#1
|
||||
|
||||
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันเสาร์ที่ ๓๐ กรกฎาคม ๒๕๖๕
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันเสาร์ที่ ๓๐ กรกฎาคม ๒๕๖๕
__________________
มารใช้ คนทุกคน ของทุกชิ้น สัตว์ทุกตัว เป็นเครื่องมือในการขวางเรา โดยเฉพาะคนที่เรารักมากที่สุด (-/\-) (-/\-) (-/\-) |
สมาชิก 38 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ตัวเล็ก ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#2
|
||||
|
||||
วันนี้ตรงกับวันเสาร์ที่ ๓๐ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๖๕ ในช่วงเช้ากระผม/อาตมภาพได้ไปยังวัดประเสริฐสุทธาวาส เขตราษฎร์บูรณะ กรุงเทพมหานคร เพื่อทำการปลุกเสกวัตถุมงคลให้กับหลวงพ่อหมู (พระครูปลัดพรหมจริยวัฒน์) เจ้าอาวาสวัดประเสริฐสุทธาวาส เมื่อไปถึงก็เจอแต่พรรคพวกเพื่อนฝูง โดยเฉพาะหลวงพ่อหนุน (พระครูวิชัยสารคุณ) วัดพุทธโมกข์ จังหวัดสกลนคร ซึ่งท่านมีการปลุกเสกในช่วงบ่าย แต่ว่าเดินทางมาถึงตั้งแต่เช้าแล้ว
ส่วนในช่วงเช้านี้ ทางด้านวัดประเสริฐสุทธาวาสยกให้กระผม/อาตมภาพเหมาเดี่ยวไปคนเดียว เพราะว่าช่วงบ่ายกระผม/อาตมภาพยังมีงานปลุกเสกวัตถุมงคลที่วัดสกุณาราม อำเภอสรรคบุรี จังหวัดชัยนาทอีกหนึ่งแห่ง ขณะที่ทำการบวงสรวงเพื่อกราบขอบารมีพระท่านสงเคราะห์ รู้สึกว่ากำลังที่กดลงมานั้นมหาศาลจนกระทั่งจะสั่นไปทั้งตัว ต้องพยายามฝืนเอาไว้ไม่ให้สั่นตามไป ลักษณะของการสั่นแบบนี้เป็นการสั่นเหมือนกับเราตื่นเต้นอะไรบางอย่างแบบสุด ๆ รู้สึกว่าเป็นพลังงานที่คุ้นเคยมาก เพียงแต่ไม่เข้าใจว่าทำไมมาปรากฏที่นี่ ? ความรู้สึกก็คืออยากจะวิ่งทะลวงเข้าไปในโบสถ์ อย่างชนิดที่เรียกว่าทะลุออกไปหลังโบสถ์ไปได้เลยก็ยิ่งดี..! เมื่อเข้าไปภายในโบสถ์แล้วจึงได้เห็นว่า ทางหลวงพ่อหมูนั้น นำเอารูปของหลวงพ่อกวย วัดโฆสิตามราม มาตั้งเอาไว้ด้านหน้ามณฑลพิธี ปูผ้าขาวพร้อมกับอาสนะเอาไว้อย่างดี ก็แปลว่าหลวงพ่อกวยท่านมาถึงแล้ว เห็นลูกศิษย์มัวแต่ชักช้า ก็จะลากเข้าโบสถ์ท่าเดียว ในเมื่อครูบาอาจารย์ท่านอยู่ กระผม/อาตมภาพก็สบายใจ เพราะว่าไม่ต้องเหนื่อยมาก ดังนั้น..ในการปลุกเสกวันนี้จึงได้แต่ทำตามคำสั่งเพียงประการเดียวเท่านั้น เมื่อเสร็จพิธีแล้วก็ได้ขอตัว เพื่อที่จะได้เดินทางต่อไปยังวัดสกุณาราม แต่เนื่องจากว่าระยะเวลานั้นยังเหลืออยู่มาก จึงได้แวะฉันเพลเสียก่อน แล้วค่อยเดินทางต่อไปจนถึง ซึ่งวัดสกุณารามนี้ ถ้าเดินทางจากวัดท่าขนุนไปโดยตรงโดยที่รถไม่ติดเลย ก็จะใช้เวลาประมาณ ๔ ชั่วโมงครึ่ง แต่ถ้าหากว่ารถติด หรือว่าต้องแวะฉันเพลกลางทาง ก็น่าจะใช้เวลาถึง ๕ ชั่วโมง..! เมื่อไปถึง ปรากฏว่าพระเกจิอาจารย์ท่านอื่น มีบางท่านที่มาถึงแล้วเช่นกัน จึงได้เข้าไปยังที่พัก พบกับหลวงพ่อเหิน ปุญญกฺเขตฺโต จากสำนักสงฆ์เพชรพญาธาร จังหวัดเพชรบูรณ์ ซึ่งเคยปลุกเสกวัตถุมงคลร่วมกันมาหลายวาระแล้ว แต่ว่าที่มีเวลามานั่งคุยกันอย่างเป็นทางการแบบนี้ก็เพิ่งจะครั้งแรก โดยเฉพาะเมื่อญาติโยมได้ทำบุญถวายปัจจัยมา กระผม/อาตมภาพก็รวบรวมปัจจัยทั้งหมดใส่ย่ามถวายหลวงพ่อเหินท่านไป เพื่อร่วมสร้างสำนักสงฆ์เพชรพญาธารด้วย โดยให้เหตุผลกับท่านที่โวยวายว่า ไปผลักภาระให้ท่าน ก็คือ "ผมจะได้ไม่ต้องเหนื่อยเอง"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 31-07-2022 เมื่อ 01:10 |
สมาชิก 33 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#3
|
||||
|
||||
เมื่อคุยกันจนได้เวลาแล้ว ก็เข้าไปในมณฑลพิธี ซึ่งทางด้านวัดสกุณาราม ได้ออกเหรียญท้าวเวสสุวรรณ รุ่น กหาปณะเศรษฐี เป็นเหรียญในลักษณะที่เรียกว่าพุทธศิลป์ ก็คือสวยงามอลังการมาก
บรรดาพระเกจิอาจารย์ที่เข้าปลุกเสกนั้น หลายท่านก็รู้จักมักคุ้นกันดี อย่างเช่น หลวงพ่อเกาะ (พระครูวิสิฐชัยคุณ) วัดท่าสมอ พระครูปลัดธีรวัฒน์ วัดจุฬามณี หรือว่าพระครูปลัดศิริ วัดทรงเสวย เป็นต้น เมื่อกราบไหว้ทักทายกันเรียบร้อยแล้วก็เข้าสู่พิธีกรรม ซึ่งงานนี้ก็มีพระมหานาคทำการสวดพุทธาภิเษก ทำให้ทุกคนสามารถที่จะวางกำลังใจได้ว่า ไม่ต้องกลัวว่าจะออกจากสมาธิช้าหรือว่าเร็วกว่ากัน เนื่องเพราะว่าสวดจบเมื่อไรก็เป็นอันว่าจบพิธีไปด้วย เมื่อเสร็จพิธีแล้ว กระผม/อาตมภาพก็กราบลาทุกท่าน ขออนุญาตเดินทางกลับวัดท่าขนุนเลย ซึ่งต้องใช้เวลาอย่างที่กล่าวไว้คือประมาณ ๔ ชั่วโมงครึ่งถึง ๕ ชั่วโมง ได้ปรึกษากับน้องเล็ก (นางสาวจิราพร ซื่อตรงต่อการ) แล้วว่า ถ้าเราลากยาวไปถึงวัดท่าขนุนเลย ก็จะช่วยให้บรรดาผู้ปฏิบัติธรรม ซึ่งบวชเนกขัมมะเฉลิมพระเกียรติ รุ่นที่ ๕/๒๕๖๕ ได้ประโยชน์ใหญ่ในช่วงเช้าอีกรอบหนึ่ง เพราะว่ากระผม/อาตมภาพจะได้นำทุกท่านเจริญพระกรรมฐานช่วงเช้า ซึ่งเป็นเวลาที่ทุกคนแหงนคอรอคอย อีกประการหนึ่งก็คือจะได้ออกบิณฑบาตสงเคราะห์ญาติโยม โดยเฉพาะตามโครงการ "หิ้วตะกร้า นุ่งผ้าซิ่น นั่งแคร่ไม้ ใส่บาตรพระทุกวันอาทิตย์" ที่ญาติโยมส่วนหนึ่งไปดักรอ เพื่อใส่บาตรกระผม/อาตมภาพโดยเฉพาะ หลังจากนั้นถึงจะเป็นการภาวนาพระคาถาเงินล้าน ๑๐๘ จบ ซึ่งในงานนี้ทางวัดก็น่าจะสรรหาพระพุทธรูปที่พอจะหาได้มาเข้าพิธีอยู่บ้าง ในจำนวนนี้ก็น่าจะโดนญาติโยมบูชากันจนหมดตามเคย อีกส่วนหนึ่งที่อยากจะบอกว่า ทุกท่านอาศัยวิธีลัด ทำให้เบาแรงไปมาก ก็คือ การนำเอาพวงมาลัยหรือว่าดอกไม้บูชาพระในพิธีกรรม กลับไปตากแห้งแล้วบดเป็นผง เพื่อทำเป็นชนวนในการสร้างวัตถุมงคล ซึ่งเป็นวิธีลัดที่ง่ายที่สุด
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 31-07-2022 เมื่อ 01:13 |
สมาชิก 31 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#4
|
||||
|
||||
ในเรื่องของการกราบไหว้บูชาพระรัตนตรัยด้วยดอกไม้ของหอมต่าง ๆ นั้น กระผม/อาตมภาพวางกำลังใจในลักษณะที่ทุ่มเทถวายเป็นพุทธบูชาอย่างเต็มที่ เนื่องเพราะว่าได้รับคำเตือนจากครูบาอาจารย์ตั้งแต่สมัยที่ยังอยู่วัดท่าซุง
ในช่วงนั้น กระผม/อาตมภาพเป็นหัวแถวในการนำบิณฑบาตสายใต้ ซึ่งจะเดินไปจนกระทั่งถึงบริเวณหัวสะพาน ใกล้ร้านอาหารใหญ่ที่ตั้งขึ้นมาภายหลัง บริเวณนั้นจะมีคุณยายอยู่ท่านหนึ่ง เมื่อจะใส่บาตรก็ได้นำเอาดอกไม้ทำเป็นกรวยมาถวายด้วยทุกวัน ดอกไม้ที่นำมาถวายก็เป็นดอกไม้พื้นบ้านต่าง ๆ อย่างเช่นว่าดอกสร้อยทอง ดอกหงอนไก่ ดอกซ่อนกลิ่น เป็นต้น ไม่ได้มีดอกไม้อะไรสวยงามวิลิศมาหราเลย ห่อกรวยใบตองมาถวายอยู่ทุกวัน กระผม/อาตมภาพก็รับมาแบบเสียไม่ได้ เมื่อกลับมาถึงวัด ขณะที่จะเดินเข้าทางด้านหอฉัน ต้องผ่านศาลาหลวงพ่อ ๔ พระองค์ในสมัยนั้น ที่เป็นโรงเก็บวัสดุก่อสร้างของทางวัดท่าซุงด้วย ซึ่งมีช่องว่างระหว่างเหล็กดัด กระผม/อาตมภาพก็จะนำเอากรวยดอกไม้นั้นวางบูชาหลวงพ่อ ๔ พระองค์ไว้ แล้วก็เดินเข้าไปฉันที่บริเวณหอฉัน โดยที่ไม่รู้ว่าสิ่งที่ตนเองทำนั้น เป็นไปในลักษณะ "สักแต่ว่าทำ" ไม่ได้มีความเคารพในพระรัตนตรัยอย่างแท้จริงเลย ดังนั้น..เมื่อลงอุโบสถในช่วงวันพระใหญ่ จึงโดนพระเดชพระคุณหลวงพ่อฤๅษีฯ วัดท่าซุงท่านด่า ที่กระผม/อาตมภาพใช้คำว่า "โดนด่าจมธรณี" โดยที่ท่านกล่าวว่า "บุคคลที่ไปตีราคาสิ่งของซึ่งญาติโยมถวายมาด้วยความศรัทธาในพระรัตนตรัยเป็นมูลค่านั้น เป็นการกระทำที่เลวมาก" "วัตถุสิ่งของทุกอย่างที่เขาถวายมาด้วยความเลื่อมใสศรัทธาในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ไม่สามารถที่จะตีราคาเป็นตัวเงินได้ สิ่งทั้งหลายเหล่านี้นั้น จะกลับกลายเป็นโภคสมบัติในชาติต่อ ๆ ไปของบุคคลที่ถวายด้วยความเลื่อมใสศรัทธา มากจนประมาณไม่ได้ ใครที่ไปตีราคาว่าเป็นของดี เป็นของเลว เป็นของหยาบ เป็นของประณีต เป็นการนำเอากำลังใจของสัตว์นรกไปวัดศรัทธาของคนอื่น เป็นการกระทำที่เลวมาก..!" กระผม/อาตมภาพถึงได้หูตาสว่างในวันนั้นเอง หลังจากนั้นเป็นต้นมา เมื่อคุณยายส่งกรวยดอกไม้มาถวาย ก็จะรับเอาไว้ด้วยความยินดีเป็นอย่างยิ่ง เพราะเห็นแล้วว่าสิ่งทั้งหลายเหล่านี้นั้นเกิดจากแรงศรัทธาในคุณพระศรีรัตนตรัยอย่างแท้จริง แล้วก็จะนำไปถวายพระด้วยความเคารพสูงสุด ว่านี่เป็นของดีที่สุดที่เราได้มาโดยถูกต้องตามธรรมตามวินัย ขอถวายเป็นพุทธบูชา ธัมมบูชา สังฆบูชา อานิสงส์นี้ขอให้ส่งผลให้กระผม/อาตมภาพเข้าสู่พระนิพพานในชาติปัจจุบันนี้
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 31-07-2022 เมื่อ 01:16 |
สมาชิก 34 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#5
|
||||
|
||||
ดังนั้น...กำลังใจที่ตั้งใจถวายด้วยความเคารพอย่างสุดจิตสุดใจ บารมีพระที่ท่านสงเคราะห์ลงมาจึงเป็นเรื่องที่ประมาณไม่ได้ เมื่อเราลาเอาพวงมาลัยก็ดี ดอกไม้กำก็ดีมาแล้ว ทำการตากแห้งบดเป็นผงเอาไว้เพื่อทำวัตถุมงคลนั้น จึงเป็นเรื่องที่ใช้วิธีลัดโดยไม่ต้องเหนื่อยมาก เพราะว่าสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ก็ได้มาโดยคุณพระศรีรัตนตรัยอยู่แล้ว
ดังนั้น...ท่านทั้งหลายที่ได้บูชาเอาดอกไม้ก็ดี พวงมาลัยก็ดี ที่ทางด้านไอ้ตัวเล็กเอาไปลงอยู่ในกระทู้นั้น ถือว่าเป็นบุคคลที่ฉลาด มีปัญญามาก รู้จักทำในสิ่งที่ใช้วิธีลัด ไม่ต้องเสียเวลาไปลำบากลำบนในการลบผง จารและเสกชนวนต่าง ๆ หากแต่ว่าตั้งใจนึกถึงคุณพระศรีรัตนตรัยก็ใช้ได้แล้ว จึงเป็นเรื่องของคนมีปัญญาเท่านั้น กระผม/อาตมภาพเองในระยะหลัง เมื่อได้ดอกไม้ ธูปเทียนต่าง ๆ มา อย่างไรเสียก็ต้องบูชาพระจนแห้งกรอบไปกับมือแล้วถึงได้ลาลงมา จากนั้นก็โดนไอ้ตัวเล็กฉกต่อไปลงกระทู้ จำหน่ายให้ญาติโยมหน้าตาเฉย จะว่าไปแล้วก็เป็นเรื่องของบุญสัมพันธ์ กรรมสัมพันธ์ ใครที่เห็นประโยชน์ก็บูชาต่อไป ใครที่ไม่เห็นประโยชน์ก็อาจจะคิดว่า "เอาขยะมาลงให้บูชาในเว็บแบบนี้ก็ทำได้ด้วย..!" สำหรับวันนี้ ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวกับญาติโยมแต่เพียงเท่านี้ พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร. เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันเสาร์ที่ ๓๐ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๖๕ (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 31-07-2022 เมื่อ 01:17 |
สมาชิก 40 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน ) | |
|
|