#1
|
||||
|
||||
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพุธที่ ๓ เมษายน ๒๕๖๗
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพุธที่ ๓ เมษายน ๒๕๖๗
__________________
มารใช้ คนทุกคน ของทุกชิ้น สัตว์ทุกตัว เป็นเครื่องมือในการขวางเรา โดยเฉพาะคนที่เรารักมากที่สุด (-/\-) (-/\-) (-/\-) |
สมาชิก 43 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ตัวเล็ก ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#2
|
||||
|
||||
วันนี้ตรงกับวันพุธที่ ๓ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๖๗ อากาศตอนนี้ค่อนข้างจะร้อนถึงร้อนมาก ต้องระมัดระวังตัวเองให้ดี ถ้าไม่ใช่เจ้าอาวาสวัดท่าขนุนแล้ว มีสิทธิ์เป็น "ลมแดด" ตายได้ทุกคน..! ถามว่าแล้วเจ้าอาวาสวัดท่าขนุนต่างจากคนอื่นตรงไหน ? ก็อากาศแบบนี้ ตอนเที่ยง ๆ กระผม/อาตมภาพต้องนอนห่มผ้าหนาเตอะเลย..! ใครทำได้บ้าง ?
เหตุที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่าร่างกายโดนมาลาเรียกินมาเกิน ๔๐ ปี จนกระทั่งไฟธาตุแทบจะไม่เหลือแล้ว คราวนี้ถ้าเราไม่เข้าใจคำว่าไฟธาตุ ในที่นี้ก็คือเลือดของเราเป็นหลัก มาลาเรียเมื่อถึงเวลากำเริบขึ้นมาก็กินเม็ดเลือด ดังนั้น..หลายท่านจะสังเกตว่าคนที่เป็นมาลาเรียจะตัวเหลือง เหตุที่ตัวเหลืองตัวซีด ก็เพราะว่าเม็ดเลือดโดนกิน ในเมื่อเป็นคนเลือดน้อย ก็คือไฟธาตุน้อย ขนาดอากาศ ๓๙ - ๔๐ องศาเซลเซียส กระผม/อาตมภาพยังต้องนอนห่มผ้า ใครจะลองแข่งกันดูก็ได้ว่าจะร้อนตายไหม ?! ในเรื่องของการเจ็บไข้ได้ป่วย แม้เราจะถือว่าเป็นปกติของร่างกายก็ตาม แต่ว่าถ้าหากว่าสามารถผ่อนหนักเป็นเบาได้ เราก็ไม่ต้องทรมานกับอาการเจ็บป่วยมากนัก เพียงแต่ว่าไข้มาลาเรียนั้น ถ้าพักผ่อนไม่พอเมื่อไร ก็มักจะกำเริบ แล้วท่านทั้งหลายจะให้กระผม/อาตมภาพเอาเวลาที่ไหนไปพัก ? วันนี้ก็ยังมีคนหางานมาให้ บอกว่าอยากได้เนื้อหาการต้องอาบัติสังฆาทิเสส และขั้นตอนการอยู่ปริวาสอย่างละเอียด เพราะว่าจะทำหนังสือแล้วก็เอาไปบรรจุไว้ในนั้น ก็เลยบอกไปว่า "ทุกวันนี้ผมก็งานยุ่งตายห่..แล้ว อย่าหางานมาเพิ่มให้อีก..!" เนื่องเพราะว่าแต่ละท่าน แต่ละคน มักจะคิดว่ากระผม/อาตมภาพอยู่ว่าง ๆ หรืออย่างไรก็ไม่ทราบ ? ถึงเวลาต้องการอย่างนั้น ควรจะทำให้เขา ต้องการอย่างนี้ ควรจะทำให้เขา แม้แต่กิจนิมนต์ นิมนต์แล้วไม่ไป ก็โกรธอีกต่างหาก โดยที่ไม่ได้ดูว่ากระผม/อาตมภาพรับไว้ ๓ - ๔ งานแล้ว..! ถ้าท่านทั้งหลายรู้จัก "เอาใจเขามาใส่ใจเรา" ก็จะเข้าใจ แต่ถ้าเอาแต่เรื่องของตัวเองเป็นใหญ่ ก็เป็นอันว่าต้องขัดใจกับคนอื่นอยู่ร่ำไป ล่าสุดนี้มีฏีกานิมนต์มา ให้กระผม/อาตมภาพเป็นประธานทำการบวงสรวงเพื่อหล่อพระเวลา ๐๙.๓๙ น. แล้วเวลาหล่อพระคือตอนเย็น แล้วในระหว่างนั้น ท่านจะให้กระผม/อาตมภาพไปทำอะไรอยู่ที่ไหน ? คือแต่ละคนส่วนใหญ่จัดงานแล้วไม่ค่อยนึกถึงความเป็นจริง ถ้าหลายท่านรู้จักสังเกตจะเห็นว่า งานหล่อพระวัดท่าขนุนนั้น พอฉันเพลเสร็จเรียบร้อย เวลาประมาณเที่ยงครึ่งก็หล่อพระเลย แต่ว่าหลายวัดมักจะดึงเวลาเอาไว้ ไปหล่อตอน ๓ โมงเย็น ๔ โมงเย็น เพื่อที่จะรอให้ญาติโยมซื้อทองร่วมหล่อพระก่อน ถ้างานลักษณะอย่างนั้น อย่าเสียเวลามานิมนต์ กระผม/อาตมภาพเลย ถึงไปก็อยู่ไม่ได้ตลอดงาน
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 04-04-2024 เมื่อ 02:09 |
สมาชิก 36 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#3
|
||||
|
||||
การจัดงานทุกอย่าง ควรที่จะรวบรัดให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ ล่าสุดที่พบมา เป็นการจัดงานที่ถูกใจมากที่สุด ก็คืองานพระราชทานเพลิงศพของคุณแม่จุไร ชุติมันต์ แม่ของดร.ธีรชัย ชุติมันต์ ประธานสภาวัฒนธรรมจังหวัดกาญจนบุรี ทันทีที่ประธานในงานมาถึง ก็มีการแสดงโขนต้อนรับ แล้วก็ต่อด้วยการทอดผ้าไตร เพื่อพิจารณาผ้าบังสุกุล สำหรับพระที่ขึ้นพิจารณาผ้าบังสุกุล ก็ให้วางดอกไม้จันทน์ไปพร้อมกันเลย ได้งานครบถ้วนทุกอย่างในเวลาที่น้อยมาก
เรื่องทั้งหลายเหล่านี้เป็นเรื่องที่ว่ากันไม่ได้ สอนกันไม่ได้ นอกจากเก็บเอามาเป็นประสบการณ์ ถ้าใครมีโอกาสก็จะได้ปรับปรุงงานของตนเอง หรือถ้าใครไม่คิดที่จะปรับปรุง ก็ยังคงเป็นงานที่ยืดเยื้อต่อไป การทำงานแต่ละอย่างนั้น โดยเฉพาะกิจนิมนต์ ถ้าหากว่าเป็นในกรุงเทพฯ หรือปริมณฑล ท่านมักจะจัดเอา ๔ โมงเย็น ๕ โมงเย็น เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้ที่ได้รับฏีกานิมนต์นั้น ไปงานช่วงเช้ากับช่วงเพลได้ก่อน หรือถ้าอยู่ไม่ไกล ยังไปงานช่วงบ่ายได้อีก ๑ งาน แล้วหลังจากนั้นจึงมางานตามที่ท่านนิมนต์เอาไว้ พวกท่านจะสังเกตว่า ถ้ากระผม/อาตมภาพได้รับนิมนต์ให้ไปปลุกเสกวัตถุมงคล ไม่ว่าจะเป็นวัดอรุณราชวราราม วัดระฆังโฆสิตาราม หรือว่าวัดสุทัศน์เทพวราราม มักจะเป็นงานช่วงเย็นหรือช่วงค่ำไปเลยทั้งสิ้น นั่นเป็นความเอื้อเฟื้อของเจ้าของงาน เพื่อที่ให้เราได้ไปงานอื่นก่อน ถ้ามีผู้นิมนต์ในวันเดียวกัน จะได้ไม่ต้องเสียน้ำใจกัน แต่ถ้าโดยนิสัยของกระผม/อาตมภาพแล้ว ถ้ารับนิมนต์ในที่หนึ่ง ถ้าที่อื่นมานิมนต์ซ้ำ ก็จะไม่รับ ยกเว้นอย่างเดียวว่าเป็นฏีกาหลวง ขณะเดียวกันในเรื่องของงานทั่ว ๆ ไป อย่างเช่นว่า สวดมนต์เย็น ฉันเช้า ฉันเพล กระผม/อาตมภาพไม่รับเลย เนื่องเพราะว่าเสียเวลาในการทำงานอื่นมาก เรื่องทั้งหลายเหล่านี้ บางท่านอาจจะคิดว่าเป็นเรื่องของการดึงน้ำใจของญาติโยมให้อยู่กับวัดเรา จึงจำเป็นที่จะต้องรับงานทั้งหลายเหล่านี้ กระผม/อาตมภาพก็ไม่ได้ปฏิเสธ แต่ว่าให้พระรูปอื่นไปแทนเสมอ โดยเฉพาะถ้าเป็นงานช่วงค่ำ ไม่ใช่จำเป็นจริง ๆ จะไม่รับเลย เนื่องเพราะว่าเป็นช่วงที่มาลาเรียจะกำเริบ รับงานใครหลัง ๖ โมงเย็นไปแล้ว ก็ต้องฉันยาล่วงหน้าไปก่อน เป็นการป้องกันตนเองเอาไว้ แล้วช่วงระยะเวลาหลายวันนี้ อาการเจ็บไข้ได้ป่วยเหมือนกับคนปวดหัวหนัก ๆ บวกกับปวดฟันอย่างหนัก แล้วก็บวกกับปวดไมเกรนอย่างหนัก ระดมมาพร้อม ๆ กัน ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าเกิดจากยาตัวใหม่ที่หมอให้มาหรือเปล่า เพราะว่าทุกครั้งที่เปลี่ยนยาตัวใหม่ เชื้อโรคจะต่อต้านสุดฤทธิ์ หรืออาจจะเป็นไปได้ว่า ไปแบกสถานการณ์สงครามของโลกเอาไว้ จนกว่าจะผ่านวันเสาร์ ๕ นี้ไปก่อน
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 04-04-2024 เมื่อ 02:12 |
สมาชิก 35 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#4
|
||||
|
||||
การที่ไปแบกเรื่องของคนทั้งโลกไว้ ต่อให้คนละเล็กคนละน้อยแค่ไหนก็ตาม เมื่อรวม ๆ กันแล้วก็เป็นเรื่องที่หนักมหาศาล ถ้าเป็นเช่นนั้นก็ต้องทนรับไป เนื่องเพราะว่าเป็นแบบนี้มานานแล้ว เคยชินแล้ว แต่ถ้าเป็นท่านทั้งหลายก็อาจจะสิ้นชีวิตไปแล้ว..!
สมัยก่อนได้ยินพระเดชพระคุณหลวงพ่อฤๅษีฯ วัดท่าซุง ท่านบอกท่านกล่าวอาการป่วยของท่าน ก็ได้แต่ฟังอย่างเดียว ไม่เข้าใจซาบซึ้งว่าเป็นหนักขนาดไหน พอตัวเองมาเป็น ถึงได้รู้ว่าเป็นขนาดไหน..! บางท่านอาจจะเห็นว่าระยะนี้ กระผม/อาตมภาพไม่ค่อยฉันอะไร เนื่องเพราะว่าปวดฟันทั้งปากพร้อม ๆ กัน จะเคี้ยวอะไรก็เจ็บไปหมด ก็ถือว่าอยู่ในช่วงลดน้ำหนักก็แล้วกัน เรื่องพวกนี้เราท่านไม่จำเป็นต้องไปห่วง และวิตกกังวลแทนคนหนึ่งคนใด เพราะว่าเรื่องของกรรม ใครทำก็รับไป ไม่มีใครที่สามารถรับกรรมแทนคนอื่นได้ แล้วบางคนที่อธิษฐานว่าขอเจ็บไข้ได้ป่วยแทน โปรดระวังไว้ บางทีป่วยปางตาย แต่ไม่สามารถจะช่วยอะไรได้เลย เพราะแค่พรหมเทวดา หรือครูบาอาจารย์ท่านอยากจะให้รู้ว่าอาการป่วยหนัก ๆ นั้นเป็นอย่างไร อยากจะรับมากนักก็ให้ลองดูสักหน่อย เพียงแต่ว่าลองไปแล้วก็เดือดร้อนเอง ครูบาอาจารย์ก็ยังป่วยเท่าเดิม มีวิธีเดียวก็คือ เร่งรัดการปฏิบัติใน ศีล สมาธิ ปัญญา ของตนเอง ให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ จะได้ไม่เป็นภาระกับครูบาอาจารย์มากนัก ไม่ใช่ว่าหลวงปู่ท่านนั้นสอนเรามาจนมรณภาพไปแล้ว หลวงพ่อท่านนี้สอนเรามาจนมรณภาพไปแล้ว จากวันนั้นจนถึงวันนี้ หลายสิบปีผ่านไป กำลังใจของเราก็ยังห่วยอยู่แค่เดิม..! ถ้าลักษณะอย่างนั้น ก็ไม่ทราบเหมือนกันว่าจะช่วยได้อย่างไร ?
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 04-04-2024 เมื่อ 02:14 |
สมาชิก 37 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#5
|
||||
|
||||
กระผม/อาตมภาพเอง สมัยบวชอยู่ที่วัดท่าซุง ไม่เคยไว้ใจเลยว่าพระเดชพระคุณหลวงพ่อฤๅษีฯ ท่านจะอยู่ได้เกินวันนี้ ทุกครั้งที่ดินฟ้าอากาศผิดปกติ จะลุกมาเจริญกรรมฐาน เพื่อดูว่าหลวงพ่อท่านไปแล้วหรือยัง ? ถ้าหากว่าท่านยังอยู่ ก็พยายามที่จะฝึกฝน กอบโกยความรู้ให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
ในเมื่อเป็นเช่นนั้น พอสิ้นท่านไป กระผม/อาตมภาพที่เพิ่งจะพ้นสภาพพระใหม่ได้ไม่นาน เพราะว่าได้แค่ ๗ พรรษา กลับต้องเป็นหลักอยู่ในวัด จะภูมิใจว่าตัวเองกำลังใจเข้มแข็งก็ใช่ จะอนาถใจว่าทำไมคนอื่นถึงไม่ทำกำลังใจให้ได้มาก ๆ เพื่อที่จะเป็นหลักแก่ญาติโยมก็ใช่ เพราะว่าทุกคนไปประมาทว่าหลวงพ่อท่านจะอยู่ถึง ๑๒๐ ปี บุคคลใดบุคคลหนึ่งบอกว่า "อาราธนาหลวงพ่อเล็กอยู่ถึง ๑๒๐ ปี" กระผม/อาตมภาพมักจะตอบไปว่า "เชิญมึงอยู่ไปคนเดียวเถอะ..! แค่นี้กูก็จะแย่อยู่แล้ว" ดังนั้น..เรื่องพวกนี้ถ้าพวกเรายังไม่มีจิตสำนึก ยังไม่เร่งรัดการปฏิบัติของตนเอง กระผม/อาตมภาพถ้าถือว่าเป็นครูบาอาจารย์ของท่านคนหนึ่ง ก็อาจจะตายฟรีไปอีกเช่นกัน..! เป็นเรื่องที่ท่านทั้งหลายต้องมีจิตสำนึกในการที่จะเอาดีและเร่งรัดด้วยตนเอง ไม่มีใครที่สามารถมาจ้ำจี้จ้ำไช บอกกล่าวให้เราเกิดจิตสำนึกในการทำเช่นนั้นได้ สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้ พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร. เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพุธที่ ๓ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๖๗ (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 04-04-2024 เมื่อ 02:16 |
สมาชิก 43 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน ) | |
|
|