#1
|
||||
|
||||
เทศน์วันวิสาขบูชา วันเสาร์ที่ ๓ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๖๖
เทศน์วันวิสาขบูชา วันเสาร์ที่ ๓ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๖๖ เชิญรับชมได้ที่ https://www.youtube.com/live/IvUbdmgTn3w เทศน์เริ่มที่นาทีที่ ๕๙:๐๐ นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ อัคโคหะมัสมิ โลกัสสะ อะนุตตะรัง สัมมาสัมโพธิง อะภิสัมพุทโธ ปัจจัญญาสิง อัปปะมาเทนะ สัมปาเทถา ติ ณ บัดนี้อาตมภาพจักแสดงพระธรรมเทศนาในวิสาขปูชากถา เพื่อเป็นเครื่องประดับสติปัญญาเพิ่มพูนบารมี เสริมสร้างกุศลบุญราศี ของบรรดาพุทธบริษัททั้งหลาย ซึ่งพร้อมใจกันมาบำเพ็ญกุศลเนื่องในวันวิสาขบูชา ณ วัดท่าขนุนแห่งนี้ ญาติโยมพุทธบริษัททั้งหลาย วันวิสาขบูชานั้นจัดว่าเป็นวันสำคัญยิ่งวันหนึ่งในพระพุทธศาสนา แม้กระทั่งองค์กรยูเนสโก (UNESCO) ยังยกให้เป็นวันสำคัญของโลก โดยเฉพาะพระพุทธศาสนาของเรา ได้รับการยกย่องว่าเป็นศาสนาแห่งสันติ เนื่องเพราะว่าไม่เคยเผยแผ่ด้วยการเบียดเบียนผู้หนึ่งผู้ใดเลย ดังนั้นวันสำคัญของโลกเช่นนี้ เราท่านทั้งหลายจึงควรที่จะสร้างกุศลบุญราศี นอกจากเป็นการสร้างบุญแก่ตนแล้ว ยังเป็นการส่งเสริมให้วันสำคัญทางพระพุทธศาสนานี้ มีความเด่นชัดยิ่ง ๆ ขึ้นไปในสายตาของชาวโลก แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย หยาดฝน : 04-06-2023 เมื่อ 00:13 |
สมาชิก 18 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ หยาดฝน ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#2
|
||||
|
||||
วันวิสาขบูชานั้น ถ้าจะว่าไปแล้วพวกเราทั้งหลายก็ทราบดีว่า เป็นวันที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า "ประสูติ" ก็คือเกิด "ตรัสรู้" ก็คือจบการศึกษา และ "ปรินิพพาน" ก็คือสิ้นชีวิตลง ซึ่งวันทั้งสามนี้ทางด้านพระพุทธศาสนาเถรวาทของเรานั้นถือว่าเป็นวันเดียวกัน คือวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๖ แต่พระพุทธศาสนามหายานนั้นถือว่า วันเกิด คือ วันประสูติขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้น เป็นอีกวันหนึ่ง
ซึ่งเรื่องทั้งหลายเหล่านี้ก็ขึ้นอยู่กับการคำนวณปฏิทินเวลา อย่างเช่น คณะสงฆ์ของเราก็มีการคำนวณปฏิทินปักขคณนา จนกระทั่งสามารถกำหนดได้ว่า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประสูติในวันศุกร์ ปีจอ เป็นต้น ซึ่งเรื่องทั้งหลายเหล่านี้ ถ้าเราพลาดแม้แต่วันเดียวก็จะผิดพลาดไปมาก จึงไม่ใช่สาระสำคัญ สาระสำคัญอยู่ที่ว่า แม้องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเรานั้น ก็มีการเกิด แก่ เจ็บ ตายเป็นปกติ เหมือนกับเราท่านทั่วไป ในเมื่อองค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้ที่ประสูติขึ้นมาก็ตรัสแล้วว่า "อะหัง อัคโคหะมัสมิ โลกัสสะ" เป็นต้น แปลเป็นใจความว่า เราเป็นผู้เลิศที่สุดในโลก เราเป็นผู้ประเสริฐที่สุดในโลก ชาตินี้จักเป็นชาติสุดท้ายของเรา เหล่านี้เป็นต้น |
สมาชิก 16 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ หยาดฝน ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#3
|
||||
|
||||
องค์สมเด็จพระทศพลบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าของเรานั้น เสด็จพระราชดำเนินไป ๗ ก้าว พร้อมกับประกาศอาสภิวาจานี้ ซึ่งบรรดาผู้ที่เป็นนักศึกษาหรือว่านักวิชาการพระพุทธศาสนาต่าง ๆ กล่าวว่า เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ เด็กที่เพิ่งจะเกิดมาจะให้เดินได้เลยนั้นไม่พึงหวัง ก็คือเป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอน จะให้กล่าวคำพูดเลยนั้นไม่พึงหวัง ก็คือไม่เป็นไปอย่างแน่นอน
แต่ถ้าท่านทั้งหลายศึกษาในชาดกจะเห็นว่า ในชาติหนึ่งก็คือ มโหสถชาดก หรือที่เราเรียกว่าพระเจ้าสิบชาติ ในชาติที่เสวยพระชาติเป็นมโหสถนั้น เมื่อเกิดมาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าซึ่งเป็นพระโพธิสัตว์ ในพระหัตถ์ได้กำยามาด้วย แล้วก็บอกว่าให้เอาไปรักษาพ่อที่ป่วยอยู่ หรือว่าในชาติที่เกิดเป็นพระเวสสันดร องค์พระโพธิสัตว์เมื่อจุติออกจากครรภ์มารดา ก็กล่าวว่า "อะมะ ข้าแต่แม่ ข้าพเจ้าจักให้ทาน" เป็นต้น |
สมาชิก 18 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ หยาดฝน ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#4
|
||||
|
||||
เราจะเห็นว่า องค์สมเด็จพระทศพลเกิดมาแล้ว ไม่ใช่พูดได้เลยแค่ชาติเดียวเท่านั้น แต่ว่ามีหลายชาติที่สามารถกล่าววาจาได้เลย ตรงจุดนี้..ถ้าท่านทั้งหลายศึกษาให้ละเอียด องค์สมเด็จพระบรมโลกเชษฐ์บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสเอาไว้ว่า
สัตว์ทั้งหลายบางจำพวก ขณะที่จุติไม่รู้ตัว ขณะที่เคลื่อนไปไม่รู้ตัว ขณะอยู่ในครรภ์มารดาไม่รู้ตัว ต่อเมื่อคลอดออกจากครรภ์มารดาจึงรู้ตัว สัตว์บางจำพวก ขณะที่จุติไม่รู้ตัว ขณะที่เคลื่อนไปไม่รู้ตัว ขณะอยู่ในครรภ์มารดารู้ตัว เมื่อคลอดออกมาก็รู้ตัว สัตว์บางจำพวก ขณะที่จุติไม่รู้ตัว เมื่อเคลื่อนไปรู้ตัว อยู่ในครรภ์มารดารู้ตัว คลอดออกมาก็รู้ตัว สัตว์บางจำพวก แม้ขณะจุติก็รู้ตัว ขณะเคลื่อนไปก็รู้ตัว อยู่ในครรภ์มารดาก็รู้ตัว คลอดออกมาก็รู้ตัว องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจัดอยู่ในประเภทสุดท้าย ก็คือ รู้ตัวอยู่ทุกขณะตั้งแต่ตายจนกระทั่งเกิด ในเมื่อเป็นเช่นนั้น พัฒนาการต่าง ๆ จึงไม่มีอะไรมาขวางกั้นได้ เพราะว่ารู้ตัวอยู่ตลอด เหมือนกับคนหลับแล้วตื่นเท่านั้น ในเมื่อชาติก่อนพูดได้ ชาตินี้ก็พูดได้เลย น่าเสียดายที่ว่าร่างของราชกุมารก็คือทารก ไม่เช่นนั้นก็คงจะไม่เดินแค่ ๗ ก้าว อาจจะวิ่งรอบโลกไปแล้วก็ได้ ! |
สมาชิก 17 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ หยาดฝน ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#5
|
||||
|
||||
ดังนั้น..ในส่วนนี้ถ้าท่านทั้งหลายศึกษาพระไตรปิฎกและอรรถกถา ตลอดจนกระทั่งฏีกาอนุฏีกาให้ครบถ้วน ก็จะไม่ต้องเสียเวลาไปถกเถียงกัน เนื่องเพราะว่าตัวเรานั้นสติไม่สมบูรณ์ แต่ว่าองค์มหาโพธิสัตว์เจ้านั้นสติสมบูรณ์อยู่ตลอด
จนกระทั่งออกมหาภิเนษกรมณ์ ทรมานกายพระองค์ท่านอยู่ ๖ ปี เมื่อเห็นว่าไม่ใช่วิธีการที่ถูกต้อง จึงเปลี่ยนมาใช้มัชฌิมาปฏิปทา จนกระทั่งสามารถตรัสรู้อนุตรสัมมาสัมโพธิญาณได้ นักวิชาการหลายท่านก็กล่าวว่า องค์สมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้านั้น เสียเวลาไปถึง ๖ ปี แต่กระผม/อาตมภาพเห็นว่า ไม่ใช่การเสียเวลา ในเมื่อสมัยนั้นนิยมว่า การทรมานตนจะเป็นเครื่องให้บรรลุมรรคผล พระองค์ท่านก็ทำแล้ว เมื่อทำแล้ว ทำยิ่งกว่าคนอื่นหลายเท่า ไม่มีใครสามารถคัดค้านได้ว่า พระองค์ท่านทำน้อยกว่า ในเมื่อเป็นเช่นนั้นแล้วไม่บรรลุ พระองค์ท่านก็ยืนยันได้ว่า วิธีนี้ผิด โดยที่เป็นการทดลองด้วยพระองค์เอง สามารถที่จะยืนยันได้อย่างเต็มที่ มีประจักษ์พยานก็คือปัญจวัคคีย์ฤๅษีทั้ง ๕ ที่อยู่ดูแลโดยตลอด และคอยกระจายข่าวให้เพื่อนฝูงว่า ตอนนี้สิทธัตถราชกุมารทรมานตนแบบใดบ้าง ซึ่งทุกคนที่เป็นนักบวชในสมัยนั้นได้ยินก็ต้องยอมให้ทั้งสิ้น เพราะว่าตนเองไม่ได้ทรมานตนถึงขนาดนั้น แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 04-06-2023 เมื่อ 02:02 |
สมาชิก 16 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ หยาดฝน ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#6
|
||||
|
||||
เมื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้แล้ว จึงกล่าวได้ว่า ในส่วนของ "อัตตกิลมถานุโยค" คือ การทรมานตน นั้นเป็นการสูญเปล่า ขณะเดียวกัน "กามสุขขัลลิกานุโยค" ก็รังแต่จะยึดติดกับความสุข พระองค์ท่านจึงเสนอ "มัชฌิมาปฏิปทา" หนทางสายกลางที่พอเหมาะพอดี ซึ่งสรุปลงมาแล้ว มี ศีล สมาธิ ปัญญา เป็นต้น
องค์สมเด็จพระทศพลบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า จึงสามารถประกาศพระพุทธศาสนา ให้ตั้งมั่นอยู่ในชมพูทวีป ซึ่งประกอบไปด้วยศาสดาเจ้าลัทธิต่าง ๆ ซึ่งมีชื่อเสียงเป็นที่เคารพนับถือถึง ๖๒ ลัทธิด้วยกัน ก็เพราะว่าองค์สมเด็จพระภควันต์บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ทำด้วยพระองค์เอง ทำยิ่งกว่าผู้อื่น แล้วไม่สามารถบรรลุได้ ในเมื่อพระองค์บรรลุได้ด้วยมัชฌิมาปฏิปทา จึงมีผู้เชื่อถือและปฏิบัติตาม จนเกิดพระสงฆ์ขึ้นมาในโลก เป็นเครื่องยืนยันการตรัสรู้ของพระองค์ท่าน ดังนั้น..ไม่ว่าจะเป็นการเกิดก็ดี การตรัสรู้ก็ตาม ไม่ว่าจะตรงกับ ๑๕ ค่ำ เดือน ๖ หรือไม่ แต่ว่าสิ่งที่ยืนยันได้ก็คือ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้น ก็ตกอยู่ในอำนาจของไตรลักษณ์ ก็คือ "อนิจจัง" ไม่เที่ยง มีการเกิด แก่ เจ็บ ตาย เป็นปกติ "ทุกขัง" เมื่อดำรงพระวรกายอยู่ พระองค์ท่านก็มีทุกข์เช่นเดียวกับมนุษย์ทั่ว ๆ ไป เพียงแต่พระองค์ท่านนั้น เข้าถึงความบริสุทธิ์ของใจ เห็นว่า..ทุกข์นั้นเป็นธรรมดาของโลก จึงไม่ได้ใส่ใจ ไม่ว่าจะเป็นความทุกข์หรือความสุข วางกำลังใจของพระองค์ท่านเป็นกลาง ๆ ไม่ยินดียินร้าย จึงเหมือนกับว่าพระองค์ท่านไม่ได้ทุกข์กับใครเลย เมื่อทรงประกาศพระพุทธศาสนาอยู่ ๔๕ ปี จนกระทั่งศาสนานี้ตั้งมั่น มีพระรัตนตรัยครบถ้วนสมบูรณ์ พระองค์ท่านก็ปรินิพพานที่สาลวโนทยาน เมืองกุสินารา เป็นการย้ำอย่างชัดเจนว่า "สัพเพ สังขารา อนิจจา" สังขารทั้งหลายไม่มีอะไรเที่ยงแท้แน่นอน เกิดขึ้นในเบื้องต้น แปรปรวนไปในท่ามกลาง และสลายตัวไปในที่สุด แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 04-06-2023 เมื่อ 02:04 |
สมาชิก 17 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ หยาดฝน ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#7
|
||||
|
||||
ดังนั้น..แม้ว่าวันวิสาขบูชาจะเป็นวันสำคัญของโลกก็ดี ไม่เป็นวันสำคัญของโลกก็ตาม ส่วนที่เราต้องระลึกอยู่เสมอก็คือ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้นมีอุบัติขึ้นมา เพื่ออนุเคราะห์สงเคราะห์แก่หมู่สัตว์ทั้งหลาย ซึ่งในดวงตามีธุลีน้อย คือ เป็นผู้มีปัญญาญาณ สามารถที่จะรู้ทั่วถึงธรรมของพระองค์ท่าน จึงได้ทรงตรัสหลักธรรมทั้งหลายแล้วถึง ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ ส่วนหนึ่งประการใดที่พอเหมาะพอดีแก่พวกเรา เราก็ควรที่จะน้อมนำมาปฏิบัติให้เกิดผล จึงจะได้ชื่อว่าเป็นสาวกขององค์สมเด็จพระทศพลบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าอย่างแท้จริง
ไม่เช่นนั้นแล้ว ต่อให้เรายกย่องวันวิสาขบูชาว่าเป็นวันสำคัญอย่างไรก็ตาม แต่ว่าเราไม่ได้น้อมนำเอาหลักธรรมนั้นมาปฏิบัติ วันนั้นก็ยังคงเป็นวันสำคัญอยู่ แต่เราเองหาความสำคัญอะไรไม่ได้ เพราะว่าส่วนที่เป็นสาระแก่นสารนั้น เราไม่ได้น้อมนำเข้ามาอยู่ในใจ จนก่อให้เกิดประโยชน์แก่ตนเลย ดังนั้น..ในวันวิสาขบูชาจึงเป็นวันที่เราทั้งหลายควรที่จะน้อมจิตน้อมใจ ตั้งใจรักษาศีล เจริญภาวนา สั่งสมบุญกุศลในด้านต่าง ๆ นานัปการ เพื่อให้สมกับเป็นวันสำคัญของโลก เราจักได้กอบโกยเอาบุญกุศล ตลอดจนกระทั่งคุณงามความดี เข้ามาไว้ในจิตในใจของเรา เมื่อความดีในใจมีมากขึ้นมาเท่าไร ความชั่วก็แทรกเข้ามาได้น้อย จนกระทั่งสุดท้าย ความดีเต็มสมบูรณ์บริบูรณ์ เราเองก็จักเป็นผู้ที่ดีเลิศเช่นกัน แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 04-06-2023 เมื่อ 02:05 |
สมาชิก 16 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ หยาดฝน ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#8
|
||||
|
||||
แต่ขณะเดียวกัน ถ้ายังยึดเกาะความดีอยู่ เราก็ยังไปไหนไม่ได้ ดังนั้น..องค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า จึงสอนให้เราทั้งหลาย "ปล่อยวาง" ไม่ว่าจะเรื่องดีก็ไม่ยินดี จะเรื่องร้ายก็ไม่ยินร้าย ถ้าสามารถวางใจให้เป็นกลางอย่างนี้ได้ พระองค์ท่านตรัสว่า เราทั้งหลายจักมีพระนิพพานเป็นที่ไปในเบื้องหน้า
สำหรับวันวิสาขบูชานั้น ทางวัดท่าขนุนของเรานอกจากจะมีการทำบุญใส่บาตร ฟังเทศน์ฟังธรรมแล้ว เราก็ยังมีการมอบทุนการศึกษา มีการอุปสมบทหมู่เพื่อปฏิบัติธรรม มีการบวชเนกขัมมะปฏิบัติธรรม มีการตามประทีปถวายเป็นพุทธบูชานับหมื่นดวง และยังมีการเวียนเทียนอีกด้วย เรื่องทั้งหลายเหล่านี้จึงเป็นเรื่องที่เราปฏิบัติตามที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสสอนเอาไว้ ก็คือ ให้พวกเราทั้งหลายรักษาใจของเราให้บริสุทธิ์บริบูรณ์ ประกอบไปด้วยการละชั่ว ทำดี ทำจิตใจให้ผ่องใส จึงจะได้สมกับเป็นพุทธศาสนิกชน ที่องค์สมเด็จพระทศพลบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้ทรงตรากตรำพระวรกายอยู่ถึง ๔๕ ปี เพื่อสั่งสอนในสิ่งอันเป็นประโยชน์แก่พวกเรา ทั้งชาตินี้ ชาติหน้า และเป็นประโยชน์สูงสุด คือ พระนิพพาน แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 04-06-2023 เมื่อ 02:06 |
สมาชิก 16 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ หยาดฝน ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#9
|
||||
|
||||
เทสนาวสาเน..ในท้ายสุดแห่งพระธรรมเทศนา อาตมภาพขอตั้งสัตยาธิษฐาน อ้างคุณพระศรีรัตนตรัย คือพระพุทธรัตนะ พระธรรมรัตนะ และพระสังฆรัตนะเป็นประธาน มีบารมีของหลวงปู่สาย อคฺควํโส อดีตเจ้าอาวาสวัดท่าขนุนเป็นที่สุด
ขอได้โปรดดลบันดาลให้ญาติโยมทั้งหลายมีความปลอดภัยในที่ทุกสถาน ในกาลทุกเมื่อ แม้ว่าประสงค์จำนงหมายสิ่งหนึ่งประการใด ที่เป็นไปโดยชอบ ประกอบแล้วด้วยธรรมแล้ว ก็ขอให้อำนาจพุทธบารมี ธรรมบารมี สังฆบารมี ดลบันดาลให้ท่านทั้งหลายประสบความสำเร็จ สมดังมโนรถปรารถนาจงทุกประการ รับหน้าที่วิสัชนามาในวิสาขปูชากถา ก็พอสมควรแก่เวลา จึงขอสมมติยุติพระธรรมเทศนาลงคงไว้แต่เพียงเท่านี้ เอวังก็มีด้วยประการฉะนี้ พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร. เทศน์วันมาฆบูชา ณ วัดท่าขนุน วันจันทร์ที่ ๖ มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๖๖ (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย) แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 04-06-2023 เมื่อ 02:07 |
สมาชิก 18 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ หยาดฝน ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#10
|
||||
|
||||
ถ่ายทอดสดพิธีบวงสรวงพุทธาภิเษกเหรียญมหาลาภเงินล้าน วัดท่าขนุน วันเสาร์ที่ ๓ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๖๖
เชิญรับชมได้ที่ https://www.youtube.com/live/ZH9n94D9Y_8 |
สมาชิก 13 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ หยาดฝน ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#11
|
||||
|
||||
ถ่ายทอดสดงานเวียนเทียนวันวิสาขบูชา วัดท่าขนุน วันเสาร์ที่ ๓ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๖๖
เชิญรับชมได้ที่ https://www.youtube.com/watch?v=pPQCKpKAmdE แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย หยาดฝน : 01-08-2023 เมื่อ 22:01 |
สมาชิก 14 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ หยาดฝน ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน ) | |
|
|