#1
|
||||
|
||||
เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน วันศุกร์ที่ ๕ มิถุนายน ๒๕๕๒
วันนี้ตรงกับวันที่ ๕ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๕๒ เป็นวันขึ้น ๑๓ ค่ำเดือน ๗ จวนจะกลางเดือน ๗ แล้ว
เมื่อครู่นี้ได้ฉันยาลงไป ญาติโยมเมตตาเอายาที่สกัดจากเม็ดมะรุมมาให้ บอกว่าฉันเข้าไปแล้วดี อาตมาก็ยังไม่รู้ว่าคุณภาพจะออกมาอย่างไร แต่พอนึกถึงคำว่า "ยา" ก็เลยนึกขึ้นมาได้ว่า คำว่ายา จริง ๆ มันแปลว่า ทำให้หายรั่ว อย่างสมัยก่อนเขามีการยาเรืือไม่ให้รั่ว โบราณเขาบอกไว้เป็นสูตรว่า ยาเรือยาแพ..ยาด้านนอก ยาขันยาจอก...ยาด้านใน เพราะว่าขันหรือว่าจอกมันใส่น้ำด้านใน ถ้าเราไปยาด้านนอกแรงกดของน้ำมันจะทำให้พวกชันที่ยาเอาไว้มันหลุดหมด แต่ถ้าเรายาจากด้านใน แรงกดของน้ำจะยิ่งทำให้มันแน่นขึ้น แต่ขณะเดียวกันการยาเรือถ้าเรายาทางด้านใน แรงกดของน้ำจากด้านนอกจะทำให้รั่วได้ง่าย แต่ถ้ายาจากด้านนอก ยิ่งน้ำหนักกดทับเท่าไหร่ ยิ่งแน่นเท่านั้น เมื่อนึกถึงตรงจุดแล้วนี้ พวกเรามันต้องยาข้างในเหมือนกับพวกขันพวกจอก เพราะว่าพวกเราปล่อยให้ตัวเองรั่วไหลมาก การปฏิบัติของเราจะก้าวหน้าหรือไม่ก้าวหน้า เราต้องสามารถรักษาอารมณ์ภาวนาให้อยู่กับเราให้นานที่สุด เพื่อให้สภาพจิตของเราผ่องใสจากกิเลส ถ้ามันอยู่กับตัวภาวนาอยู่กับลมหายใจเข้าออกเฉพาะหน้า กิเลสรัก โลภ โกรธ หลง จะกินใจเราไม่ได้ แต่ว่าเราไปปล่อยให้มันรั่ว ตาเห็นรูปก็ไหลไปตามรูป เมื่อได้ยินเสียงก็ไหลไปตามเสียง จมูกได้กลิ่นก็ไหลไปตามกลิ่น ลิ้นได้รสก็ไหลไปตามรส กายสัมผัสก็ไหลไปกับการสัมผัส ใจครุ่นคิดยิ่งไปกันใหญ่ ทำให้พลังงานที่เราจะสะสมไว้ เพื่อก้าวล่วงพ้นจากความทุกข์มันมีไม่เพียงพอ เนื่องจากมันรั่วอยู่ประจำทุกวัน เมื่อตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ของเรารั่ว เราก็ต้องยาให้มันแน่น ด้วยการอยู่กับอานาปานสติ คืออยู่กับลมหายใจเข้าออกเฉพาะหน้าของเรา หายใจเข้าก็รู้ตามเข้าไปว่ามันผ่านจมูก...ผ่านกึ่งกลางอก..ไปสู่ที่ท้อง หายใจออกจากท้อง...ผ่านอก....มาสิ้นสุดที่จมูก ประคับประคองความรู้สึกของเราเอาไว้เช่นนี้ เราเป็นพระโยคาวจร คือ ผู้มุ่งปฏิบัติเพื่อหวังความหลุดพ้น ถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของกองทัพธรรมพระพุทธเจ้า พวกเรานับเป็นธรรมเสนา ทหารในทางธรรมของพระพุทธเจ้า เป็นทหารต้องเข้มแข็ง ต้องเด็ดขาด ต้องเอาจริงเอาจัง จะทำเหยาะแหยะอ่อนแอไม่ได้ เพราะถ้าเหยาะแหยะอ่อนแอ การฝึกของเราไม่เข้มแข็งพอ ถึงเวลาต้องปะทะกับกิเลส โอกาสที่จะตายมีสูงมาก เมื่อเป็นเช่นนั้นเราก็ต้องฝึกอย่างเอาจริงเอาจังที่สุด อย่างดีที่สุด พยายามกำหนดสติตามลมหายใจเข้าทุกระยะ รู้ตามลมหายใจออกทุกระยะ เป็นการปิดทวาร คือ ตาหูจมูกลิ้นกายใจ ไม่ให้กำลังที่เราสั่งสมไว้รั่วไหลไปในเรื่องอื่น ถ้ามันรั่ว....รู้เมื่อไหร่รีบดึงมันกลับมา จัดการอุด จัดการยารูรั่วด้วยสติ ก็คือ อานาปานสติการรู้ลมหายใจเข้าออกของเรา ถือว่าตอนนี้เรากำลังฝึกตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นการสร้างความเข้มแข็งให้กับร่างกาย สร้างความเข้มแข็งให้แก่จิตใจ เพื่อเตรียมพร้อมที่จะรบกับกิเลส
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 25-12-2009 เมื่อ 10:57 |
สมาชิก 45 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#2
|
||||
|
||||
สมมติว่าตอนนี้เราอยู่ในที่ซุ่ม หลบหน้ากิเลส แต่ว่ามันส่งกองลาดตระเวนมาตามหาเรา ตอนนี้เราหมอบอยู่ข้างทาง กองตระเวนมันเดินเฉียดเราไป ในสภาพอย่างนั้นเราต้องสะกดตัวเองให้นิ่งที่สุด ไม่ให้มีการขยับเคลื่อนไหวแม้แต่นิดเดียว เพื่อป้องกันไม่ให้อีกข้างหนึ่งรู้ตัว เราจะต้องสะกดตัวเองให้นิ่งอย่างไร ก็เอาสมาธิทั้งหมดจดจ่ออยู่กับลมหายใจให้นิ่ง และแนบแน่นลักษณะอย่างนั้น
วันนี้เราเอาหลักใหญ่ของการปฏิบัติก็คือลมหายใจเข้าออก กรรมฐานทุกกองถ้าไม่มีลมหายใจเข้าออกควบไปด้วยจะไม่ทรงตัว เพราะฉะนั้น..วางกำลังใจทุ่มเทความรู้สึกทั้งหมดให้อยู่กับลมหายใจเข้าออกเฉพาะหน้า หายใจเข้ารู้ตามเข้าไป หายใจออกรู้ตามออกมา โดยเฉพาะให้รู้เพิ่มนิดหนึ่งว่า ชีวิตเรามีอยู่แค่ชั่วลมหายใจเข้าออกนี้เท่านั้น หายใจเข้า...ถ้าไม่หายใจออกก็ตายแล้ว หายใจออก...ถ้าไม่หายใจเข้าไปก็ตายเช่นกัน ชีวิตเป็นของน้อยขนาดนี้ ถ้าเราสั่งสมพลังไม่เพียงพอที่จะดิ้นหลุดออกจากวัฏสงสาร เราก็ต้องมาเวียนตายเวียนเกิดมาทนทุกข์ทรมานอย่างนี้ มาอยู่ในโลกที่เต็มไปด้วยความทุกข์ยากเร่าร้อน มาอยู่ในร่างกายที่เต็มไปด้วยความทุกข์ เกิดขึ้นในเบื้องต้น เปลี่ยนแปลงในท่ามกลาง เบื้องปลายสลายไปที่สุด ไม่มีอะไรให้ยึดถือมั่นหมายได้อีกเลย ดังนั้น..เราต้องสั่งสมพลังงานให้มากที่สุด โดยการฝึกสติรู้ระมัดระวัง รู้ตามลมหายใจเข้าออกไว้ ปิดทวารทั้ง ๖ คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เอาสติระลึกรู้ตามลมหายใจเข้าออกอย่างเดียว พยายามทำอย่างนี้เพื่อสั่งสมกำลังของเราให้มีมากขึ้น ถ้ากำลังมันไม่รั่วไหล มันมีมากขึ้น เมื่อเราใช้ในการพิจารณาธรรม ก็สามารถที่จะเข้าใจแจ่มแจ้งได้ง่าย ขณะเดียวกันก็จะมีกำลังใจการตัดละก้าวล่วงกิเลสทั้งหลายไปได้ง่ายเช่นกัน วันนี้นอกจากลมหายใจเข้าออกแล้วจะไม่เอาอะไร ดังนั้น..พวกเรากำหนดความรู้สึกไว้เฉพาะหน้า นึกถึงเรื่องอื่นเมื่อไหร่ดึงมันกลับมา สกัดกั้นมันไว้ ผูกมันไว้ ไม่อย่างนั้นตัวเราเองนั่นแหละจะเป็นคนเปิดประตูให้ข้าศึกเข้ามาโจมตีเรา ดังนั้น..การที่เราจะยาตัวเองไม่ให้มีรูรั่วจึงต้องยาจากทางด้านใน ระมัดระวังใช้ใจของเรา ความรู้สึกของเรา สติ สมาธิ ปัญญาของเรา ระมัดระวังไม่ให้ลมหายใจเข้าออกมันหลุดไปจากความรู้สึกได้ ระมัดระวังไม่ให้ตาหูจมูกลิ้นกายใจของเราแวบออกไปยังเบื้องนอกได้ พยายามอยู่กับลมหายใจเข้าออกให้ทรงตัว ให้นิ่งให้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้ จนกว่าจะส่งสัญญาณให้เลิก พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร. เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน ณ บ้านอนุสาวรีย์ วันศุกร์ที่ ๕ มิถุนายน ๒๕๕๒
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 25-12-2009 เมื่อ 10:56 |
สมาชิก 42 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน ) | |
|
|