#1
|
||||
|
||||
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอังคารที่ ๒๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๕
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอังคารที่ ๒๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๕
__________________
มารใช้ คนทุกคน ของทุกชิ้น สัตว์ทุกตัว เป็นเครื่องมือในการขวางเรา โดยเฉพาะคนที่เรารักมากที่สุด (-/\-) (-/\-) (-/\-) |
สมาชิก 44 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ตัวเล็ก ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#2
|
||||
|
||||
วันนี้ตรงกับวันอังคารที่ ๒๒ กุมภาพันธ์ พุทธศักราช ๒๕๖๕ เมื่อวานขาดเสียงธรรมจากวัดท่าขนุนไป ๑ วัน เพราะว่าติดการประชุมคณะสงฆ์อำเภอทองผาภูมิ วันนี้ไปเยี่ยมสนามอบรมบาลีก่อนสอบ มีพระเณรทวงด้วย บอกว่า "เมื่อวานพระอาจารย์ขาดเสียงธรรมไปวันหนึ่งครับ" ผมมั่นใจว่าคนทวงอาจจะสอบตก..! เพราะว่าแทนที่จะสนใจกับเรื่องที่อบรม กลับไปสนใจกับเสียงธรรมจากวัดท่าขนุนแทน
ในส่วนที่เป็นงานของคณะสงฆ์เป็นสิ่งที่ทิ้งไม่ได้ ฉะนั้น...ถ้าหากว่าเราลำดับความสำคัญก่อนหลังของงานได้ ก็จะทำให้เราเลือกถูกว่าจะทำงานอะไรก่อน ถ้าหากว่าเป็นเรื่องของงานคณะสงฆ์ก็ต้องมาก่อนเป็นอันดับแรก โดยเฉพาะถ้าเป็นงานในรั้วในวัง ต่อให้ติดงานอื่นที่สำคัญแค่ไหนก็ต้องทิ้งทั้งหมด..! อันดับที่สองเลยก็คือเรื่องของการเรียนการสอน เพราะว่านิสิตหลายรายเดินทางไกลมาก แต่ถึงจะไกลมากในสมัยนี้ ก็ไม่ไกลเท่ากับสมัยที่กระผม/อาตมภาพไปเรียนอยู่ที่วัดไร่ขิง วัดศรีสุดาราม หรือว่าที่ มจร.วังน้อย นั่นถือว่าเป็นนิสิตที่ไปเรียนไกลที่สุด ใช้เวลาวิ่งรถ ๓ ชั่วโมงครึ่งถึง ๔ ชั่วโมง คราวนี้ถ้าเราไปด้วยจุดมุ่งหมายที่ชัดเจน ก็คือต้องการความรู้มาเสริมเพิ่มเติมการเผยแผ่พระพุทธศาสนาของเราให้ดียิ่งขึ้น ถ้าหากว่ากำลังใจมุ่งมั่นเพียงพอก็จะไม่ท้อถอย แบบเดียวกับที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสเอาไว้ว่า "ตลอดในวัฏสงสารที่ยาวไกลไม่เห็นต้นเห็นปลายซึ่งปรารถนาพระโพธิญาณมา คำว่าท้อแม้แต่น้อยหนึ่งไม่เคยปรากฏขึ้นในใจของตถาคตเลย"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 24-02-2022 เมื่อ 23:36 |
สมาชิก 39 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#3
|
||||
|
||||
ตรงจุดนี้พวกเราต้องดูเป็นตัวอย่างเอาไว้ เนื่องเพราะว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้น บำเพ็ญบารมีมาเพื่อตรัสรู้อนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ ต้องเกิดจนนับชาติไม่ถ้วน พูดง่าย ๆ ก็คือ ต้องทนทุกข์ทรมานมานับกัปไม่ถ้วน ที่บอกว่าพระพุทธเจ้าประเภทปัญญาธิกะ ต้องสร้างบารมี ๔ อสงไขยกับแสนมหากัปนั้น เป็นแค่ช่วงท้ายเท่านั้น
ถ้าเป็นบาลีเขาบอกเอาไว้ชัดว่า จิตติตัง สัตตะ สังเขยยัง คิดว่าจะเป็นพระพุทธเจ้านี่หมดไปแล้ว ๗ อสงไขย นวะ สังเขยยะ วาจะกัง พูดว่าเราจะเป็นพระพุทธเจ้า อีก ๙ อสงไขย แล้วถึงตั้งหน้าตั้งตาบำเพ็ญบารมีเพื่อความเป็นพระพุทธเจ้าอย่างแท้จริงอีก ๔ อสงไขยกับแสนมหากัป แค่กัปเดียวก็เกิดกันนับชาติไม่ถ้วนแล้ว แล้วลองนึกดูว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่เป็นปัญญาธิกะ คือผู้เลิศด้วยปัญญา ถือว่าเกิดน้อยที่สุดแล้ว ยังเกิดนานขนาดนั้น ก็คือ ๗ บวก ๙ เป็น ๑๖ บวกอีก ๔ เป็น ๒๐ ถ้าเป็นพระพุทธเจ้าแบบสัทธาธิกะก็ ๔๐ อสงไขยกัปบวกหนึ่งแสนมหากัป ถ้าหากว่าเป็นพระพุทธเจ้าแบบวิริยาธิกะก็ ๘๐ อสงไขยบวกอีกหนึ่งแสนมหากัป แล้วพระองค์ท่านไม่เคยท้อเลยแม้แต่น้อย..! อย่าลืมว่าพระพุทธเจ้าของเราไม่ได้เกิดเป็นกษัตริย์ตลอดเวลา ไม่ได้เกิดเป็นเศรษฐีตลอดเวลา แต่เป็นคนจน เป็นคนรวย เป็นสัตว์บ้าง เสวยสุขเป็นเทวดา เป็นพรหม สลับหมุนเวียนกันไป ลงไปสู่ขุมนรก เป็นเปรต เป็นอสุรกาย เป็นสัตว์เดรัจฉานบ้าง พูดง่าย ๆ ว่าเป็นจนครบทุกอย่าง ถ้าหากว่าเราศึกษากฎเกณฑ์กติกาในพุทธวงศ์ จะเห็นชัดเจนว่าบุคคลที่ปรารถนาความเป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ในระหว่างที่บำเพ็ญบารมีอยู่เรียกว่าพระโพธิสัตว์ พระโพธิสัตว์นั้นจำกัดเอาไว้ว่า ต้องมีอัตภาพใหญ่ไม่เกินช้าง เล็กไม่เกินนกกระจาบ แปลว่า มด แมลงวัน ยุงต่าง ๆ เป็นพระโพธิสัตว์ไม่ได้ ขณะเดียวกันไดโนเสาร์ก็เป็นไม่ได้..!
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 23-02-2022 เมื่อ 07:33 |
สมาชิก 37 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#4
|
||||
|
||||
การเกิดของพระองค์ท่านแต่ละชาติก็ต้องทุกข์ทนแบบเดียวกับพวกเรา หลายชาติก็อายุสั้นพลันตาย เพราะว่ากรรมเก่าตามมาทัน แม้กระทั่งปัจจุบันชาตินี้ที่พระองค์ท่านตรัสรู้อนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ กรรมเก่าที่เคยสังหารรากษสเพื่อช่วยคนหมู่มากก็ยังตามมา ทำให้มีพระชนมายุเพียง ๘๐ พรรษาเท่านั้น
พระพุทธเจ้าของเราเกิดมายาวนานและทุกข์ทนมานับกัปไม่ถ้วน ไม่เคยมีความท้อใจในการทำความดีเลย แล้วพวกเราทั้งหลาย เพิ่งจะทำดีได้กี่วัน ? ถึงได้เกิดความท้อใจกันขึ้นมา หมดกำลังใจกันขึ้นมา ถ้าเราดูแค่ในชาดกก็คือ พระมหาชนกว่ายน้ำอยู่กลางมหาสมุทรที่มองฝั่งไม่เห็น ๗ วัน ๗ คืน นางมณีเมขลาเหาะผ่านมาเจอเข้าก็ถามว่า "ท่านยังอยู่ห่างฝั่งไกลจนขนาดมองไม่เห็น แล้วจะว่ายไปทำอะไร ?" พระมหาชนกตอบนางมณีเมขลาว่า "ถ้าได้เพียรพยายามจนสิ้นกำลังของบุรุษแล้ว ก็ตอบตนเองได้ว่าได้ทำหน้าที่อย่างเต็มที่แล้ว ถ้าฝั่งอยู่ในระยะใกล้ ในกำลังที่จะว่ายไปถึง แล้วไม่เพียรพยามยามก็จมน้ำตายเปล่า เสียทีที่เกิดเป็นบุรุษ แต่ถ้าหากว่าฝั่งอยู่ไกลเกินกำลัง ว่ายไปไม่ถึง ก็ยังตอบตนเองได้ว่า เราทำหน้าที่ได้ดีที่สุดแล้ว" นางมณีเมขลาฟังแล้วชอบใจจึงอุ้มไปส่ง คราวนี้การที่กระผม/อาตมภาพเป็นนักเรียนก็เรียนไกลที่สุด เป็นครูบาอาจารย์ก็สอนไกลที่สุด และขณะเดียวกัน ถ้านับการทุ่มเทให้กับการปฏิบัติธรรมอย่างชนิดที่เอาชีวิตเข้าแลก ทำจนคนรอบข้างว่าบ้าทั้งนั้น แม้แต่ญาติพี่น้องของตนเองก็ว่าบ้า เพื่อนฝูงทุกคนก็ว่าบ้า ครูบาอาจารย์ทุกคนก็ว่าบ้า แต่ด้วยความที่มั่นใจว่าสิ่งที่ตนเองทำนั้นเป็นสิ่งที่ดี จึงไม่ท้อถอย และต้องเพียรพยายามทำให้สำเร็จ เนื่องเพราะว่าหลวงพ่อฤๅษีฯ วัดท่าซุง บอกเอาไว้ชัดเจนว่า สิ่งใดที่คนอื่นมีสิบนิ้วเท่ากับเราแล้วทำได้ สิ่งนั้นเราต้องทำได้ และถ้าเราทำสิ่งนั้นได้ เราต้องทำให้ดีกว่าคนอื่นด้วย จากอายุ ๑๖ ปีที่ทุ่มเทให้กับการปฏิบัติธรรมมา จนถึงปีนี้ ๖๓ ปี เป็นระยะเวลานานเท่าไร ? ยังไม่เคยมีคำว่าท้อใจเลยเหมือนกัน มีแต่ต้องทำให้ดียิ่ง ๆ ขึ้นไป
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 23-02-2022 เมื่อ 02:54 |
สมาชิก 37 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#5
|
||||
|
||||
ในแต่ละวันที่ผ่านไป ก็คือเวลาของการขัดเกลา กาย วาจา ใจ ของตนเองให้ดีที่สุดเท่าที่เราจะพึงทำได้ ถ้าวันไหนพลาดพลั้งไป เมื่อทบทวนดูแล้ว วันรุ่งขึ้นเราต้องทำตรงนี้ให้ดี และวันต่อไปต้องทำให้ดีกว่าวันรุ่งขึ้น
นี่คือลักษณะของการที่หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านสั่งสอนลูกศิษย์ให้ประพฤติปฏิบัติมา โดยเฉพาะให้มีสมุดกับปากกาใกล้มือไว้เสมอ ได้ยินได้ฟังอะไรที่กระทบใจ ถูกใจ รีบจดเอาไว้ สิ่งนั้นตรงกับกำลังใจของเราในปัจจุบัน แล้วพากเพียรทำสิ่งนั้นให้ได้ เสียดายที่ท่านทั้งหลายขาดปัญญาไปนิดหนึ่ง กระผม/อาตมภาพเองตอนบวช ถือว่าเป็นการอุปสมบทหมู่รุ่นแรกที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อท่านบวชให้ในช่วงที่ท่านเป็นเจ้าคุณ ทั้ง ๓๖ รูปนั้น พระเดชพระคุณหลวงพ่อกล่าวว่า "ตั้งฉายาให้ตรงกับตัวทุกคน" ท่านบอกว่าพระเมตตาสงเคราะห์ให้ แล้วก็แปลฉายาแต่ละรูปให้ฟัง ของกระผม/อาตมภาพเอง ท่านตั้งฉายาว่า สุธมฺมปญฺโญ แล้วแปลเสร็จสรรพว่า เป็นผู้มีปัญญาในการปฏิบัติธรรมดีมาก ตอนช่วงนั้นก็สงสัยว่า "เรามีปัญญาตรงไหนวะ ?" เพราะว่าไม่ว่าจะทำอะไรก็ตาม รู้สึกว่าขยายความโง่ของตัวเองต่อหน้าหลวงพ่อท่านตลอดมา แต่พอปฏิบัตินานไป ๆ ถึงได้เข้าใจ เพราะว่าในส่วนที่คนอื่นไม่คิด กระผม/อาตมภาพนำไปคิด ในส่วนที่คนอื่นไม่ทำ กระผม/อาตมภาพทำ โดยเฉพาะส่วนที่ "ขโมยกำลังใจคนอื่น" เหตุที่ใช้คำว่าขโมยกำลังใจคนอื่น ก็เพราะว่าถ้าคนอื่นปฏิบัติธรรมแล้วดีกว่า เขาทำอะไรได้แล้วขยายมา กระผม/อาตมภาพจะปรับกำลังใจตามเดี๋ยวนั้นเลย เขาพูดจบเราก็ได้ไปด้วย ซึ่งลักษณะตรงนี้ ถ้าหากว่าพวกท่านฝึกฝนมาไม่พอ ปัญญาไม่พอ ฟังไปก็จะเสียของเปล่า ทั้ง ๆ ที่ของดีอยู่ตรงหน้า แต่ไม่รู้จะไขว่คว้ามาเป็นของตนเองได้อย่างไร
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 23-02-2022 เมื่อ 02:57 |
สมาชิก 37 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#6
|
||||
|
||||
ดังนั้น..สิ่งที่ท่านทั้งหลายทำอยู่ในปัจจุบัน ถ้าหากว่าจะท้อ ให้ลองดูตัวกระผม/อาตมภาพเป็นตัวอย่าง ไม่ต้องไปดูสุดยอดครูที่เลิศที่สุดในโลกอย่างองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าหรอก ว่าตลอดระยะเวลาตั้งแต่อายุ ๑๖ ปี ถึง ๖๓ ปีมา กระผม/อาตมภาพปฏิบัติธรรมชนิดหัวไม่วางหางไม่เว้นอยู่ทุกวัน โดยเฉพาะการฝึกฝนรักษากำลังใจไปพร้อมกับการทำงาน ยังไม่มีการเบื่อไม่มีการท้อเลย มีแต่คิดอยู่เสมอว่าเราต้องทำวันนี้ให้ดีกว่าเมื่อวาน
ถ้าหากว่าจะท้อ ตัวกระผม/อาตมภาพเองต้องท้อก่อน เพราะว่าทำมามาก ท่านทั้งหลายค่อยท้อตามทีหลัง โดยเฉพาะการก้าวเดินอยู่ข้างหน้า แล้วมีคนตามหลังเป็นจำนวนมาก เป็นอะไรที่เหนื่อยสุด ๆ ถ้าหากว่าท่านทั้งหลายทำถึงตรงที่กระผม/อาตมภาพอยู่ในปัจจุบันนี้แล้วจะเข้าใจ เพราะว่าลำบากเมื่อไร เดือดร้อนเมื่อไร ก็มีแต่คนร้องขอให้ช่วย ไม่ได้มีการเพียรพยามยามให้สุดกำลังของตนเองเลย ไปนึกถึงตอนที่บวชใหม่ ๆ แล้วอยู่ที่กุฏิมุมวัด ด้านหลังร้านอาหารป้ากิมกี เจอผีมาทดสอบอยู่ทุกวัน ต่อยตีกันอยู่ทุกวัน ตลอดระยะเวลา ๓ เดือน ไม่เคยสู้ได้...แต่ก็สู้ สู้ชนิดที่ไม่นึกถึงความดีด้วย นึกอยู่อย่างเดียวว่า "มึงมา..กูสู้..!" โดยปกติแล้วคนอื่นถ้าหากว่าโดนผีหลอก หรือว่าโดนผีทำร้าย บีบคอ..จะฆ่าให้ตาย ก็มักจะนึกถึงพระ หรือว่านึกถึงพระนิพพาน ถ้านึกได้ ผีเขาก็เลิกแกล้ง เพราะว่าส่วนใหญ่เป็น "ผีปลอม" แต่ระยะเวลา ๓ เดือน กระผม/อาตมภาพไม่เคยนึกถึงความดีได้เลย เตะเป็นเตะ ต่อยเป็นต่อย ตีกันเข้าไป เสียท่าโดนเขาล็อคอยู่ได้ เออ...ก็เรื่องของมึง กูก็พัก ดิ้นหลุดได้เมื่อไรค่อยว่ากันใหม่..! กระผม/อาตมภาพได้เห็นความดื้อของตัวเองว่า ถ้าเรื่องฉุกเฉินขนาดนี้ยังไม่เรียกใครช่วย แต่พยายามใช้ความสามารถตัวเองล้วน ๆ ก็แสดงให้เห็นชัดในเรื่องของกำลังใจว่าเรื่องอื่นนั้นไม่ท้อแน่ เสียดายที่ว่าการทดสอบมีอยู่แค่ ๓ ปีเท่านั้น หลังจากนั้นแล้วก็กลายเป็นประเภท "ผีระอา เทวดาเบื่อหน่าย" ทำอะไรไปก็ไม่เคยเรียกให้ใครช่วย ไม่เคยนึกถึงความดี มีแต่สู้อย่างเดียว เขาเบื่อ..ก็เลยเลิกไปเอง
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 23-02-2022 เมื่อ 03:04 |
สมาชิก 35 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#7
|
||||
|
||||
เมื่อท่านทั้งหลายได้ฟังแล้ว สามารถนำเอาตรงไหนปรับใช้กับตัวเองได้ ก็ให้นำไปใช้ โดยเฉพาะในเรื่องของการปฏิบัติธรรม ไม่ต้องรอเวลาให้กระผม/อาตมภาพมาแนะนำสั่งสอน เพราะว่าที่บอกไปนั่นคือความรู้ทั้งหมดที่ศึกษามาแล้ว โดยเฉพาะตอนปฏิบัติธรรมในช่วงบวชเนกขัมมะแต่ละรุ่น ถ้าหากว่าใครทำได้ ท่านจะต้องการวิชชา ๓ อภิญญา ๖ หรือปฏิสัมภิทาญาณ ๔ ก็ได้ทั้งนั้น เพียงแต่ดูว่าง่ายเกินไปจนเหลือเชื่อ
เหตุที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่ากระผม/อาตมภาพเป็นคนที่ชอบทำของยากให้ง่าย ไม่ค่อยชอบทำอะไรให้ยาก ถ้าภาษาบาลีท่านใช้คำว่า อุตตานีกะโรติ ทำของลึกให้ตื้น ก็คือให้ง่ายต่อความเข้าใจ จนกระทั่งหลายคนมองข้ามไปว่า "มาปฏิบัติธรรมกี่ครั้ง จัดการปฏิบัติธรรมกี่รุ่น ก็เห็นแต่สอนซ้ำ ๆ ซาก ๆ อยู่นั่นแหละ" อย่าลืมว่าการปฏิบัติธรรมคือการทำซ้ำ ซ้ำแล้วซ้ำอีก ย้ำแล้วย้ำอีก เบื่อไม่ได้ หน่ายไม่ได้ จนกว่าเราจะก้าวข้ามไปได้อย่างแท้จริง วันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมที่รับฟังอยู่แต่เพียงเท่านี้ พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร. เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอังคารที่ ๒๒ กุมภาพันธ์ พุทธศักราช ๒๕๖๕ (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 23-02-2022 เมื่อ 03:06 |
สมาชิก 46 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน ) | |
|
|