#1
|
||||
|
||||
เทศน์ช่วงทำกรรมฐานเช้า วันพุธที่ ๒๘ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๖๔
เทศน์ช่วงทำกรรมฐานเช้า วันพุธที่ ๒๘ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๖๔ เชิญรับฟังได้ที่ https://youtu.be/Z4a901i55pA ทั้งหมด..ตั้งกายให้ตรง กำหนดสติเอาไว้เฉพาะหน้าของเรา นึกถึงลมหายใจเข้าออก หายใจเข้า..ให้ความรู้สึกของเราไหลตามลมหายใจเข้าไป หายใจออก..ให้ความรู้สึกของเราไหลตามลมหายใจออกมา จะใช้คำภาวนาหรือพิจารณาอย่างไรก็ได้ ตามอัธยาศัยของตน เอาความรู้สึกทั้งหมด คือ สติ อยู่กับลมหายใจตรงหน้า หายใจเข้า..ให้ความรู้สึกไหลตามลมหายใจเข้าไป หายใจออก..ให้ความรู้สึกไหลตามลมหายใจออกมา แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย หยาดฝน : 21-07-2022 เมื่อ 21:52 |
สมาชิก 17 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ หยาดฝน ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#2
|
||||
|
||||
เมื่อรู้สึกว่าความรู้สึกลมหายใจเข้าออก และคำภาวนาชัดเจนคล่องตัวดีแล้ว
ก็กำหนดภาพพระที่เรารักเราชอบมากที่สุด เอาไว้บนศีรษะของเรา อยู่ในขนาดที่กำลังสบาย ๆ กำหนดจิตได้ง่าย หายใจเข้า..ให้ภาพพระไหลตามลมหายใจเข้าไป หายใจออก..ให้ภาพพระไหลตามลมหายใจออกมา ตรงนี้ต้องจำให้แม่นว่า ไม่ใช่การเห็นด้วยตา อย่าพยายามใช้สายตาเพ่งเพื่อความชัดเจน กำหนดความรู้สึกเบา ๆ สบาย ๆ ว่ามีภาพพระอยู่บนศีรษะ หายใจเข้า..ภาพพระไหลลงไปอยู่ในท้อง หายใจออก..ภาพพระเลื่อนขึ้นไปบนศีรษะ |
สมาชิก 13 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ หยาดฝน ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#3
|
||||
|
||||
อย่าเอารายละเอียด อย่าเอาความชัดเจน อย่าเอาความสว่าง แค่รู้สึกว่ามีภาพพระอยู่ก็พอแล้ว
หายใจเข้า..ภาพพระไหลลงไปอยู่ในท้อง หายใจออก..ภาพพระเลื่อนขึ้นไปบนศีรษะ หายใจเข้า..ภาพพระไหลลงไปอยู่ในท้อง หายใจออก..ภาพพระเลื่อนขึ้นไปบนศีรษะ อย่ากำหนดใจตามคำพูด เพราะว่าช่วงลมหายใจของแต่ละคนยาวสั้นไม่เท่ากัน เอาตามความสบายของเรา หายใจเข้า..กำหนดดู กำหนดรู้ เห็นภาพพระไหลลงไปอยู่ในท้อง หายใจออก..กำหนดดู กำหนดรู้ เห็นภาพพระเลื่อนขึ้นไปบนศีรษะ ถ้าเผลอนึกถึงเรื่องอื่น ให้ดึงกลับมาที่ภาพพระและลมหายใจทันที หายใจเข้า..ภาพพระไหลลงไปอยู่ในท้อง หายใจออก..ภาพพระเลื่อนขึ้นไปบนศีรษะ |
สมาชิก 13 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ หยาดฝน ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#4
|
||||
|
||||
เมื่อรู้สึกว่าลมหายใจ ภาพพระ และคำภาวนากลมกลืนหนักแน่นมั่นคงแล้ว
กำหนดใจให้ภาพพระนั้นสว่างขึ้นตามลมหายใจเข้า สว่างขึ้นตามลมหายใจออก หายใจเข้า..ภาพพระสว่างขึ้น หายใจออก..ภาพพระสว่างขึ้น หายใจเข้า..ภาพพระสว่างขึ้น หายใจออก..ภาพพระสว่างขึ้น อย่าเอาความสว่างมากน้อยเป็นประมาณ โดยธรรมชาติวงสมาธิของบุคคลทั่วไป ก็เหมือนกับเรามองอะไรเวลากลางคืนเดือนมืด สว่างได้แค่นั้นก็นับว่าดีที่สุดแล้ว หายใจเข้า..ภาพพระสว่างขึ้น หายใจออก..ภาพพระสว่างขึ้น แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย หยาดฝน : 21-07-2022 เมื่อ 21:58 |
สมาชิก 14 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ หยาดฝน ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#5
|
||||
|
||||
เมื่อรู้สึกว่าภาพพระใส ๆ สว่าง ๆ อยู่บนศีรษะของเรา ก็ขอให้ความสว่างนั้นครอบคลุมตัวเราลงมา
หายใจเข้า..ภาพพระสว่างขึ้น ตัวเราสว่างขึ้น หายใจออก..ภาพพระสว่างขึ้น ตัวเราสว่างขึ้น หายใจเข้า..ภาพพระสว่างขึ้น ตัวเราสว่างขึ้น หายใจออก..ภาพพระสว่างขึ้น ตัวเราสว่างขึ้น กำหนดเอาตามถนัดของแต่ละช่วงลมหายใจของเรา จะแรง จะเบา จะยาว จะสั้น เราแค่กำหนดรู้ว่า.. หายใจเข้า..พร้อมกับภาพพระที่สว่างขึ้น ตัวเราสว่างขึ้น หายใจออก..พร้อมกับภาพพระที่สว่างขึ้น ตัวเราสว่างขึ้น แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย หยาดฝน : 07-09-2022 เมื่อ 01:04 |
สมาชิก 12 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ หยาดฝน ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#6
|
||||
|
||||
เมื่อภาพพระและตัวเราสว่างไสวกลมกลืนกันดีแล้ว ก็กำหนดว่าความสว่างนี้คือพระบารมีขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นเมตตาคุณที่อนุเคราะห์สงเคราะห์ต่อสรรพสัตว์ทั้งหลาย ทุกภพ ทุกภูมิ ทุกหมู่ ทุกเหล่า
หายใจเข้า..ให้ความสว่างแผ่กว้างออกไป..กว้างออกไป..รอบตัวของเรา หายใจออก..ความสว่างแผ่กว้างออกไป..กว้างออกไป..รอบตัวของเรา ให้สว่างไปทั้งศาลาหลังนี้ สว่างออกไปทั้งวัด สว่างไปทั้งหมู่บ้าน สว่างไปทั้งตำบล สว่างไปทั้งอำเภอ สว่างไปทั้งจังหวัด เหมือนกับตัวเราลอยสูงขึ้นไปเรื่อย ๆ เห็นกว้างไกลออกไปเรื่อย ๆ สว่างไปทั้งประเทศ สว่างไปทั้งทวีป สว่างออกไปทั้งโลก ตัวเราเหมือนโตเต็มแผ่นดินแผ่นฟ้า โลกนี้เป็นวัตถุเล็ก ๆ อยู่ภายใต้ร่างกายของเรา สามารถกำหนดจิตครอบคลุมให้ทั่วถึงได้โดยง่าย แล้วก็ให้ความสว่างแผ่กว้างออกไป กว้างออกไป ยังดวงดาวต่าง ๆ ในจักรวาลนี้ ดวงดาวอื่น ๆ ใน ดาราจักรทางช้างเผือก สรรพดวงดาวทั้งหลายในดาราจักรอื่น ๆ ทั่วทั้งเอกภพ มนุษย์และสัตว์ทุกภพ ทุกภูมิ ทุกหมู่ ทุกเหล่า เบื้องบนถึงพรหมชั้นที่ ๑๖ เบื้องล่างถึงอเวจีมหานรก แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย หยาดฝน : 21-07-2022 เมื่อ 22:05 |
สมาชิก 13 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ หยาดฝน ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#7
|
||||
|
||||
หายใจเข้า..ภาพพระสว่างไสวครอบคลุมไปยังทุกภพ ทุกภูมิ ทุกหมู่ ทุกเหล่า
หายใจออก..ความสว่างไสวครอบคลุมไปทุกภพ ทุกภูมิ ทุกหมู่ ทุกเหล่า ให้ตั้งใจว่า..มนุษย์ทั้งหลาย สัตว์ทั้งหลาย ผู้เป็นเพื่อนทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น ผู้ที่ชีวิตของท่านทั้งหลายเหล่านั้น ได้ตกล่วงไปแล้วในวันหนึ่งคืนหนึ่ง ขอให้ท่านทั้งหลายเหล่านั้น จงไปเสวยสุขในสุคติภพโดยถ้วนหน้ากันเถิด มนุษย์ทั้งหลาย สัตว์ทั้งหลาย ผู้เป็นเพื่อนทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น ผู้ที่ชีวิตของท่านทั้งหลายเหล่านั้น ตกอยู่ในความทุกข์ยากเศร้าหมอง เดือดร้อนลำเค็ญ ทุกข์กายทุกข์ใจ เจ็บไข้ได้ป่วย พิกลพิการใด ๆ ก็ดี ขอให้ท่านทั้งหลายเหล่านั้น จงได้ล่วงพ้นจากความทุกข์ทั้งหลายนั้นเถิด มนุษย์ทั้งหลาย สัตว์ทั้งหลาย ผู้เป็นเพื่อนทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น ผู้ที่ชีวิตของท่านทั้งหลายเหล่านั้น มีความสุขความเจริญดีอยู่แล้ว ขอให้ท่านทั้งหลายเหล่านั้น จงมีความสุขความเจริญยิ่ง ๆ ขึ้นไปด้วยเถิด มนุษย์ทั้งหลาย สัตว์ทั้งหลาย ผู้เป็นเพื่อนทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น พึงเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่แก่กันและกัน เสียสละให้ปัน ช่วยเหลือเกื้อกูลแก่ผู้ที่ตกอยู่ในความทุกข์ยากยิ่งกว่าตนให้พ้นทุกข์ เพื่อยังโลกทั้งหลายไปสู่สันติสุขอันสมบูรณ์ด้วยเถิด แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย หยาดฝน : 21-07-2022 เมื่อ 22:06 |
สมาชิก 12 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ หยาดฝน ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#8
|
||||
|
||||
เมื่อแผ่เมตตาไประยะหนึ่ง จะรู้สึกว่ากำลังสมาธิอ่อนจางเบาบางลงไป ก็ให้กลับมาหาภาพพระบนศีรษะของเราใหม่
หายใจเข้า..ภาพพระสว่างขึ้น ตัวเราสว่างขึ้น หายใจออก..ภาพพระสว่างขึ้น ตัวเราสว่างขึ้น หายใจเข้า..ภาพพระสว่างขึ้น ตัวเราสว่างขึ้น หายใจออก..ภาพพระสว่างขึ้น ตัวเราสว่างขึ้น เมื่อรู้สึกว่าภาพพระสว่างไสวชัดเจนดีแล้ว ก็กำหนดใจเลื่อนภาพพระเข้ามาอยู่ในศีรษะของเรา เหมือนกับภายในหัวเราเป็นห้องว่าง ๆ กว้าง ๆ ใหญ่ ๆ มีภาพพระพุทธเจ้าสว่างไสวอยู่ภายในนั้น น้อมจิตน้อมใจกราบลงไปตรงนั้น ตั้งใจว่า..ลูกจะยกเอาพระสัจธรรมเทศนาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าขึ้นมาพินิจพิจารณา ขอให้ลูกทั้งหลายสามารถรู้เห็นได้ชัดเจน และยอมรับความเป็นจริงทั้งหลายเหล่านั้นด้วยเถิดพระเจ้าข้า |
สมาชิก 12 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ หยาดฝน ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#9
|
||||
|
||||
หลังจากนั้นก็กำหนดใจย้อนหลังกลับไป..
ก่อนที่จะเข้ามาศาลาหลังนี้ ระหว่างที่เดินมาศาลาหลังนี้ ระหว่างยังอยู่ในที่พัก ระหว่างที่ล้างหน้าอาบน้ำแต่งตัว ระหว่างก่อนนอน ย้อนกลับไปการปฏิบัติธรรมช่วงค่ำเมื่อวาน ช่วงบ่าย ช่วงเช้า ย้อนกลับไป ๒ วัน ๓ วัน ๔ วัน ๕ วัน ๗ วัน ๑๐ วัน.. ครึ่งเดือน ๑ เดือน ๒ เดือน ๓ เดือน ๔ เดือน ๕ เดือน ๖ เดือน.. ๑ ปี ๒ ปี ๓ ปี ๔ ปี ๕ ปี ๑๐ ปี.. ย้อนกลับไปตอนเราตัวเล็ก ๆ ย้อนกลับไปตอนเราอยู่ในท้องแม่ ย้อนกลับไปจนเป็นจุดปฏิสนธิ์อยู่ในท้องแม่ |
สมาชิก 12 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ หยาดฝน ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#10
|
||||
|
||||
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า "สัพเพ สังขารา อนิจจา" สังขารทั้งหลายไม่เที่ยง
เมื่อจุดปฏิสนธิ์นั้นโดนไฟธาตุของแม่เคี่ยวเข้า รับสารอาหารจากท้องแม่ ก็ค่อย ๆ เปลี่ยนแปลง ค่อย ๆ ขยายตัว โตขึ้นมา โตขึ้นมา.. ลักษณะเป็นก้อน เหมือนกับไข่ไก่ที่ประกอบไปด้วยเลือดเนื้อ.. มีเงาดำ ๆ อยู่ตรงกลาง ค่อย ๆ พัฒนาขึ้นมาเป็นดวงตา เป็นหน้าผาก เป็นจมูก เป็นปาก เป็นคาง เป็นศีรษะ เป็นกระดูกสันหลัง.. งอกปัญจสาขา แขนขาออกมา เปลี่ยนแปลงให้มีอวัยวะภายในภายนอกค่อย ๆ สมบูรณ์ เป็นเด็กทารก นอนขดอยู่ในท้องแม่.. แล้วก็คลอดก็เคลื่อนจากท้องแม่ออกมา เป็นเด็กน้อยนอนหงายตะกายอากาศ ค่อย ๆ หัดพลิก หัดคืบ หัดคลาน หัดยืน หัดเดิน หัดวิ่ง ไม่มีฟันก็มีฟัน จากเด็กเล็กเป็นเด็กโต เป็นเด็กหนุ่มเด็กสาว เป็นหนุ่มสาวเต็มวัย เป็นหนุ่มใหญ่สาวใหญ่ เป็นวัยกลางคน เป็นคนแก่.. ร่างกายค่อย ๆ คดค้อมเปลี่ยนแปลงลงไป ผมขาว ตาฟาง ฟันร่วง หนังเหี่ยว ในที่สุดก็ตายลงไป พระพุทธเจ้าตรัสว่า สังขารนี้ไม่เที่ยง เป็นความจริงแท้แน่นอน เรายอมรับความเป็นจริงนี้ แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย หยาดฝน : 21-07-2022 เมื่อ 22:15 |
สมาชิก 13 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ หยาดฝน ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#11
|
||||
|
||||
น้อมจิตน้อมใจนึกถึง ภาพองค์สมเด็จพระชินสีห์บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าที่เลือนลางจืดจางไป เพราะเราใช้กำลังในการพิจารณา
หายใจเข้า..ภาพพระสว่างขึ้น หายใจออก..ภาพพระสว่างขึ้น หายใจเข้า..ภาพพระสว่างขึ้น หายใจออก..ภาพพระสว่างขึ้น จนภาพพระในศีรษะสว่างไสวชัดเจน เหมือนพระพุทธรูปองค์เล็กลอยอยู่ในห้องกว้าง ๆ อะไรเข้ามารอบด้าน สามารถกำหนดรู้ได้อย่างทั่วถึง แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย หยาดฝน : 21-07-2022 เมื่อ 22:17 |
สมาชิก 13 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ หยาดฝน ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#12
|
||||
|
||||
พระพุทธเจ้าตรัสว่า "สัพเพ สังขารา ทุกขา" สังขารทั้งหลายเป็นทุกข์
เราอยู่ในท้องแม่..โดนไฟธาตุเผาลนอยู่ตลอด ๙ เดือน ๑๐ เดือน ทั้งร้อน ทั้งอึดอัด ทั้งปวด ทั้งเมื่อย.. พยายามดิ้นรนให้พ้นจากสภาพอันทุกข์ทรมานนั้น ในที่สุดก็คลอดก็เคลื่อนออกมาจากร่างกายแม่ กระทบความหนักของอากาศ แสบร้อนไปทั้งตัว ร้องไห้จ้า สกปรกโสโครกต้องชำระล้าง หิวต้องกิน กระหายต้องดื่ม ปวดอุจจาระปวดปัสสาวะต้องอึต้องฉี่ เจ็บไข้ได้ป่วยต้องรักษาพยาบาล ความหิวจู่โจมมาวันละหลายรอบ เมื่อกินเข้าไปแล้วก็ต้องถ่าย ร่างกายก็สกปรกโสโครกด้วยสิ่งที่ร่างกายขับออกมา.. ต้องพยายามปรับปรุงเปลี่ยนแปลง เพื่อให้อยู่ในโลกนี้ จากนอนหงายอยู่ก็พยายามพลิกคว่ำ..กว่าจะทำได้ก็เหนื่อยเกือบตาย ต้องหัดคืบ หัดคลาน หัดยืน หัดเดิน หัดวิ่ง..แต่ละขั้นตอนล้วนแล้วแต่ยากลำบาก หกล้มหกลุกนับครั้งไม่ถ้วน ระหว่างนั้นก็หิวต้องกิน กระหายต้องดื่ม ปวดอุจจาระปวดปัสสาวะต้องอึต้องฉี่ สกปรกโสโครกต้องชำระล้างต้องดูแล เจ็บไข้ได้ป่วยต้องรักษาพยาบาล แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย หยาดฝน : 21-07-2022 เมื่อ 22:23 |
สมาชิก 11 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ หยาดฝน ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#13
|
||||
|
||||
ต้องศึกษาเรียนรู้การอยู่ในโลกนี้ให้ได้ ต้องเล่าเรียนหนังสือเพื่อหาอาชีพการงานของเรา เอาตัวรอดในโลกให้ได้
กระทบกระทั่งกับเพื่อนบ้าง โดนครูดุบ้าง โดนครูตีบ้าง โดนพ่อแม่ด่าว่าบ้าง กว่าจะตะเกียกตะกายเรียนจบได้แต่ละชั้นปี เลือดตาแทบกระเด็น เหนื่อยยากด้วยการเดินทาง เหนื่อยใจด้วยการศึกษาเล่าเรียน..ทุกข์ยากต่อการพยายามที่จะทรงชีวิตอยู่ในโลกนี้ ตลอดเวลาก็ยังก็หิวต้องกิน กระหายต้องดื่ม ปวดอุจจาระปวดปัสสาวะ ต้องอึต้องฉี่ เจ็บไข้ได้ป่วยต้องรักษาพยาบาล สกปรกโสโครกต้องชำระร่างกายอยู่ตลอดเวลา แทนที่จะเห็นทุกข์ชัดเจน ก็ตะเกียกตะกายหาทุกข์เพิ่มขึ้น ไปรักคนโน้น ไปชอบคนนี้ ต้องพยายามไขว่คว้ามาเป็นของเรา แค่รักแค่ชอบก็ทุกข์แล้ว กลัวเขาจะไม่รักไม่ชอบเราตอบ ฝ่าฟันกว่าจะได้เป็นคู่ครองมา ผ่านระยะเวลาที่ทุกข์ยากมาด้วยกัน |
สมาชิก 12 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ หยาดฝน ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#14
|
||||
|
||||
เมื่อเป็นครอบครัวเดียวกัน ร่วมสุขร่วมทุกข์ ความทุกข์ก็เพิ่มขึ้นมา ๑ เท่าตัว
แล้วก็ยังอุตส่าห์มีลูกเล็ก ๆ ออกมา ดึกดื่นแค่ไหน ก็ต้องอดตาหลับขับตานอนมาดูแล เหนื่อยจนแทบจะลงไปเลื้อยกับพื้น ก็ยังต้องดูแลลูกให้เรียบร้อยก่อน ต้องแสวงหาสิ่งของปัจจัยต่าง ๆ มาเลี้ยงปากเลี้ยงท้องตัวเอง มาเลี้ยงครอบครัว มาเลี้ยงลูก.. เหนื่อยแทบจะขาดใจลงไปในแต่ละวัน ร่างกายก็ก้าวไปสู่ความเสื่อมตลอดเวลา เจ็บโน่น ปวดนี่ เมื่อยนั่น สกปรกโสโครกต้องคอยดูแล ทำอะไรก็ยากขึ้นเรื่อย ๆ เพราะร่างกายทรุดโทรมลง.. ความทุกข์ที่เหมือนเดิมก็มีมากขึ้น ไหนจะลูก ไหนจะผัว ไหนจะเมีย..หาแต่ความทุกข์มาทับถมให้ ไหนจะอาการเจ็บไข้ได้ป่วยด้วยโรคประจำตัว..ท้ายสุดท้ายเวทนากำเริบกล้า ร่างกายทรงอยู่ไม่ได้ก็แตก ก็ดับ ก็ตายลงไป พระพุทธเจ้าตรัสว่า สรรพสังขารทั้งหลายเป็นทุกข์ เราเห็นชัดเจนแล้วว่า เป็นทุกข์จริง ๆ หนอ |
สมาชิก 12 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ หยาดฝน ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#15
|
||||
|
||||
ย้อนกลับไปหาภาพพระและลมหายใจใหม่
หายใจเข้า..ภาพพระสว่างขึ้น ตัวเราสว่างขึ้น หายใจออก..ภาพพระสว่างขึ้น ตัวเราสว่างขึ้น จนกระทั่งภาพพระลอยเด่นสว่างไสวอยู่ในศีรษะ ก็ยกเอาข้อธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้ามาพิจารณาดู พระองค์ท่านตรัสว่า "สัพเพ ธัมมา อนัตตา" สรรพสิ่งทั้งหลายไม่มีอะไรเป็นตัวเป็นตนให้ยึดถือมั่นหมายได้ เมื่อครู่นี้ร่างกายที่เต็มไปด้วยความทุกข์ก็ล้มตายไปแล้ว.. เหตุที่ตายลงก็เพราะว่า ร่างกายนี้แค่เป็นส่วนประกอบจากธาตุ ๔ คือดิน คือน้ำ คือลม คือไฟ เมื่อประกอบกันขึ้นมา มีหัว มีหู มีหน้า มีตา ตัวเราที่เป็นดวงจิตมาเสวยบุญเสวยบาปตามกรรมที่สร้างไว้ พอเข้าไปอาศัยอยู่ก็ไปยึดว่า เป็นตัวกูของกู.. เราลองมาดูสิว่ามีความเป็นตัวกูของกูจริงไหม ? |
สมาชิก 12 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ หยาดฝน ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#16
|
||||
|
||||
เมื่อพระพุทธเจ้าตรัสว่า ร่างกายเป็นธาตุ ๔ คือดิน คือน้ำ คือลม คือไฟ
เรามาลองดูว่า ส่วนที่เป็นดิน คือ ส่วนที่แข็ง เป็นแท่ง เป็นก้อน เป็นชิ้น เป็นอัน จับได้ ต้องได้ ประกอบด้วยอะไรบ้าง ? มีผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เนื้อ กระดูก เส้นเอ็น เยื่อในกระดูก อวัยวะภายในภายนอกทั้งปวง อย่างเช่นปอด ตับ ม้าม หัวใจ ไส้น้อย ไส้ใหญ่ กระเพาะอาหาร กระเพาะปัสสาวะ เป็นต้น ลองแยกกองเอาไว้กองหนึ่ง ส่วนที่เป็นธาตุน้ำ สามารถไหลไปไหลมาอยู่ในร่างกายนี้ มีเลือด น้ำเหลือง น้ำหนอง น้ำตา น้ำลาย น้ำดี เหงื่อ ไขมันเหลว ปัสสาวะ แยกเอาไว้อีกกองหนึ่ง ส่วนที่พัดไปมาในร่างกายเป็น ธาตุลม มีลมหายใจเข้า ลมหายใจออก ลมที่ค้างอยู่ในช่องว่างของร่างกายเช่น ช่องหู ช่องจมูก ลมที่ค้างอยู่ในท้องในไส้ที่เรียกว่าแก๊ส ลมที่พัดขึ้นเบื้องสูง พัดลงเบื้องต่ำ พัดไปทั่วร่างกายเรียกว่าความดันโลหิต แยกเอาไว้อีกกองหนึ่ง ส่วนที่ให้ความอบอุ่นในร่างกายเรียกว่า ธาตุไฟ มีธาตุไฟที่กระตุ้นร่างกายให้เจริญเติบโต ธาตุไฟที่เผาผลาญทำให้ร่างกายทรุดโทรมลง ธาตุไฟที่ช่วยสันดาบย่อยอาหาร ธาตุไฟที่ยังร่างกายให้กระวนกระวายยามเจ็บไข้ได้ป่วย ลองแยกเอาไว้อีกกองหนึ่ง |
สมาชิก 13 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ หยาดฝน ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#17
|
||||
|
||||
กองที่ ๑ คือ ดิน.. ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เนื้อ กระดูก เส้นเอ็น ตับ ไต ไส้ ปอด สารพัด
กองที่ ๒ คือ น้ำ.. มีเลือด น้ำเหลือง น้ำหนอง น้ำตา น้ำลาย น้ำดี ไขมันเหลว เหงื่อ ปัสสาวะ กองที่ ๓.. มีลมหายใจเข้า ลมหายใจออก ลมค้างในช่องว่างร่างกาย ลมที่อยู่ในท้องในไส้ ลมที่พัดขึ้นเบื้องสูง พัดลงเบื้องต่ำ พัดไปมาทั่วร่างกาย ที่เรียกว่า ธาตุลม กองสุดท้ายคือ ความร้อนความอบอุ่นในร่างกาย มีไฟธาตุที่กระตุ้นร่างกายให้โตขึ้น เผาผลาญร่างกายให้ชำรุดทรุดโทรมลง ช่วยสันดาบเผาย่อยอาหาร ทำให้ร่างกายกระวนกระวายยามป่วยไข้ นี่คือดิน นี่คือน้ำ นี่คือลม นี่คือไฟ แยกออกมาแล้วเหลืออะไร ? ตัวเราอยู่ตรงไหน ? มีหรือไม่ ? ไม่มี..! |
สมาชิก 13 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ หยาดฝน ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#18
|
||||
|
||||
เมื่อประกอบกลับเข้ามาใหม่ เป็นดิน เป็นน้ำ เป็นลม เป็นไฟ ปั้นขึ้นมา มีหัว หู หน้า ตา อาการ ๓๒ ..เราไปยึดว่า เป็นเราเป็นของเรา
ตอนนี้มันนอนตายอยู่ตรงหน้า ใช่ของเราหรือไม่ ? ตัวเราเป็นจิต ได้แต่ยืนดู.. เหมือนกับรถยนต์คันหนึ่งที่พังอยู่ต่อหน้า หรือว่าเสื้อผ้าเก่า ๆ ชุดหนึ่งที่หมดสภาพโดนทิ้งอยู่ตรงหน้า เมื่อธาตุลมขาดไป ธาตุไฟก็ดับลง เมื่อไม่มีธาตุไฟคอยควบคุม ธาตุน้ำก็ล้นเกิน ดันธาตุดินบวม อืด พองขึ้นมา ผ่านเวลาไปก็กลายเป็นเขียว ๆ ช้ำ ๆ ดันจนกระทั่งผิวหนังแตก ปริ น้ำเลือด น้ำเหลือง น้ำหนองไหลโทรม ส่งกลิ่นเหม็นไปไกล ๆ หมู่สัตว์ทั้งหลาย มีหนอน มีแมลง มีนกแร้ง นกกา หมาจิ้งจอก หมาบ้าน เหี้ย ตะกวด มาฉีก มาทึ้ง มาดึงมาลากเอาร่างกายนี้ไปเป็นอาหาร กลิ่นเหม็นตลบไปไกล ๆ เป็นร้อย ๆ เมตร..ทึ้งเอาอวัยวะภายนอก อวัยวะภายใน เกลื่อนกลาดออกมาเป็นอาหาร หมู่หนอนก็ชอนไชกินในส่วนที่ละเอียดกว่า จนกระทั่งค่อย ๆ เน่า โทรมลงไป เหลือแต่โครงกระดูก แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย หยาดฝน : 21-07-2022 เมื่อ 23:01 |
สมาชิก 13 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ หยาดฝน ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#19
|
||||
|
||||
ผ่านการเผาของแดด ผ่านการชะของฝน ผ่านการพัดของลม กระดูกก็ค่อย ๆ เก่าลง ๆ..
เส้นเอ็นที่เคยยึดไว้ครบถ้วนก็เปื่อยสลาย กระโหลกศีรษะกลิ้งไปทางหนึ่ง กระดูกฟันหลุดไปทางหนึ่ง กระดูกกรามหลุดไปทางหนึ่ง กระดูกต้นคอหลุดไปทางหนึ่ง กระดูกไหปลาร้าหลุดไปทางหนึ่ง กระดูกหัวไหล่ กระดูกต้นแขน กระดูกข้อศอก กระดูกท่อนแขนตอนปลาย กระดูกข้อมือ กระดูกฝ่ามือ กระดูกนิ้วมือ ตลอดจนเล็บมือ หลุดกระจัดกระจายไป ซี่โครงที่ยึดติดกับกระดูกสันหลังและกระดูกหน้าอก ก็หลุดกลิ้งเป็นวง ๆ ไป กระดูกบั้นเอว ที่ช่วยให้เราก้มลง เงยได้ ก็หลุดเป็นข้อ ๆ ส่วนบั้นท้ายที่เป็นเบ้าเว้า ๆ โค้ง ๆ ที่ประกอบไปด้วยเนื้อก็เป็นสะโพก เป็นก้นกบ หลุดไป กระดูกต้นขา กระดูกหัวเข่า กระดูกหน้าแข้ง กระดูกข้อเท้า กระดูกฝ่าเท้า กระดูกนิ้วเท้า ตลอดจนเล็บเท้า หลุดกระจัดกระจายเกลื่อนกลาด มองไม่ชัด ประกอบขึ้นมาใหม่.. จากเล็บเท้า นิ้วเท้า ฝ่าเท้า ข้อเท้า หน้าแข้ง หัวเข่า ต้นขา สะโพก บั้นเอว ซี่โครง ไหปลาร้า หัวไหล่ ท่อนแขน ข้อศอก ปลายแขน ข้อมือ ฝ่ามือ นิ้วมือ เล็บมือ ต้นคอ กราม ฟัน กะโหลกศีรษะ.. เป็นตัวยืนอยู่ตรงหน้า แล้วปล่อยหลุดกระจัดกระจายลงไปใหม่ ประกอบกลับขึ้นมาดูใหม่ มันเป็นแค่..โครงกระดูกผี หลอกว่า เป็นของเรา แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย หยาดฝน : 21-07-2022 เมื่อ 22:52 |
สมาชิก 13 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ หยาดฝน ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#20
|
||||
|
||||
เมื่อปล่อยให้กองเกลื่อนกลาดอยู่โดนแดดเผา โดนลมพัด โดนฝนสาดซัด ก็เก่าลง เก่าลง เปื่อยไป ผุไป สุดท้ายก็ผุพัง จมดิน ..ไม่มีอะไรเหลืออยู่ แม้แต่น้อยหนึ่งก็ไม่มี แล้วตัวเราของเรา..อยู่ตรงไหน
ในเมื่อร่างกายนี้ไม่มีอะไรเป็นเราเป็นของเราจริง ๆ..เราเห็นอย่างชัดเจนแล้ว มีความไม่เที่ยง..ก็เห็นชัดว่าไม่เที่ยง มีความเป็นทุกข์..ก็เห็นชัดว่าเป็นทุกข์ ไม่มีอะไรเป็นเราเป็นของเรา..ก็ไม่มีจริง ๆ ย้อนกลับมา..น้อมจิตน้อมใจกราบองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า บัดนี้ลูกเห็นจริงในสรรพสิ่งทั้งหลาย ตามที่พระองค์ท่านเมตตาตรัสสอนแล้ว หากว่าลูกหมดอายุขัยตายลงไปก็ดี หรือว่าเกิดอุบัติเหตุอันตรายใด ๆ จนถึงแก่ชีวิตก็ตาม ลูกขอมาอยู่กับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่พระนิพพานนี้แห่งเดียวเท่านั้น กำหนดใจ กำหนดภาพพระ กำหนดลมหายใจ กำหนดคำภาวนา..อะไรยังมีอยู่ ทำสิ่งนั้น ถ้าหากว่าลมหายใจเบาลงหรือว่าหายไป คำภาวนาหายไป..กำหนดรู้ไว้เฉย ๆ อย่าอยากให้หายไป และอย่าตะเกียกตะกายดึงกลับมา แค่กำหนดรู้ว่า สิ่งทั้งหลายทั้งปวงไม่มีอะไรหลงเหลือ นอกจากองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบนพระนิพพาน เอาใจเกาะตรงนี้เอาไว้ รักษาสภาพให้อยู่กับเราให้นานที่สุด จนกว่าจะได้รับสัญญาณบอกว่าหมดเวลา |
สมาชิก 13 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ หยาดฝน ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 2 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 2 คน ) | |
|
|