นคือความรู้ตัว มีสติ เห็นว่าอีกฝ่ายก็คือปูชนียบุคคลที่ควรแก่ความเคารพ ไม่ใช่เพื่อนที่จะไปตีเสมอด้วย กระผม/อาตมภาพถึงได้กล่าวว่า เรียนไปเท่าไรก็ได้ แต่ขึ้นอยู่กับจิตสำนึกของแต่ละคน ขึ้นอยู่กับสติสัมปชัญญะของเรา และท้ายที่สุดขึ้นอยู่กับ หิริ โอตัปปะ ต้องรู้จักละอายชั่ว กลัวบาป รักศีลของตัวเอง ระงับยับยั้งชั่งใจเอาไว้ สิ่งใดที่ละเมิดศีล เราก็ไม่ไปด้วย กระผม/อาตมภาพเองเรียนมาตั้งแต่ระดับประกาศนียบัตรบริหารกิจการคณะสงฆ์ ปริญญาตรี ปริญญาโท ปริญญาเอก ใช้เวลาเกือบ ๑๐ ปี ถ้าหากว่าว่ากันตามหลักสูตรก็ ๑๐ ปีเต็ม และมีหลายคนใช้เวลาเกิน ๑๐ ปี อย่างเช่นบางท่านเฉพาะเรียนปริญญาเอก ว่าไป ๘ ปี เพียงแต่กระผม/อาตมภาพเรียนเร็ว จบเร็ว ก็เลยใช้เวลาไม่ถึง
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 10-10-2023 เมื่อ 02:14 |
สมาชิก 35 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#5
|
||||
|
||||
ระหว่างที่เรียนอยู่ เห็นเพื่อนพระสังฆาธิการละเมิดศีลเป็นปกติ เกี้ยวพาราสีเพื่อนผู้หญิงที่เรียนร่วมห้องบ้าง กินอาหารหลังเที่ยงไปแล้วบ้าง แล้วครูบาอาจารย์หลายท่านก็ให้ท้าย บอกว่าพวกเราเรียนหนัก ใช้สมองมาก ถึงเวลาจะต้องหิวเป็นปกติ จะกินอาหารบ้างก็ไม่เป็นไร สามารถที่จะปลงอาบัติได้ กลายเป็นสอนให้ลูกศิษย์ทำชั่วไปอีก..!
ส่วนบรรดาพระสังฆาธิการ พอไปตำหนิเข้าว่า "ทำแบบนี้ อาบัติกินตายห่..เลยมึง..!" ท่านตอบว่า "อาบัติไม่กินพระแล้วจะกินใคร ? เพราะชาวบ้านโดนอาบัติไม่ได้..!" อยากจะบอกว่าจริงของแม่...เหมือนกัน..! แต่ท่านไม่ได้คำนึงถึงเลยว่าสิ่งที่ตนเองทำนั้น สร้างความเสียหายแก่พระพุทธศาสนาอย่างไร ? ทำให้คนขาดความเลื่อมใสในพระพุทธศาสนาอย่างไร ? เนื่องเพราะว่าเขาจะเลื่อมใสเรา ก็ต่อเมื่อเรามีอะไรที่ต่างจากเขา ถ้าเหมือนกันทุกอย่าง แล้วเขาจะไปเลื่อมใสทำไม ? เพียงแต่ว่าพระภิกษุสามเณรสมัยนี้มักจะขาดสำนึก หรือว่าขาดสติในตรงนี้ มีอะไรก็ทำแข่งกับญาติโยมเขา กุฏิก็ติดเครื่องปรับอากาศทุกห้อง ศาลาก็ติดเครื่องปรับอากาศทั้งหลัง อยากสบายแบบนั้นแล้วบวชทำไม ? เพราะฉะนั้น..หลายท่านมาที่วัดท่าขนุนนี้แล้วอยู่ไม่ได้ เพราะว่าไม่มีห้องปรับอากาศให้ ล่าสุดที่ผ่านมาพวกท่านก็เห็น บรรดา "นิสิตพันธุ์ใหม่" ที่อยากจะเป็นคนเก่งคนกล้า มาถึงพอไม่มีห้องปรับอากาศเท่านั้นเอง ขอถอนตัว ไปนอนที่เขื่อนวชิราลงกรณ แล้วประเภทนั้นหรือ อยากที่จะเป็นคนพันธุ์ใหม่ ? ขนาดคนพันธุ์โบราณยังเป็นไม่ได้เลย..! จึงเป็นเรื่องที่เราท่านทั้งหลายต้องดูให้ชัดว่า วงการสงฆ์ของเราในปัจจุบันนี้ดูเหมือนกับก้าวหน้ามาก แต่เป็นการก้าวไปในทางที่ผิด การสาธารณสงเคราะห์อยู่ในลักษณะของการไปแจกข้าวของให้ถึงที่ ไม่ใช่การสอนให้เขาทำมาหากิน การแจก..คุณมีเท่าไรไม่พอแจกหรอก แต่ถ้าหากว่าทำอย่างในหลวงรัชกาลที่ ๙ ก็คือ "สอนให้ตกปลา" แล้วเขาจะมีปลากินตลอดชีวิต ไม่ใช่สอนโดยการเอาปลาไปให้เขากิน ถ้าอย่างนั้นคุณก็ต้องหาไปป้อนเขาอยู่ตลอดเวลา
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 10-10-2023 เมื่อ 02:17 |
สมาชิก 36 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#6
|
||||
|
||||
ในเมื่อหลายอย่างเดินไปในทางที่ผิด ถ้าเราเห็นก็ต้องทักท้วงบ้าง ทุกวันนี้กระผม/อาตมภาพกลายเป็น "ตัวแสบ" อยู่ในวงการคณะสงฆ์ เห็นอะไรไม่ถูกต้องก็ท้วงแรง ๆ แม้แต่พระเดชพระคุณพระธรรมวชิรานุวัตร, ดร. (แย้ม กิตฺตินฺธโร) เจ้าคณะภาค ๑๔ ยังบอกว่า "มึงรู้จริงก็พูดไป แต่อย่าให้กระทบเจ้านายมากนัก..!"
ถ้าหากว่าเราไม่หวังยศ ไม่หวังตำแหน่ง ไม่หวังความก้าวหน้าทางโลก มีอะไรเราเอาธรรมเป็นใหญ่ เราจะพูดได้ทุกเรื่อง แต่ถ้าหากว่าไปมัวแต่หวังยศ หวังตำแหน่ง กลัวเจ้านายเขาเกลียดขี้หน้า เดี๋ยวจะโดน "แป้ก" ถ้าอย่างนั้นชาตินี้ก็อย่าบวชเลย..! เสียเวลาเปล่า ๆ บวชมาแล้วแทนที่จะทำให้ศาสนาเจริญ ก็กลายเป็นตัวถ่วง ดีไม่ดีก็เป็นตัวทำให้ศาสนาพังลงไปเพราะตัวเราเองอีกด้วย..! สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้ พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร. เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันจันทร์ที่ ๙ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๖๖ (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 10-10-2023 เมื่อ 02:19 |
สมาชิก 46 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน ) | |
|
|